November 24, 2024

เฟดเอ็กซ์ คอร์ปอเรชั่น (Federal Express Corporation) หนึ่งในบริษัทผู้ให้บริการขนส่งสินค้าด่วนที่ใหญ่ที่สุดในโลก เปิดตัวคู่มืออีคอมเมิร์ซข้ามพรมแดน 2 ฉบับ เพื่อส่งเสริมลูกค้ากลุ่มธุรกิจขนาดกลางและขนาดย่อย (SMEs) ในประเทศไทยให้ก้าวเข้าสู่ระบบนิเวศอีคอมเมิร์ซในประเทศจีนและญี่ปุ่นได้อย่างมีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น 

ในปัจจุบัน ประเทศจีนและญี่ปุ่นถือเป็นตลาดการค้าที่ใหญ่ที่สุดในภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก1 ด้วยการนำเข้าและส่งออกอีคอมเมิร์ซข้ามพรมแดนที่แข็งแกร่ง มอบโอกาสทางธุรกิจที่กว้างขวางให้แก่กลุ่มผู้ประกอบการ SMEs โดยผู้ประกอบการต่างชาติที่ต้องการประสบความสำเร็จในตลาดจีนและญี่ปุ่น จำเป็นต้องทำความเข้าใจลักษณะเฉพาะของพฤติกรรมผู้บริโภคในโลกดิจิทัล ความนิยมของผู้บริโภค และการขนส่งของตลาดแต่ละประเทศ เพื่อสร้างโมเดลธุรกิจของตนอย่างยั่งยืน 

FedEx มีความเชี่ยวชาญด้านอุตสาหกรรมอีคอมเมิร์ซในประเทศจีนและญี่ปุ่นอย่างลึกซึ้ง พร้อมนำความรู้และประสบการณ์มาพัฒนาคู่มืออันเป็นประโยชน์ให้แก่ผู้ประกอบการ สำหรับผู้ที่สนใจสามารถดาวน์โหลดคู่มือได้ทางเว็บไซต์ FedEx โดยภายในคู่มือประกอบด้วย: 

  • ภาพรวมภูมิทัศน์ของผู้บริโภคในแต่ละประเทศ เพื่อชี้แนะผู้ค้าปลีกออนไลน์ในการกำหนดกลุ่มเป้าหมายที่เหมาะสมและมีศักยภาพให้กับธุรกิจของตน 
  • หมวดหมู่สินค้าอีคอมเมิร์ซที่สำคัญที่สุด เพื่อให้ผู้ประกอบการ SMEs เข้าใจถึงการแข่งขันในแต่ละตลาด โดยระบุหมวดหมู่สินค้าที่มีการแข่งขันสูง และหมวดหมู่สินค้าที่มีโอกาสเติบโตในอนาคต 
  • โปรไฟล์ธุรกิจและเว็บไซต์อีคอมเมิร์ซในแต่ละประเทศ ที่ได้รับความสนใจจากผู้บริโภคมากที่สุด 
  • พฤติกรรมและความนิยมของผู้บริโภคเกี่ยวกับกลยุทธ์ด้านการตลาด เช่น การถ่ายทอดสด (Livestreaming) วิดีโอสั้น (Short Video) และการซื้อขายสินค้าหรือบริการผ่านโซเชียลมีเดีย (Social Commerce) 
  • เทศกาลที่เป็นที่นิยมในแต่ละประเทศ เช่น วันวาเลนไทน์ (Valentines Day) วันคนโสด (Single Day) และวันคนมีคู่ (Couples Day) ในประเทศจีน รวมถึง วันปีใหม่ (Oshougatsu New Year Holidays) และสัปดาห์ทอง (Golden Week) ในประเทศญี่ปุ่น  
  • การชำระเงินและการขนส่งที่ผู้บริโภคแต่ละประเทศเลือกใช้ 

“การค้นหาและเจาะกลุ่มลูกค้าใหม่ ๆ ในตลาดระดับนานาชาติถือเป็นกลยุทธ์ที่สำคัญสำหรับกลุ่มผู้ประกอบการ SMEs ที่ต้องการขับเคลื่อนธุรกิจของตนเองให้ดึงดูดผู้บริโภคและสร้างผลประกอบการให้เติบโตอย่างต่อเนื่อง ในปัจจุบัน สื่อดิจิทัลช่วยลดอุปสรรคและเปิดโอกาสในการเข้าถึงตลาดมากขึ้น อย่างไรก็ตาม การเข้าใจข้อมูลเชิงลึกและพฤติกรรมผู้บริโภคในแต่ละประเทศยังคงเป็นกลยุทธ์ที่ดีที่สุดและขาดไม่ได้ในการบริหารธุรกิจ โดยเฉพาะอย่างยิ่งท่ามกลางบทบาทของอีคอมเมิร์ซที่เปลี่ยนแปลงไปอย่างรวดเร็ว” คาวาล พรีท ประธานประจำภูมิภาคเอเชียแปซิฟิกของเฟดเอ็กซ์ กล่าว “ประเทศจีนและญี่ปุ่นนับเป็นตลาดที่สำคัญในภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก ทางบริษัทฯ ได้ต่อยอดประสบการณ์และความรู้ที่ได้จากการดำเนินกิจการภายในประเทศเหล่านี้มาอย่างยาวนานหลายทศวรรษ ซึ่งนับเป็นองค์ความรู้ที่สำคัญสำหรับอีคอมเมิร์ซ ไม่เพียงเท่านี้ เรายังเชื่อมต่อแพลตฟอร์มและขั้นตอนต่าง ๆ เพื่อให้ผู้ประกอบการและผู้บริโภคได้รับประสบการณ์ที่ไร้รอยต่อ ผลักดันการส่งมอบแนวความรู้และช้อมูลเชิงลึกที่เป็นเอกลักษณ์ สนับสนุนให้ร้านค้าปลีกสามารถขับเคลื่อนธุรกิจได้อย่างราบรื่นและมีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น” 

“กลุ่มธุรกิจ SMEs ถือเป็นรากฐานที่สำคัญของเศรษฐกิจภายในประเทศไทย เรามุ่งมั่นสานต่อเจตนารมณ์ในการผลักดันกลุ่มธุรกิจ SMEs ในประเทศให้เข้าใจและสามารถขยายธุรกิจไปยังตลาดใหม่ ๆ คู่มืออีคอมเมิร์ซ 2 ฉบับนี้ รวบรวมข้อมูลการวิเคราะห์เชิงลึกมากมายเกี่ยวกับการแข่งขันและลักษณะเฉพาะที่สำคัญภายในตลาดประเทศจีนและญี่ปุ่นอย่างครอบคลุม เพื่อเตรียมความพร้อมให้ผู้ประกอบการกลุ่ม SMEs ในประเทศสามารถดำเนินธุรกิจในตลาดอีคอมเมิร์ซระดับสากลได้อย่างมีประสิทธิภาพ” นายศศธร ภาสภิญโญ กรรมการผู้จัดการ เฟดเอ็กซ์ ประเทศไทย กล่าว “เจตนารมณ์ในการผลักดันผู้ประกอบการ SMEs นี้ สอดคล้องกับมาตรการของรัฐบาลไทยในการขยายตลาดสู่ประเทศจีน ส่งเสริมการค้าไร้พรมแดน พร้อมเดินหน้าพัฒนาเศรษฐกิจในประเทศให้เติบโตอย่างมั่นคง” 

“ในปัจจุบัน กลุ่มธุรกิจในประเทศไทยมีศักยภาพในการเติบโตและประสบความสำเร็จภายในตลาดอีคอมเมิร์ซประเทศจีนและญี่ปุ่นอย่างมาก” นายศศธร ภาสภิญโญ กรรมการผู้จัดการ เฟดเอ็กซ์ ประเทศไทย กล่าว “เราเชื่อมั่นว่ากลุ่มธุรกิจ SMEs ในประเทศจะสามารถเติบโตภายในตลาดเหล่านี้ได้อย่างยั่งยืนด้วยคู่มืออีคอมเมิร์ซที่เป็นประโยชน์ โดยคู่มือนี้รวบรวมข้อมูลและการบริการจากความรู้ความชำนาญ รวมถึงเครือข่ายทั่วโลก สะท้อนบทบาทของเฟดเอ็กซ์ในฐานะหนึ่งในพาร์ทเนอร์สำหรับกลุ่มธุรกิจในการขยายตลาดสู่ระดับสากล” 

ประเทศไทยเป็นประเทศที่มีบทบาทสำคัญในฐานะศูนย์กลางการค้าที่สำคัญในระดับภูมิภาคเอเชียและระดับสากล โดยผู้ประกอบการ SMEs ชาวไทยซึ่งคิดเป็น 99% ของผู้ประกอบการทั้งหมดในประเทศไทย2  ต่างมีส่วนสำคัญในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจภายในประเทศ ส่งเสริมให้ประเทศไทยเป็นหนึ่งในผู้นำด้านตลาดสินค้าส่งออก อันได้แก่ ผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรมการเกษตร รถยนต์ และเครื่องจักรกล ยิ่งไปกว่านั้น ประเทศจีนและญี่ปุ่นถือเป็นตลาดส่งออกหลัก 3 อันดับแรกของประเทศที่สำคัญและน่าจับตามอง ส่งเสริมโอกาสที่ดีสำหรับกลุ่มธุรกิจ SME ในไทย ให้สามารถก้าวขึ้นสู่เวทีการค้าระดับโลกได้อย่างสมบูรณ์ 

สำหรับผู้ที่สนใจศึกษาข้อมูลเพิ่มเติม สามารถดาวน์โหลดคู่มือได้ทาง: คู่มือการขยายตลาดอีคอมเมิร์ซไร้พรมแดนสู่ประเทศจีนและญี่ปุ่น 

ดาวเทียมดวงที่ 9 ที่ควบคุมโดยซอฟต์แวร์ของแอร์บัสจะขยายขีดความสามารถให้กับ ไทยคมในการใช้งานบรอดแบนด์ @AirbusSpace @Thaicom #OneSat กรุงเทพ 11 กันยายน 2566 – บริษัท ไทยคม จำกัด (มหาชน) ผู้นำธุรกิจดาวเทียมแห่งเอเชีย และผู้ ให้บริการด้านเทคโนโลยีอวกาศ ประกาศการลงนามข้อตกลงร่วมกับแอร์บัสเพื่อใช้บริการดาวเทียมที่ สามารถรองรับปริมาณการรับส่งข้อมูลสูงที่ใช้ซอฟต์แวร์รุ่นใหม่ล่าสุดในการควบคุม OneSat ดาวเทียมทีสร้าง ่ โดยแอร์บัสจะช่วยขยายการสื่อสารผ่านเครือข่ายอินเทอร์เน็ตใหก้บั ลูกคา้ไทยคมหลายล้านราย – ลิขสิทธิภาพของแอร์บัส แอร์บัสจะเป็นผู้จัดหาดาวเทียม OneSat หนึ่งในดาวเทียมรุ่นใหม่ล่าสุดที่สามารถปรับและตั้งค่าใหม่ได้ตาม ต้องการ โดยดาวเทียมไทยคมดวงนี้จะให้บริการสื่อสารผ่านเครือข่ายอินเทอร์เน็ตย่านความถี่ Ku-Band ให้แก่ลูกค้าหลายล้านรายทั่วทั้งเอเชียแปซิฟิกดาวเทียมไทยคมถูกปล่อยขึ้นสู่วงโคจรและปฏิบัติหน้าที่อยู่ ทั้งหมด 8 ดวง โดยที่ดวงนี้จะเป็นดาวเทียมสื่อสารที่มีความยืดหยุ่นดวงแรก สามารถสามารถปรับเปลี่ยน พื้นที่ ปริมาณช่องสัญญาณในการให้บริการและความจุได้มากขึ้นซึ่งเป็นปัจจัยสำคัญในภูมิภาคที่มีการ เปลี่ยนแปลงอยู่ตลอดเวลา

นายฌอง-มาร์ค นาซร์(Jean-Marc Nasr) หัวหน้าฝ่ ายระบบอวกาศของแอร์บัส กล่าวว่า “สัญญา ฉบับส าคัญฉบับที่ 9 ที่ลงนามร่วมกับบริษัทไทยคมผู้นำธุรกิจดาวเทียม เป็นสัญญาที่เกี่ยวกับกลุ่ม ผลิตภัณฑ์OneSat ดาวเทียมรุ่นผู้บุกเบิกของเราที่สามารถทำการปรับและตั้งค่าใหม่ได้ตามต้องการอย่าง สมบูรณ์ขณะอยู่ในวงโคจรและมีความยืดหยุ่นแบบไม่มีใครสามารถเทียบได้ ความร่วมมือกับไทยคมครั้งนี้ เป็นการทำงานร่วมกันเป็นครั้งแรกและเราหวังเป็นอย่างยิ่งว่าจะได้สานความสัมพันธ์ของเราในอนาคต” นายปฐมภพ สุวรรณศิริประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บมจ. ไทยคม กล่าวว่า “ผมรู้สึกยินดีอย่างยิ่งที่เรา ได้เลือกแอร์บัสมาเป็นผู้ผลิตดาวเทียมที่สามารถรองรับปริมาณการรับส่งข้อมูลสูงควบคุมโดยซอฟต์แวร์รุ่น ใหม่ล่าสุด (High Throughput Satellite: HTS) รุ่นใหม่ล่าสุดของเรา และในฐานะผู้ให้บริการเทคโนโลยี ดาวเทียมชั้นน า เราเชื่อมั่นว่าแอร์บัสเป็นทางเลือกที่ดีที่สุดสำหรับการสร้างดาวเทียมดวงใหม่ที่ประจำอยู่ที่ วงโคจรตำแหน่ง 119.5 องศาตะวันออก โดยความยืดหยุ่นและความว่องไวในการตั้งค่านี้จะช่วยให้เรา สามารถปรับเปลี่ยนการให้บริการในพื้นที่ได้อย่างสะดวกซึ่งจะช่วยเพิ่มความมั่นใจให้กับลูกค้าและ พันธมิตรของไทยคมทั่วภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก จึงนับเป็นก้าวครั้งสำคัญของไทยคมเนื่องจากเราเดินหน้าสู่ การขยายธุรกิจดาวเทียมบรอดแบนด์ในภูมิภาคนี้” ดาวเทียมที่มีความทันสมัยดวงนี้จะประจำอยู่ที่วงโคจรตำแหน่ง 119.5 องศาตะวันออกจะท าให้ไทยคม สามารถมอบข้อเสนอการแชร์น้ำาหนักบรรทุกดาวเทียมให้กับพันธมิตรผู้ให้บริการของตนได้ช่วยลดต้นทุน ลงและพวกเขายังสามารถควบคุมน้ำหนักบรรทุกและแต่ละรายได้ตามความต้องการและมีความยืดหยุ่น แอร์บัสจะทำการออกแบบและผลิตดาวเทียมดวงนี้ และจะเป็นผู้ดูแลส่งมอบอุปกรณ์ส่วนการควบคุม ภาคพื้นดินอีกด้วย โดยแอร์บัสมีแผนจะส่งมอบดาวเทียมดวงนี้ภายในปี 2570 ดาวเทียมแอร์บัสวันแซท (Airbus OneSat) สามารถทำการตั้งค่าใหม่อย่างเต็มรูปแบบได้ขณะที่ดาวเทียม ประจ าอยู่ที่วงโคจร สามารถปรับพื้นที่ที่ครอบคลุม พื้นที่ความจุและความถี่ได้“ทันที” เพื่อให้สอดคล้องกับ สถานการณ์ต่างๆ ของภารกิจที่เปลี่ยนแปลงตลอดเวลา ดาวเทียมดวงนี้สร้างต่อยอดมาจาก Eurostar ดาวเทียมโทรคมนาคมค้างฟ้าที่มีความน่าเชื่อถือแม่นย าสูงของแอร์บัส และความเชี่ยวชาญด้านดาวเทียม แบบกลุ่ม (Constellation Satellite) ของบริษัทกับ OneWeb โครงการพัฒนาดาวเทียม OneSat ได้รับการ สนับสนุนจากองค์กรอวกาศของยุโรป (European Space Agency: ESA) รวมไปถึงจากองค์การศึกษาวิจัย อวกาศแห่งชาติฝรั่งเศส (Centre National d’Etudes Spatiales: CNES) และองค์การอวกาศแห่งสหราช อาณาจักร (UK Space Agency)

เพลงอินดี้สัญชาติไทยครองใจผู้ฟังจำนวนมาก เพราะมีเอกลักษณ์โดดเด่นทั้งในด้านซาวด์ดนตรี อารมณ์เพลง และเนื้อร้องที่แสดงออกถึงความเป็นตัวของตัวเองและความคิดสร้างสรรค์ของศิลปิน วันนี้ Spotify จึงขอเดินหน้าสนับสนุนเพลงอินดี้สัญชาติไทยด้วยการปรับโฉมเพลย์ลิสต์เรือธง “อินดี้ศาสตร์” (Indieology) พร้อมทั้งเปิดตัว 2 เพลย์ลิสต์ใหม่สุดโดนใจชาวเพลงอินดี้อย่าง “อินดี้มานาน” (Indie Long Time) และ “อินดี้ เทสดี” (Indie Tasty) เริ่มกันที่ อินดี้ศาสตร์ (Indieology) เพลย์ลิสต์รวมเพลงอินดี้สุดฮิตติดชาร์ตที่คุณไม่ควรพลาด พร้อมเปิดฟังวนซ้ำๆ ได้ไม่มีเบื่อ Dept ศิลปินดูโอ้แนวอินดี้ป๊อป กล่าวหลังได้ขึ้นปกเพลย์ลิสต์ อินดี้ศาสตร์ (Indieology) ว่า “เพลย์ลิสต์ อินดี้ศาสตร์ (Indieology) ของ Spotify ไม่ได้เป็นพื้นที่ให้ผู้ฟังค้นพบตัวตนของเราในฐานะศิลปินเท่านั้น แต่ยังช่วยให้เราเชื่อมต่อกับแฟนๆ จากทั่วโลกอีกด้วย เรารู้สึกขอบคุณ Spotify ที่มีบทบาทสำคัญในการทำให้วงการเพลงอินดี้เติบโตในวงกว้างมากขึ้นกว่าเดิมครับ” ทั้งนี้ เพลง ถ้ารู้ว่าจะหายไป ของ Dept รวมอยู่ในเพลย์ลิสต์นี้ด้วย

เพลงอินดี้บนแพลตฟอร์มของ Spotify มียอดผู้ฟังเพิ่มขึ้นมากกว่า 70% ในปีที่ผ่านมา สะท้อนให้เห็นว่าแฟนเพลงในประเทศไทยนิยมใช้แพลตฟอร์มของ Spotify เพื่อค้นหาเพลงอินดี้อย่างต่อเนื่อง คุณปิโยรส หลักคำ บรรณาธิการดนตรีอาวุโส Spotify ประเทศไทย กล่าวว่า “Spotify รู้สึกยินดีอย่างยิ่งที่ได้มีส่วนสนับสนุนให้ศิลปินอิสระของไทยมีพื้นที่ของพวกเขามากขึ้น เราให้ความสำคัญกับดนตรีและผลงานเพลงที่ยอดเยี่ยมของศิลปินอินดี้ด้วยการเปิดโอกาสให้ผู้ฟังค้นพบและชื่นชอบผลงานเพลงที่โดดเด่นของพวกเขา ในช่วงเวลาที่วงการเพลงอินดี้กำลังเติบโตและก้าวหน้าอย่างต่อเนื่อง” อินดี้ เทสดี (Indie Tasty) เปิดหูเปิดใจลองฟังเพลย์ลิสต์ที่อัดแน่นไปด้วยศิลปินอินดี้หน้าใหม่ที่รอให้ทุกคนค้นพบ PAKBUNG ศิลปินหญิงเดี่ยวแนวอินดี้ป๊อป เผยความในใจหลังได้ขึ้นปกเพลย์ลิสต์ อินดี้ เทสดี (Indie Tasty) ว่า “สัญญา (can I?) เป็นเพลงที่บอกเล่าความรู้สึกของคนที่ต้องการสารภาพรัก และขอโอกาสให้ตัวเองได้เป็นคนเลือกบ้าง ผักบุ้งดีใจทุกครั้งที่มีคนค้นพบและฟังเพลงของผักบุ้ง แต่ที่เซอร์ไพรส์ที่สุดคือการสตรีมฟังเพลงของผักบุ้งจากต่างประเทศ สิ่งเหล่านี้ทำให้ผักบุ้งมีกำลังใจที่จะสร้างสรรค์ผลงานเพลง และทำให้รู้ว่าเพลงของผักบุ้งมีอิมแพ็คต่อผู้ฟังค่ะ” อินดี้มานาน (Indie Long Time) เพลิดเพลินไปกับเพลย์ลิสต์เพลงอินดี้ในอดีตที่ปล่อยมานาน แต่ยังคงฮิตติดหูโดนใจไม่ตกยุค ให้แฟนเพลงดื่มด่ำไปกับรากเหง้าของแนวเพลงอินดี้สุดคลาสสิก Safeplanet วงดนตรีแนวอินดี้ป๊อปที่ได้รับเลือกให้ขึ้นปกเพลย์ลิสต์ อินดี้มานาน (Indie Long Time) กล่าวว่า “พวกเรารู้สึกดีใจที่เพลงเก่าของเรายังคงมีผู้ฟังอยู่เรื่อยๆ บนแพลตฟอร์มของ Spotify เพลย์ลิสต์ของ Spotify ไม่เพียงช่วยให้แฟนเพลงทั้งเก่าและใหม่ได้ฟังอัลบั้มของเราเท่านั้น แต่ยังช่วยให้เรามีแรงบันดาลใจในการสร้างสรรค์ผลงานเพลงต่อไปครับ”

นอกจากนี้ Spotify ยังมีฟีเจอร์ที่โดดเด่นอื่น ๆ อีก เช่น ฟีเจอร์ “Lyrics” และฟีเจอร์ “Playlist Stories” ที่ช่วยเชื่อมต่อแฟนเพลงอินดี้เข้ากับศิลปินคนโปรดให้ใกล้ชิดกันมากขึ้น ฟีเจอร์เหล่านี้ทำให้ผลงานเพลงของศิลปินมีชีวิตชีวา โดยเพลงต่าง ๆ ที่ได้รับการถ่ายทอดออกมาจากห้วงความคิด เส้นทางชีวิต และประสบการณ์ต่าง ๆ ของศิลปิน ไม่ว่าจะเป็นเรื่องความรักไปจนถึงเรื่องอกหัก ถ้าพร้อมแล้วก็เริ่มออกเดินทางเข้าสู่โลกของเพลงอินดี้กันเลย!

มันนิกซ์ (MONIX) ฟินเทคสตาร์ทอัพผู้ให้บริการ “แอปฟินนิกซ์” (FINNIX) แพลตฟอร์มสินเชื่อดิจิทัลคู่คนทำมาหากิน ประกาศความสำเร็จคว้าเงินลงทุนมูลค่ากว่า 700 ล้านบาท หรือ 20 ล้านเหรียญดอลลาร์สหรัฐฯ จากบริษัท เอสซีบี เอกซ์ จำกัด (มหาชน) หรือ SCBX และลอมบาร์ด เอเชีย (Lombard Asia) เพื่อเสริมความแข็งแกร่งให้ธุรกิจนาโนไฟแนนซ์ ทะยานสู่ผู้นำสินเชื่อดิจิทัลด้วยผลงานการเติบโตที่โดดเด่น ตอกย้ำภารกิจลดความเหลื่อมล้ำเรื่องเงินให้สังคมไทย เตรียมพร้อมธุรกิจสู่ IPO ในอนาคต

นายชินบิน ฟาน ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท มันนิกซ์ จำกัด และนางสาวถิรนันท์ อรุณวัฒนกูล ประธานเจ้าหน้าที่ปฏิบัติการ บริษัท มันนิกซ์ จำกัด กล่าวว่า “มันนิกซ์รู้สึกยินดีเป็นอย่างยิ่งที่ได้พันธมิตรใหม่เข้ามาร่วมลงทุนและสร้างโอกาสให้กับคนทำมาหากินที่ยังเข้าไม่ถึงการเงิน ซึ่งการได้รับเงินลงทุนเพิ่มในครั้งนี้ ตอกย้ำให้เห็นถึงความเชื่อมั่นที่ทาง SCBX และลอมบาร์ดเอเชียมีต่อวิสัยทัศน์และการเป็นผู้นำธุรกิจสินเชื่อดิจิทัลของเราได้เป็นอย่างดี โดยเราจะเดินหน้ายกระดับแพลตฟอร์มผลิตภัณฑ์และบริการทางการเงินให้เป็นเพื่อนซี้ที่ดีที่สุด ด้วยพลังของเทคโนโลยีเอไอและแมชชีนเลิร์นนิงอันชาญฉลาดที่สุด เพื่อลดความเหลื่อมล้ำและช่วยให้คนไทยการเงินดีมีสุขได้ยั่งยืนอย่างแท้จริง”

มันนิกซ์คือผู้นำแพลตฟอร์มสินเชื่อดิจิทัลพลังเอไอที่เข้าใจลูกค้าที่สุด จัดตั้งบริษัทเมื่อปี พ.ศ. 2563 จากการร่วมทุนของกลุ่มเอสซีบี เอกซ์ (SCBX Group) และกลุ่มอบาคัส (Abakus Group) ฟินเทคยูนิคอร์น จากประเทศจีน ด้วยวิสัยทัศน์ที่มุ่งมั่นในการสร้างโอกาสให้คนไทยได้การเงินดีมีสุข บริษัทให้บริการแอปพลิเคชัน “ฟินนิกซ์” เพื่อช่วยเหลือคนไทยกว่า 36 ล้านคนที่ไม่สามารถขอสินเชื่อจากธนาคารหรือสถาบันการเงิน ให้เข้าถึงสินเชื่อที่ถูกกฎหมายและเป็นธรรมได้ แอปฟินนิกซ์สามารถอนุมัติสินเชื่อได้ไวสุดใน 5 นาที จากการใช้ข้อมูลทางเลือก (Alternative Data) โดยไม่ต้องค้ำประกันหรือส่งเอกสาร ซึ่งช่วยลดปัญหาหนี้นอกระบบได้เป็นอย่างดี

ปัจจุบัน มันนิกซ์มียอดปล่อยสินเชื่อแล้วทั้งสิ้นกว่า 1.5 หมื่นล้านบาท มีลูกค้าสินเชื่อรวมกว่า 650,000 ราย และมีผลกำไรสุทธิเป็นบวกแม้ในสภาวะเศรษฐกิจที่ท้าทาย จากการลงทุนในครั้งนี้ทำให้มีเงินทุนสะสมรวมทั้งสิ้นแล้วราว 1,400 ล้านบาท หรือ 40 ล้านเหรียญดอลลาร์สหรัฐฯ และด้วยการสนับสนุนที่ดีจากพาร์ทเนอร์ บริษัทมีความพร้อมอย่างยิ่งที่จะเดินหน้าเร่งการเติบโตทางธุรกิจ ยกระดับแพลตฟอร์มผลิตภัณฑ์และบริการ เพื่อขยายฐานลูกค้าใหม่ จากนี้บริษัทเตรียมแผนจะเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ฯ (IPO) โดยมีเป้าหมายจะเป็นแอปทางการเงินที่ช่วยลดความเหลื่อมล้ำเรื่องเงินให้ประเทศไทย

 

ดร.อารักษ์ สุธีวงศ์ รองประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท เอสซีบี เอกซ์ จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า "การลงทุนในครั้งนี้ แสดงให้เห็นถึงความมุ่งมั่นอย่างต่อเนื่อง และเชื่อมั่นในโอกาสการเติบโตในระยะยาวของมันนิกซ์ ในฐานะบริษัทแม่ของกลุ่ม ทาง SCBX ยังคงให้การสนับสนุนบริษัทลูกอย่างต่อเนื่องและไปในทิศทางที่เหมาะสมกับแต่ละบริษัท ซึ่งรวมถึงการระดมทุนจากภายนอกของมันนิกซ์ในรอบนี้ เพื่อสร้างการเติบโตและเตรียมความพร้อมในการเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ฯ (IPO) ในอีกไม่กี่ปีข้างหน้า มุ่งเพิ่มมูลค่าของบริษัทและสร้างผลตอบแทนสูงสุดให้กับผู้ถือหุ้น นอกจากนี้ จากความสามารถและประสบการณ์ของทีมงานผู้เชี่ยวชาญของลอมบาร์ดเอเชียและกลุ่มอบาคัส ทำให้เรามั่นใจเป็นอย่างยิ่งว่ามันนิกซ์จะสามารถบรรลุเป้าหมายตามแผนที่วางไว้ ซึ่งจะช่วยเสริมแกร่งให้หนึ่งในเป้าหมายสำคัญของ SCBX นั่นคือการแสวงหาโอกาสและความเป็นไปได้ใหม่ๆ ในบริการทางการเงิน และเพิ่มมูลค่าสูงสุดให้กับบริษัทในพอร์ตโฟลิโอ โดยเราจะเดินหน้ายกระดับกลยุทธ์อย่างต่อเนื่อง เพื่อปลดล็อกมูลค่าที่ซ่อนอยู่จากการลงทุนด้านฟินเทคของเรา และพร้อมตั้งตารอความสำเร็จอื่นๆ อีกมากมายที่จะตามมาในอนาคต"

 

นายเอกลักษณ์ หวังชูเชิดกุล กรรมการผู้จัดการ ลอมบาร์ดเอเชีย กล่าวว่า “มันนิกซ์คือผู้นำธุรกิจสินเชื่อดิจิทัลที่มีความน่าสนใจและกำลังเติบโตอย่างรวดเร็ว การลงทุนครั้งนี้เป็นไปตามแผนกลยุทธ์ของเราที่ต้องการสนับสนุนธุรกิจที่มุ่งสร้างประโยชน์ให้กับสังคมควบคู่ไปกับการสร้างผลตอบแทนในการลงทุนที่ดี ซึ่งมันนิกซ์เป็นแพลตฟอร์มการเงินชั้นนำที่เปิดโอกาสในการเข้าถึงบริการทางการเงินที่มีคุณภาพให้กับกลุ่มลูกค้าผู้มีรายได้น้อย จึงตอบโจทย์ข้อนี้ได้เป็นอย่างดี ในฐานะนักลงทุน ทางลอมบาร์ดเอเชียจะผนึกพลังกับผู้บริหารของมันนิกซ์ในการขับเคลื่อนธุรกิจและเร่งอัตราการเติบโตให้ก้าวกระโดด เพื่อมุ่งสู่การ IPO ให้สำเร็จ”

การเกษตรยุคใหม่ หรือ สมาร์ทฟาร์มมิ่ง (Smart Farming) เป็นการนำนวัตกรรมและเทคโนโลยีมาใช้ในการเพาะปลูกและเพิ่มผลผลิต โดยเฉพาะประเทศไทยซึ่งเป็นหนึ่งในผู้ผลิตสินค้าเกษตรที่สำคัญของโลก ได้มีการส่งเสริมเรื่องนี้อย่างต่อเนื่องจากทั้งภาครัฐและเอกชน เพราะสมาร์ทฟาร์มมิ่งมีส่วนสำคัญในการพัฒนาคุณภาพชีวิตและความอยู่ดีกินดีของเกษตรกรที่จะได้รับประโยชน์โดยตรงจากการเพาะปลูกที่มีประสิทธิภาพมากขึ้น

สมาร์ทฟาร์มมิ่งยังสอดคล้องกับทิศทางของประเทศในการขับเคลื่อนการพัฒนาเศรษฐกิจและเพิ่มขีดความสามารถของภาคการเกษตร ด้วยการนำความหลากหลายทางชีวภาพ เทคโนโลยี และนวัตกรรมมาใช้เพื่อช่วยให้บริหารจัดการการเกษตรได้ง่ายขึ้น มีต้นทุนลดลง แต่ได้ผลผลิตที่ดีและมากกว่าเดิม รวมทั้งเพิ่มมูลค่าสินค้าทางการเกษตรให้สูงขึ้น

ไทยวา ในฐานะผู้ผลิตและส่งออกผลิตภัณฑ์แป้งและอาหารชั้นนำ เป็นหนึ่งในภาคเอกชนที่ร่วมสนับสนุนการเกษตรยุคใหม่ จากแนวคิดของบริษัทที่ต้องการนำนวัตกรรมมาสร้างคุณค่าตั้งแต่ต้นน้ำถึงปลายน้ำ บริษัทจึงให้ความสำคัญกับการส่งเสริมชาวไร่มันสำปะหลังซึ่งเป็นผู้ผลิตวัตถุดิบหลัก โดยตลอดหลายปีที่ผ่านมาไทยวาได้นำเทคโนโลยีและนวัตกรรมมาพัฒนาเป็นเครื่องมือที่ช่วยแก้ไขปัญหาให้กับเกษตรกร และยกระดับการทำเกษตรกรรม โดยยึดหลักเกษตรยั่งยืน

 

นางสาวหทัยกานต์ กมลศิริสกุล ผู้ช่วยประธานเจ้าหน้าที่บริหาร ฝ่ายกลยุทธ์ ความยั่งยืน นวัตกรรม บริษัท ไทยวา จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า “ไทยวาร่วมผลักดันการนำสมาร์ทฟาร์มมิ่งมาใช้ทั้งในแง่เทคโนโลยีและความรู้ เพื่อช่วยให้เกษตรกรได้ผลผลิตต่อไร่และผลตอบแทนเพิ่มมากขึ้น เช่น การบริหารจัดการน้ำ การพัฒนาสายพันธุ์มันสำปะหลัง ระบบขนส่งผลผลิต การใช้เครื่องจักรกลทางการเกษตร รวมถึงวิธีการเพาะปลูกที่ถูกต้อง เพราะเราเชื่อว่าการเติบโตร่วมกับเกษตรกรเป็นสิ่งสำคัญที่จะสร้างความมั่นคงให้กับอุตสาหกรรมอาหารและการเกษตรของไทยในระยะยาว”

ที่ผ่านมาไทยวาได้จัดโครงการถ่ายทอดความรู้และเทคโนโลยีการเกษตรสมัยใหม่ให้แก่เกษตรกร ทดแทนการทำเกษตรแบบดั้งเดิมที่ใช้แรงงานจำนวนมากและมีค่าใช้จ่ายสูง แต่ให้ผลผลิตไม่แน่นอน โดยในขั้นตอนการเตรียมแปลงเพาะปลูก ไทยวาได้แนะนำให้รู้จักการใช้เครื่องปลูกมันสำปะหลังพร้อมยกร่องและใส่ปุ๋ย ที่ช่วยประหยัดเวลา และลดค่าใช้จ่ายในการจ้างแรงงานลงได้อย่างมาก จึงวางแผนและเพาะปลูกได้เร็วขึ้น ส่วนในขั้นตอนการเก็บเกี่ยว ไทยวาได้แนะนำให้เกษตรกรใช้เครื่องขุดเก็บเกี่ยวมันสำปะหลังกึ่งอัตโนมัติ หรือ TW Raptor ที่เก็บเกี่ยวได้รวดเร็ว ทำให้สามารถเตรียมแปลงเพาะปลูกรอบถัดไปหรือปลูกพืชบำรุงดินได้เร็วกว่าเดิม

 

นอกจากการให้ความรู้เรื่องเครื่องจักรกลทางการเกษตรแล้ว ไทยวายังร่วมกับพันธมิตรในการนำ Precision agriculture หรือการเกษตรแม่นยำ มาประยุกต์ใช้ทั้งในส่วนของฮาร์ดแวร์และซอฟต์แวร์ ซึ่งเป็นเทคโนโลยีการเกษตรแบบดิจิทัลที่ทำให้สามารถวิเคราะห์และวางแผนได้อย่างแม่นยำ เป็นแนวทางบริหารจัดการที่เกษตรกรในประเทศพัฒนาแล้วนำมาใช้เพื่อเพิ่มความสามารถในการเพาะปลูกและเก็บเกี่ยว สามารถให้น้ำ ปุ๋ย และผลิตภัณฑ์กำจัดศัตรูพืชได้อย่างเหมาะสมทั้งในแง่ปริมาณและเวลา ถือเป็นหลักการบริหารจัดการเพาะปลูกในระดับแปลงหรือโรงเรือนที่ใช้ทรัพยากรอย่างมีประสิทธิภาพ โดยพบว่าเกษตรกรในเครือข่ายของไทยวาที่นำการเกษตรแบบแม่นยำมาใช้ ได้ผลผลิตเพิ่มขึ้นถึง 4 เท่าเมื่อเทียบกับวิธีการเพาะปลูกแบบดั้งเดิม

ตัวอย่างของเทคโนโลยีเกษตรแบบแม่นยำที่ไทยวาร่วมพัฒนาให้กับเกษตรกรในเครือข่าย เช่น ระบบระบุตำแหน่งความแม่นยำสูง และการตรวจสอบพื้นที่เพาะปลูกด้วยภาพถ่ายดาวเทียม ซึ่งให้ความแม่นยำในการตรวจวัดผลผลิตและพื้นที่เพาะปลูกได้สูงกว่า 90% นอกจากนี้ยังพัฒนาแอปพลิเคชันตรวจวัดสภาพอากาศที่สามารถวิเคราะห์และพยากรณ์อากาศและปริมาณน้ำฝนล่วงหน้าได้ถึง 9 เดือน และมีความละเอียดในระดับวันและสัปดาห์

ไทยวายังนำการเกษตรแบบแม่นยำมาใช้เพิ่มคุณภาพของผลผลิต ผ่านโมเดลวิเคราะห์และประเมินคุณภาพมันสำปะหลัง เพื่อช่วยให้เกษตรกรเก็บเกี่ยวในช่วงเวลาที่เหมาะสมที่สุด ทำให้ได้ผลผลิตที่มีคุณภาพและราคารับซื้อที่น่าพอใจ ปัจจุบันโมเดลดังกล่าวสามารถวัดเปอร์เซนต์เชื้อแป้งได้แม่นยำถึง 70% และไทยวาตั้งเป้าจะพัฒนาความแม่นยำให้ได้ 90% ในอนาคต

 

นอกจากนี้ บริษัทยังแนะนำมันสำปะหลังพันธุ์แวกซี่ให้แก่เกษตรกรในเครือข่าย ซึ่งเป็นมันสำปะหลังสายพันธุ์ใหม่ที่ให้ผลผลิตและคุณภาพสูงกว่าเดิม และให้ลักษณะของแป้งที่เหนียวซึ่งเป็นที่ต้องการของหลายอุตสาหกรรม ทำให้มีราคารับซื้อสูงกว่าพันธุ์ทั่วไป นอกจากนี้ยังเพาะต้นพันธุ์ที่สะอาดปลอดโรคเพื่อแจกจ่ายให้กับชาวไร่ในเครือข่ายด้วย

นายอิษฎากร ดาราษฎร์ เกษตรกรผู้ปลูกมันสำปะหลังในอำเภอหนองวัวซอ จังหวัดอุดรธานี เล่าว่า “ผมเพิ่งเปลี่ยนมาปลูกมันสำปะหลังได้ 10 ปี เริ่มแรกยังไม่มีความรู้เลย ทำให้ได้ผลผลิตไม่แน่นอนและไม่คุ้มทุนเพราะต้องใช้ปุ๋ยและสารเคมีมาก แต่หลังจากไทยวาเข้ามาให้ความรู้และคำแนะนำ ช่วยวางระบบน้ำหยดและสอนการทำปุ๋ยน้ำหมักเพื่อฉีดพ่นทางใบ ทำให้ได้ผลผลิตเพิ่มขึ้น 30% และเมื่อ 2 ปีที่แล้วไทยวายังแนะนำให้ลองปลูกมันสำปะหลังพันธ์แว็กซี่ที่มีราคารับซื้อสูงกว่าพันธุ์ปกติถึง 50% ทำให้ผมและครอบครัวมีรายได้และคุณภาพชีวิตที่ดีกว่าเดิม อยากเชิญชวนชาวไร่คนอื่นๆ มาลองปลูกมันสำปะหลังแบบสมาร์ทฟาร์มมิ่ง เพราะมีข้อดีมากกว่าเดิมจริงๆ”

ส่วน นางอารีรัตน์ หอมอ่อน เกษตรกรอีกท่านหนึ่งในอำเภอหนองวัวซอ เปิดเผยว่า “ครอบครัวเราเคยปลูกมันสำปะหลังแบบดั้งเดิม พอมีภัยธรรมชาติหรือฝนแล้งก็ไม่รู้จะปรับตัวยังไง แต่พอไทยวาเข้ามาแนะนำก็พบว่าได้ผลผลิตดีและมันสำปะหลังหัวใหญ่ขึ้น ถึงบางปีจะเจอฝนแล้งแต่ต้นมันสำปะหลังก็ยังแข็งแรงอยู่รอดเพราะเรารู้วิธีการดูแล

เช่น บำรุงดินด้วยปุ๋ยหมักจากเปลือกมันสำปะหลัง และเพิ่มอินทรีย์วัตถุในพื้นที่เตรียมปลูก แต่ก่อนจะเน้นใส่ปุ๋ยเคมีมากๆ แต่เมื่อลองใช้ปุ๋ยหมักพบว่าต้นทุนลดลง ได้ผลผลิตมากขึ้นจากเดิมที่ได้ไร่ละ 5 ตัน ก็สูงขึ้นเป็น 8 – 10 ตัน ตอนนี้ไทยวายังเข้ามาช่วยติดตั้งระบบน้ำหยด และแนะนำให้ปลูกมันสำปะหลังพันธ์แว็กซี่ที่มีราคารับซื้อดี อยากแนะนำให้ชาวไร่มันสำปะหลังคนอื่นๆ หันมาปลูกมันสำปะหลังพันธุ์นี้ และมาลองทำการเกษตรแบบใหม่ตามที่ไทยวาแนะนำ เพราะยังมีอะไรดีๆ อีกมากที่เรายังไม่เคยรู้”

ทั้งหมดนี้คือความสำเร็จในการส่งเสริมสมาร์ทฟาร์มมิ่งของไทยวา เพื่อช่วยให้เกษตรกรไทยอยู่ดีกินดี และทำให้อุตสาหกรรมการเกษตรของไทยแข่งขันได้ทั้งในปัจจุบันและอนาคต ความร่วมมือร่วมใจเหล่านี้จะก่อให้เกิดการพัฒนาเทคโนโลยีและนวัตกรรม ที่ช่วยเพิ่มผลผลิตและประสิทธิภาพในการเพาะปลูกให้กับเกษตรกรไทยต่อไป

Page 1 of 2
X

Right Click

No right click