December 14, 2025
×

Warning

JUser: :_load: Unable to load user with ID: 6855

บมจ.นอร์ทอีส รับเบอร์ หรือ NER เสนอขายหุ้นกู้จำนวน 1,300 ล้านบาท อายุ 2 ปี 6 เดือน อัตราดอกเบี้ยคงที่ 5.85 ต่อปี โดยเสนอขายผู้ลงทุนสถาบัน ผู้ลงทุนรายใหญ่  เปิดจองระหว่าง 5 และ 7 - 8 เม.ย.นี้ เพื่อรองรับการขยายกำลังการผลิต

  • GE เผยแพร่รายงานเรื่องการเปลี่ยนผ่านทางพลังงาน ซึ่งมาจากปณิธานของ GE ที่จะลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์เป็นศูนย์ภายในปี 2573 พร้อมประกาศเจตนารมณ์ที่จะยุติการทำธุรกิจในตลาดพลังงานถ่านหิน
  • การใช้พลังงานหมุนเวียนควบคู่ไปกับพลังงานก๊าซ และการเปลี่ยนผ่านโรงไฟฟ้าถ่านหินเป็นโรงไฟฟ้าพลังก๊าซ คือวิธีที่ทรงประสิทธิภาพในการลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ในอนาคตอันใกล้นี้
  • หลากหลายวิธีการที่จะลดหรือปล่อยคาร์บอนเป็นศูนย์ โดยผ่านกระบวนการโรงไฟฟ้าพลังก๊าซนั้น ยังรวมถึงการใช้พลังงานไฮโดรเจน และเทคโนโลยีการดักจับและกักเก็บคาร์บอน (CCUS)
  • มีการบรรลุข้อตกลงกับลูกค้าคือ Uniper และ Long Ridge Energy Center ซึ่งตอกย้ำบทบาทของพลังงานก๊าซในการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก

 จากปณิธานที่จะลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ให้เหลือศูนย์ภายในปี 2030 และเจตนารมณ์ที่จะยุติการทำธุรกิจในตลาดพลังงานถ่านหิน ล่าสุด GE ได้แถลงย้ำจุดยืนขององค์กรว่า การเร่งใช้พลังงานหมุนเวียนและโรงไฟฟ้าพลังงานก๊าซให้เร็วขึ้นนั้น จะช่วยให้การต่อสู้กับการเปลี่ยนแปลงของสภาพอากาศมีความคืบหน้าอย่างมีนัยยะสำคัญ ทั้งยังช่วยลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ให้กับโลกในอนาคตอีกด้วย

ในรายงานที่เผยแพร่ล่าสุดเรื่อง “Accelerated Growth of Renewables and Gas Power Can Rapidly Change the Trajectory on Climate Change” ที่เกี่ยวกับปณิธานการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกซึ่งมีมาอย่างยาวนานหลายทศวรรษนั้น GE ได้ระบุว่า ลำพังการใช้พลังงานอย่างใดอย่างหนึ่งนั้นยังไม่เพียงพอ แต่จำเป็นต้องทำควบคู่กันไป เพื่อให้สามารถลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ในระยะและปริมาณที่จำเป็นต่อการบรรลุเป้าหมายด้านสิ่งแวดล้อมอย่างยั่งยืนได้

 ในรายงานยังได้ระบุถึงวิธีการในเชิงเทคนิคต่างๆ ของโรงไฟฟ้าพลังก๊าซ ต่อการบรรลุเป้าหมายการลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ด้วยการจัดทำคาร์บอนฟุตปริ้นต์ผ่านการใช้พลังงานที่ปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์เป็นศูนย์ ซึ่งวิธีดังกล่าวรวมถึงการใช้พลังงานไฮโดรเจน และเทคโนโลยีการดักจับและกักเก็บคาร์บอน (CCUS) อีกด้วย

Scott Strazik ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร GE Gas Power กล่าวว่า “การแก้ปัญหาการเปลี่ยนแปลงของสภาพภูมิอากาศ คือความจำเป็นเร่งด่วนของโลก และเรื่องหนึ่งที่เราคิดว่าเราสามารถทำให้ดีขึ้นได้เพื่อเร่งความคืบหน้า ก็เป็นเรื่องที่ต้องเริ่มลงมือทำตั้งแต่ตอนนี้ ไม่ใช่อีกสิบปียี่สิบปีข้างหน้า หลังจากนี้ไป เราเชื่อว่าทั้งพลังงานหมุนเวียนและโรงไฟฟ้าพลังก๊าซต่างก็มีบทบาทและมีความสำคัญอย่างยิ่งต่อการแก้ปัญหานี้ ซึ่งการเปลี่ยนจากโรงไฟฟ้าถ่านหินเป็นโรงไฟฟ้าพลังก๊าซจะช่วยให้โลกเห็นผลคืบหน้าเร็วขึ้น และยังคงสามารถพัฒนาวิธีการต่างๆ ไปสู่เทคโนโลยีการลดหรือปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์เป็นศูนย์ในอนาคตอีกด้วย”

เพื่อให้สามารถตอบรับเป้าหมายด้านสภาพภูมิอากาศ ไปพร้อมกับความต้องการพลังงานทั่วโลกที่เพิ่มสูงขึ้น รายงานดังกล่าวจึงได้ระบุถึงข้อดีของโรงไฟฟ้าพลังก๊าซในฐานะองค์ประกอบเพื่อสนับสนุนและเร่งการปรับใช้พลังงานหมุนเวียน ดังนี้

  • โรงไฟฟ้าพลังก๊าซเป็นแหล่งพลังงานที่เชื่อถือได้ ราคาไม่แพง และไม่ต้องใช้พื้นที่มาก ซึ่งนับเป็นองค์ประกอบในอุดมคติสำหรับพลังงานหมุนเวียน
  • แม้พลังงานหมุนเวียนจะมีหลากหลายรูปแบบ แต่โรงไฟฟ้าพลังก๊าซมีความสามารถในการสั่งจ่ายไฟได้ตามความต้องการของระบบ (Dispatchable) มีความน่าเชื่อถือ และมีความยืดหยุ่น โดยมีอัตราการใช้ประโยชน์สูงสุดถึง 90%
  • ผลลัพธ์ของการเปลี่ยนจากโรงไฟฟ้าถ่านหินไปเป็นโรงไฟฟ้าพลังก๊าซในอนาคตอันใกล้ สะท้อนถึงชัยชนะที่รวดเร็วและมีประสิทธิภาพของการลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ในหลายภูมิภาคทั่วโลก ตัวอย่างที่เห็นได้ชัดเจนคือ นับตั้งแต่ปี 2550 เป็นต้นมา การปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ (CO2) ของอุตสาหกรรมพลังงานในสหรัฐ ได้ลดลงเหลือเพียง 1 ใน 3 เท่านั้น ในขณะที่ปริมาณการผลิตไฟฟ้าโดยรวมยังมั่นคงเหมือนเดิม จึงนับได้ว่าการเปลี่ยนรูปแบบจากโรงไฟฟ้าถ่านหินเป็นโรงไฟฟ้าพลังก๊าซ เป็นวิธีที่ช่วยลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ได้ดีกว่าพลังงานรูปแบบอื่น ๆ

รายงานที่เผยแพร่ล่าสุดนี้ ได้ให้รายละเอียดของเทคโนโลยีและภาพรวมของตลาดสำหรับพลังงานรูปแบบต่างๆ เอาไว้ เช่น พลังงานหมุนเวียน พลังงานก๊าซ พลังงานถ่านหิน และพลังงานนิวเคลียร์ รวมไปถึงเทคโนโลยีใหม่ที่จำเป็นต่อการกักเก็บพลังงานแบตเตอร์รี่อย่างคุ้มค่า

“ด้วยประสบการณ์ในอุตสาหกรรมผลิตไฟฟ้ามานานกว่า 125 ปี GE จึงสามารถยืนหยัดเคียงข้างลูกค้าของเราเพื่อคงความเป็นผู้นำและขับเคลื่อนพลังงานแห่งอนาคตต่อไป เราให้ความสำคัญอย่างยิ่งกับการลงทุนในเทคโนโลยีเพื่อให้สามารถใช้พลังงานหมุนเวียนได้อย่างคุ้มค่า และมุ่งไปสู่การเป็นโรงไฟฟ้าพลังก๊าซที่ไม่มีการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ ด้วยการใช้ไฮโดรเจนและเทคโนโลยีดักจับและกักเก็บคาร์บอนอันล้ำสมัย การผสมผสานของพลังงานหมุนเวียนและพลังงานก๊าซจะนำไปสู่การเปลี่ยนผ่านทางพลังงาน ซึ่งจะช่วยให้เราสามารถบรรลุเป้าหมายการลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ได้เร็วขึ้นเมื่อเทียบกับการใช้พลังงานหมุนเวียนเพียงอย่างเดียว” Vic Abate รองประธานอาวุโสและประธานเจ้าหน้าที่ฝ่ายเทคโนโลยีของ GE ซึ่งเป็นอดีตซีอีโอของ GE Gas Power และ GE Renewable Energy กล่าว

GE Renewable Energy ยังคงลงทุนในนวัตกรรมเทคโนโลยีที่ช่วยทำให้พลังงานหมุนเวียนมีราคาถูกลง ซึ่งเป็นปัจจัยสำคัญของอุตสาหกรรมพลังงานในการยังคงการเติบโตต่อไปตามที่ระบุในรายงาน และเมื่อเร็วๆ นี้ GE ได้ประกาศว่า กังหันลมนอกชายฝั่ง Haliade-X ซึ่งเป็นกังหันลมที่ทรงประสิทธิภาพมากที่สุดในวันนี้ จะได้รับการเพิ่มกำลังการผลิตเป็น 13 เมกะวัตต์ โดยเป็นการดำเนินการเฟสแรกจากทั้งหมดสองเฟสของฟาร์มกังหันลมนอกชายฝั่ง ดอดเจอร์ แบงก์ (Dodger Bank) ในสหราชอาณาจักร

ทั้งนี้ GE ดำเนินธุรกิจกังหันก๊าซจากการสั่งสมองค์ความรู้เทคโนโลยีด้านกังหันก๊าซมานานถึง 80 ปี ซึ่งยากที่จะหาใครเทียบได้ในอุตสาหกรรมผลิตไฟฟ้า และกังหันก๊าซรุ่น HA ของ GE ซึ่งนับเป็นกังหันก๊าซที่มีประสิทธิภาพมากที่สุดและมีการเติบโตเร็วที่สุดในโลก ก็ได้สร้างชื่อในหลายอุตสาหกรรมชั้นนำและเป็นเจ้าของสถิติระดับโลกถึง 2 ด้านด้วยกัน นอกจากนี้ ฝูงกังหันก๊าซที่ผ่านประสบการณ์อันโชกโชนของ GE ยังให้พลังงานในรูปแบบก๊าซไฮโดรเจนและก๊าซที่มีค่า BTU ต่ำ โดยมีการใช้งานกังหันก๊าซกว่า 75 ล้านเครื่อง มากกว่า 6 ล้านชั่วโมงทำงาน และ GE ยังคงมุ่งมั่นลงทุนในการวิจัยและพัฒนาด้านไฮโดรเจนและเทคโนโลยีดักจับและกักเก็บคาร์บอน โดยความร่วมมืออย่างใกล้ชิดกับ Global Research Center ของ GE เพื่อมุ่งพัฒนาคาร์บอนฟุตปริ้นต์ของโรงไฟฟ้าพลังก๊าซให้ปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ในระดับต่ำหรือใกล้เป็นศูนย์

ในปี 2563 ธุรกิจโรงไฟฟ้าพลังก๊าซของ GE ยังได้เข้าร่วมการลงนามความร่วมมือเชิงยุทธศาสตร์ว่าด้วยการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกกับบรรดาลูกค้ารายใหญ่จำนวนมาก ซึ่งรวมถึงบริษัท Uniper และบริษัท Long Ridge Energy Center และในปี 2564 -2565 GE ก็กำลังดำเนินโครงการนำร่องร่วมกับลูกค้า เกี่ยวกับการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกในหลากหลายช่องทาง ทั้งโครงการพลังงานไฮโดรเจนและเทคโนโลยีการดักจับและกักเก็บคาร์บอน และท้ายที่สุดนี้ GE Gas Power ได้ประกาศเข้าร่วมเป็นพันธมิตร Carbon Capture Coalition ซึ่งเป็นความร่วมมือขององค์กรและธุรกิจมากกว่า 80 แห่ง เพื่อร่วมกันกำหนดนโยบายส่งเสริมการใช้กระบวนการดักจับ กักเก็บ ขนส่ง นำไปใช้ และกำจัดคาร์บอนในทุกภาคส่วน

ในประเทศไทย ไฟฟ้าที่ผลิตได้มากกว่า 30% มาจากฐานการผลิตและอุปกรณ์ของ GE ซึ่งเราทำงานกับลูกค้าอย่างต่อเนื่องเพื่อปรับปรุงประสิทธิภาพและผลิตภาพ รวมทั้งลดต้นทุนและลดการปล่อยมลภาวะ

สำหรับแผนในอนาคตด้านพลังงานของไทยนั้น การใช้ก๊าซจะคิดเป็น 57% ของการผลิตพลังงานโดยประมาณ และเป็น 55% ของกำลังการผลิตไฟฟ้าติดตั้ง แม้ว่าประเทศจะนำเข้าเชื้อเพลิงฟอสซิลมากกว่าส่งออก มีการคาดการณ์ว่าแก๊สภายในประเทศที่สำรองไว้จะหมดภายในทศวรรษ และประเทศกำลังพึ่งพาการนำเข้า ท่อส่งแก๊สจากเมียนมาร์ และ LNG มากขึ้น ไทยเป็นประเทศที่มีกำลังการผลิตติดตั้งของพลังงานหมุนเวียนมากที่สุดในภูมิภาค (2.6 GW) โดยมาจากชีวมวล (1.6 GW) และพลังงานแสงอาทิตย์ (1.1 GW) เป็นหลัก

 บทความ :  GE ประเทศไทย

2 เมษายน 2564, กรุงเทพฯ – ก้าวนำอีกขั้นกับความสำเร็จของ CPAC ที่มุ่งมั่นยกระดับและพัฒนาอุตสาหกรรมการก่อสร้างของประเทศ สู่ Green Construction ตลอดทั้ง Supply Chain

100 ปี เครือเจริญโภคภัณฑ์ ขอบคุณคนไทย ร่วมส่งต่อโลหิต มากกว่า 2 แสนซีซี

ดีแทค ขอชวนน้องๆ มา #เปลี่ยนโลกช่วงปิดเทอม กับ dtac Young Safe Internet Leader Cyber Camp ซีซั่น 3

 

ธุรกิจขนาดเล็ก และเอสเอ็มอีทั่วโลก จำเป็นต้องพลิกโฉมรูปแบบการดำเนินงานและปรับใช้เทคโนโลยีดิจิทัลอย่างเร่งด่วน

1 เมษายน 2564 - ดีแทค เดินหน้าชูเทคโนโลยี 5G เปลี่ยนแปลงภาคอุตสาหกรรม จับมือ THE STANDARD นำ 5G รูปแบบ FWA (Fixed Wireless Access) หรือ อินเทอร์เน็ตไร้สายความเร็วสูงประจำที่ เข้าไปใช้ในการถ่ายทอดสดเป็นครั้งแรกในเอเชียด้วยคลื่น 26 GHz หรือ mmWave

นายภราดร จินขุนทอง กรรมการผู้จัดการ บริษัท CP Standart Gida Sanayi Ve Ticaret A.S. จำกัด หรือ ซี.พี. ตุรกี ในเครือ บริษัท เจริญโภคภัณฑ์อาหาร จำกัด (มหาชน) หรือ ซีพีเอฟ

31 มีนาคม 2564, กรุงเทพฯ – บริษัท เอสซีจี ยามาโตะ เอ็กซ์เพรส จำกัด ร่วมกับ เอสซีจีพี เปิดตัวโครงการ “Dream Box” กล่องเติมฝัน ปันให้น้อง

กรุงเทพฯ 29 มีนาคม 2564 – จ๊อบส์ ดีบี เปิดข้อมูลการประเมินแนวโน้มทิศทางตลาดแรงงานหลังวิกฤต (Wake-up Talk : Job Market Projection after Crisis) พบว่า ในเดือนกุมภาพันธ์ ปี 2564 จำนวนความต้องการแรงงานในประเทศไทยทั้งจากบนแพลตฟอร์มหางาน และช่องทางสื่อกลางออนไลน์อื่น ๆ ฟื้นขึ้นจากจุดต่ำสุดถึง 24.65% โดยได้ผ่านพ้นจุดต่ำสุดจากเดือนเมษายน 2563 และเดือนธันวาคม 2563 จากการระบาดระลอกที่ 2 โดยกลุ่มสายงานที่เป็นที่ต้องการมากที่สุด ได้แก่ 1) สายงานขาย บริการลูกค้า และพัฒนาธุรกิจ คิดเป็น 16.0% 2) สายงานไอที คิดเป็น 14.7% 3) สายงานวิศวกรรม คิดเป็น 9.8% ในด้านมุมมองกลุ่มธุรกิจพบว่า ธุรกิจที่มีอัตราการฟื้นตัวสูงสุดเมื่อเทียบกับครึ่งปีหลังของปี 2563 ได้แก่ 1) กลุ่มธุรกิจประกันภัย 2) กลุ่มธุรกิจอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ 3) กลุ่มธุรกิจการผลิต นอกจากนี้ยังพบว่า อัตราการแข่งขันในการหางานของคนไทยมีอัตราส่วนการแข่งขันอยู่ที่ 1 ต่อ 100 ใบสมัคร โดยกระจุกตัวอยู่เพียงในเงินเดือนไม่เกิน 30,000 บาท ในด้านของสถานการณ์การจ้างงานของกลุ่มประเทศในอาเซียน 4 ประเทศเศรษฐกิจหลัก พบว่า ประเทศที่เริ่มกลับมามีความต้องการแรงงานเพิ่มขึ้น ได้แก่ มาเลเซีย อินโดนีเซีย ไทย ฟิลิปปินส์ ตามลำดับ ล่าสุด จ๊อบส์ ดีบี ได้เปิดตัวแคมเปญ “หางานที่ใช่ ใช้ชีวิตที่เลือก” (Jobs That Matter) พร้อมเปิดตัวโซลูชันใหม่ให้ภาคธุรกิจและคนหางาน อาทิ การปรับอินเตอร์เฟซโฉมใหม่ การปรับฟีเจอร์ใหม่ ระบบเอไอใหม่ เพื่อรองรับการหางานของคนไทยทุกกลุ่มทั่วประเทศอย่างมีประสิทธิภาพ ปัจจุบัน จ๊อบส์ ดีบี มีจำนวนประกาศงานใหม่ต่อเดือนทั้งหมดกว่า 10,000 งาน

นางสาวพรลัดดา เดชรัตน์วิบูลย์ ผู้จัดการประจำประเทศไทย บริษัท จัดหางาน จ๊อบส์ ดีบี (ประเทศไทย) จำกัด กล่าวว่า จ๊อบส์ ดีบี ได้ทำการวิเคราะห์ข้อมูลและประเมินแนวโน้มทิศทางตลาดแรงงานหลังวิกฤต พบว่า ล่าสุดในเดือนกุมภาพันธ์ ปี 2564 จำนวนความต้องการแรงงานในประเทศไทยทั้งจากบนแพลตฟอร์มหางาน และช่องทางสื่อกลางออนไลน์อื่น ๆ ฟื้นขึ้นจากจุดต่ำสุดถึง 24.65% สะท้อนให้เห็นถึงสัญญาณการฟื้นตัวของตลาดแรงงานไทยผ่านจำนวนความต้องการแรงงานของผู้ประกอบการว่า ได้ผ่านพ้นจุดต่ำสุดจากช่วงเดือนเมษายน 2563 และเดือนธันวาคม 2563 จากการระบาดระลอกที่ 2 และคาดการณ์ว่าจำนวนประกาศงานทั้งประเทศจะกลับมาเป็นบวก 5% ในกลางปี 2564 (เมื่อเทียบกับกลางปี 2563) และจะฟื้นตัวเท่ากับก่อนวิกฤตการณ์โควิด–19 ในต้นปี 2565 หากไม่มีการระบาดระลอกใหม่

ในส่วนของความต้องการเมื่อแบ่งตามสายงาน จากจำนวนประกาศงานบน จ๊อบส์ ดีบี ในไตรมาสที่ 1 ของปี 2564 พบว่า กลุ่มสายงานที่เป็นที่ต้องการมากที่สุด ได้แก่ 1) สายงานขาย บริการลูกค้า และพัฒนาธุรกิจ คิดเป็น 16.0% 2) สายงานไอที คิดเป็น 14.7% 3) สายงานวิศวกรรม คิดเป็น 9.8% และในส่วนของการฟื้นตัวของแต่ละกลุ่มสายงาน พบว่า กลุ่มสายงานที่มีจำนวนประกาศงานเติบโตขึ้นมากที่สุดเมื่อเทียบกับครึ่งปีหลังของปี 2563 ได้แก่ 1) สายงานการตลาดและประชาสัมพันธ์ คิดเป็น 29.7% 2) สายงานขนส่ง คิดเป็น 24.7% 3) สายงานการผลิต คิดเป็น 20.8% นอกจากนี้ ยังพบว่า มีสายงานใหม่ ๆ เกิดขึ้นจากอุปสงค์ในประเทศที่เปลี่ยนไปหลังวิกฤตการณ์โควิด-19 อาทิ นักพัฒนาเอไอ ที่ปรึกษาด้านบล็อกเชนและสกุลเงินดิจิทัล ผู้เชี่ยวชาญ Business Transformation รวมถึง Growth Officer

 

ในด้านมุมมองกลุ่มธุรกิจพบว่า ธุรกิจที่มีสัดส่วนจำนวนประกาศงานสูงสุด ได้แก่ 1) กลุ่มธุรกิจไอที คิดเป็น 12.9% 2) กลุ่มธุรกิจการผลิต คิดเป็น 8.1% 3) กลุ่มธุรกิจการค้าปลีก-ส่ง คิดเป็น 6.6% และในส่วนของธุรกิจที่มีอัตราการฟื้นตัวสูงสุดเมื่อเทียบกับครึ่งปีหลังของปี 2563 ได้แก่ 1) กลุ่มธุรกิจประกันภัย คิดเป็น 42.9% 2) กลุ่มธุรกิจอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ คิดเป็น 41.9% 3) กลุ่มธุรกิจการผลิต คิดเป็น 37.7% นอกจากนี้ยังพบว่า อัตราการแข่งขันในการหางานของคนไทยมีแนวโน้มสูงขึ้นถึง 20% ในช่วงวิกฤตการณ์โควิด-19 และมีอัตราส่วนการแข่งขันอยู่ที่ 1 ต่อ 100 ใบสมัคร โดยการแข่งขันมีการกระจุกตัวอยู่เพียงในกลุ่มคนทำงานที่เงินเดือนไม่เกิน 30,000 บาท

ในด้านของสถานการณ์การจ้างงานของกลุ่มประเทศในอาเซียน พบว่า ประเทศที่มีจำนวนประกาศงานออนไลน์ลดลงมากที่สุดจากช่วงก่อนหน้าสถานการณ์โควิด-19 ได้แก่ 1) อินโดนีเซีย ลดลง 55.7% 2) ฟิลิปปินส์ ลดลง 46.6% 3) มาเลเซีย ลดลง 39.0% 4) ไทย ลดลง 35.6% ในขณะเดียวกัน จากจำนวนประกาศงานออนไลน์ล่าสุดในเดือนกุมภาพันธ์ ปี 2564 พบว่า ประเทศที่เริ่มกลับมามีความต้องการแรงงานเพิ่มขึ้น ได้แก่ 1) มาเลเซีย เพิ่มขึ้น 14.8% 2) อินโดนีเซีย ติดลบดีขึ้นเหลือ -16.4% 3) ไทย ติดลบดีขึ้นเหลือ -20.5% 4) ฟิลิปปินส์ ติดลบดีขึ้นเหลือ -37.7% เมื่อเทียบกับเดือนเดียวกันในปี 2563

จ๊อบส์ ดีบี ได้ร่วมมือกับบริษัทยักษ์ใหญ่อย่าง บอสตัน คอนซัลติ้ง กรุ๊ป (Boston Consulting Group) และ เดอะ เน็ตเวิร์ก (The Network) ในการจัดทำแบบสำรวจระดับโลก “ถอดรหัสลับ จับทิศทางความต้องการคนทำงานยุคใหม่” (Global Talent Survey) ฉบับที่ 1 จากผู้ตอบแบบสำรวจกว่า 2 แสนคน ใน 190 ประเทศ ภายใต้หัวข้อ “Where – ประเทศที่คนอยากทำงาน และการทำงานแบบเวอร์ชวล” เพื่อศึกษาความต้องการที่เปลี่ยนไปในแต่ละปีของแรงงานทั่วโลก โดยเฉพาะปีที่ได้รับผลกระทบจากวิกฤตการณ์โควิด-19 ทั้งนี้ จากผลสำรวจ พบว่า เกิดสองปรากฏการณ์สำคัญในช่วงวิกฤตการณ์โควิด-19 ซึ่งปรากกฏการณ์แรกคือ คนทำงานหันมาให้ความสนใจการทำงานแบบเวอร์ชวล โดยกว่า 57% ของคนทำงานทั่วโลกยินดีที่จะทำงานให้กับบริษัทที่อยู่ต่างพื้นที่ และ 50% ของคนไทยยินดีที่จะทำงานให้กับบริษัทที่อยู่ต่างพื้นที่ ซึ่ง 3 อันดับประเทศที่คนไทยอยากไปทำงานด้วยมากที่สุด ได้แก่ 1) ออสเตรเลีย 2) ญี่ปุ่น 3) สิงคโปร์ และ 5 อันดับแรงงานต่างชาติที่สนใจอยากมาทำงานให้กับบริษัทที่ตั้งอยู่ในประเทศไทย ได้แก่ 1) สิงคโปร์ 2) มาเลเซีย 3) จีน 4) อินโดนีเซีย 5) รัสเซีย ซึ่งในปี 2020 ประเทศไทยถูกจัดอยู่ในอันดับ 35 จากประเทศทั่วโลกที่คนทำงานต่างชาติสนใจอยากเข้ามาทำงาน ขยับขึ้นมาจากอันดับ 43 และ 39 ในปี 2014 และ 2018 ตามลำดับ

และปรากฏการณ์ที่สอง จากผลสำรวจของ จ๊อบส์ ดีบี คือ คนทำงานในประเทศไทยหลังวิกฤตการณ์โควิด-19 มีพฤติกรรมหันมาทำงานแบบเวอร์ชวลมากขึ้นในทุกสายงาน โดยเฉพาะกลุ่มเทคโนโลยี ดิจิทัล วิทยาศาสตร์ ซึ่งทั้งสองปรากฏการณ์ดังกล่าว สะท้อนให้เห็นถึงศักยภาพของกลุ่มคนทำงานแบบเวอร์ชวล (Virtual Talent Pool) ที่จะมาเป็นกุญแจสู่ความเป็นไปได้ใหม่ ๆ ให้กับภาครัฐ นายจ้าง รวมถึงคนทำงานในยุคหลังวิกฤตการณ์โควิด-19 ไม่ว่าจะเป็นโอกาสในการหางานในต่างประเทศโดยไม่ต้องโยกย้ายถิ่นฐาน หรือโอกาสในการหาคนทำงานที่ตรงตามความต้องการจากต่างประเทศ

ล่าสุด จ๊อบส์ ดีบี ได้ปรับรูปลักษณ์ตลอดจนทิศทางการดำเนินธุรกิจใหม่เพื่อให้สอดรับกับการเปลี่ยนแปลงของโลกในปัจจุบัน ผ่านการเปิดตัวแคมเปญ “หางานที่ใช่ ใช้ชีวิตที่เลือก” (Jobs That Matter) และเปิดตัวโซลูชันใหม่ให้ภาคธุรกิจและคนหางาน อาทิ การปรับอินเตอร์เฟซโฉมใหม่ การปรับฟีเจอร์ใหม่ที่จะเน้นไปที่การสร้างประสบการณ์แบบเพอร์เซอนัลไลเซชัน (Personalization) ให้กับผู้หางาน ไม่ว่าจะเป็นระบบค้นหาด้วยข้อมูลอัลกอริทึม ทางลัดเข้าสู่โปรไฟล์ส่วนตัว และระบบเอไอแนะนำตำแหน่งงาน  รวมถึงการพัฒนาโครงการ “ยกระดับความรู้ ก้าวสู่งานที่ใช่” (#levelupyourcareer) กิจกรรมยกระดับทักษะคนหางานผ่านคอร์สเรียนออนไลน์ “อัพสกิล รีสกิล”  รวมกว่า 80 คอร์ส อาทิ ฟินเทคและอีคอมเมิร์ซ ดิจิทัลมาร์เก็ตติ้ง ทักษะทางด้านภาษา อย่างไรก็ตาม ปัจจุบัน จ๊อบส์ ดีบี มีจำนวนประกาศงานใหม่ต่อเดือนทั้งหมดกว่า 10,000 งาน นางสาวพรลัดดา กล่าวทิ้งท้าย

X

Right Click

No right click