วัย 58 ปี ไม่ได้เป็นอุปสรรคในการทำงานแต่อย่างใด เพราะคำไพยังสนุกและมีความสุขกับการทำงาน “ทุกวัน” แม้ว่าจะมีลูกโตเป็นหนุ่มเป็นสาวและมาช่วยดูแลทั้ง 12 กิจการได้แล้ว
คำไพย้ายจากบ้านในแขวงเสียมคัวที่ไม่มีไฟฟ้าใช้ รถมอเตอร์ไซค์ก็เข้าไม่ถึงมาทำไร่ทำนาในเวียงจันทน์ตั้งแต่ปี 1980 ต่อมาได้เรียนตีเครื่องเงินเครื่องทอง ทำงานหัตถกรรมขายในตลาดเช้า และได้ร่วมกับคนต่างถิ่น 2 คน ลงทุนซื้อ-ขายทอง 1 ปีจนมีกำไร แล้วในที่สุดหุ้นส่วนทั้งสองก็ขอแยกไปทำการค้าของตัวเอง
คำไพจึงเป็น “พ่อค้าเวียงจันทน์” ซึ่งพอคิดจะเปิดร้านค้าทองก็เจอกฎระเบียบที่ทำให้เขาไปต่อไม่ได้ จึงตัดสินใจไปซื้อรถสองแถวมือสองมาให้บริการเพราะเห็นว่ามีคนทำแล้วได้ดี แต่เขาทำได้ไม่นานก็ขาดทุน จึงเปลี่ยนไปทำเฟอร์นิเจอร์ไม้ โดยเป็นกิจการเล็กๆ ที่บริหารโดยการจ้างช่างไม้มาทำพวกวงกบประตูหน้าต่างให้ทางราชการ เมื่อมีลูกค้ามากขึ้น ก็เริ่มรับทำไม้แปรรูป และนำเงินที่สะสมไว้มาสร้างโรงงานเฟอร์นิเจอร์
พอเห็นว่ามีไม้เหลือจากธุรกิจร้านเฟอร์นิเจอร์และร้านขายไม้แปรรูปที่สะสมไว้นานนับ 10 ปี เขาจึงไปปรึกษาอดีตรองประธานประเทศ “อุดม ขัตติยะ” ทำให้รู้ว่าบริษัทที่รับเหมาก่อสร้างให้รัฐบาลอยู่ประสบปัญหาเพราะรัฐบาลขาดสภาพคล่อง และได้รับคำแนะนำว่าให้รอจังหวะอีกหน่อยค่อยเปิดบริษัทรับเหมาก่อสร้าง พอทางสะดวก ปี 1998 คำไพจึงก่อตั้งบริษัท คำไพชะนะก่อสร้าง ขึ้น จากไม้กองโตที่วางแน่นิ่งจึงกลายเป็นเงินที่ไหลเวียนเข้าบริษัทได้สำเร็จ
ความตั้งใจในการทำงานและการเข้าหาผู้หลักผู้ใหญ่ที่อยู่ในส่วนกลาง ทำให้คำไพได้รับความไว้วางใจให้รับงานใหญ่จากภาครัฐอย่างต่อเนื่อง ไม่ว่าจะเป็นการสร้างอนุสาวรีย์ สร้างตึกให้รัฐบาล (ห้องว่าการลัดถะบาน) กระทรวงต่างๆ ถนนหนทาง ฯลฯ เขาจึงเป็นเจ้าของธุรกิจก่อสร้างที่ใหญ่ที่สุดใน สปป.ลาว
คำไพผู้มีความทะเยอทะยานยังแตกไลน์ธุรกิจออกไปเรื่อยๆ จนสามารถขยายธุรกิจได้เป็น “บริษัท กลุ่มคำไพ ชะนะ (Khamphay Sana Group)” ซึ่งมีทั้งธุรกิจรับเหมาก่อสร้าง ธุรกิจผลิตเฟอร์นิเจอร์ไม้ ธุรกิจออกแบบตกแต่ง ธุรกิจท่องเที่ยว ธุรกิจนำเข้า-ส่งออก ธุรกิจด้านกสิกรรม ธุรกิจโรงงานคอนกรีต ฯลฯ และเขายังมีตำแหน่งเป็นประธานสมาคมเฟอร์นิเจอร์ลาวอีกด้วย
สิ่งที่น่าสนใจคือการบริหารเงินของคำไพ เพราะช่วงแรกเขาสะสมเงินไว้ลงทุนอย่างต่อเนื่อง จนวันที่เราได้พูดคุยกับเขา เขาบอกว่าตนไม่มีเงินเก็บ มีแต่เงินกู้ และมีสินทรัพย์จำนวนมาก เพราะไปกว้านซื้อที่ดินไว้ราว 5,000 เฮกเตอร์(1 เฮกเตอร์ เท่ากับ6.25 ไร่) ทั้งที่มีถนนตัดผ่าน และที่ยังไม่มีถนนตัดผ่านเพราะมองว่าการซื้อที่ดินเป็นการลงทุนอย่างหนึ่ง
คำไพ สมชะนะ เล่าให้เราฟังว่าเขามีพนักงานที่ทำงานออฟฟิศไม่ต่ำกว่า200 คน ในที่นี้ไม่รวมแรงงานภายนอกไม่รวมช่างฝีมือ และคิดจะนำพาบริษัทเข้าตลาดหลักทรัพย์ เพื่อความมั่นคงในอนาคต
“ข้าพเจ้าคึดหว่า เฮ็ดแบบครอบครัวนี่มันบ่ยืนยงแน่นอน อุดมการณ์เฮาไปแล้ว อุดมการณ์ของผู้ที่สองลูกเฮาเป็นแนวใด๋ มันสิมีอุดมการณ์ให้ลูกให้หลานมันในแนวใด๋ทุกคนยักสบาย บ่ยักใช้หัวคิดปัญญา ทุกคนยักให้ความสุขแก่ตัวเอง หลงใหลไปเพ้อฝันว่าตัวเองมีเงิน อยากใช้จ่ายอะไรก็จ่ายไปผลสุดท้ายหาเงินบ่เป็น มันจ๊บเมิด ผู้ที่อยู่หลังเจ้ามันแซงคิวเจ้าปุ๊ดโลด แม่นบ่ล่ะ
อันนี้เฮาเห็นปะหวัดผู้ที่พ่อแม่มีเงินหลายแล้วลูกบ่เฮ็ดอิหยัง และข้าพเจ้าก็กัวในจุดนั้น จังหว่าเข้าตลาดหลักทรัพย์ มันจะยืนยง ทุกคนมาร่วมธุรกิจนำกัน
ทุกคนมาเป็นเจ้าของนำกัน เฮามีแต่ถือหุ้น เส้นข้าพเจ้าจะร้อยปีสองร้อยปีมันก็มีซื้อคำไพซะนะอยู่นี่ ข้าพเจ้าก็คึดในจุดนั้น คนเฮาบ่อยู่ร้อยปีเนาะ จะเฮ็ดใดอยู่เวียด แล้วสะนั้น ทุกคนก็ยักรวยเมิด ทุกคนก็ยักดีเมิด บ่มีผู้ใดยักจน และบ่มีไผยักเป็นผู้ร้าย แต่สภาพแวดล้อมมันก็บ่คือกัน แนวคิดจิตใจก็บ่คือกัน คนในจำพวกเฮาจะเบิ่งโลกในแง่บวกตลอด มันจะบ่เบิ่งโลกในแง่ลบ และวิเคราะห์แต่ในแนวใดอย่างเดียว วิเคราะห์เข้าตัว แต่เฮ็ดหยังมันต้องเฮ็ดให้มันเถิง ข้าพเจ้ามาอยู่จุดนี้ ย้อนข้าพเจ้าเป็นผู้คนที่เฮ็ดแท้ทำจริง บ่มีนอกมีใน เว่าเฮ็ดก็คือเฮ็ด”
คำไพเป็นคนจริงจังในการทำงาน เขามี Creativity และมีความเป็น Entrepreneurship สูงมาก ทั้งๆ ที่ไม่ได้ร่ำเรียนถึงระดับปริญญา แต่ที่เขาผ่านมาถึงจุดนี้ได้ก็เพราะ “ลองผิดลองถูก” มาเยอะ และชอบศึกษาชีวิตคนต่างๆ ผ่านการ “ฟัง” เรื่องราวจากคนที่อาบน้ำร้อนมาก่อน ทั้งยังสังเกตความเป็นอยู่การวางตัว และหัวใจของคนที่ประสบความสำเร็จ รวมทั้งดูทีวีเป็นประจำทำให้รู้เรื่องราวของคนที่เคยทุกข์ เคยจน แล้วสู้ชีวิตจนได้เป็นคนมีหน้ามีตาในสังคมเขาจึงเป็นตัวอย่างของเศรษฐีลาวที่ไม่หยุดเรียนรู้ คำไพในวันนี้ยังคงขับรถคันเก่า ใช้ชีวิตสมถะ แสดงให้เห็นว่า เขารู้คุณค่าของเงิน และเป็นผู้ประกอบการที่ไม่เห็นแก่ตัว เพราะไม่ได้คิดถึงแต่ตัวเองเท่านั้น แต่ยังอยากให้คนลาวมีชีวิตความเป็นอยู่ที่ดีขึ้นด้วย
“เฮาเรียนบ่สูง ได้ค้าขายให้คนทั้งโลกก็มีความสุขแล้ว ได้เงินก็มาช่วยให้คนมีงานทำต่อ เพราะความรู้และประสบการณ์ของคนลาวยังน้อย เฮายักให้คนลาวเฮ็ดงาน หลุดพ้นความยากจน”
คำไพ - คนเล็ก ธุรกิจใหญ่ แถมหัวใจยังหล่ออีกต่างหาก