

บมจ.นอร์ทอีส รับเบอร์ หรือ NER เสนอขายหุ้นกู้จำนวน 1,300 ล้านบาท อายุ 2 ปี 6 เดือน อัตราดอกเบี้ยคงที่ 5.85 ต่อปี โดยเสนอขายผู้ลงทุนสถาบัน ผู้ลงทุนรายใหญ่ เปิดจองระหว่าง 5 และ 7 - 8 เม.ย.นี้ เพื่อรองรับการขยายกำลังการผลิต
จากปณิธานที่จะลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ให้เหลือศูนย์ภายในปี 2030 และเจตนารมณ์ที่จะยุติการทำธุรกิจในตลาดพลังงานถ่านหิน ล่าสุด GE ได้แถลงย้ำจุดยืนขององค์กรว่า การเร่งใช้พลังงานหมุนเวียนและโรงไฟฟ้าพลังงานก๊าซให้เร็วขึ้นนั้น จะช่วยให้การต่อสู้กับการเปลี่ยนแปลงของสภาพอากาศมีความคืบหน้าอย่างมีนัยยะสำคัญ ทั้งยังช่วยลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ให้กับโลกในอนาคตอีกด้วย
ในรายงานที่เผยแพร่ล่าสุดเรื่อง “Accelerated Growth of Renewables and Gas Power Can Rapidly Change the Trajectory on Climate Change” ที่เกี่ยวกับปณิธานการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกซึ่งมีมาอย่างยาวนานหลายทศวรรษนั้น GE ได้ระบุว่า ลำพังการใช้พลังงานอย่างใดอย่างหนึ่งนั้นยังไม่เพียงพอ แต่จำเป็นต้องทำควบคู่กันไป เพื่อให้สามารถลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ในระยะและปริมาณที่จำเป็นต่อการบรรลุเป้าหมายด้านสิ่งแวดล้อมอย่างยั่งยืนได้
ในรายงานยังได้ระบุถึงวิธีการในเชิงเทคนิคต่างๆ ของโรงไฟฟ้าพลังก๊าซ ต่อการบรรลุเป้าหมายการลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ด้วยการจัดทำคาร์บอนฟุตปริ้นต์ผ่านการใช้พลังงานที่ปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์เป็นศูนย์ ซึ่งวิธีดังกล่าวรวมถึงการใช้พลังงานไฮโดรเจน และเทคโนโลยีการดักจับและกักเก็บคาร์บอน (CCUS) อีกด้วย

Scott Strazik ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร GE Gas Power กล่าวว่า “การแก้ปัญหาการเปลี่ยนแปลงของสภาพภูมิอากาศ คือความจำเป็นเร่งด่วนของโลก และเรื่องหนึ่งที่เราคิดว่าเราสามารถทำให้ดีขึ้นได้เพื่อเร่งความคืบหน้า ก็เป็นเรื่องที่ต้องเริ่มลงมือทำตั้งแต่ตอนนี้ ไม่ใช่อีกสิบปียี่สิบปีข้างหน้า หลังจากนี้ไป เราเชื่อว่าทั้งพลังงานหมุนเวียนและโรงไฟฟ้าพลังก๊าซต่างก็มีบทบาทและมีความสำคัญอย่างยิ่งต่อการแก้ปัญหานี้ ซึ่งการเปลี่ยนจากโรงไฟฟ้าถ่านหินเป็นโรงไฟฟ้าพลังก๊าซจะช่วยให้โลกเห็นผลคืบหน้าเร็วขึ้น และยังคงสามารถพัฒนาวิธีการต่างๆ ไปสู่เทคโนโลยีการลดหรือปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์เป็นศูนย์ในอนาคตอีกด้วย”
เพื่อให้สามารถตอบรับเป้าหมายด้านสภาพภูมิอากาศ ไปพร้อมกับความต้องการพลังงานทั่วโลกที่เพิ่มสูงขึ้น รายงานดังกล่าวจึงได้ระบุถึงข้อดีของโรงไฟฟ้าพลังก๊าซในฐานะองค์ประกอบเพื่อสนับสนุนและเร่งการปรับใช้พลังงานหมุนเวียน ดังนี้

รายงานที่เผยแพร่ล่าสุดนี้ ได้ให้รายละเอียดของเทคโนโลยีและภาพรวมของตลาดสำหรับพลังงานรูปแบบต่างๆ เอาไว้ เช่น พลังงานหมุนเวียน พลังงานก๊าซ พลังงานถ่านหิน และพลังงานนิวเคลียร์ รวมไปถึงเทคโนโลยีใหม่ที่จำเป็นต่อการกักเก็บพลังงานแบตเตอร์รี่อย่างคุ้มค่า
“ด้วยประสบการณ์ในอุตสาหกรรมผลิตไฟฟ้ามานานกว่า 125 ปี GE จึงสามารถยืนหยัดเคียงข้างลูกค้าของเราเพื่อคงความเป็นผู้นำและขับเคลื่อนพลังงานแห่งอนาคตต่อไป เราให้ความสำคัญอย่างยิ่งกับการลงทุนในเทคโนโลยีเพื่อให้สามารถใช้พลังงานหมุนเวียนได้อย่างคุ้มค่า และมุ่งไปสู่การเป็นโรงไฟฟ้าพลังก๊าซที่ไม่มีการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ ด้วยการใช้ไฮโดรเจนและเทคโนโลยีดักจับและกักเก็บคาร์บอนอันล้ำสมัย การผสมผสานของพลังงานหมุนเวียนและพลังงานก๊าซจะนำไปสู่การเปลี่ยนผ่านทางพลังงาน ซึ่งจะช่วยให้เราสามารถบรรลุเป้าหมายการลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ได้เร็วขึ้นเมื่อเทียบกับการใช้พลังงานหมุนเวียนเพียงอย่างเดียว” Vic Abate รองประธานอาวุโสและประธานเจ้าหน้าที่ฝ่ายเทคโนโลยีของ GE ซึ่งเป็นอดีตซีอีโอของ GE Gas Power และ GE Renewable Energy กล่าว
GE Renewable Energy ยังคงลงทุนในนวัตกรรมเทคโนโลยีที่ช่วยทำให้พลังงานหมุนเวียนมีราคาถูกลง ซึ่งเป็นปัจจัยสำคัญของอุตสาหกรรมพลังงานในการยังคงการเติบโตต่อไปตามที่ระบุในรายงาน และเมื่อเร็วๆ นี้ GE ได้ประกาศว่า กังหันลมนอกชายฝั่ง Haliade-X ซึ่งเป็นกังหันลมที่ทรงประสิทธิภาพมากที่สุดในวันนี้ จะได้รับการเพิ่มกำลังการผลิตเป็น 13 เมกะวัตต์ โดยเป็นการดำเนินการเฟสแรกจากทั้งหมดสองเฟสของฟาร์มกังหันลมนอกชายฝั่ง ดอดเจอร์ แบงก์ (Dodger Bank) ในสหราชอาณาจักร
ทั้งนี้ GE ดำเนินธุรกิจกังหันก๊าซจากการสั่งสมองค์ความรู้เทคโนโลยีด้านกังหันก๊าซมานานถึง 80 ปี ซึ่งยากที่จะหาใครเทียบได้ในอุตสาหกรรมผลิตไฟฟ้า และกังหันก๊าซรุ่น HA ของ GE ซึ่งนับเป็นกังหันก๊าซที่มีประสิทธิภาพมากที่สุดและมีการเติบโตเร็วที่สุดในโลก ก็ได้สร้างชื่อในหลายอุตสาหกรรมชั้นนำและเป็นเจ้าของสถิติระดับโลกถึง 2 ด้านด้วยกัน นอกจากนี้ ฝูงกังหันก๊าซที่ผ่านประสบการณ์อันโชกโชนของ GE ยังให้พลังงานในรูปแบบก๊าซไฮโดรเจนและก๊าซที่มีค่า BTU ต่ำ โดยมีการใช้งานกังหันก๊าซกว่า 75 ล้านเครื่อง มากกว่า 6 ล้านชั่วโมงทำงาน และ GE ยังคงมุ่งมั่นลงทุนในการวิจัยและพัฒนาด้านไฮโดรเจนและเทคโนโลยีดักจับและกักเก็บคาร์บอน โดยความร่วมมืออย่างใกล้ชิดกับ Global Research Center ของ GE เพื่อมุ่งพัฒนาคาร์บอนฟุตปริ้นต์ของโรงไฟฟ้าพลังก๊าซให้ปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ในระดับต่ำหรือใกล้เป็นศูนย์
ในปี 2563 ธุรกิจโรงไฟฟ้าพลังก๊าซของ GE ยังได้เข้าร่วมการลงนามความร่วมมือเชิงยุทธศาสตร์ว่าด้วยการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกกับบรรดาลูกค้ารายใหญ่จำนวนมาก ซึ่งรวมถึงบริษัท Uniper และบริษัท Long Ridge Energy Center และในปี 2564 -2565 GE ก็กำลังดำเนินโครงการนำร่องร่วมกับลูกค้า เกี่ยวกับการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกในหลากหลายช่องทาง ทั้งโครงการพลังงานไฮโดรเจนและเทคโนโลยีการดักจับและกักเก็บคาร์บอน และท้ายที่สุดนี้ GE Gas Power ได้ประกาศเข้าร่วมเป็นพันธมิตร Carbon Capture Coalition ซึ่งเป็นความร่วมมือขององค์กรและธุรกิจมากกว่า 80 แห่ง เพื่อร่วมกันกำหนดนโยบายส่งเสริมการใช้กระบวนการดักจับ กักเก็บ ขนส่ง นำไปใช้ และกำจัดคาร์บอนในทุกภาคส่วน
ในประเทศไทย ไฟฟ้าที่ผลิตได้มากกว่า 30% มาจากฐานการผลิตและอุปกรณ์ของ GE ซึ่งเราทำงานกับลูกค้าอย่างต่อเนื่องเพื่อปรับปรุงประสิทธิภาพและผลิตภาพ รวมทั้งลดต้นทุนและลดการปล่อยมลภาวะ
สำหรับแผนในอนาคตด้านพลังงานของไทยนั้น การใช้ก๊าซจะคิดเป็น 57% ของการผลิตพลังงานโดยประมาณ และเป็น 55% ของกำลังการผลิตไฟฟ้าติดตั้ง แม้ว่าประเทศจะนำเข้าเชื้อเพลิงฟอสซิลมากกว่าส่งออก มีการคาดการณ์ว่าแก๊สภายในประเทศที่สำรองไว้จะหมดภายในทศวรรษ และประเทศกำลังพึ่งพาการนำเข้า ท่อส่งแก๊สจากเมียนมาร์ และ LNG มากขึ้น ไทยเป็นประเทศที่มีกำลังการผลิตติดตั้งของพลังงานหมุนเวียนมากที่สุดในภูมิภาค (2.6 GW) โดยมาจากชีวมวล (1.6 GW) และพลังงานแสงอาทิตย์ (1.1 GW) เป็นหลัก
บทความ : GE ประเทศไทย
2 เมษายน 2564, กรุงเทพฯ – ก้าวนำอีกขั้นกับความสำเร็จของ CPAC ที่มุ่งมั่นยกระดับและพัฒนาอุตสาหกรรมการก่อสร้างของประเทศ สู่ Green Construction ตลอดทั้ง Supply Chain
100 ปี เครือเจริญโภคภัณฑ์ ขอบคุณคนไทย ร่วมส่งต่อโลหิต มากกว่า 2 แสนซีซี
ดีแทค ขอชวนน้องๆ มา #เปลี่ยนโลกช่วงปิดเทอม กับ dtac Young Safe Internet Leader Cyber Camp ซีซั่น 3
1 เมษายน 2564 - ดีแทค เดินหน้าชูเทคโนโลยี 5G เปลี่ยนแปลงภาคอุตสาหกรรม จับมือ THE STANDARD นำ 5G รูปแบบ FWA (Fixed Wireless Access) หรือ อินเทอร์เน็ตไร้สายความเร็วสูงประจำที่ เข้าไปใช้ในการถ่ายทอดสดเป็นครั้งแรกในเอเชียด้วยคลื่น 26 GHz หรือ mmWave
31 มีนาคม 2564, กรุงเทพฯ – บริษัท เอสซีจี ยามาโตะ เอ็กซ์เพรส จำกัด ร่วมกับ เอสซีจีพี เปิดตัวโครงการ “Dream Box” กล่องเติมฝัน ปันให้น้อง
กรุงเทพฯ 29 มีนาคม 2564 – จ๊อบส์ ดีบี เปิดข้อมูลการประเมินแนวโน้มทิศทางตลาดแรงงานหลังวิกฤต (Wake-up Talk : Job Market Projection after Crisis) พบว่า ในเดือนกุมภาพันธ์ ปี 2564 จำนวนความต้องการแรงงานในประเทศไทยทั้งจากบนแพลตฟอร์มหางาน และช่องทางสื่อกลางออนไลน์อื่น ๆ ฟื้นขึ้นจากจุดต่ำสุดถึง 24.65% โดยได้ผ่านพ้นจุดต่ำสุดจากเดือนเมษายน 2563 และเดือนธันวาคม 2563 จากการระบาดระลอกที่ 2 โดยกลุ่มสายงานที่เป็นที่ต้องการมากที่สุด ได้แก่ 1) สายงานขาย บริการลูกค้า และพัฒนาธุรกิจ คิดเป็น 16.0% 2) สายงานไอที คิดเป็น 14.7% 3) สายงานวิศวกรรม คิดเป็น 9.8% ในด้านมุมมองกลุ่มธุรกิจพบว่า ธุรกิจที่มีอัตราการฟื้นตัวสูงสุดเมื่อเทียบกับครึ่งปีหลังของปี 2563 ได้แก่ 1) กลุ่มธุรกิจประกันภัย 2) กลุ่มธุรกิจอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ 3) กลุ่มธุรกิจการผลิต นอกจากนี้ยังพบว่า อัตราการแข่งขันในการหางานของคนไทยมีอัตราส่วนการแข่งขันอยู่ที่ 1 ต่อ 100 ใบสมัคร โดยกระจุกตัวอยู่เพียงในเงินเดือนไม่เกิน 30,000 บาท ในด้านของสถานการณ์การจ้างงานของกลุ่มประเทศในอาเซียน 4 ประเทศเศรษฐกิจหลัก พบว่า ประเทศที่เริ่มกลับมามีความต้องการแรงงานเพิ่มขึ้น ได้แก่ มาเลเซีย อินโดนีเซีย ไทย ฟิลิปปินส์ ตามลำดับ ล่าสุด จ๊อบส์ ดีบี ได้เปิดตัวแคมเปญ “หางานที่ใช่ ใช้ชีวิตที่เลือก” (Jobs That Matter) พร้อมเปิดตัวโซลูชันใหม่ให้ภาคธุรกิจและคนหางาน อาทิ การปรับอินเตอร์เฟซโฉมใหม่ การปรับฟีเจอร์ใหม่ ระบบเอไอใหม่ เพื่อรองรับการหางานของคนไทยทุกกลุ่มทั่วประเทศอย่างมีประสิทธิภาพ ปัจจุบัน จ๊อบส์ ดีบี มีจำนวนประกาศงานใหม่ต่อเดือนทั้งหมดกว่า 10,000 งาน
นางสาวพรลัดดา เดชรัตน์วิบูลย์ ผู้จัดการประจำประเทศไทย บริษัท จัดหางาน จ๊อบส์ ดีบี (ประเทศไทย) จำกัด กล่าวว่า จ๊อบส์ ดีบี ได้ทำการวิเคราะห์ข้อมูลและประเมินแนวโน้มทิศทางตลาดแรงงานหลังวิกฤต พบว่า ล่าสุดในเดือนกุมภาพันธ์ ปี 2564 จำนวนความต้องการแรงงานในประเทศไทยทั้งจากบนแพลตฟอร์มหางาน และช่องทางสื่อกลางออนไลน์อื่น ๆ ฟื้นขึ้นจากจุดต่ำสุดถึง 24.65% สะท้อนให้เห็นถึงสัญญาณการฟื้นตัวของตลาดแรงงานไทยผ่านจำนวนความต้องการแรงงานของผู้ประกอบการว่า ได้ผ่านพ้นจุดต่ำสุดจากช่วงเดือนเมษายน 2563 และเดือนธันวาคม 2563 จากการระบาดระลอกที่ 2 และคาดการณ์ว่าจำนวนประกาศงานทั้งประเทศจะกลับมาเป็นบวก 5% ในกลางปี 2564 (เมื่อเทียบกับกลางปี 2563) และจะฟื้นตัวเท่ากับก่อนวิกฤตการณ์โควิด–19 ในต้นปี 2565 หากไม่มีการระบาดระลอกใหม่

ในส่วนของความต้องการเมื่อแบ่งตามสายงาน จากจำนวนประกาศงานบน จ๊อบส์ ดีบี ในไตรมาสที่ 1 ของปี 2564 พบว่า กลุ่มสายงานที่เป็นที่ต้องการมากที่สุด ได้แก่ 1) สายงานขาย บริการลูกค้า และพัฒนาธุรกิจ คิดเป็น 16.0% 2) สายงานไอที คิดเป็น 14.7% 3) สายงานวิศวกรรม คิดเป็น 9.8% และในส่วนของการฟื้นตัวของแต่ละกลุ่มสายงาน พบว่า กลุ่มสายงานที่มีจำนวนประกาศงานเติบโตขึ้นมากที่สุดเมื่อเทียบกับครึ่งปีหลังของปี 2563 ได้แก่ 1) สายงานการตลาดและประชาสัมพันธ์ คิดเป็น 29.7% 2) สายงานขนส่ง คิดเป็น 24.7% 3) สายงานการผลิต คิดเป็น 20.8% นอกจากนี้ ยังพบว่า มีสายงานใหม่ ๆ เกิดขึ้นจากอุปสงค์ในประเทศที่เปลี่ยนไปหลังวิกฤตการณ์โควิด-19 อาทิ นักพัฒนาเอไอ ที่ปรึกษาด้านบล็อกเชนและสกุลเงินดิจิทัล ผู้เชี่ยวชาญ Business Transformation รวมถึง Growth Officer
ในด้านมุมมองกลุ่มธุรกิจพบว่า ธุรกิจที่มีสัดส่วนจำนวนประกาศงานสูงสุด ได้แก่ 1) กลุ่มธุรกิจไอที คิดเป็น 12.9% 2) กลุ่มธุรกิจการผลิต คิดเป็น 8.1% 3) กลุ่มธุรกิจการค้าปลีก-ส่ง คิดเป็น 6.6% และในส่วนของธุรกิจที่มีอัตราการฟื้นตัวสูงสุดเมื่อเทียบกับครึ่งปีหลังของปี 2563 ได้แก่ 1) กลุ่มธุรกิจประกันภัย คิดเป็น 42.9% 2) กลุ่มธุรกิจอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ คิดเป็น 41.9% 3) กลุ่มธุรกิจการผลิต คิดเป็น 37.7% นอกจากนี้ยังพบว่า อัตราการแข่งขันในการหางานของคนไทยมีแนวโน้มสูงขึ้นถึง 20% ในช่วงวิกฤตการณ์โควิด-19 และมีอัตราส่วนการแข่งขันอยู่ที่ 1 ต่อ 100 ใบสมัคร โดยการแข่งขันมีการกระจุกตัวอยู่เพียงในกลุ่มคนทำงานที่เงินเดือนไม่เกิน 30,000 บาท
ในด้านของสถานการณ์การจ้างงานของกลุ่มประเทศในอาเซียน พบว่า ประเทศที่มีจำนวนประกาศงานออนไลน์ลดลงมากที่สุดจากช่วงก่อนหน้าสถานการณ์โควิด-19 ได้แก่ 1) อินโดนีเซีย ลดลง 55.7% 2) ฟิลิปปินส์ ลดลง 46.6% 3) มาเลเซีย ลดลง 39.0% 4) ไทย ลดลง 35.6% ในขณะเดียวกัน จากจำนวนประกาศงานออนไลน์ล่าสุดในเดือนกุมภาพันธ์ ปี 2564 พบว่า ประเทศที่เริ่มกลับมามีความต้องการแรงงานเพิ่มขึ้น ได้แก่ 1) มาเลเซีย เพิ่มขึ้น 14.8% 2) อินโดนีเซีย ติดลบดีขึ้นเหลือ -16.4% 3) ไทย ติดลบดีขึ้นเหลือ -20.5% 4) ฟิลิปปินส์ ติดลบดีขึ้นเหลือ -37.7% เมื่อเทียบกับเดือนเดียวกันในปี 2563

จ๊อบส์ ดีบี ได้ร่วมมือกับบริษัทยักษ์ใหญ่อย่าง บอสตัน คอนซัลติ้ง กรุ๊ป (Boston Consulting Group) และ เดอะ เน็ตเวิร์ก (The Network) ในการจัดทำแบบสำรวจระดับโลก “ถอดรหัสลับ จับทิศทางความต้องการคนทำงานยุคใหม่” (Global Talent Survey) ฉบับที่ 1 จากผู้ตอบแบบสำรวจกว่า 2 แสนคน ใน 190 ประเทศ ภายใต้หัวข้อ “Where – ประเทศที่คนอยากทำงาน และการทำงานแบบเวอร์ชวล” เพื่อศึกษาความต้องการที่เปลี่ยนไปในแต่ละปีของแรงงานทั่วโลก โดยเฉพาะปีที่ได้รับผลกระทบจากวิกฤตการณ์โควิด-19 ทั้งนี้ จากผลสำรวจ พบว่า เกิดสองปรากฏการณ์สำคัญในช่วงวิกฤตการณ์โควิด-19 ซึ่งปรากกฏการณ์แรกคือ คนทำงานหันมาให้ความสนใจการทำงานแบบเวอร์ชวล โดยกว่า 57% ของคนทำงานทั่วโลกยินดีที่จะทำงานให้กับบริษัทที่อยู่ต่างพื้นที่ และ 50% ของคนไทยยินดีที่จะทำงานให้กับบริษัทที่อยู่ต่างพื้นที่ ซึ่ง 3 อันดับประเทศที่คนไทยอยากไปทำงานด้วยมากที่สุด ได้แก่ 1) ออสเตรเลีย 2) ญี่ปุ่น 3) สิงคโปร์ และ 5 อันดับแรงงานต่างชาติที่สนใจอยากมาทำงานให้กับบริษัทที่ตั้งอยู่ในประเทศไทย ได้แก่ 1) สิงคโปร์ 2) มาเลเซีย 3) จีน 4) อินโดนีเซีย 5) รัสเซีย ซึ่งในปี 2020 ประเทศไทยถูกจัดอยู่ในอันดับ 35 จากประเทศทั่วโลกที่คนทำงานต่างชาติสนใจอยากเข้ามาทำงาน ขยับขึ้นมาจากอันดับ 43 และ 39 ในปี 2014 และ 2018 ตามลำดับ

และปรากฏการณ์ที่สอง จากผลสำรวจของ จ๊อบส์ ดีบี คือ คนทำงานในประเทศไทยหลังวิกฤตการณ์โควิด-19 มีพฤติกรรมหันมาทำงานแบบเวอร์ชวลมากขึ้นในทุกสายงาน โดยเฉพาะกลุ่มเทคโนโลยี ดิจิทัล วิทยาศาสตร์ ซึ่งทั้งสองปรากฏการณ์ดังกล่าว สะท้อนให้เห็นถึงศักยภาพของกลุ่มคนทำงานแบบเวอร์ชวล (Virtual Talent Pool) ที่จะมาเป็นกุญแจสู่ความเป็นไปได้ใหม่ ๆ ให้กับภาครัฐ นายจ้าง รวมถึงคนทำงานในยุคหลังวิกฤตการณ์โควิด-19 ไม่ว่าจะเป็นโอกาสในการหางานในต่างประเทศโดยไม่ต้องโยกย้ายถิ่นฐาน หรือโอกาสในการหาคนทำงานที่ตรงตามความต้องการจากต่างประเทศ
ล่าสุด จ๊อบส์ ดีบี ได้ปรับรูปลักษณ์ตลอดจนทิศทางการดำเนินธุรกิจใหม่เพื่อให้สอดรับกับการเปลี่ยนแปลงของโลกในปัจจุบัน ผ่านการเปิดตัวแคมเปญ “หางานที่ใช่ ใช้ชีวิตที่เลือก” (Jobs That Matter) และเปิดตัวโซลูชันใหม่ให้ภาคธุรกิจและคนหางาน อาทิ การปรับอินเตอร์เฟซโฉมใหม่ การปรับฟีเจอร์ใหม่ที่จะเน้นไปที่การสร้างประสบการณ์แบบเพอร์เซอนัลไลเซชัน (Personalization) ให้กับผู้หางาน ไม่ว่าจะเป็นระบบค้นหาด้วยข้อมูลอัลกอริทึม ทางลัดเข้าสู่โปรไฟล์ส่วนตัว และระบบเอไอแนะนำตำแหน่งงาน รวมถึงการพัฒนาโครงการ “ยกระดับความรู้ ก้าวสู่งานที่ใช่” (#levelupyourcareer) กิจกรรมยกระดับทักษะคนหางานผ่านคอร์สเรียนออนไลน์ “อัพสกิล รีสกิล” รวมกว่า 80 คอร์ส อาทิ ฟินเทคและอีคอมเมิร์ซ ดิจิทัลมาร์เก็ตติ้ง ทักษะทางด้านภาษา อย่างไรก็ตาม ปัจจุบัน จ๊อบส์ ดีบี มีจำนวนประกาศงานใหม่ต่อเดือนทั้งหมดกว่า 10,000 งาน นางสาวพรลัดดา กล่าวทิ้งท้าย