

บมจ.ชูวิทย์ฟาร์ม (2019) หรือ CFARM ยื่นแบบ Filing ต่อสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (สำนักงาน ก.ล.ต.) เสนอขายไอพีโอ 149 ล้านหุ้น เตรียมเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์เอ็ม เอ ไอ (mai)

นายสมศักดิ์ ศิริชัยนฤมิตร ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท แอสเซท โปร แมเนจเม้นท์ จำกัด (APM) ในฐานะที่ปรึกษาทางการเงิน บริษัท ชูวิทย์ฟาร์ม (2019) จำกัด (มหาชน) หรือ CFARM เปิดเผยว่า ขณะนี้ได้ยื่นแบบคำขออนุญาตเสนอขายหุ้นสามัญเพิ่มทุนครั้งแรกต่อประชาชน (IPO) พร้อมแบบแสดงรายการข้อมูลการเสนอขายหลักทรัพย์ (แบบ Filing) ต่อสำนักงาน ก.ล.ต. และยื่นคำขอให้รับหุ้นสามัญเป็นหลักทรัพย์จดทะเบียน ต่อตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย เมื่อวันที่ 29 กันยายน 2566 เรียบร้อยแล้ว
“ปัจจุบัน ชูวิทย์ฟาร์ม (2019) หรือ CFARM มีทุนจดทะเบียน 431 ล้านบาท เตรียมเพิ่มทุนอีก 149 ล้านบาท ราคาพาร์หุ้นละ 1 บาท รวมเป็นทุนจดทะเบียน 580 ล้านบาท โดยจะเสนอขายหุ้น IPO จำนวน 149.00 ล้านหุ้น หรือไม่เกิน 25.69% ของจำนวนหุ้นสามัญทั้งหมดที่ออกและจำหน่ายแล้วของบริษัทภายหลังการเสนอขายหุ้นสามัญในครั้งนี้ และจะนำหุ้นสามัญทั้งหมดเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ mai” นายสมศักดิ์กล่าว

นายสุริยา ธรรมธีระ รองกรรมการผู้จัดการ บริษัท แอสเซท โปร แมเนจเม้นท์ จำกัด (APM) ในฐานะที่ปรึกษาทางการเงิน กล่าวเสริมว่า การระดมทุนและเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ mai จะเพิ่มศักยภาพ ขยายโอกาสต่อยอดธุรกิจให้มีความมั่นคง และเพิ่มความสามารถในการแข่งขัน นอกจากนี้ ยังได้รับความน่าเชื่อถือจากลูกค้า คู่ค้า และสถาบันการเงินมากยิ่งขึ้น สร้างความยั่งยืนให้องค์กรในระยะยาว
สำหรับวัตถุประสงค์หลักในการระดมทุน เพื่อก่อสร้างฟาร์ม ปรับปรุงโรงเรือน อุปกรณ์ที่เกี่ยวข้องกับธุรกิจฟาร์มปศุสัตว์ นอกจากนี้ใช้เป็นเงินทุนหมุนเวียนในการดำเนินธุรกิจ รองรับการเติบโตที่มั่นคงและยั่งยืนของธุรกิจ

ด้านนายชูรัตน์ จึงธนสมบูรณ์ กรรมการผู้จัดการ บริษัท ชูวิทย์ฟาร์ม (2019) จำกัด (มหาชน) หรือ CFARM เปิดเผยว่าบริษัทดำเนินธุรกิจฟาร์มปศุสัตว์ ประเภทฟาร์มเลี้ยงไก่เนื้อให้กับคู่สัญญาชั้นนำในประเทศไทยในรูปแบบเกษตรพันธสัญญาแบบประกันราคา เลี้ยงไก่เนื้อในโรงเรือนด้วยระบบปิดปรับอากาศ(Evaporative Cooling System : EVAP) ทุกโรงเรือนเลี้ยงไก่เนื้อมีคุณภาพตามมาตรฐานการปฏิบัติทางการเกษตรที่ดีสำหรับฟาร์มเลี้ยงไก่เนื้อของกรมปศุสัตว์ กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ และมาตรฐานที่กำหนดโดยคู่สัญญา อีกทั้งบริษัทได้รับใบอนุญาตประกอบกิจการที่เป็นอันตรายต่อสุขภาพ (เลี้ยงไก่) ด้านประกอบกิจการเลี้ยงไก่เนื้อ ที่ออกโดยองค์การบริหารส่วนตำบลท้องถิ่นที่โรงเรือนตั้งอยู่ ปัจจุบันบริษัทได้รับมาตรฐาน ISO 9001:2015 (ระบบบริหารงานคุณภาพ) , ISO 14001:2015 (ระบบมาตรฐานการจัดการสิ่งแวดล้อม) , ISO 45001:2018 (มาตรฐานระบบการจัดการอาชีวอนามัยและความปลอดภัย)
โดยในปัจจุบันบริษัทมีฟาร์มเลี้ยงไก่เนื้อทั้งสิ้น 8 ฟาร์ม ประกอบด้วยโรงเรือนจำนวน 121 โรงเรือน ตั้งอยู่ในจังหวัดบุรีรัมย์ ซึ่งมีความสามารถในการเลี้ยงไก่เนื้อประมาณ 3.18 ล้านตัวต่อรอบการเลี้ยง หรือประมาณ 15.88 ล้านตัวต่อปี
จากเหตุการณ์แผ่นดินไหวที่ประเทศโมร็อกโก เมื่อวันที่ 8 กันยายนที่ผ่านมา ไซโก้ เอปสัน คอร์ปอเรชั่น ได้แถลงแสดงความเสียใจต่อการสูญเสียอันน่าเศร้าครั้งนี้ และได้ทำการบริจาคเงินจำนวน 10 ล้านเยน หรือราว 2.43 ล้านบาท เพื่อช่วยเหลือผู้คนและพื้นที่ที่ได้รับผลกระทบจากภัยพิบัติครั้งนี้ ผ่านสภากาชาดญี่ปุ่น
AIS ผู้นำเครือข่ายโทรศัพท์เคลื่อนที่ของไทยและหัวเว่ย ได้ทำการทดสอบระบบโครงข่าย 5G ในรูปแบบ RedCap เชิงพาณิชย์เป็นครั้งแรกในจังหวัดกรุงเทพมหานคร ประเทศไทย ซึ่งผลการทดสอบสำเร็จลุล่วงไปด้วยดี โดยเป็นการทดสอบบนเครือข่ายพาณิชย์บนคลื่นความถี่ 700MHz และ 2600MHz และใช้อุปกรณ์เทอร์มินัลของ RedCap หลากหลายประเภท รวมถึงเครื่อง DTU (อุปกรณ์ส่งข้อมูล) และกล้องต่าง ๆ โดยมีการทดสอบการทำงานทั้งในด้านความเร็วสูงสุดในการดาวน์โหลดและอัปโหลด ประสิทธิภาพการทำงานขณะการเคลื่อนที่ การทำงานร่วมกันระหว่างอุปกรณ์ RedCap กับอุปกรณ์ eMBB ซึ่งผลการทดสอบแสดงให้เห็นว่าทั้งเครือข่าย 5G ของ AIS และอุปกรณ์เทอร์มินัลของ RedCap สามารถทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพตามที่คาดการณ์ไว้ ถือเป็นก้าวสําคัญในการนำเทคโนโลยี RedCap ไปใช้งานในเชิงพาณิชย์
5G RedCap นั้นถือเป็นเทคโนโลยีใหม่ ซึ่งได้รับการออกแบบมาเพื่อการใช้งานกับแอปพลิเคชันประเภท IoT ทั้งการใช้งานในความเร็วระดับกลางและความเร็วสูง เช่น เซ็นเซอร์ในภาคอุตสาหกรรมต่าง ๆ อุปกรณ์สวมใส่อัจฉริยะ และกล้องวงจรปิด โดยเป็นการลดความซับซ้อนของระบบเครือข่ายแบบ Baseband อุปกรณ์ส่งสัญญาณ และเสาอากาศ โดยเทคโนโลยี RedCap นี้มีต้นทุนที่ต่ำกว่าและใช้พลังงานน้อยกว่าอุปกรณ์ 5G ประเภท eMBB เป็นอย่างมาก ซึ่งหากนำไปเทียบกับระบบ 4G แบบ CAT4 UEs แล้ว เทคโนโลยี RedCap ยังสามารถรักษาคุณสมบัติพื้นฐานของเทคโนโลยี 5G เอาไว้ได้อย่างครบถ้วน ไม่ว่าจะเป็นความสามารถในการส่งข้อมูลจำนวนมาก และค่าความหน่วงที่ต่ำ นอกจากนี้ RedCap ยังสนับสนุนคุณสมบัติหลัก ๆ สำหรับภาคธุรกิจด้วย เช่น เทคโนโลยี Network Slicing และการระบุตําแหน่ง

นายวสิษฐ์ วัฒนศัพท์ หัวหน้าหน่วยธุรกิจงานปฎิบัติการและสนับสนุนด้านเทคนิคทั่วประเทศของ AIS กล่าวว่า “นอกจากการพัฒนาด้านการบริการเพื่อคุณภาพที่ดีที่สุด เรายังพร้อมนำนวัตกรรมใหม่ล่าสุดเข้ามายกระดับเทคโนโลยี 5G ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งในพันธกิจของเราที่ต้องการช่วยสนับสนุนการเติบโตของเศรษฐกิจดิจิทัลในอนาคตอย่างยั่งยืน และนี่เองที่ทำให้เราเดินหน้าผสานความร่วมมือทำงานกับพาร์ทเนอร์ระดับโลกอย่างหัวเว่ย ในการยกระดับโครงข่าย 5G ของประเทศไทยให้มีมาตรฐานระดับโลก และเป็นไปตามวิสัยทัศน์ของเราในการก้าวไปสู่ Cognitive Tech-Co (การเพิ่มความอัจฉริยะลงไปในบริการหรือลงไปในโซลูชัน เพื่อตอบสนองความต้องการของลูกค้า)"
เราประสบความเร็จในการทดสอบความสามารถของเทคโนโลยี 5G ในหลากหลายรูปแบบเป็นที่เรียบร้อยแล้ว ซึ่งทั้งคลื่นความถี่ 2600MHz และ 700MHz ของ AIS นั้นสามารถมอบประสบการณ์การใช้งานเหนือระดับให้แก่ผู้ใช้งานได้เป็นอย่างดี และ AIS ยังคงตั้งเป้าหมายพัฒนานวัตกรรมด้านเทคโนโลยีรวมถึงแอปพลิเคชันต่าง ๆ อย่างต่อเนื่อง เพื่อพัฒนาภาคอุตสาหกรรมและเพิ่มประสิทธิภาพของภาคการผลิต เทคโนโลยี RedCap นั้นถือเป็นก้าวสำคัญของเทคโนโลยี 5G ซึ่งจะช่วยลดค่าใช้จ่ายจากอุปกรณ์ของ 5G ได้ถึงร้อยละ 70 รวมถึงจะช่วยเร่งให้เกิดการนำ 5G ไปประยุกต์ใช้ในภาคอุตสาหกรรมให้รวดเร็วขึ้นอีกด้วย โดย AIS จะยังคงเดินหน้าร่วมมือกับหัวเว่ย และพันธมิตรในอุตสาหกรรม เพื่อร่วมกันหาวิธีที่จะนำเทคโนโลยี RedCap มาใช้ในการควบคุมการทำงานในภาคอุตสาหกรรม การใช้งานในภาคการผลิตพลังงาน สมาร์ทซิตี้ อุปกรณ์สวมใส่อัจฉริยะ และด้านอื่น ๆ ในอนาคต
ซึ่งหัวเว่ยกล่าวว่า “RedCap เป็นเทคโนโลยีสำคัญที่จะเพิ่มศักยภาพให้กับเครือข่าย 5G และยังสามารถนําไปประยุกต์ใช้ได้ในหลากหลายรูปแบบ โดยหัวเว่ยจะเดินหน้าร่วมมือกับ AIS ในการร่วมกันสร้างเครือข่าย 5G คุณภาพสูง ผ่านความร่วมมือทางด้านนวัตกรรม ร่วมสร้างแอปพลิเคชันด้าน 5G ใหม่ ๆ กับพาร์ทเนอร์ในอุตสาหกรรม และสนับสนุนการเปลี่ยนผ่านสู่ยุคดิจิทัลของอุตสาหกรรมต่าง ๆ ในประเทศไทยต่อไป”
ผู้ช่วยศาสตราจารย์ น.ต.ดร.วัฒนา มานนท์ คณบดีวิทยาลัยการพัฒนาและฝึกอบรมด้านการบิน (CADT: College of Aviation Development and Training ) และผู้อำนวยการสถาบันการบิน (DAA ) มหาวิทยาลัยธุรกิจบัณฑิตย์ (DPU) เปิดเผยว่า งานวิจัยที่เกี่ยวข้องกับอุตสาหกรรมการบิน มีผู้ทำวิจัยไม่มากและหัวข้อส่วนใหญ่จะเป็นหัวข้อทั่วไปเกี่ยวกับปัจจัย แรงจูงใจ และพฤติกรรมของผู้บริโภค ที่มีผลต่อการตัดสินใจในการใช้บริการสายการบิน ส่วนงานวิจัยเชิงลึกก็มีจำนวนน้อยเช่นกัน โดยส่วนใหญ่หัวข้อจะสัมพันธ์กับการปฏิบัติงานในสาขานั้น ๆ เช่น หลักการบริหารการจราจรทางอากาศในสนามบินต่าง ๆ เป็นต้น ดังนั้น เพื่อสร้างองค์ความรู้ให้กับบุคลากรที่อยู่ในอุตสาหกรรมการบิน ได้เข้าใจหลักการทำการวิจัย และเพื่อนำผลงานวิจัยไปเป็นแนวทางในการดำเนินการ หรือเป็นเครื่องมือที่ช่วยเหลือในการติดตามและประเมินผล รวมถึงนำไปใช้เป็นข้อมูลในการปรับปรุงแก้ไขและพัฒนาองค์กร สถาบันการบินจึงเปิดอบรมใน หลักสูตรเทคนิคการทำวิจัยในอุตสาหกรรมการบิน เพื่อส่งเสริมให้นักวิจัยรุ่นใหม่นำผลงานวิจัยไปปรับใช้กับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องกับอุตสาหกรรมการบินให้เกิดประโยชน์สูงสุด

ผู้ช่วยศาสตราจารย์ น.ต.ดร.วัฒนา กล่าวด้วยว่า นับเป็นครั้งแรกของไทยสำหรับการเปิดอบรมในหลักสูตรเทคนิคการทำวิจัยในอุตสาหกรรมการบิน โดยได้แนวคิดมาจากความต้องการขององค์กรหนึ่งที่อยู่ในอุตสาหกรรมการบิน ที่เกิดปัญหาเกี่ยวกับการลาออกของพนักงานจำนวนมาก เพื่อค้นหาปัญหาและหาแนวทางแก้ไข ทางองค์กรดังกล่าวจึงร้องขอให้ทางสถาบันเปิดคอร์สสอนการทำวิจัยให้กับบุคลากรภายใน เพื่อนำผลงานวิจัยไปเป็นแนวทางในการหาปัจจัยที่ส่งผลให้พนักงานลาออก และจะได้นำข้อมูลที่ได้จากการวิจัยไปปรับปรุงแก้ไขปัญหาให้ตรงจุด
จากปัญหาดังกล่าวข้างต้น ทำให้สถาบันมองเห็นถึงความต้องการด้านนี้ จึงเปิดอบรมในหลักสูตรการทำวิจัยฯ ขึ้น โดยหัวข้อในการฝึกอบรมจะประกอบไปด้วย การปูพื้นฐานการทำวิจัยด้านการบิน อาทิ ภาพรวมของอุตสาหกรรมการบินโลก การวางแผนการวิจัยเพื่อความสำเร็จ เทคนิคการเก็บและวิเคราะห์ข้อมูล เป็นต้น นอกจากนี้ยังได้เรียนรู้รายละเอียดเชิงลึกของอุตสาหกรรมการบิน ทั้ง 9 กิจกรรมของการบินพลเรือน จากวิทยากรผู้มีประสบการณ์ในอุตสาหกรรมการบินและผู้เชี่ยวชาญด้านการออกแบบการวิจัยและสถิติ

หลักสูตรที่เปิดอบรมนี้เป็นหลักสูตรติดอาวุธให้นักวิจัยมือใหม่ นอกจากจะเหมาะกับคนในอุตสาหกรรมการบินแล้ว ยังเหมาะกับนิสิต นักศึกษา และบุคคลทั่วไปที่สนใจการวิจัยด้านการบิน สอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมที่ โทร. 061-863-7991 E-mail: This email address is being protected from spambots. You need JavaScript enabled to view it. Line : @daa_dpu https://www.daatraining.com/
กรุงเทพประกันชีวิต ส่งมอบความห่วงใยเหนือระดับกับแบบประกันใหม่ “เพรสทีจ เฮลธ์ ปลดล็อค”
เพราะความสำเร็จไม่ได้เกิดจากการต่อจิ๊กซอว์เพียงตัวเดียว หากแต่เกิดจากจิ๊กซอว์นับสิบนับร้อย บางเรื่องที่ต้องอดทนและใช้เวลา อาจต้องต่อจิ๊กซอว์นับพันนับหมื่นชิ้น เพื่อประกอบภาพร่างให้สมบูรณ์แบบ
วันนี้ ผู้ดูแลงานพัฒนานวัตกรรมและการนำเทคโนโลยีมาใช้สร้างความยั่งยืนให้กับองค์กร "คุณสุรศักดิ์ อัมมวรรธน์" Technology and Digital Platform Director ของบริษัทเอสซีจี แพคเกจจิ้ง จำกัด (มหาชน) หรือ SCGP ได้เล่าถึงการดำเนินงานของ SCGP ที่มุ่งเน้นด้านรีไซเคิล เพื่อสร้างมูลค่าตลอดห่วงโซ่อุปทาน ในงาน ASEAN Paper เมื่อเร็ว ๆ นี้
น่าสนใจว่าเทคโนโลยีและแพลตฟอร์มดิจิทัลนอกจากจะช่วยสร้างการแข่งขันทางธุรกิจได้ ยังเป็นจิ๊กซอว์ตัวสำคัญที่หนุนหลังให้พันธกิจองค์กรในด้าน ESG กับ Net Zero ที่ทำให้ธุรกิจเติบโตอย่างยั่งยืน

@เทคโนโลยีและแพลตฟอร์มดิจิทัลกับการดำเนินธุรกิจ
SCGP มีการดำเนินธุรกิจภายใต้วิสัยทัศน์ในการเป็นผู้นำด้านโซลูชันบรรจุภัณฑ์แบบครบวงจรในภูมิภาค ด้วยนวัตกรรมสินค้าและบริการที่หลากหลาย ควบคู่กับการดำเนินธุรกิจอย่างยั่งยืน โดยมีการพัฒนานวัตกรรมและการนำเทคโนโลยีมาใช้สร้างความยั่งยืนให้กับองค์กรในด้านต่าง ๆ
ทั้งในด้านการผลิตที่มุ่งเน้น Operational Excellence ทำให้ซัพพลายเชนมีประสิทธิภาพสูงขึ้น ไม่ว่าจะเป็นการนำระบบออโตเมชันต่าง ๆ มาใช้เพิ่มผลผลิต SCGP ได้นำเดต้าต่าง ๆ เข้ามาใช้ในองค์กรเพื่อให้ลูกค้าได้ประโยชน์ อาทิ ระบบการติดต่อ การสั่งซื้อ การส่งมอบสินค้า ลูกค้าสามารถตรวจสอบข้อมูลการสั่งซื้อได้ด้วยตัวเอง หลังจากมีการนำเดต้ามาใช้ในองค์กรทั่วถึง พนักงานขายสามารถเข้าไปตรวจสอบข้อมูลผลิตภัณฑ์ที่ลูกค้าสนใจ และตอบข้อมูลให้ลูกค้าได้รวดเร็วขึ้น ทำให้ลูกค้าสะดวกขึ้นซึ่งเป็นเรื่องสำคัญมาก ขณะเดียวกันข้อมูลบนออนไลน์แบบทั่วถึง ทำให้ระบบการทำงานภายในองค์กรไหลลื่น ทำให้สามารถบริหารจัดการวัตถุดิบ ข้อมูลคงคลังได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น ช่วยทำให้ต้นทุนการผลิต ทำให้เกิดการบริหารจัดการต้นทุนอย่างเหมาะสม เป็นประโยชน์กับทั้งซัพพลายเชน
“หลักการคือเราต้องการให้ข้อมูลต่าง ๆ เป็น single source of truth แปลว่าทุกคนในซัพพลายเชน เห็นตัวเลขบนข้อมูลเดียวกัน ทำให้ไม่เกิดความซับซ้อน ไม่เป็นช่องว่างในการบริหารจัดการทั้งกระบวนการ ซึ่งประโยชน์ที่ได้จากเทคโนโลยีและแพลตฟอร์มดิจิทัลเพิ่งเป็นแค่จุดเริ่มต้น เมื่อเราได้มีการนำมาใช้แล้ว สามารถต่อยอดเป็นประโยชน์อย่างอื่นได้อีก”

@เทคโนโลยีและแพลตฟอร์มดิจิทัลสู่บรรจุภัณฑ์ยั่งยืน
จากแนวทางการขับเคลื่อนธุรกิจของ SCGP ตามกรอบแนวคิด ESG ซึ่งมีแผนงานชัดเจนที่จะเพิ่มสัดส่วนบรรจุภัณฑ์เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม ในปี 2025 ที่จะไปสู่เป้าหมายใช้บรรจุภัณฑ์รีไซเคิลและย่อยสลายได้ 100% และในปี 2050 ประกาศเป้าหมายปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิเป็นศูนย์ SCGP ได้พัฒนาเทคโนโลยีและแพลตฟอร์มดิจิทัลอย่างต่อเนื่องเพื่อขับเคลื่อนให้ถึงเป้าหมายความยั่งยืน
“การเพิ่มอัตราบรรจุภัณฑ์รีไซเคิล”
SCGP เดินหน้าสร้างเครือข่ายและความร่วมมือในการใช้ทรัพยากรให้เกิดประโยชน์สูงสุด แบ่งเป็นการเพิ่มพันธมิตรรีไซเคิล จาก 8 รายเป็น 22 ราย การเพิ่มเครือข่ายระบบการจัดเก็บบรรจุภัณฑ์รีไซเคิล หรือ recycling station เพื่อนำบรรจุภัณฑ์เหลือใช้กลับคืนมาที่โรงงาน ซึ่งมีการเพิ่มจากจำนวน 90 แห่งในปี 2563 เพิ่มเป็น 133 แห่งในปี 2566
SCGP ได้ลงทุนทำให้กระดาษรีไซเคิลมีประสิทธิภาพสูงขึ้น ด้วยการลงทุนติดตั้งเทคโนโลยีจากต่างประเทศ และการเพิ่มประสิทธิภาพในการผลิต (Operational Excellence) มีการติดตั้งจุดตรวจวัดประสิทธิภาพในทุกกระบวนการ ทำให้ผลลัพธ์ที่ได้เป็นที่น่าพอใจ โดยคุณภาพของกระดาษที่ได้กลับมานั้น เพิ่มจากเดิมในอัตรา 80% เป็น 88-92% เทียบกับการประหยัดทรัพยากรได้ 20,000 ตันต่อปี
นอกจากนี้ SCGP ได้ศึกษาและพัฒนานวัตกรรม “เส้นใยนาโนเซลลูโลส” จากวัตถุดิบเหลือใช้ทางการเกษตร เพื่อน้ำไปใช้เป็นวัตถุดิบในกระบวนการผลิตกระดาษบรรจุภัณฑ์ ซึ่งได้มีการจดสิทธิบัตรเป็นที่เรียบร้อยแล้วทั้งในประเทศและต่างประเทศ
“ต่อยอด Waste ให้เป็นเม็ดพลาสติก”
เมื่อนึกถึงการจัดการบรรจุภัณฑ์รีไซเคิล มักจะมีเศษวัสดุอื่น ๆ ปนมาด้วย เช่น เทปกาว หรือฟิล์ม ที่ไม่สามารถนำกลับมาใช้ได้ และจะถูกเผาเพื่อเป็นพลังงาน SCGP จึงพัฒนาคิดต่อยอดจาก waste เหล่านี้ ซึ่งเราเรียกว่า waste of waste ให้มีมูลค่ามากขึ้น ด้วยการลงทุนในเทคโนโลยีนำ waste เหล่านี้มาผลิตเป็นเม็ดพลาสติก และได้ขยายโรงงาน waste of waste แล้วถึง 3 โรงงาน ในประเทศไทย 1 แห่ง และโรงงานในอินโดนีเซียอีก 2 แห่ง
“พอเป็นเม็ดพลาสติก เราสามารถนำไปผสมกับเม็ดพลาสติกใหม่ เพื่อนำไปผลิตเป็นผลิตภัณฑ์อุปโภคบริโภคใช้ทั่วไปได้ เช่นกระบะพลาสติกใช้ในการขนส่งสินค้า ถังต่าง ๆ เพื่อต่อยอดเป็นผลิตภัณฑ์ให้ผู้บริโภคสามารถนำกลับมาใช้ได้อีก แม้ว่าเรื่องนี้ยังไม่ได้ให้ผลตอบแทนการลงทุน แต่ช่วยลดผลกระทบสิ่งแวดล้อม เป็นการใช้ waste อย่างคุ้มค่าจริง ๆ ”

การพัฒนาทั้งหมดนี้ ถือเป็นก้าวสำคัญของการผลิตบรรจุภัณฑ์ ทั้งลดการใช้ทรัพยากรใหม่ เพิ่มการรีไซเคิลทรัพยากรเดิมให้มีประสิทธิภาพ ล้วนช่วยเสริมสร้าง Infinite Recycling ให้เกิดขึ้นได้จริง รวมถึงการนำมาใช้ประโยชน์ที่หลากหลาย Upcycling ซึ่งตอบโจทย์การดำเนินงานบนฐานของความยั่งยืนอย่างแท้จริง
ปิดฉากอย่างยิ่งใหญ่กับครั้งแรกในประเทศไทย ของงาน LINE Conference Thailand 2023 หรือ #LCT23
กรุงศรี (ธนาคารกรุงศรีอยุธยา จำกัด (มหาชน) และบริษัทในเครือ) เผยการเติบโตสินเชื่อเพื่อผู้บริโภคใน สปป.ลาว มีแนวโน้มปรับตัวดีขึ้น หลังการฟื้นตัวจากสถานการณ์โควิด-19 เดินหน้าปรับกลยุทธ์ด้านผลิตภัณฑ์และบริการให้สอดคล้องกับความต้องการ พร้อมดูแลลูกค้าอย่างใกล้ชิดท่ามกลางภาวะเศรษฐกิจที่ยังคงมีความท้าทาย
นายวันชัยระบิน จิตวัฒนาธรรม ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการใหญ่ ผู้บริหารสายงานธุรกิจระดับภูมิภาค ธนาคารกรุงศรีอยุธยา จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า “ภาพรวมของธุรกิจสินเชื่อเพื่อผู้บริโภคจนถึงเดือนสิงหาคม 2566 ของ บริษัท กรุงศรี บริการเช่าสินเชื่อ จำกัด (สปป.ลาว) หรือ Krungsri Leasing Services (Lao PDR) เริ่มเห็นปริมาณความต้องการสินเชื่อปรับตัวสูงขึ้น โดยมียอดสินเชื่อใหม่เพิ่มขึ้นราว 36% เมื่อเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันของปีก่อน หลังจากที่กรุงศรีได้มีการปรับกลยุทธ์ในการนำเสนอผลิตภัณฑ์ให้สอดคล้องกับสถานการณ์ตลาดที่ผันผวนและพฤติกรรมของผู้บริโภคที่เปลี่ยนไปในสปป.ลาว มากขึ้น โดยมุ่งเน้นกลุ่มผลิตภัณฑ์สินเชื่อที่สามารถช่วยเสริมสภาพคล่องและตอบโจทย์ความต้องการทางการเงินของลูกค้า เพื่อช่วยสนับสนุนลูกค้าให้สามารถเดินหน้าและก้าวข้ามผ่านสถานการณ์ปัจจุบันไปได้”
ล่าสุด ณ สิ้นเดือนสิงหาคม 2566 ผลิตภัณฑ์เรือธงอย่างสินเชื่อคาร์ ฟอร์ แคช (Car4Cash) มียอดสินเชื่อรวมขยายตัวเพิ่มขึ้นกว่าเท่าตัว เมื่อเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันของปีก่อนหน้า โดยเติบโตอย่างต่อเนื่องตั้งแต่เริ่มนำเสนอผลิตภัณฑ์ตั้งแต่ปี 2563 จนเป็นอันดับหนึ่งด้านการรับรู้ของลูกค้าเมื่อกล่าวถึงผลิตภัณฑ์ดังกล่าว ซึ่งมีจุดเด่นด้านอัตราดอกเบี้ยและวงเงิน นอกจากนี้ ผลิตภัณฑ์สินเชื่อรถยนต์มีการขยายตัวเพิ่มขึ้นจากปีก่อนหน้าเช่นกัน โดยกรุงศรีได้ส่งต่อความเชี่ยวชาญทั้งในด้านการบริหารทีมขาย การสื่อสาร การวิเคราะห์ และทำการตลาดผ่านช่องทางออนไลน์ ซึ่งจนถึงเดือนสิงหาคม 12% ของจำนวนสินเชื่อใหม่เป็นการสมัครสินเชื่อผ่านช่องทางดิจิทัล และยังมีแนวโน้มในการเติบโตผ่านช่องทางนี้ในอัตราที่สูงขึ้นตามแนวโน้มพฤติกรรมลูกค้าที่เปลี่ยนแปลงไป
ทั้งนี้ สถานการณ์ทางเศรษฐกิจของสปป.ลาว ของปี 2566 เป็นช่วงฟื้นตัวจากสถานการณ์โควิด-19 มีการปรับตัวที่ดีขึ้นแม้ยังมีความเปราะบาง โดยการลงทุนจากประเทศไทย และประเทศอื่นๆ ที่ชะลอแผนการลงทุนในช่วงก่อนหน้านี้ได้กลับมาดำเนินการ อาทิเช่น ธุรกิจค้าปลีก และพลังงานสะอาด ขณะที่ในเดือนสิงหาคมที่ผ่านมา อัตราเงินเฟ้อปรับตัวลดลงจากช่วงต้นปีที่สูงกว่า 40% โดยวิจัยกรุงศรีคาดการณ์ว่า แนวโน้มเศรษฐกิจจะขยายตัวดีขึ้นในระยะสั้น โดยได้รับแรงหนุนจากภาคบริการ ที่มีการฟื้นตัวหลังสิ้นสุดการแพร่ระบาดของโควิด-19 อย่างไรก็ตามการเติบโตของเศรษฐกิจลาวยังคงต่ำกว่าระดับก่อนเกิดโควิด โดยคาดว่าการเติบโตเฉลี่ยจะอยู่ที่ 4.0% ต่อปี เทียบกับค่าเฉลี่ยก่อนเกิดโควิดอยู่ที่ 6.4%
“ท่ามกลางสถานการณ์ที่มีความเปราะบางทางเศรษฐกิจ กรุงศรียังคงดำเนินธุรกิจด้วยความรอบคอบระมัดระวัง โดยให้ความสำคัญกับการบริหารจัดการความเสี่ยง ควบคู่กับการดูแลคุณภาพของสินทรัพย์ในระดับที่เหมาะสม อีกทั้งยังคงให้ความสำคัญอย่างยิ่งกับการดูแลลูกค้าอย่างใกล้ชิด และยึดถือแนวปฏิบัติด้านการให้สินเชื่ออย่างรับผิดชอบ พิจารณาถึงความสามารถในการชำระคืนของลูกค้าด้วย โดย ณ สิ้นเดือนสิงหาคม 2566 ธุรกิจกรุงศรีในสปป. ลาว มีอัตราส่วนสินเชื่อที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้ (NPL Ratio) อยู่ในระดับที่ ต่ำกว่า 1% และโดยภาพรวมปีนี้กรุงศรี บริการเช่าสินเชื่อ จำกัด (สปป.ลาว) ทำได้ดี ซึ่งจากนี้ กรุงศรีจะยังคงเดินหน้าสานต่อการพัฒนาผลิตภัณฑ์และบริการด้านสินเชื่อเพื่อรายย่อย รวมถึงการพัฒนาเทคโนโลยีในการดำเนินงาน ศักยภาพของบุคลากร รวมไปถึงพันธมิตรในเชิงกลยุทธ์เพื่อให้ตอบโจทย์ผู้บริโภคในสปป. ลาว และสามารถก้าวข้ามผ่านความท้าทาย เติบโตได้อย่างยั่งยืนต่อไป” นายวันชัยระบิน กล่าวปิดท้าย