รายงานพบว่า 1 ใน 4 ของผู้บริหารรายงานว่า กำลังดำเนินโครงการนำร่องในการใช้ระบบบล็อกเชนอยู่ (10%) หรือได้นำมาใช้งานจริงแล้ว (15%) ขณะที่เกือบ 1 ใน 3 หรือ 32% มีแผนที่กำลังจะพัฒนาโครงการ และ 1 ใน 5 หรือ 20% อยู่ในระหว่างการศึกษาวิจัยเกี่ยวกับเทคโนโลยีนี้อยู่
นอกจากนี้ ประเทศผู้นำอย่างสหรัฐอเมริกา (29%) สาธารณรัฐประชาชนจีน (18%) และออสเตรเลีย (7%) ในปัจจุบัน ถูกมองว่าเป็นประเทศที่มีความก้าวหน้าในการพัฒนาโครงการบล็อกเชนมากที่สุด แต่อย่างไรก็ดี ในช่วงอีก 3-5 ปีข้างหน้า 30% ของผู้บริหารเชื่อว่า จีนจะแซงหน้าสหรัฐฯ ได้ ซึ่งจะส่งผลให้อิทธิพลและศูนย์กลางในการพัฒนากิจกรรมบล็อกเชนมาอยู่ที่จีน แทนที่จะเป็นสหรัฐฯ และยุโรปเหมือนในช่วงยุคแรกๆ
รายงานฉบับนี้ ให้ข้อมูลว่า 46% ของผู้บริหารระบุว่า อุตสาหกรรมบริการทางการเงิน เป็นผู้นำการพัฒนาบล็อกเชนอยู่ในปัจจุบัน และ 41% กล่าวว่า ในระยะอันใกล้หรือ 3-5 ปีข้างหน้า โดยกลุ่มอุตสาหกรรมอื่นๆศักยภาพในการนำบล็อกเชนเข้ามาใช้เช่นกัน ได้แก่ พลังงานและสาธารณูปโภค (14%) บริการทางด้านสุขภาพ (14%) และ อุตสาหกรรมการผลิต (12%)
โดยบล็อกเชนที่ถูกออกแบบมาอย่างดีนั้น ไม่ได้เพียงช่วยตัดตัวกลางเท่านั้น แต่ยังช่วยลดต้นทุน เพิ่มความรวดเร็ว การเข้าถึง ความโปร่งใส และตรวจสอบได้ให้กับกระบวนการในการดำเนินธุรกิจ ฉะนั้น หากผู้บริหารมีความเข้าใจอย่างแท้จริงว่า จะนำศักยภาพของเทคโนโลยีนี้มาใช้ได้อย่างไรก็จะทำให้เหตุผลทางธุรกิจมีน้ำหนักและสร้างความน่าดึงดูด
แม้ว่าประโยชน์ที่สำคัญของบล็อกเชนจะอยู่ที่การพัฒนาและส่งมอบผ่านแพลตฟอร์มที่มีการแลกเปลี่ยนระหว่างกันในกลุ่มอุตสาหกรรม แต่รายงานชี้ว่า สิ่งเหล่านี้จะไม่มีทางเกิดขึ้นได้ หากปราศจากการร่วมมือกันของหลายๆ ฝ่าย ซึ่งรวมไปถึงคู่แข่ง ที่ต้องมีการตกลงร่วมกันในเรื่องของมาตรฐานและข้อปฏิบัติที่จะนำมาใช้
แม้ศักยภาพของบล็อกเชนจะมีมาก แต่ 45% ของผู้บริหารยังมองว่า ความไว้วางใจ ยังคงเป็นอุปสรรคสำคัญที่สุดที่ปิดกั้นการนำบล็อกเชนมาใช้ ในขณะที่ 48% เชื่อว่า ความไม่แน่นอนของกฎระเบียบจะเป็นปัจจัยที่ปิดกั้นการพัฒนาดังกล่าว อย่างไรก็ตาม ความกังวลเกี่ยวกับความไว้วางใจในหมู่ผู้ใช้งานพบมากที่สุดในกลุ่มผู้บริหารจากสิงคโปร์ (37%) สหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ (34%) และเขตบริหารพิเศษฮ่องกงแห่งสาธารณรัฐประชาชนจีน (35%) โดยยังสะท้อนให้ถึงการพัฒนาบล็อกเชนในส่วนของอุตสาหกรรมบริการทางการเงินที่ถือเป็นผู้เล่นหลัก นอกจากนี้ ความกังวลเกี่ยวกับความไม่แน่นอนด้านกฎระเบียบ ยังถูกพบมากที่สุดในกลุ่มผู้บริหารจากเยอรมนี (38%) ออสเตรเลีย (37%) และสหราชอาณาจักร (32%)
รายงานยังระบุอีกว่า 1 ใน 3 ของผู้บริหารที่รายงานว่า ตนมีส่วนร่วมน้อย หรือไม่มีส่วนร่วมต่อการนำบล็อกเชนมาใช้เลย ให้เหตุผลว่า ส่วนใหญ่มีสาเหตุมาจากต้นทุนค่าใช้จ่าย (31%) ความไม่แน่ใจว่าควรเริ่มต้นจากจุดไหน (24%) และประเด็นเรื่องการกำกับดูแล (14%)
PwC ระบุ 4 ปัจจัยสำคัญที่องค์กรสามารถนำไปปรับใช้ เพื่อการพัฒนาบล็อกเชนทั้งภายในองค์กร หรือในกลุ่มอุตสาหกรรมของตน ดังนี้
- จัดทำเหตุผลทางธุรกิจ องค์กรต้องมีการจัดทำวัตถุประสงค์ของโครงการที่ชัดเจน เพื่อให้ผู้ที่มีส่วนร่วมในการพัฒนาระบบบล็อกเชนสามารถเห็นถึงประโยชน์และตอบสนองความต้องการที่เฉพาะเจาะจงของธุรกิจโดยอาจเริ่มจากโครงการเล็กๆ ก็ได้
- สร้างระบบนิเวศในอุตสาหกรรม ผู้มีส่วนเกี่ยวข้องจากองค์กรต่างๆ ในกลุ่มอุตสาหกรรม ควรทำงานร่วมกันอย่างใกล้ชิด เพื่อกำหนดจุดยืนในการควบคุมทิศทางของการนำบล็อกเชนมาใช้ ทั้งนี้ 15% ของผู้บริหารที่ได้มีการนำบล็อกเชนมาใช้งานจริงแล้วในองค์กร มี 88% เป็นผู้นำ หรือเป็นสมาชิกผู้ใช้งานบล็อกเชนเฉพาะผู้ได้รับอนุญาตใช้งานภายในองค์กรเครือข่ายเท่านั้น (Consortium)
- ออกแบบให้ตรงกับความต้องการของผู้ใช้งาน หุ้นส่วนจำเป็นต้องมีกฎและมาตรฐานต่อสิทธิในการเข้าถึง นอกจากนี้ยังต้องได้รับความร่วมมือจากผู้เชี่ยวชาญด้านการบริหารความเสี่ยงในด้านต่างๆ ไม่ว่าจะเป็น กฎหมาย การปฏิบัติตามกฎเกณฑ์ หรือ ความปลอดภัยในโลกไซเบอร์ตั้งแต่เริ่มต้นเพื่อให้แน่ใจว่า กรอบของการพัฒนาระบบบล็อกเชนจะสร้างความไว้วางใจต่อทั้งฝั่งผู้คุมกฎและผู้ใช้
- ติดตามความไม่แน่นอนของกฎระเบียบข้อบังคับ รายงานยังได้เตือนด้วยว่า นักพัฒนาบล็อกเชนควรเฝ้าติดตามความเคลื่อนไหวของกฎระเบียบ แต่ในขณะเดียวกัน ก็ไม่ควรรีรอที่จะลงมือพัฒนาระบบ เพราะกฎระเบียบมีการเบียบ แต่ไม่ควรรีรอที่จะลงมือพัฒนา ซึ่งตามองในเรื่องของกฎระเบียบ แต่ไม่ควรรอได้ด้ ามโปร่งใสและการเปลี่ยนแปลงอยู่ตลอดเวลา ดังนั้น การมีส่วนร่วมกับหน่วยงานกำกับดูแลจะเป็นสิ่งสำคัญที่ช่วยกำหนดสภาพแวดล้อมของการพัฒนาบล็อกเชนว่า ควรเป็นไปในทิศทางใด