December 24, 2025

กรุงศรี (ธนาคารกรุงศรีอยุธยา จำกัด (มหาชน)) เดินหน้าติดเครื่องผู้ประกอบการ SME ไทยให้แกร่งเกินร้อย ด้วยผลิตภัณฑ์ใหม่ “สินเชื่อ SME เติมพลังเกินร้อย” ให้ SME ที่กำลังมีแผนลงทุนขยายกิจการ หรือต้องการเงินทุนหมุนเวียนเพิ่ม ได้เดินหน้าธุรกิจอย่างคล่องตัวมากขึ้น โดยเฉพาะ SME ขนาดเล็กที่เป็นบุคคลธรรมดา ได้มีโอกาสเข้าถึงแหล่งเงินทุน ด้วยวงเงินอนุมัติสินเชื่อสูงสุดถึง 2 เท่าของมูลค่าหลักประกัน ผ่อนได้สบายๆ สูงสุด 10 ปี และฟรีค่าธรรมเนียมค้ำประกันวงเงินสินเชื่อตลอดอายุการกู้ ให้ธุรกิจพร้อมเดินหน้าด้วยความแข็งแกร่งเกินร้อย

นางสาวดวงกมล ลิมป์พวงทิพย์ ประธานคณะเจ้าหน้าที่ด้านลูกค้าธุรกิจ SME ธนาคารกรุงศรีอยุธยา จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า “ลูกค้าแต่ละกลุ่มมีโจทย์ความต้องการทางการเงินที่แตกต่างกัน กรุงศรีจึงออกแบบผลิตภัณฑ์รวมถึงบริการที่ตอบสนองความต้องการลูกค้า SME แต่ละกลุ่มแตกต่างกัน  สำหรับในช่วงปัจจุบันที่แนวโน้มเศรษฐกิจอยู่ในภาวะค่อยๆ ฟื้นตัว ผู้ประกอบการ SME ส่วนมากจะมองหาเงินทุนหมุนเวียนเพื่อเสริมสภาพคล่องทางการเงิน เตรียมพร้อมรับกับโอกาสธุรกิจที่เข้ามา โดยหากพิจารณาพฤติกรรมความต้องการของลูกค้าอย่างลึกซึ้งจะพบว่า กลุ่ม SME ขนาดเล็ก ที่เป็นบุคคลธรรมดา มักมีข้อจำกัดในเรื่องหลักประกันที่ไม่เพียงพอต่อความต้องการสินเชื่อ กรุงศรีจึงได้ออกผลิตภัณฑ์ “สินเชื่อ SME เติมพลังเกินร้อย” ซึ่งออกแบบมาเพื่อรองรับกับความต้องการของ SME รายเล็ก ที่ต้องการวงเงินสินเชื่อไม่เกิน 10 ล้านบาท โดยธนาคารสามารถพิจารณาอนุมัติวงเงินให้สูงสุดถึง 2 เท่า ของมูลค่าหลักประกัน หรือเกินร้อยเปอร์เซ็นต์จากหลักประกันที่มี ผ่อนนานสูงสุด 10 ปี อนุมัติทั้งวงเงินเบิกเกินบัญชีและเงินกู้ระยะยาวในคราวเดียวกัน อีกทั้งฟรีค่าธรรมเนียมค้ำประกัน โดยมีบรรษัทประกันสินเชื่ออุตสาหกรรมขนาดย่อม (บสย.) ร่วมค้ำประกันวงเงินสินเชื่อ ซึ่งผู้ประกอบสามารถเลือกใช้วงเงินสินเชื่อได้ตามความต้องการ ช่วยเพิ่มความคล่องตัว และเพิ่มโอกาสการเติบโตของธุรกิจระยะยาว”

สำหรับ “สินเชื่อ SME เติมพลังเกินร้อย” เป็นสินเชื่อเพื่อธุรกิจที่อนุมัติวงเงินกู้เริ่มตั้งแต่ 3 แสน - 10 ล้านบาท ผ่อนชำระได้สบายๆ สูงสุด 10 ปี ด้วยอัตราดอกเบี้ยสูงสุดไม่เกิน MRR + 3.0% โดยสามารถใช้หลักประกันเป็นเงินฝาก หรือหลักทรัพย์  ได้แก่ อาคารพาณิชย์ โรงงาน อาคารสำนักงาน บ้านพักอาศัย (บ้านเดี่ยว ทาวน์เฮ้าส์ คอนโดมิเนียม) ไม่รวมที่ดินว่างเปล่า และมีบรรษัทประกันสินเชื่ออุตสาหกรรมขนาดย่อม (บสย.) ร่วมค้ำประกันวงเงินสินเชื่อ ไม่มีค่าธรรมเนียมค้ำประกันสินเชื่อตลอดอายุการกู้ โดยสามารถยื่นเอกสารสมัครขอสินเชื่อได้ตั้งแต่วันที่ 15 สิงหาคม 2566 ทั้งนี้ ระยะเวลาในการสมัครขอสินเชื่อขึ้นอยู่กับวงเงินค้ำประกันสินเชื่อคงเหลือของ บสย. หรือการเปิดรับการค้ำประกันตามระยะเวลาที่ บสย. กำหนด

“กรุงศรีคาดว่า “สินเชื่อ SME เติมพลังเกินร้อย” จะเป็นกำลังสนับสนุนให้ลูกค้า SME สามารถเดินหน้าและหาโอกาสใหม่ๆ ในธุรกิจได้อย่างที่ตั้งใจไว้ โดยธนาคารตั้งเป้ายอดการขอสินเชื่อนี้อยู่ที่ 1,000 ล้านบาท นอกจากนี้กรุงศรีพร้อมสนับสนุนธุรกิจของลูกค้าด้วยผลิตภัณฑ์และบริการตลอดจนความรู้และสร้างโอกาสทางธุรกิจอย่างต่อเนื่อง ตอกย้ำการเป็นพันธมิตรที่ลูกค้าธุรกิจให้ความไว้วางใจอย่างแท้จริง” นางสาวดวงกมล กล่าวสรุป

สำหรับผู้ประกอบการที่สนใจ สามารถสอบถามข้อมูลได้ที่สาขาของธนาคาร หรือติดต่อกลุ่มบริหารความสัมพันธ์ลูกค้าธุรกิจรายย่อย โทร. 02-296-6262 โดยเงื่อนไขเป็นไปตามที่ธนาคารกำหนด

นายโกสนธ์ พิศภา  ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการใหญ่ สายงานสินไหมทดแทน บริษัท ทิพยประกันภัย จำกัด (มหาชน) นำทีมนักสำรวจภัย TIP Smart Assist   พร้อมด้วย นายคณานุสรณ์ เที่ยงตระกูล ผู้อำนวยการฝ่ายอาวุโสฝ่ายคุ้มครองสิทธิประโยชน์  สำนักงานคณะกรรมการกำกับและส่งเสริมการประกอบธุรกิจประกันภัย  (คปภ.) เข้าเยี่ยมอาการเพื่อสร้างขวัญและกำลังใจเบื้องต้นให้แก่ผู้ได้รับบาดเจ็บชาวลาวจากเหตุการณ์คนร้ายใช้อาวุธปืนกราดยิงที่ห้างสรรพสินค้าสยามพารากอน ซึ่งหลังจากนี้ ทางบริษัท ทิพยประกันภัย จำกัด (มหาชน) จะดูแลและให้การเยียวยาแก่ผู้ได้รับบาดเจ็บต่อไป 

พร้อมเปิด Pop-Up Store เซ็นทรัล เอ็มบาสซี จับกลุ่มลูกค้าไฮเอนด์ รับการท่องเที่ยวบูมช่วงปลายปี

ในประเทศไทยเริ่มมีเหตุร้ายเกิดต่อเนื่องบ่อยขึ้น ตั้งแต่เหตุการณ์ ผอ.โรงเรียน บุกปล้นร้านทองในห้างที่สิงห์บุรี ยิงประชาชนดับ 3 ราย (ม.ค. ปี 2563) , จ่าคลุ้มคลั่งกราดยิง แล้วหลบเข้าห้างที่โคราช (8 ก.พ. 2563) มีผู้เสียชีวิต 30 ราย, ล่าสุด เด็กวัย 14 ปี กราดยิงที่พารากอน เมื่อวันที่ 3 ต.ค. 66 เสียชีวิต 2 บาดเจ็บ 5 ราย คมสัน มาลีสี อธิการบดี สจล. ชี้ควรใช้เทคโนโลยี เอ.ไอ.เชื่อมต่อเครือข่ายกล้อง CCTV ในกรุงเทพฯ  พัฒนาระบบ SMS เพื่อแจ้งข่าวสารและเหตุฉุกเฉิน พร้อม 6 ข้อเสนอแนะในการลดปัญหาการก่อเหตุร้ายในที่สาธารณะ

สถิติที่น่าตระหนกจากรายงานของเว็บไซต์ World Popular Review คนไทยมีอาวุธปืนไว้ในครอบครองมากถึง 10.3 ล้านกระบอก คิดเป็นสัดส่วน 15.41% ของประชากรไทย นับเป็นประเทศที่มีการครอบครองปืนมากที่สุดในอาเซียน และอยู่ในอันดับที่ 20 ของโลก

รศ. ดร.คมสัน มาลีสี อธิการบดี สถาบันเทคโนโลยีพระจอมเกล้าเจ้าคุณทหารลาดกระบัง (สจล.) กรุงเทพฯ เป็นมหานครเต็มไปด้วยชุมชน กิจกรรมความเคลื่อนไหว อาคาร-ศูนย์การค้า ทั้งยังเป็นจุดหมายยอดนิยมในการท่องเที่ยวของนานาชาติ ซึ่งปีนี้ไทยตั้งเป้าหมาย 25 ล้านคน ‘ความปลอดภัยในที่สาธารณะ (Public Safety) จึงเป็นสิ่งสำคัญต่อประชาชน สังคม และเศรษฐกิจ ปัจจุบันหลายเทคโนโลยีที่บ้านเรามีและสามารถนำมาใช้ได้เลย ซึ่งจะช่วยให้เจ้าหน้าที่สามารถวิเคราะห์ข้อมูลแบบเรียลไทม์ โดยประมวลผลข้อมูลจากแหล่งต่าง ๆ เช่น โซเชียลมีเดียและเซ็นเซอร์ ในเวลาเรียลไทม์เพื่อให้ข้อมูลสำหรับการตัดสินใจและการประสานงานในสถานการณ์ฉุกเฉิน โดยใช้ปัญญาประดิษฐ์ (AI)  เชื่อมต่อเพื่อเพิ่มพลังในการวิเคราะห์ข้อมูลจากเครือข่ายกล้องวงจรปิด (CCTV) ที่มีอยู่กว่า 5 หมื่นตัวในกรุงเทพฯ เพื่อช่วยในการควบคุมสถานการณ์และให้ข้อมูลสำหรับการประเมินสถานการณ์ เช่น ภาพพฤติกรรมของคนกำลังวิ่งหนีท่ามกลางคนเดิน AI สามารถช่วยประมวลผลและสังเกตความผิดปกติ  Smart City สามารถนำภาพในเมืองมาประเมินได้ ยกตัวอย่างเช่น ถ้าเห็นคนวิ่งกรูไปทิศหนึ่งทิศใด ก็สันนิษฐานได้ว่าอาจเกิดเหตุการณ์ไม่ปกติในทิศทางตรงข้าม  คนวิ่งหนีอะไร ทั้งนี้ สจล.ได้พัฒนาใช้ระบบ AI เพื่อเชื่อมต่อข้อมูลจากกล้อง CCTV ที่ฉะเชิงเทรา ทำให้ตำรวจตามจับตัวคนร้ายได้สำเร็จทันท่วงที

ขณะที่เทคโนโลยี 4G - 5G ในประเทศไทยก้าวหน้ามีประสิทธิภาพสูง เราควรพัฒนาระบบ SMS เพื่อแจ้งข่าวสารและเหตุฉุกเฉิน ซึ่งใช้ได้กับโทรศัพท์ทุกระดับ SMS เป็นเทคโนโลยีพื้นฐานที่ไม่ซับซ้อนและเข้าถึงคนได้ทุกวัย อย่างในเกาหลีใต้ ระบบ SMS จะรู้ตำแหน่ง GPS, GEO Trackingช่วยตักเตือนเรื่องกฎเกณฑ์แก่นักท่องเที่ยว, SMS Alert ทักทายประชาชนทุกเช้า วันนี้มีเหตุการณ์สำคัญอะไรในบ้านเรา หากมีเหตุร้าย สามารถแจ้งเตือนไปยังคนที่อยู่ในพื้นที่เกิดเหตุอันตรายได้ ช่วยลดความตื่นตระหนก ชุลมุนของฝูงชน

เทคโนโลยีระบบแจ้งเตือนฉุกเฉิน ยังมีหลายรูปแบบ เช่น  Wireless Emergency Alerts (WEA) หน่วยงานรัฐบาลสามารถส่งการแจ้งเตือนฉุกเฉินแบบเหมือนข้อความไปยังโทรศัพท์มือถือที่เข้ากันได้ในพื้นที่เฉพาะ โดยใช้เทคโนโลยี Geofencing ซึ่งสามารถเห็นได้ว่าอุปกรณ์โทรศัพท์ของเรากำลังอยู่ที่ตำแหน่งไหน, ระบบการแจ้งเตือนที่สามารถเห็นได้จากป้ายสาธารณะทั่วไป เช่น ในสหรัฐอเมริกา จะมีระบบ AMBER Alert นำข้อความแจ้งเตือนฉุกเฉินไปขึ้นยังป้ายตามทางหลวง/ทางด่วน หรือป้ายสาธารณะที่เป็น Digital Signage ทำให้ง่ายต่อการติดตามคนร้าย และแนะนำถึงเส้นทางหลีกเลี่ยงพื้นที่ที่มีปัญหา นอกจากนี้ยังมีแอปพลิเคชันแจ้งเตือนฉุกเฉิน เช่น FEMA แอปพลิเคชันจัดการฉุกเฉินระดับท้องถิ่นสามารถให้ข้อมูลและข้อความแจ้งเตือนแบบเรียลไทม์ในระหว่างมีภัยฉุกเฉินได้  แอปพลิเคชัน Zello เพื่อการสื่อสารฉุกเฉินทำให้สมาร์ทโฟนเปลี่ยนเป็นวอล์กี้-ทอล์คกี้ ที่ช่วยให้ผู้ใช้สื่อสารกันได้แม้ระบบโทรศัพท์มือถือจะเกิดการใช้งานมากเกินไปหรือล่มสลายก็ตาม

ในการป้องกัน-แก้ไขเหตุร้าย สจล.มี ข้อแนะนำ สำหรับผู้ประกอบการเจ้าของอาคารและห้างสรรพสินค้า ควรออกแบบพื้นที่บังเกอร์ที่แข็งแรง หรือจุดซ่อนตัว และให้มีเส้นทางลำเลียงคนออกจากห้าง ดังเช่นในต่างประเทศ, ใช้ซอฟท์แวร์ AI เชื่อมระบบเครือข่ายกล้องวงจรปิด (CCTV) เช่น บริเวณทางเข้าและออก พื้นที่จอดรถ เพื่อเฝ้าระมัดระวัง บันทึกข้อมูล และวิเคราะห์สถานการณ์ที่อาจเกิดขึ้น, ฝึกอบรมป้องกันภัย ไฟไหม้และการใช้งานอุปกรณ์ต่าง ๆ อย่างถูกต้องตามหลักสากล และทบทวนแผนการและความพร้อมทุกด้าน

รศ. ดร.คมสัน มาลีสี กล่าวทิ้งท้ายว่า  6 ข้อเสนอแนะในการลดปัญหาการก่อเหตุร้ายในที่สาธารณะ ที่ทุกฝ่ายต้องร่วมช่วยกันแก้ไขเพื่อเสริมสร้างสังคมไทยที่อบอุ่นน่าอยู่และปลอดภัย มีดังนี้ 1.ด้านสุขภาพจิต เริ่มจากที่บ้าน ครอบครัวต้องมีความรักความเข้าใจ เกื้อหนุนกำลังใจกัน ควรส่งเสริมมีบริการบำบัดทางด้านจิตวิทยาที่ประชาชนเข้าถึงได้ง่าย ไม่ต้องเสียค่าใช้จ่ายสูง, 2.ด้านการครอบครองอาวุธปืน ไทยติดอันดับ 1 ของอาเซียน และอันดับ 20 ของโลก รัฐบาลควรหาทางลดการครอบครองและสกัดกั้นการซื้อขายอาวุธทางออนไลน์ ผู้เป็นเจ้าของปืนต้องจัดเก็บในที่ปลอดภัยไม่ให้ลูกหลานเข้าถึงได้, 3.ป้องกันเยาวชนจากเกมที่กระตุ้นการใช้ความรุนแรง  ซึ่งอาจเกิดการเลียนแบบเอาอย่าง, 4.ให้ความสำคัญในการเพิ่มศักยภาพระบบความปลอดภัยด้วยนวัตกรรมและเทคโนโลยี การใช้ระบบการแจ้งเตือนฉุกเฉินผ่านโทรศัพท์มือถือ และการใช้ซอฟต์แวร์และแอปพลิเคชันที่ช่วยในการตรวจสอบและรายงานปัญหาในเวลาเรียลไทม์ การติดตั้งกล้องวงจรปิด (CCTV) และระบบการตรวจจับควันและแก๊สพิษ, 5. สร้างพลังความร่วมมือกับชุมชนในการรักษาความปลอดภัยของชุมชนและเมือง ซึ่งความสัมพันธ์อันดีกับคนในพื้นที่จะช่วยรายงานปัญหาและการเห็นสิ่งผิดปกติต่อเจ้าหน้าที่ได้ครอบคลุมยิ่งขึ้น 6.ชุมชน อาคาร ศก.ค้า ควรมีการซักซ้อม 3 วิธีการเอาตัวรอด เมื่อต้องเผชิญเหตุร้ายกราดยิง หรือคลุ้มคลั่ง ได้แก่ หนี จากจุดอันตรายไปยังพื้นที่ปลอดภัย, ซ่อน หากหนีไม่ได้ ให้หาสถานที่ปลอดภัยหลบซ่อนตัว และ สู้ อย่างปลอดภัยซึ่งเป็นทางเลือกสุดท้าย

บริษัท เอฟดับบลิวดี ประกันชีวิต จำกัด (มหาชน) หรือ FWD ประกันชีวิต มุ่งมั่นในการพัฒนาศักยภาพพนักงานพร้อมปลูกฝังค่านิยมการทำงานโดยใช้ความต้องการของลูกค้าเป็นหลัก (customer-led) ซึ่งเป็นแนวทางการทำงานที่เอฟดับบลิวดี ยึดมั่นมาโดยตลอด เพื่อวางรากฐานให้เกิดวัฒนธรรมแห่งการสร้างประสบการณ์ที่ดีให้แก่ลูกค้า จัดบรรยายพิเศษให้แก่พนักงาน ในหัวข้อ “ส่งมอบประสบการณ์ที่ดีให้ลูกค้า...ไม่ว่าใครก็ทำได้”

นำโดย นางสาวพิมพาภรณ์ อาภาศิริผล ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร สายงานประสบการณ์ลูกค้า (ซ้าย) โดยได้รับเกียรติจากวิทยากรผู้ทรงคุณวุฒิและมากด้วยประสบการณ์ ผศ.ดร.กฤตินี พงษ์ธนเลิศ (ขวา) อาจารย์ประจำภาควิชาการตลาด คณะพาณิชยศาสตร์และการบัญชี จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย และเจ้าของเพจ “เกตุวดี Marumura” นักเล่าเรื่องธุรกิจอบอุ่นหัวใจ ด้วยแนวคิดแบบญี่ปุ่น พร้อมจัดกิจกรรม Customer experience day 2023 ขึ้นในองค์กร มุ่งเน้นการให้บริการด้วยหัวใจ (Service mind) เพื่อให้ลูกค้าเอฟดับบลิวดีได้รับประสบการณ์ที่ดีเหนือความคาดหมายในทุกช่องทาง

บมจ.กรุงไทย-แอกซ่า ประกันชีวิต โดย คุณแซลลี่ โอฮาร่า ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร (คนซ้าย) และคุณบุปผาวดี โอวรารินท์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร ฝ่ายทรัพยากรบุคคลและภาพลักษณ์องค์กรและการสื่อสารองค์กร (คนขวา) คว้า 2 รางวัลแห่งความสำเร็จด้านทรัพยากรบุคคล สาขา Diversity and Human Resources และ Best Places to Work จาก Global HR Excellence Award โดยรางวัลดังกล่าวเป็นอีกหนึ่งรางวัลแห่งความภาคภูมิใจยิ่งของบริษัทฯ ในด้านการบริหารทรัพยากรบุคคลที่ดีเยี่ยม ผ่านความมุ่งมั่นและความตั้งใจอย่างยิ่งในการสร้างให้ กรุงไทย-แอกซ่า ประกันชีวิต เป็นสถานที่ทำงาน ที่สนับสนุนให้พนักงานมีความสุขในการทำงาน และเติบโตไปพร้อมกับองค์กร พร้อมแนวคิดการอยู่ร่วมกันอย่างเท่าเทียม และยอมรับความแตกต่างที่หลากหลายของพนักงานเป็นสิ่งสำคัญ ภายใต้วัฒนธรรมองค์กร Inclusive Workplace ซึ่งสอดคล้องกับคำมั่นสัญญาของ AXA’s Employer Brand Promise คือ “ปลุกศักยภาพในตัวพนักงาน มุ่งสู่ความสำเร็จ” ซึ่งตอกย้ำความมุ่งมั่นของบริษัทฯ ที่พร้อมทั้งเคียงข้างทุกความเชื่อมั่น ดูแลกันตลอดไป

เมื่อไม่นานมานี้ หลักสูตรบริหารธุรกิจมหาบัณฑิต วิทยาลัยดุสิตธานี สถาบันอุดมศึกษาด้านธุรกิจบริการในเครือโรงแรมดุสิตธานี ได้จัดงาน DTC MBA Open House ขึ้น ซึ่งภายในงานมีการทอล์กในหัวข้อ “ดันธุรกิจอาหารและบริการให้โดนใจผู้บริโภควัยต่าง” โดยได้รับเกียรติจาก ลินดา บูรณะชน ผู้จัดการบริหารทั่วไป บริษัท ครัวเจ๊ง้อ กาญจนาภิเษก จำกัด และ พิมพ์ชิน ภัคพัฒน์ชนม์ ผู้บริหาร JW Group และบริษัทในเครือ และผู้บริหารห้องอาหารญี่ปุ่น จูนิชิ (Junichi) มาเป็น guest speaker และดำเนินรายการโดย ดร.วิลาสินี ยนต์วิกัย ผู้อำนวยการหลักสูตรบริหารธุุรกิจมหาบัณฑิต วิทยาลัยดุสิตธานี

คุณลินดากล่าวถึงสถานการณ์การแพร่ระบาดของโควิด-19 ที่เพิ่งผ่านไปว่า เป็นบทเรียนที่ทำให้ผู้ดำเนินธุรกิจต้องเรียนรู้ที่จะปรับตัว อย่างเช่นร้านเจ๊ง้อที่เป็นร้านอาหารสำหรับครอบครัว ก็ต้องปรับเปลี่ยนมาทำอาหารปรุงสำเร็จวางขายริมถนน รวมไปถึงส่งเดลิเวอรี ดังนั้นจึงต้องปรับสูตรเพื่อให้อาหารคลายความร้อนก่อนบรรจุกล่อง เพื่อให้ลูกค้าเมื่อซื้อกลับไปกินบ้าน อาหารจะยังคงมีรสชาติอร่อย กลิ่นหอม อีกทั้งหน้าตายังต้องดูสดใหม่และน่ากิน

“ในเรื่องของลูกค้า ก็ต้องเข้าใจกลุ่มลูกค้าของตนให้ถ่องแท้ อย่างเช่นโต๊ะในร้านที่เป็นโต๊ะกลม เพราะผ่านการวิเคราะห์มาแล้วว่า กลุ่มลูกค้าที่ส่วนใหญ่เป็นผู้สูงอายุจะชอบนั่งรับประทานแบบเห็นหน้าสมาชิกทั้งโต๊ะ และนอกจากรสชาติอาหารแล้ว ผู้สูงอายุยังเน้นปริมาณ ดังนั้นจะรู้สึกมีความสุขมากกับการที่ได้ห่ออาหารกลับบ้าน เพราะแสดงให้เห็นถึงปริมาณที่เยอะ คุ้มค่า ในขณะเดียวกันลูกค้าของเจ๊ง้อมักมาเป็นครอบครัวใหญ่ จึงต้องใส่ใจสมาชิกต่างวัยด้วย โดยคนรุ่นใหม่จะเน้นบรรยากาศของร้าน มีมุมให้ถ่ายรูป ซึ่งร้านเจ๊ง้อก็พยายามปรับตัวในเรื่องนี้อยู่เพื่อให้ตอบโจทย์ลูกค้าทุกกลุ่ม” ผู้จัดการบริหารทั่วไปครัวเจ๊ง้อยังตั้งข้อสังเกตด้วยว่า ทุกวันนี้ไม่จำเป็นต้องมีร้านสวยๆ ใหญ่ๆ เท่านั้น เพราะสตรีทฟู้ดก็มาแรงมาก เพราะรัฐบาลให้การสนับสนุนและมิชลินไกด์มีการให้ดาว สะท้อนให้เห็นว่า ความคุ้มค่าสามารถออกมาในรูปแบบของตัวอาหารหรือความรู้สึกพอใจก็ได้

ด้านคุณพิมพ์ชินกล่าวว่า โควิด-19 ทำให้เทรนด์รักสุขภาพมาแรง การให้บริการแบบไร้สัมผัส (touchless) จึงเป็นที่นิยม ในขณะที่ผู้ให้บริการก็ต้องแสดงให้ลูกค้าเห็นว่า ทางร้านเตรียมความพร้อมด้านสุขอนามัยไว้อย่างไร ไม่ว่าจะทำเป็น story-telling ผ่านช่องทางโซเชียลมีเดีย โดยทำให้เห็นทั้งหน้าบ้านหลังบ้านว่าสะอาดและปลอดภัยจริงๆ เพื่อให้ลูกค้าสบายใจที่จะใช้บริการ ผู้บริหารห้องอาหารจูนิชิย้ำว่า “เราลงมือทำอย่างเดียวไม่ได้ แต่ต้องบอกให้ลูกค้ารับรู้ด้วยว่าเรากำลังทำอะไร” นอกจากนี้โซเชียลมีเดียแต่ละแพลตฟอร์มก็มีคาแรกเตอร์แตกต่างกัน เหมาะกับผู้บริโภคที่วัยแตกต่างกันด้วย จึงต้องใช้แพลตฟอร์มที่เหมาะสมกับกลุ่มวัยของลูกค้าต่างๆ

“กลุ่มลูกค้าหลักของทางร้านจูนิชิเป็นคนวัย 35 ปีขึ้นไปที่สนใจเรื่องคุณภาพ ปริมาณ และการบริการ อีกกลุ่มคือกลุ่มคนรุ่นใหม่ที่ชอบความสนุก ตื่นเต้น และชอบถ่ายรูป ทางร้านจึงใช้วิธีดึงดูดคนกลุ่มนี้ด้วยการออกเมนูใหม่ๆ ตามฤดูกาล เพื่อให้ลูกค้าเกิดความรู้สึกถึง ‘ความเป็นคนแรก’ ที่ใช้บริการหรือกินอาหารเมนูนั้นๆ การมีเมนูใหม่ๆ ยังช่วยให้ร้านมีคอนเทนต์ใหม่ๆ นำเสนอตลอดเวลาด้วย รวมทั้งยังจัดร้านจัดจานให้สวยเพื่อให้น่าถ่ายภาพ และลูกค้าอีกกลุ่มที่ละเลยไม่ได้ก็คือนักท่องเที่ยวต่างชาติ ร้านจูนิชิจึงครีเอทเมนูอาหารญี่ปุ่นที่ผสมผสานความเป็นไทยเข้าไปเพื่อเอาใจลูกค้ากลุ่มนี้ เช่น อุด้งต้มยำกุ้ง เป็นต้น”

ปัจจุบันวิทยาลัยดุสิตธานีเปิดสอนระดับปริญญาโท หลักสูตรบริหารธุรกิจมหาบัณฑิต ครอบคลุมกลุ่มวิชา 3 กลุ่ม ได้แก่ กลุ่มวิชาการจัดการธุรกิจการบริการ กลุ่มวิชาผู้ประกอบการเชิงนวัตกรรม และกลุ่มวิชาการจัดการธุรกิจอาหาร โดยมักจัดกิจกรรมเสริมทักษะให้แก่นักศึกษาและผู้สนใจทั่วไปอยู่เสมอ ดังเช่นการจัดทอล์กในครั้งนี้

ไทยเบฟรายงานผลการดำเนินงานงวด 9 เดือนปี 2566 ที่แข็งแกร่ง รับการฟื้นตัวของภาคบริโภค

นายกฯ ชื่นชมข้อเสนอจากการระดมสมองภาครัฐ เอกชน และประชาสังคม เร่งเปลี่ยนประเทศไทย สู่สังคมคาร์บอนต่ำ ชวนทุกภาคส่วนร่วมสร้างสระบุรีแซนด์บ็อกซ์ เมืองต้นแบบคาร์บอนต่ำแห่งแรกของไทย พร้อมหนุนขยายผลเศรษฐกิจหมุนเวียน และการเปลี่ยนสู่พลังงานสะอาด โดยจะไม่ทิ้งใครไว้ข้างหลัง รองรับการขยายตัวเศรษฐกิจ ดึงดูดนักลงทุน เชื่อมั่นพลังความร่วมมือจะพาไทยเติบโตแบบคาร์บอนต่ำได้สำเร็จในงาน ESG Symposium 2023

นายกรัฐมนตรี นายเศรษฐา ทวีสิน ได้ร่วมงาน ESG Symposium 2023 ซึ่งจัดขึ้นเป็นปีที่ 11 ในหัวข้อ “ร่วม เร่ง เปลี่ยน สู่สังคมคาร์บอนต่ำ” ด้วยความร่วมมือจากหอการค้าร่วมต่างประเทศในประเทศไทย หอการค้าไทยและสภาหอการค้าแห่งประเทศไทย สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย และเอสซีจี ณ ศูนย์การประชุมแห่งชาติสิริกิติ์ มีผู้ร่วมงานจากทุกภาคส่วนกว่า 2,000 คน โดยนายกรัฐมนตรีได้รับฟังข้อเสนอ “ร่วม เร่ง เปลี่ยนประเทศไทย สู่สังคมคาร์บอนต่ำ” ที่มาจากการระดมสมอง ทั้งภาครัฐ เอกชนและประชาสังคมกว่า 500 คน ตลอดเดือนกันยายนที่ผ่านมา ประกอบด้วย 4 แนวทาง ได้แก่

  • ร่วมสร้าง “สระบุรีแซนด์บ็อกซ์” เมืองต้นแบบคาร์บอนต่ำแห่งแรกของไทย ที่ขับเคลื่อนเศรษฐกิจด้วยอุตสาหกรรมสีเขียว เกษตรยั่งยืน ท่องเที่ยวเชิงนิเวศ เนื่องจากสระบุรีเป็นจังหวัดที่มีความซับซ้อนและท้าทายมาก เพราะมีระบบเศรษฐกิจทั้งภาคอุตสาหกรรมหนัก การเกษตร การท่องเที่ยว และความเป็นเมืองที่ผสมผสาน
    จึงสามารถเป็นตัวแทนเสมือนของประเทศไทยได้ เพื่อศึกษาเรียนรู้ปัจจัยความสำเร็จและข้อจำกัดต่าง ๆ ในการเปลี่ยนสู่เมืองคาร์บอนต่ำ ซึ่งร่วมบูรณาการโดยผู้ที่อยู่ในอุตสาหกรรมจริง เจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้องโดยตรง และภาคประชาสังคมที่ได้รับผลกระทบ หากประสบความสำเร็จจะเป็นแรงจูงใจให้จังหวัดอื่น ๆ ได้ ปัจจุบันมีความร่วมมือเกิดขึ้นแล้ว อาทิ การกำหนดใช้ปูนซีเมนต์คาร์บอนต่ำในทุกงานก่อสร้างในจังหวัดสระบุรีตั้งแต่ปี 2567 เป็นต้นไป การทำนาเปียกสลับแห้ง ช่วยลดการใช้น้ำ การปลูกพืชพลังงาน หญ้าเนเปียร์ และนำของเหลือจากการเกษตรไปแปรรูปเป็นพลังงานทดแทน สร้างรายได้ให้ชุมชน รวมทั้งร่วมปลูกป่าชุมชน 38 แห่งทั่วจังหวัด ช่วยดูดซับก๊าซเรือนกระจก และนำไปสู่การท่องเที่ยวเชิงนิเวศ สร้างรายได้ให้ชุมชน
  • เร่งผลักดันเศรษฐกิจหมุนเวียนให้เป็นวาระแห่งชาติ เพราะเป็นการสร้างการเติบโตทางเศรษฐกิจแบบ
    คาร์บอนต่ำ ในประเทศไทยมี 3 อุตสาหกรรมที่ลงมือทำแล้ว คืออุตสาหกรรมบรรจุภัณฑ์ ยานยนต์ และก่อสร้าง ปัจจัยสำคัญที่ทำให้เศรษฐกิจหมุนเวียนเกิดขึ้นได้จริง คือ กำหนดนโยบาย กฎหมาย มาตรฐาน การคัดแยกและจัดเก็บขยะเป็นระบบเดียวกันทั้งประเทศ กำหนดตัวชี้วัดในการติดตามผล ตลอดจนสร้าง Eco-system สนับสนุนสิทธิประโยชน์ในการลงทุนและพัฒนาเทคโนโลยีที่เกี่ยวข้องกับเศรษฐกิจหมุนเวียน รวมทั้งรณรงค์ใช้สินค้ากรีนที่ผลิตจากวัสดุรีไซเคิลหรือวัสดุชีวภาพ ออกกฎหมายระบุปริมาณอย่างชัดเจน โดยหน่วยงานภาครัฐนำร่องจัดซื้อจัดหาสินค้ากรีน เพื่อให้เกิดการยอมรับอย่างแพร่หลาย
  • เปลี่ยนสู่พลังงานสะอาดและยั่งยืน ปลดล็อกข้อจำกัด โดยเปิดเสรีซื้อ-ขายไฟฟ้าพลังงานสะอาดด้วยระบบโครงข่ายไฟฟ้าอัจฉริยะ (Grid Modernization) เพื่อให้ภาครัฐและเอกชนใช้เครือข่ายไฟฟ้าร่วมกัน ให้ทุกคนเข้าถึงพลังงานสะอาดสะดวกยิ่งขึ้น สนับสนุนการพัฒนาเทคโนโลยีแบตเตอรี่กักเก็บพลังงานสะอาดและใช้พื้นที่ว่างเปล่า
    กักเก็บพลังงานในรูปแบบต่าง ๆ เช่น พลังงานน้ำ พลังงานความร้อน พลังงานกล พลังงานเคมี รวมทั้งพัฒนาพลังงานทดแทนใหม่ ๆ และผลักดันให้อยู่ในแผนพลังงานชาติ เช่น พลังงานไฮโดรเจน พืชพลังงาน ขยะจากชุมชน ของเสียจากโรงงาน ตลอดจนปรับปรุงนโยบายและให้สิทธิประโยชน์ที่เอื้อต่อการใช้พลังงานสะอาด และส่งเสริมการใช้ข้อมูล Big Data เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการขนส่ง
  • ไม่ทิ้งใครไว้ข้างหลัง โดยเฉพาะกลุ่มเปราะบางที่ยังไม่สามารถปรับตัวได้ เช่น SMEs แรงงาน เกษตรกร และชุมชน โดยแบ่งกลุ่มผู้ได้รับผลกระทบและจัดสรรความช่วยเหลืออย่างเหมาะสม เพื่อให้ตระหนักรู้ เข้าถึงเทคโนโลยีลดคาร์บอนและแหล่งเงินทุนสิ่งแวดล้อมทั่วโลก ซึ่งมีอยู่มากถึง 52 ล้านล้านบาท และขอเสนอให้ไทยควรร่วมเร่งเข้าถึงกองทุนดังกล่าว เพื่อขับเคลื่อนสังคมคาร์บอนต่ำให้เกิดขึ้นจริงอย่างเป็นรูปธรรม เช่น กองทุนนวัตกรรมจัดการน้ำให้กลุ่มเกษตรกรรับมือสภาพภูมิอากาศแปรปรวน กองทุนฟื้นฟูและเพิ่มพื้นที่ป่าพร้อมสร้างรายได้จากคาร์บอนเครดิต  นอกจากนี้ ยังควรพัฒนาทักษะแรงงานที่ได้รับผลกระทบจากการเปลี่ยนผ่านให้มีความพร้อมปรับตัวทันท่วงทีและพึ่งพาตัวเองได้

นายกรัฐมนตรี นายเศรษฐา ทวีสิน กล่าวชื่นชมข้อเสนอดังกล่าว และเชื่อมั่นว่า หากทุกภาคส่วนร่วมมือกันตามกลยุทธ์ ESG (Environmental, Social, and Governance) ที่เน้นสร้างเศรษฐกิจควบคู่กับสมดุลทางสังคมและสิ่งแวดล้อมอย่างโปร่งใส มุ่งสู่เป้าหมายการพัฒนาอย่างยั่งยืน จะช่วยกู้โลกให้กลับมาดีขึ้น  สำหรับการพัฒนาเศรษฐกิจที่ยั่งยืนของไทยต้องมีแนวทางที่นำไปสู่การเปลี่ยนผ่านที่ชัดเจน โดยมีประชาชนเป็นศูนย์กลาง ดังนี้  1) มุ่งมั่นการพัฒนาที่ยั่งยืนโดยไม่ทิ้งใครไว้ข้างหลัง ผ่านหลักการไปให้ถึงและช่วยเหลือกลุ่มที่รั้งท้ายก่อน  2) ส่งเสริมสิทธิมนุษยชนและความเท่าเทียมทางเพศ สำหรับประชากรทุกคนในประเทศ และให้ความสำคัญกับสิทธิด้านสุขภาพ  3) ผลักดันความร่วมมือทุกระดับ เพื่อรับมือการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ รวมถึงส่งเสริมการเข้าถึงบริการพลังงานสมัยใหม่ ในราคาที่เหมาะสมและมีความน่าเชื่อถือภายในปี ค.ศ 2030

“ผมรู้สึกประทับใจมาก ที่ได้เห็นคนไทยทุกภาคส่วน ทั้งภาคเอกชน ภาครัฐ ภาควิชาการ และภาคประชาสังคม ร่วมกันหาแนวทางทำให้ประเทศไทยเป็นสังคมคาร์บอนต่ำ เพราะภาวะโลกเดือดส่งผลกระทบต่อความเป็นอยู่ของทุกชีวิตบนโลก

ผมชื่นชมความตั้งใจสร้าง “สระบุรีแซนด์บ็อกซ์” เมืองต้นแบบคาร์บอนต่ำแห่งแรกของไทย  เพราะเป็นจังหวัดที่มีความท้าทายสูง มีอุตสาหกรรมใหญ่อยู่มาก ซึ่งจะสำเร็จได้ต้องอาศัยการดำเนินงานร่วมมือกันหลายส่วน ทั้งมาตรการและเงินทุน จึงขอเชิญชวนภาคส่วนอื่น ๆ มาร่วมกัน เพราะหากสำเร็จจะเป็นตัวอย่างให้เมืองและอุตสาหกรรมอื่น ๆ ต่อไป

การผลักดันเศรษฐกิจหมุนเวียนให้เป็นวาระแห่งชาติ ผมชื่นชมความมุ่งมั่นทั้ง 3 อุตสาหกรรมนำร่อง ทั้งบรรจุภัณฑ์ ยานยนต์ และก่อสร้าง ซึ่งรัฐบาลจะขยายผลความสำเร็จนี้ โดยให้ความสำคัญกับการกำหนดนโยบายจัดการขยะและเปิดให้จัดหาสินค้ากรีนเพื่อสร้าง Eco-system ที่เอื้อต่อระบบเศรษฐกิจหมุนเวียน  สำหรับการส่งเสริมการใช้พลังงานสะอาด รัฐบาลจะให้ความสำคัญกับการใช้พลังงานสะอาดให้เต็มประสิทธิภาพ และศึกษาการเปิดให้สามารถซื้อ-ขายไฟฟ้าจากพลังงานสะอาดได้มากขึ้น เพื่อสร้างความมั่นคงทางพลังงาน พร้อมทั้งรองรับการขยายตัวเศรษฐกิจไทย ดึงดูดนักลงทุนและบริษัทต่างชาติในอนาคต”

นายกรัฐมนตรี กล่าวทิ้งท้ายว่า “ผมขอขอบคุณทุกคนที่มุ่งเปลี่ยนสู่สังคมคาร์บอนต่ำ โดยไม่ทิ้งใครไว้ข้างหลัง เพราะยังมีประชาชนอีกมากโดยเฉพาะธุรกิจขนาดเล็ก เกษตรกร และชุมชน ที่ยังไม่ตระหนักถึงวิกฤตินี้ หรือยังไม่พบทางออกเพื่อรับมือ เราควรสนับสนุนการเข้าถึงความรู้ เทคโนโลยี และการเข้าถึงเงินทุน ให้ทุกคนสามารถปรับตัวอยู่รอดได้ สำหรับข้อเสนอในวันนี้ ผมจะมอบหมายให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องดำเนินการต่อไป

นายรุ่งโรจน์  รังสิโยภาส กรรมการผู้จัดการใหญ่ เอสซีจี กล่าวว่า “คณะจัดงานขอบคุณท่านนายกรัฐมนตรีที่ให้เกียรติมาร่วมงาน และรับฟังข้อเสนอจากพวกเราทุกภาคส่วนในวันนี้  ผมเชื่อมั่นว่าภายใต้การบริหารงานของท่านที่มีความมุ่งมั่นในการพัฒนาที่ยั่งยืน โดยไม่ทิ้งใครไว้ข้างหลัง พร้อมทั้งแนวนโยบายที่ชัดเจนของประเทศ จะทำให้ทุกภาคส่วนทำงานร่วมกันอย่างแข็งแกร่ง เพื่อขับเคลื่อนประเทศให้ก้าวหน้าอย่างมั่นคงและยั่งยืน”

นายธรรมศักดิ์  เศรษฐอุดม รองกรรมการผู้จัดการใหญ่ เอสซีจี กล่าวว่า “เอสซีจีพร้อมนำแนวทางจากท่านนายกรัฐมนตรีไปผลักดันอย่างต่อเนื่อง ทั้งเร่งพัฒนากระบวนการผลิตสีเขียว ควบคู่กับนวัตกรรมกรีน เช่น ปูนคาร์บอนต่ำ พลาสติกรักษ์โลก บรรจุภัณฑ์ย่อยสลายได้ อีกทั้งผสานความร่วมมือกับทุกภาคส่วนแก้วิกฤติโลกเดือด ซึ่งเย็นวันนี้ 80 ซีอีโอ จากหลายอุตสาหกรรม เช่น ภาคพลังงาน การผลิต อสังหาริมทรัพย์ ยานยนต์ สุขภาพ บริการ มาร่วมระดมสมองเพิ่มเติม ซึ่งมั่นใจว่าจะสนับสนุนให้เศรษฐกิจไทยเติบโต พร้อมโลว์คาร์บอน เป็นจริงได้แน่นอน”

นิยามใหม่แห่งบริการด้านสุขภาพ ดูแลยิ่งกว่าประกัน ตอบโจทย์สุขภาพครบวงจร

X

Right Click

No right click