December 05, 2025

นายอดิศร วังมูล ผู้อำนวยการสายงานบริหารและองค์กรสัมพันธ์ (ที่ห้าจากซ้าย) บริษัท บีแอลซีพี เพาเวอร์ จำกัด และ นายวิชัย ยิ่งประเสริฐ ผู้อำนวยการชำนาญการพิเศษ (ที่หกจากขวา) โรงเรียนมาบตาพุดพันพิทยาคาร ร่วมจัดกิจกรรมการอบรมโครงการ “พอร์ตดีมีที่เรียนกับบีแอลซีพี” ปีที่3 เพื่อแนะนำนักเรียนระดับชั้นมัธยมศึกษาตอนปลาย จังหวัดระยอง ในการเรียนรู้หลักการนำเสนอผลงานและเทคนิคการจัดทำแฟ้มสะสมผลงาน (Portfolio) อย่างเป็นระบบจากผู้เชี่ยวชาญ รวมถึงเตรียมความพร้อมสู่การศึกษาระดับอุดมศึกษา ซึ่งในปีนี้มีนักเรียนเข้าร่วมโครงการฯ มากกว่า 5,000 คน โดยมี นางสาวสลารีวรรณ ทัพทวี รองผู้ว่าราชการจังหวัดระยอง (ที่หกจากซ้าย) ให้เกียรติเป็นประธานในพิธีเปิดโครงการ เมื่อเร็วๆ นี้

โครงการ “พอร์ตดีมีที่เรียนกับบีแอลซีพี” เป็นหนึ่งในกิจกรรมภายใต้แนวคิด ESG ของโรงไฟฟ้าบีแอลซีพี ที่คำนึงถึงความรับผิดชอบหลัก 3 ด้าน คือ สิ่งแวดล้อม สังคม ธรรมาภิบาล และสอดคล้องกับเป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืนของสหประชาชาติ (SDGs) ข้อที่ 4 ด้านการศึกษาที่มีคุณภาพ (Quality Education) ในการสร้างโอกาสการเรียนรู้ที่มีคุณภาพอย่างเท่าเทียมและทั่วถึงตลอดชีวิต ซึ่งการจัดทำโครงการฯ นี้มีการให้ความรู้และช่วยให้เยาวชนก้าวสู่ความสำเร็จด้วย 4 เป้าหมายที่เน้นการพัฒนาศักยภาพรอบด้าน โครงการนี้ไม่เพียงแต่ให้ความรู้และทักษะที่จำเป็นในการจัดทำ Portfolio สำหรับการสอบ TCAS รอบแรกเท่านั้น แต่ยังเป็นการเปิดประสบการณ์และสร้างแรงบันดาลใจให้นักเรียนได้ค้นพบเส้นทางอาชีพที่เหมาะสมกับตนเองอีกด้วย จากความสำเร็จของโครงการ ในปีนี้บีแอลซีพีจึงได้ขยายโอกาสให้กับนักเรียนเพิ่มมากขึ้น พร้อมจัดกิจกรรมเวิร์คช็อปเข้มข้นใน 3 หัวข้อสำคัญ ได้แก่ Business Camp และ Engineer Step สำหรับนักเรียนที่สนใจด้านบริหารและด้านวิศวกรรมศาสตร์ ส่วน Veterinary Science Workshop สำหรับนักเรียนที่สนใจด้านสัตวแพทย์ ซึ่งจะจัดขึ้นที่โรงพยาบาลสัตว์ทะเลหายากในไตรมาสที่ 4

โรงไฟฟ้าบีแอลซีพี (BLCP) “มุ่งพัฒนาพลังงานที่มั่นคง เพื่อชุมชนและสิ่งแวดล้อมอย่างยั่งยืน” ผู้สนใจข้อมูลเพิ่มเติมสามารถค้นหาได้ที่ https://www.blcp.co.th/web/index หรือ Facebook : โรงไฟฟ้า บีแอลซีพี - BLCP Power Limited

บริษัท บ้านปู จำกัด (มหาชน) ผู้นำด้านพลังงานที่หลากหลาย ร่วมกับ คณะสิ่งแวดล้อมและทรัพยากรศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหิดล จัดงาน “ดีค้าบ เฟสติวัล” (Decarb Festival) ภายใต้แนวคิด “ดีค้าบ – The Decarb Mission” ลดคาร์บอนให้โลกคูลล์ รับปีที่ 20 ของโครงการค่ายเยาวชนวิทยาศาสตร์สิ่งแวดล้อมเพาเวอร์กรีน (Power Green Camp) หวังปลุกพลังคนรุ่นใหม่ใช้ความรู้วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ช่วยลดโลกร้อนและลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์แบบสร้างสรรค์ (Decarbonization) ผู้สนใจสามารถเข้าร่วมงานที่อุทยาน 100 ปี จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยได้โดยไม่มีค่าใช้จ่าย ระหว่างวันที่ 2-3 พฤษภาคม พ.ศ. 2568

 

นายสินนท์ ว่องกุศลกิจ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท บ้านปู จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า “บ้านปูมุ่งผสานพลังงานที่หลากหลายสู่การพัฒนาโซลูชันพลังงานใหม่ที่ยั่งยืน เพื่อให้พร้อมรับเทรนด์พลังงานที่เปลี่ยนแปลงอย่างต่อเนื่อง ภายใต้กลยุทธ์ Energy Symphonics เราเชื่อว่าการรักษาสมดุลทางพลังงานจะเป็นทางออกที่ดีสำหรับการจัดการด้านพลังงานบนโลกใบนี้และมีส่วนสนับสนุนสังคมคาร์บอนต่ำให้เกิดขึ้น ซึ่งที่ผ่านมา เราได้ส่งเสริมการลดกระบวนการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์อย่างเป็นระบบ (Decarbonization) ในพอร์ตธุรกิจ อาทิ การใช้เทคโนโลยีดักจับและกักเก็บคาร์บอน การพัฒนาพลังงานหมุนเวียนควบคู่ไปกับระบบแบตเตอรี่ และการส่งเสริมการเดินทางและขนส่งด้วยยานพาหนะไฟฟ้า ทั้งนี้ เราตั้งเป้าลดการปล่อยคาร์บอนลง 20% ภายในปี 2030 และก้าวสู่ Net Zero ภายในปี 2050

“บ้านปู ตระหนักดีว่าการบรรลุเป้าหมายการลดคาร์บอนต้องอาศัยความร่วมมือจากทุกภาคส่วน ทั้งภาครัฐ ภาคเอกชน และภาคการศึกษา ซึ่งรวมถึง ‘คนรุ่นใหม่’ บ้านปูและมหาวิทยาลัยมหิดลจึงร่วมสนับสนุนกิจกรรมค่ายเยาวชนวิทยาศาสตร์สิ่งแวดล้อมเพาเวอร์กรีน (Power Green Camp) มาอย่างต่อเนื่องเป็นปีที่ 20 และปีนี้มาพร้อมความพิเศษด้วยการเพิ่มกิจกรรม ‘ดีค้าบ เฟสติวัล’ (Decarb Festival) ที่มุ่งปลุกพลังสร้างสรรค์คนรุ่นใหม่ใช้ความรู้วิทยาศาสตร์สิ่งแวดล้อมช่วยโลกลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ พร้อมเปิดพื้นที่ให้ผู้ที่มีแพสชันด้านสิ่งแวดล้อมได้มาร่วมแลกเปลี่ยนประสบการณ์และความรู้ร่วมกันตลอด 2 วัน (ระหว่างวันที่ 2-3 พฤษภาคม) ที่อุทยาน 100 ปีจุฬาฯ”

 

ผู้ช่วยศาสตราจารย์ ดร.อิทธิโชติ จักรไพวงศ์ รองอธิการบดีฝ่ายกายภาพและสิ่งแวดล้อม มหาวิทยาลัยมหิดล กล่าวว่า “ปัจจุบันโลกเผชิญกับความท้าทายด้านสิ่งแวดล้อมที่ซับซ้อนและรุนแรงต่อเนื่อง ทั้งการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ มลภาวะ ตลอดจนการขยายตัวของเมือง ซึ่งส่งผลกระทบโดยตรงต่อคุณภาพชีวิตของทุกคน มหาวิทยาลัยมหิดลของเรามีนโยบายขับเคลื่อนในด้านสิ่งแวดล้อมหลายด้าน โดยเฉพาะที่คณะสิ่งแวดล้อมและทรัพยากรศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหิดล เป็นคณะสิ่งแวดล้อมแห่งแรกของประเทศไทย เรามุ่งเน้นการจัดการเรียนการสอนแบบสหวิทยาการอย่างบูรณาการ เราให้ความสำคัญกับการพัฒนาหลักสูตรที่ไม่เพียงมุ่งเน้นด้านวิชาการ แต่ยังมุ่งปลูกฝัง ‘หลักคิดและจิตสำนึก’ ในการจัดการ

ทรัพยากรธรรมชาติที่ยั่งยืน ผ่านการเรียนรู้แบบสหวิทยาการและการลงมือปฏิบัติจริง เพื่อสร้างคนรุ่นใหม่ที่สามารถเชื่อมโยงประเด็นทางสิ่งแวดล้อม สังคม และการพัฒนา สู่การเป็นผู้นำการเปลี่ยนแปลงที่กล้าออกแบบอนาคตอย่างมีความรับผิดชอบ สอดรับกับวิสัยทัศน์ Top Priority In Environment – เรื่องสิ่งแวดล้อม ต้อง ENVI MAHIDOL”

 

นายศิวัช แก้วเจริญ ผู้อำนวยการกองขับเคลื่อนการลดก๊าซเรือนกระจก กรมการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศและสิ่งแวดล้อม หรือกรมลดโลกร้อน กล่าวว่า “ประเทศไทยได้เดินหน้าตามแผนปฏิบัติการด้านการลดก๊าซเรือนกระจกของประเทศ ปี พ.ศ. 2564 -2573 (NDC Action Plan on Mitigation 2021 - 2030) ตามที่ ครม. มีมติเห็นชอบเมื่อวันที่ 11 ธันวาคม 2567 โดยตั้งเป้าลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก 40% ภายในปี 2030, มุ่งสู่เป้าหมาย Carbon Neutrality ในปี 2050 และ Net Zero Emission ในปี 2065 ซึ่งภาครัฐได้กำหนดกรอบการดำเนินงานที่ชัดเจนให้กับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องทั้ง 5 สาขา ได้แก่ สาขาพลังงาน คมนาคมขนส่ง การจัดการของเสียชุมชนและน้ำเสียอุตสาหกรรม กระบวนการทางอุตสาหกรรมและการใช้ผลิตภัณฑ์ และเกษตร รวมถึงการพัฒนาเครื่องมือและกลไกในการสนับสนุนอีกด้วย อย่างไรก็ตามแม้จะเผชิญข้อจำกัดด้านเทคโนโลยี และเงินทุน กรมลดโลกร้อนยังคงมุ่งมั่นสร้างความร่วมมือและส่งเสริมการมีส่วนร่วมกับทุกภาคส่วนให้บรรลุตามเป้าที่ประเทศกำหนด และเชื่อว่าการสร้าง การเปลี่ยนแปลงที่ยั่งยืน ต้องอาศัยความร่วมมือจากทุกภาคส่วนทั้งภาครัฐ เอกชน การศึกษา และประชาสังคม โดยเฉพาะอย่างยิ่งการให้ความสำคัญกับเยาวชน ซึ่งถือเป็นพลังที่สำคัญของเครือข่ายความร่วมมือ ในการขับเคลื่อนเรื่องการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศและสิ่งแวดล้อมในอนาคต รวมทั้งส่งเสริมเยาวชน ในการปรับตัวให้พร้อมรับมือต่อผลกระทบจากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ อาทิ โครงการพัฒนาเครือข่ายเด็กและเยาวชนด้านการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศและสิ่งแวดล้อม (CCE Children & Youth) โครงการอีโคสคูล (Eco-school) เพื่อเป้าหมายร่วมกันในการขับเคลื่อนสู่อนาคตเศรษฐกิจและสังคมคาร์บอนต่ำอย่างเป็นรูปธรรม”

ทั้งนี้ นอกจากการเสวนาในหัวข้อ “เชื่อมโยงภารกิจสู่สังคมคาร์บอนต่ำ: รัฐ-การศึกษา-เอกชน” ภายในงานยังมีเสวนาในหัวข้อ “20 ปี Power Green Camp สร้างพลังเยาวชนด้วยวิทยาศาสตร์สิ่งแวดล้อม” นำโดย นายรัฐพล สุคันธี ผู้อำนวยการสายอาวุโส-สื่อสารองค์กร บริษัท บ้านปู จำกัด (มหาชน), รศ. ดร.นพพล อรุณรัตน์ รองคณบดีฝ่ายวิจัยและบริการวิชาการ คณะสิ่งแวดล้อมและทรัพยากรศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหิดล, น.สพ.ศรัณย์ นราประเสริฐกุล สัตวแพทย์และนักแสดงที่มีแพสชันด้านสิ่งแวดล้อม รวมถึงศิษย์เก่าเยาวชนค่ายเพาเวอร์กรีน รุ่น 17 เพื่อสะท้อนบทบาทและพลังของของโครงการ Power Green Camp ในการปลูกฝังความรู้และจิตสำนึกด้านสิ่งแวดล้อมให้กับเยาวชน ผ่านการบูรณาการวิทยาศาสตร์ เข้ากับการเรียนรู้และการลงมือปฎิบัติจริง รวมทั้งการมีส่วนร่วมของโครงการฯ ในการส่งเสริมศักยภาพเยาวชนเพื่อเป็นกำลังสำคัญในการสร้างการเปลี่ยนแปลงในเรื่องสิ่งแวดล้อมทั้งในปัจจุบันและอนาคต

ผู้สนใจสามารถเข้าร่วมงานได้ฟรี! ระหว่างวันนี้ถึง 3 พฤษภาคม 2568 ตั้งแต่เวลา 10.00 – 21.00 น. ที่อุทยาน 100 ปี จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย และถ้าอยากเดินทางแบบลดคาร์บอน บ้านปูได้จัดรถตุ๊กตุ๊กไฟฟ้า 100% มูฟมี (MuvMi) รับ-ส่งฟรีระหว่างสถานีรถไฟฟ้า MRT สามย่านและอุทยาน 100 ปีจุฬาฯ ติดตามรายละเอียดกิจกรรมเพิ่มเติมได้ที่ เฟซบุ๊กเพจ https://www.facebook.com/powergreencamp

สำนักงานการวิจัยแห่งชาติ (วช.) กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม ร่วมกับกรมควบคุมมลพิษ กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม โดยการสนับสนุนของกลุ่มบริษัท ดาว ประเทศไทย (Dow) เดินหน้าขยายความร่วมมือการจัดการขยะอาหารด้วยแฟลตฟอร์มออนไลน์บนเว็บไซต์ FoodWasteHub.com

โดยผนึกเครือข่ายพันธมิตรภาครัฐ ภาคเอกชนและสถาบันการศึกษารวม 29 หน่วยงาน เผยแพร่ความรู้และแนวทางการจัดการด้านขยะอาหาร โดยงานวิจัยฝีมือคนไทยและกรณีศึกษาเพื่อการนำขยะอาหารกลับมาใช้ประโยชน์เพื่อสนับสนุนหลักการเศรษฐกิจหมุนเวียนและนโยบาย BCG อย่างเป็นระบบ สอดคล้องกับแผนการจัดการขยะอาหารของประเทศไทย (พ.ศ. 2566-2573) และแผนปฏิบัติด้านการจัดการขยะอาหาร ระยะที่ 1 (พ.ศ. 2566-2570) ด้วยแนวทางการจัดการที่สามารถนำไปประยุกต์ใช้ได้จริง หวังลดปริมาณขยะที่ต้องนำไปกำจัด ลดการปลดปล่อยก๊าซเรือนกระจกจากการกำจัดขยะ และเพิ่มอัตราการรีไซเคิลของประเทศ

แพลตฟอร์มการเผยแพร่นวัตกรรมการจัดการขยะอาหาร หรือ Food Waste Platform เปิดตัวครั้งแรกในปี พ.ศ. 2567 ภายใต้ชื่อเว็บไซต์ www.FoodWasteHub.com เพื่อเป็นศูนย์กลางให้ความรู้และแนวทางการจัดการขยะอาหารอย่างยั่งยืนโดยมีข้อมูลทั้งภาษาไทยและอังกฤษ มีผู้เข้าชมแล้วกว่า 24,000 ครั้ง จากทั้งคนไทยและต่างชาติจากกว่า 10 ประเทศ

ในปีนี้ได้เพิ่มผลงานวิจัยและข้อมูลที่สำคัญ เช่น สถานการณ์ขยะอาหารในระดับโลก ในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ และประเทศไทย ทั้งในด้านระเบียบ กฎหมาย และกรณีศึกษาที่สามารถนำมาประยุกต์ใช้ในประเทศ รวมทั้งข้อมูลเชิงลึกเกี่ยวกับปริมาณและองค์ประกอบขยะอาหารจากแหล่งกำเนิดในประเทศไทยเพื่อสนับสนุนการกำหนดนโยบายและมาตรการที่เหมาะสม รวมไปถึงแนวทางการจัดการขยะอาหารสำหรับองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นที่นำไปปรับใช้ได้จริง ยิ่งไปกว่านั้นยังเพิ่มเติมข้อมูลงานวิจัยที่ได้รับรางวัลเพื่อให้ผู้สนใจนำไปใช้ประโยชน์ได้

งานประกาศความร่วมมือเครือข่ายแพลตฟอร์มเผยแพร่นวัตกรรมการจัดการขยะอาหาร ณ ห้องประชุมศักดิ์สิทธิ์ ตรีเดช อาคารกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ได้รับเกียรติจาก นายนราพัฒน์ แก้วทอง ผู้ช่วยรัฐมนตรีประจำกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม พร้อมผู้บริหารหน่วยงานพันธมิตรรวม 29 องค์กร ร่วมประกาศเจตนารมณ์การขับเคลื่อนการแก้ปัญหาขยะอาหารของประเทศ พร้อมจัดแสดงผลงานวิจัยที่ได้รับการเผยแพร่บนเว็บไซต์ต่อสื่อมวลชน

นอกเหนือจากการพัฒนาเว็บไซต์แล้ว เครือข่ายนี้ ยังมีเป้าหมายในการส่งเสริมความร่วมมือเชิงนโยบาย โดยสนับสนุนให้เกิดการบูรณาการแนวทางการจัดการขยะอาหารเข้าสู่แผนพัฒนาเศรษฐกิจหมุนเวียนของประเทศ รวมถึงกระตุ้นให้ภาคธุรกิจและภาคประชาชนร่วมเป็นส่วนหนึ่งของการลดขยะอาหารผ่านโครงการที่สามารถปฏิบัติได้จริง

นายนราพัฒน์ แก้วทอง ผู้ช่วยรัฐมนตรีประจำกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม กล่าวว่า “ปัญหาขยะอาหารไม่ใช่แค่เรื่องของของเสีย แต่เป็นเรื่องของทรัพยากรที่สูญเปล่า ผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม และโอกาสในการพัฒนาคุณภาพชีวิตของคนไทย ความร่วมมือในครั้งนี้ถือเป็นก้าวสำคัญในการเชื่อมโยงองค์ความรู้ งานวิจัย และแนวทางปฏิบัติที่เป็นรูปธรรม เพื่อให้ทุกภาคส่วนสามารถนำไปใช้ได้จริง นี่คือหนึ่งในแนวทางสำคัญที่สอดคล้องกับนโยบายของกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจหมุนเวียน ลดของเสีย และสร้างสังคมที่ใช้ทรัพยากรอย่างคุ้มค่า ผมเชื่อว่า Food Waste Platform จะเป็นศูนย์กลางที่ช่วยให้ประเทศไทยก้าวสู่อนาคตที่ขยะอาหารไม่ใช่ภาระ แต่เป็นโอกาสในการสร้างความยั่งยืนร่วมกัน”

ดร.วิภารัตน์ ดีอ่อง ผู้อำนวยการสำนักงานการวิจัยแห่งชาติ กล่าวว่า “งานวิจัยเป็นกุญแจสำคัญในการแก้ปัญหาขยะอาหารอย่างมีประสิทธิภาพและยั่งยืน วช. มุ่งสนับสนุนการพัฒนาความรู้ เทคโนโลยี และนวัตกรรมที่สามารถนำไปใช้ได้จริง ทั้งในเชิงนโยบายและการปฏิบัติ เราเชื่อว่าการจัดการขยะอาหารต้องอาศัยความร่วมมือจากทุกภาคส่วน และแพลตฟอร์มนี้เป็นตัวอย่างของการบูรณาการข้อมูล งานวิจัย และแนวปฏิบัติที่เป็นรูปธรรม เพื่อให้สาธารณชนสามารถนำไปใช้เป็นแนวทางในการลดขยะอาหาร และเพิ่มมูลค่าให้กับทรัพยากรอาหารของประเทศ นี่คือบทบาทของงานวิจัยที่ไม่ใช่เพียงการสร้างองค์ความรู้ แต่ต้องนำไปสู่การเปลี่ยนแปลงที่เป็นรูปธรรมและยั่งยืน”

นางสาวปรีญาพร สุวรรณเกษ อธิบดีกรมควบคุมมลพิษ กล่าวว่า "ปัญหาขยะอาหารเป็นความท้าทายสำคัญที่ส่งผลต่อสิ่งแวดล้อมและคุณภาพชีวิตของประชาชน กรมควบคุมมลพิษจึงมุ่งเน้นการผลักดันแนวทางการจัดการขยะอาหารอย่างมีประสิทธิภาพ ตั้งแต่การป้องกันและลดปริมาณขยะจากต้นทาง การนำกลับมาใช้ประโยชน์ ไปจนถึงการกำจัดอย่างถูกต้องตามหลักวิชาการ ความรู้และข้อมูลที่ถูกต้องเป็นรากฐานสำคัญของการแก้ปัญหาอย่างยั่งยืน เราจึงให้ความสำคัญกับการพัฒนางานวิจัย ฐานข้อมูล และแนวทางปฏิบัติที่สามารถนำไปใช้ได้จริง เพื่อให้ทุกภาคส่วนสามารถนำไปปรับใช้และช่วยกันลดปริมาณขยะอาหารของประเทศได้อย่างเป็นรูปธรรม"

ดร.สนิท อักษรแก้ว ที่ปรึกษาในสภาพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ และประธานคณะกรรมการดำเนินงานสนับสนุนการวิจัยและนวัตกรรม ประเด็นเป้าหมายด้านการพัฒนา

สุขภาพ สังคม และสิ่งแวดล้อม ของสำนักงานการวิจัยแห่งชาติ กล่าวว่า "การจัดการขยะอาหารอย่างมีประสิทธิภาพเป็นหัวใจสำคัญของการพัฒนาเศรษฐกิจหมุนเวียนและแนวทาง BCG ที่มุ่งเน้นการใช้ทรัพยากรอย่างคุ้มค่า สร้างมูลค่าเพิ่ม และลดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม แพลตฟอร์มนี้เป็นแหล่งข้อมูลสำคัญที่ช่วยให้ภาคธุรกิจสามารถนำข้อมูลและงานวิจัยไปต่อยอดสู่โอกาสทางเศรษฐกิจใหม่ ๆ เช่น การแปรรูปขยะอาหารเป็นพลังงานทางเลือก หรือผลิตภัณฑ์มูลค่าสูง ตลอดจนสนับสนุนการกำหนดนโยบายที่ขับเคลื่อนประเทศไปสู่เศรษฐกิจที่เติบโตอย่างยั่งยืน ลดความสูญเปล่า และสร้างความมั่นคงด้านอาหารในระยะยาว”

นายเอกสิทธิ์ ลัคนานิธิพันธุ์ รองกรรมการผู้จัดการใหญ่ฝ่ายธุรกิจร่วมทุน กลุ่มบริษัท ดาว ประเทศไทย กล่าวว่า "Dow มีเป้าหมายด้านความยั่งยืนในการลดการปล่อยคาร์บอนไดออกไซด์ เปลี่ยนขยะเป็นผลิตภัณฑ์ และส่งเสริมวงจรรีไซเคิล เราจึงสนับสนุนการพัฒนาเว็บไซต์เพื่อเผยแพร่ข้อมูลและนวัตกรรมการจัดการขยะอาหารซึ่งจะช่วยลดก๊าซเรือนกระจกสาเหตุของโลกร้อน และยังเกิดประโยชน์ทางอ้อมต่อการรีไซเคิลด้วย เพราะเมื่อขยะอาหารถูกแยกนำไปใช้ประโยชน์ การปนเปื้อนของอาหารกับวัสดุรีไซเคิลก็จะลดน้อยลง ช่วยให้การรีไซเคิลเป็นไปได้อย่างมีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น ซึ่งเรามีความยินดีเป็นอย่างยิ่งที่มีหน่วยงานพันธมิตรเข้าร่วมมากขึ้น และหวังว่าเว็บไซต์นี้จะเป็นประโยชน์ต่อสิ่งแวดล้อมและประชาชนในวงกว้างต่อไป”

ปัจจุบัน เครือข่ายแพลตฟอร์มเผยแพร่นวัตกรรมการจัดการขยะอาหาร ประกอบด้วย 1) สำนักงานการวิจัยแห่งชาติ 2) กรมควบคุมมลพิษ 3) กลุ่มบริษัท ดาว ประเทศไทย (Dow) 4) บริษัท โตโยต้า มอเตอร์ ประเทศไทย จำกัด 5) บริษัท ราช กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) 6) บริษัท ผลิตไฟฟ้า จำกัด (มหาชน) 7) การไฟฟ้านครหลวง 8) สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ 9) ศูนย์นาโนเทคโนโลยีแห่งชาติ 10) บริษัท บุณยาพาณิชย์ จำกัด 11) สถาบันเทคโนโลยีแห่งเอเชีย 12) มหาวิทยาลัยแม่ฟ้าหลวง 13) มหาวิทยาลัยราชภัฏอุบลราชธานี 14) มหาวิทยาลัยราชภัฎเชียงใหม่ 15) มหาวิทยาลัยนราธิวาสราชนครินทร์ 16) คณะวิทยาศาสตร์ มหาวิทยาลัยอุบลราชธานี 17) คณะวิศวกรรมศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ 18) คณะสาธารณสุขศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหิดล 19) คณะครุศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย 20) คณะเกษตรศาสตร์และทรัพยากรธรรมชาติ มหาวิทยาลัยพะเยา 21) คณะวิศวกรรมศาสตร์ มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ 22) คณะอุตสาหกรรมเกษตร มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ 23) คณะเกษตร มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ 24) คณะเกษตร กำแพงแสน มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ 25) สถาบันค้นคว้าและพัฒนาผลิตภัณฑ์อาหาร มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ 26) สำนักวิจัยและพัฒนา มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ 27) สำนักวิชาแพทยศาสตร์ มหาวิทยาลัยแม่ฟ้าหลวง 28) สำนักวิจัยและบริการวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี (สวท.) มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีพระจอมเกล้าธนบุรี และ 29) สถาบันวิจัยและพัฒนา มหาวิทยาลัยราชภัฏศรีสะเกษ

“การศึกษา” ถือเป็นเครื่องมือสำคัญแห่งการพัฒนาความเจริญก้าวหน้าให้แก่ปัจเจกบุคคล สังคม และประเทศชาติ ทว่า การจัดการระบบการศึกษาให้เกิดผลลัพธ์ที่เป็นรูปธรรมทั้งในแง่ปริมาณและคุณภาพ จำต้องใช้ทรัพยากรมหาศาล ไม่ว่าจะเป็นงบประมาณ บุคลากร เวลา และเทคโนโลยี

ด้วยตระหนักถึงความสำคัญของการศึกษาต่อความเจริญก้าวหน้าของชาติ ทรู คอร์ปอเรชั่น จึงได้ก่อตั้งโครงการ “ทรูปลูกปัญญา” เพื่อร่วมพัฒนาและขยายโอกาสทางการศึกษาด้วยเทคโนโลยีและนวัตกรรม ซึ่งปัจจุบัน ดำเนินงานเข้าสู่ปีที่ 17 แล้ว

ในการณ์นี้ True Blog ได้มีโอกาสพูดคุยกับน้องๆ เยาวชนวัยเรียน 3 คนที่มีภูมิหลังทางการศึกษาที่แตกต่างกัน แต่ทั้ง 3 ได้ใช้คลังความรู้ “ทรูปลูกปัญญา” ส่องสว่างเส้นทางการศึกษา

เสาหลักภายใต้ห้วงการเปลี่ยนผ่าน

จ๊ะจ๋า - จิณณาภา ญานะ นักศึกษาชั้นปีที่ 3 คณะวิทยาการเรียนรู้และศึกษาศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ บอกว่า เธอเป็นเด็กที่เติบโตมาจากการศึกษา 2 ระบบ โดยเข้ารับการศึกษาระบบโรงเรียนในระดับประถมศึกษา ต่อมาเธอตัดสินใจเข้ารับการศึกษาในระบบโฮมสกูล (Home School) ซึ่งเป็นการศึกษาในระบบรูปแบบหนึ่งตาม พรบ. การศึกษา พ.ศ. 2545 มาตรา 12 ที่ให้สิทธิบุคคลหรือหน่วยงานในการจัดการศึกษาขั้นพื้นฐาน ทั้งนี้ ในกรณีโฮมสกูลนั้น จะใช้บ้านเป็นฐานการเรียนรู้ มีการจัดแผนการเรียนโดยอิงจากความสนใจของผู้เรียนเป็นหลัก ภายใต้คำแนะนำของศึกษานิเทศก์

“ในช่วงคาบเกี่ยวระหว่างประถมสู่มัธยม พี่ชายจ๊ะจ๋ามีความสนใจด้านคอมพิวเตอร์มาก และกำลังมองหาระบบการศึกษาที่เอื้อต่อความสนใจของเขา แม้ตอนนั้น หนูจะเด็กมาก แต่ก็รู้สึกว่าโลกนอกตำรายังมีสิ่งน่าสนใจอีกมาก หนูจึงตัดสินใจย้ายมาระบบโฮมสกูลเช่นกัน” จิณณาภา เล่าถึงภูมิหลังทางการศึกษา

ในห้วงแห่งเปลี่ยนผ่านนั้น เธอยอมรับว่า เธอเองก็เผชิญกับความยากลำบากด้านการจัดการหลักสูตร เนื่องจากยังไม่ค้นพบแนวทางการเรียนรู้ของตนเอง แม้ระบบโฮมสกูลจะให้อิสระและความยืนหยุ่นแก่ผู้เรียน

ทั้งในแง่หัวข้อและเวลา แต่ขณะเดียวกัน ผู้เรียนจะต้องมีความรับผิดชอบต่อตัวเองอย่างมากเฉกเช่นเดียวกับผู้ใหญ่คนหนึ่ง เพราะด้วยแนวคิดและวิธีการของระบบโฮมสกูล ผู้เรียนคือ เจ้าของการเรียนรู้ที่แท้จริง ด้วยเหตุนี้ คุณแม่ผู้เคยทำหน้าที่ครูในระบบโรงเรียนมาก่อน จึงแนะนำเว็บไซต์ https://www.trueplookpanya.com/ ให้เป็นทางออก

“เพราะแต่ละเทอม หนูจะต้องรวบรวมผลงานส่ง สนข. พื้นที่การศึกษาเพื่อเทียบเคียงวุฒิฯ กับหลักสูตรแกนกลาง และด้วยทรูปลูกปัญญานี้เอง ทำให้หนูจับหลักหาแนวทางของตัวเองได้” เธอกล่าวและเสริมว่า “นอกจากการสอนที่มีคุณภาพจากคุณครูที่ช่วยให้เราเห็นการเชื่อมโยงกับบริบททางสังคมในโลกแห่งความจริงได้แล้ว ช่วงท้ายของวิดีโอยังมีการสรุปบทเรียนออกมาเป็นประเด็นๆ ทั้งยังสามารถพิมพ์ออกมาให้เราเทคโน้ต ที่สำคัญ ยังมีใบงานที่ทำให้เราได้ทบทวนความเข้าใจของบทเรียน ใช้เป็นร่องรอยหลักฐานส่ง สนข. พื้นที่การศึกษาได้เลย”

เป็นระยะเวลาราว 7 ปีกับห้องเรียนอันกว้างใหญ่ จิณณาภาได้ศึกษาเรียนรู้สิ่งต่างๆ รอบตัวตามความถนัด ด้วยกระบวนการเรียนรู้อันหลากหลาย ไม่ว่าจะเป็นการฟอร์มทีมแข่งขันประกวดสื่อสร้างสรรค์ การนำเสนอแผนโครงการแอปพลิเคชันเกม ตลอดจนงานอดิเรกอย่างงานเย็บปักถักร้อย

“โฮมสกูลทำให้หนูได้มีโอกาสทดลองเรียนรู้ในศาสตร์ต่างๆ ที่ไม่จำกัดด้วยกรอบของหลักสูตรฯ เท่านั้น เพราะโลกคือห้องเรียน” จิณณาภา กล่าว

ภายหลังสำเร็จการศึกษาชั้นมัธยมศึกษาในระบบโฮมสกูล จิณณาภาเลือกกลับเข้าสู่ระบบการศึกษากระแสหลักอีกครั้ง โดยได้รับคัดเลือกเข้าศึกษาคณะวิทยาการเรียนรู้และศึกษาศาสตร์ ม.ธรรมศาสตร์ เพราะด้วยหลักสูตรที่มีความเป็นสหวิชา กอปรกับนิสัยรักการเรียนรู้สิ่งใหม่ๆ และชื่นชอบการทำงานทางความคิดของเธอ ทำให้เธอตกผลึกทางความคิดต่อประเด็นด้านการศึกษาว่า

“การศึกษาคือ เครื่องมือในการพัฒนาตัวเองให้มีประสิทธิภาพมากขึ้น ดังนั้น การศึกษาที่มีคุณภาพ จึงควรเป็นเครื่องมือที่ให้ทุกคนเข้าถึงได้อย่างเท่าเทียม ไม่ว่าจะอยู่ในการศึกษาระบบไหน ซึ่งรวมถึงผู้ที่ไม่เข้าถึงการศึกษาด้วยเช่นกัน ซึ่งทรูปลูกปัญญาได้ทำหน้าที่นั้นอย่างแท้จริง กล่าวคือ การทำหน้าที่เป็นคลังความรู้ให้ทุกคนได้เข้าถึงการเรียนการสอนที่มีคุณภาพและมาตรฐาน ทั้งยังตอบโจทย์การเรียนรู้ของผู้เรียนที่หลากหลาย ไม่ว่าจะ

เป็นคนชอบสรุป คนชอบเนื้อหาเชิงลึก รวมถึงความยืดหยุ่น ที่ทำให้เราเรียนที่ไหน เมื่อไหร่ก็ได้” จิณณาภา กล่าว

ค้นหาแรงบันดาลใจ-ความถนัดทางการศึกษา

 

ไปรท์ - วราเทพ ชื่นตา นิสิตชั้นปีที่ ๅ คณะครุศาสตร์ สาขาประถมศึกษา จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย บอกว่า เขาเป็นหนึ่งในผลผลิตทางการศึกษาจากค่านิยมของสังคม กล่าวคือ สังคมไทยโดยผู้ใหญ่รุ่นพ่อรุ่นแม่มักมีมายาคติ “เรียนเผื่อเลือก” รวมถึงการเหมารวม (Stereotype) ของการศึกษา ทำให้เกิดค่านิยมเลือกแผนการเรียนสายวิทย์-คณิตในระดับชั้นมัธยมศึกษาตอนปลายอย่างกว้างขวาง แม้เด็กบางคน จะยอมรับว่าชื่นชอบหลักวิชาทางสังคมศาสตร์มากกว่า นำมาสู่ปัญหาเชิงโครงสร้างของระบบการศึกษาที่จำกัดกรอบการเรียนรู้ของผู้เรียน

“จริงๆ แล้ว ผมชอบวิชาสังคมศึกษา เพราะมันทำให้ฝึกการคิดวิเคราะห์ การคิดเชิงตรรกะ และการเชื่อมโยงของปัจจัยต่างๆ ต่อปรากฏการณ์สังคม แต่ด้วยค่านิยมทางการศึกษาและคำชี้แนะกึ่งบังคับของผู้ใหญ่ จึงเลือกเรียนสายวิทย์-คณิต ซึ่งพอเจอวิชาคำนวณอย่างฟิสิกส์ เคมีเข้าไป ผมทิ้งเลย ขมขื่นมากๆ ทั้งๆ ที่รู้อยู่เต็มอกว่าผมไม่ชอบการคำนวณ” วราเทพ บอกเล่าถึงประสบการณ์การเรียน

แต่เมื่อเลือกแล้ว เขาจึงเดินหน้าต่อ โฟกัสและหาเป้าหมายต่อไปในสายวิชาที่ชื่นชอบ ภายหลังพิจารณาอย่างถี่ถ้วน หนึ่งในคณะที่วาดฝันไว้จึงเป็นคณะครุศาสตร์ ทว่า การสมัครเข้าคัดเลือกในคณะดังกล่าว จำเป็นต้องใช้คะแนนวิชาความถนัดครู (TPAT5) วราเทพจึงหาวิถีทางในการเตรียมสอบฯ โดยรบกวนผู้ปกครองให้น้อยที่สุด นั่นจึงทำให้เขาพบกับคลังความรู้ “ทรูปลูกปัญญา” ภายในเว็บไซต์มีคลังข้อสอบ และแบบทดสอบจำลองเสมือนจริง ทำให้เขา “เข้าใจ” ถึงหลักคิด และ “จับทาง” บททดสอบ ตั้งแต่ระดับความยากง่าย ประเด็นที่ทดสอบ รวมถึงจุดเแข็งและจุดอ่อนของตัวเอง เพื่อชี้ให้เห็นแนวทางการศึกษาเพิ่มเติมในอนาคต

ขณะเดียวกัน วราเทพยังได้ใช้สื่อการเรียนการสอนทั้งในรูปแบบ digital book และวิดีโอในคลังบทเรียน เพื่อทบทวนบทเรียนจากโรงเรียน รวมถึงค้นคว้าข้อมูลเพิ่มเติมสำหรับทำการบ้านและรายงานส่งอาจารย์ โดยเฉพาะวิชาโปรดอย่างภาษาไทยและสังคมศึกษา จนทำให้เขาได้รับการคัดเลือกเข้าศึกษาในคณะครุศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย

“ผมมองว่า การศึกษาคือ การเรียนรู้ที่ไม่สิ้นสุด อันเป็นวิถีแห่งการพัฒนาศักยภาพและขีดความสามารถของผู้เรียนให้ก้าวไปอีกขั้น โดยมีพื้นฐานจากความกระหายใคร่รู้ ไม่ใช่เพื่อตัวเลขบนข้อสอบ ซึ่งคลังความรู้อย่างทรูปลูกปัญญา ถือเป็นอีกหนึ่งแพลทฟอร์มสำหรับการเริ่มต้น เพื่อค้นหาความถนัดของตัวเอง” วราเทพ กล่าว

ตั้งเป้าหมาย-ค้นหาตัวเอง

 

วี - ศิวัช สุชาครีส์ นักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 6 สายวิทย์-คณิต โรงเรียนเทพศิรินทร์ นนทบุรี ให้ความเห็นว่า เขาและเพื่อนวัยเรียนต่างเห็นไปในทิศทางเดียวกันว่า เนื้อหาที่บรรจุในหลักสูตรการศึกษาภาคบังคับนั้นมีปริมาณมากเกินไป ทั้งแนวกว้างและแนวดิ่ง โดยมองข้ามมิติด้านความถนัดไป อย่างไรก็ตาม เขามองว่า ปริมาณและความหลากหลายของเนื้อหาวิชานั้นถือเป็นสิ่งที่ดี แต่ควรปรับรูปแบบจากภาคบังคับเป็นลักษณะ “ตลาดวิชา” ให้ผู้เรียนสามารถเลือกเรียนตามความถนัดหรือความสนใจของแต่ละคนได้เอง การ จากสภาวะทางการศึกษาดังกล่าว ทำให้ผู้เรียนจำนวนไม่น้อยในปัจจุบันอยู่ในภาวะเครียดสะสม

“ผมว่าการศึกษาในระบบโรงเรียนยังไม่ตอบโจทย์ผู้เรียนมากพอในยุคที่ข้อมูลความรู้อยู่รอบตัว การเรียนการสอนยังเป็นลักษณะท่องจำมากกว่าเข้าใจ” วี กล่าว

ทั้งนี้ การสอบเเข่งขันเข้ามหาวิทยาลัยนับเป็นอีกหนึ่ง “จุดเปลี่ยน” ของชีวิต ที่ทำให้หลายคนฟันฝ่า มุ่งมั่น ทุ่มแรงกายแรงใจ เพื่อพิชิตคณะที่ต้องการ บ้างเลือกตามความสนใจ บ้างเลือกตามความถนัด และบ้างก็เลือกตามค่านิยมของสังคม หรือความต้องการของตลาดแรงงาน สิ่งเหล่านี้ สะท้อนถึง “ยอดภูเขาน้ำแข็ง” ของปัญหาในระบบการศึกษาไทย

ด้วยเหตุนี้ วี จึงมองหา “ตัวช่วย” นำทาง พาให้เขาไปถึงฝั่งฝันทางการศึกษาและอาชีพการงาน โดยเขาได้ใช้ Plook Explorer ระบบที่ช่วยให้ทุกคนรู้จักตัวตนมากขึ้น และค้นพบตัวเองในเวอร์ชั่นที่ดีกว่า บนเว็บไซต์ https://www.trueplookpanya.com/ เพื่อทำความเข้าใจอย่างถ่องแท้ ข้อดีข้อเสียของแต่ละสาขาอาชีพ เพื่อใช้เป็นแนวทางในการเลือกคณะหลักและสำรองทั้ง 10 อันดับของ TCAS นอกจากนี้ วียังได้ค้นคว้าเจาะลึกถึงการเตรียมพร้อมการประกอบอาชีพวิศวกรผ่านคู่มือ เอื้ออำนวยต่อการวางแผน กิจกรรม ทักษะและสิ่งที่ต้องเตรียมก่อนการสมัครรอบต่างๆ ฯลฯ“ผมมองว่าการศึกษา คือ การเรียนรู้ที่ไม่มีพรมแดน ศาสตร์ทุกศาสตร์ล้วนมีความสัมพันธ์และเชื่อมโยงกันทั้งสิ้น ขอเพียงแต่มีความกระหายใคร่รู้อยู่เสมอ” วี กล่าวทิ้งท้าย

Coursera Inc. (NYSE: COUR) แพลตฟอร์มการเรียนรู้ออนไลน์ชั้นนำ ประกาศเปิดตัวเส้นทางการศึกษาระดับปริญญาแบบใหม่, ประกาศนียบัตรวิชาชีพ 8 หลักสูตร, ใบรับรองความรู้ด้าน GenAI 20 หลักสูตร รวมไปถึงความเชี่ยวชาญพิเศษและเครื่องมือที่ขับเคลื่อนด้วย AI ในงาน Coursera Connect ประจำปี 2024 ซึ่งจัดขึ้นในกรุงเทพฯ วันที่ 16 ตุลาคม พ.ศ. 2568 การพัฒนาในครั้งนี้สนับสนุนนโยบายเกี่ยวกับ AI ของกระทรวงอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ การวิจัยและนวัตกรรม (MHESI) ของประเทศไทย โดยส่งเสริม 'การศึกษา 6.0' ผลักดันให้มหาวิทยาลัยต่าง ๆ บูรณาการเทคโนโลยีขั้นสูงและถ่ายทอดทักษะที่สำคัญ เพื่อเตรียมนักศึกษาให้พร้อมสำหรับความต้องการของยุคดิจิทัล

Coursera ยังได้ต้อนรับพันธมิตรมหาวิทยาลัยชื่อดัง 4 รายอย่างเป็นทางการ อาทิ Saïd Business School - มหาวิทยาลัยออกซ์ฟอร์ด และ IMD Business School รวมไปถึงบริษัทชั้นนำของอุตสาหกรรม 5 บริษัท ได้แก่ Airbus Beyond, Amazon และ Xbox การร่วมมือกันในครั้งนี้จะทำให้ผู้เรียนในไทยสามารถเข้าถึงเนื้อหาคุณภาพสูงที่จะช่วยเพิ่มประสิทธิภาพการทำงานให้ดียิ่งขึ้น

 

คุณรากาฟ กุปตา กรรมการผู้จัดการประจำภูมิภาคเอเชียแปซิฟิกของ Coursera กล่าวว่า “วิสัยทัศน์ของประเทศไทยในการเป็นศูนย์กลางระดับภูมิภาคของเศรษฐกิจดิจิทัลนั้น มุ่งเน้นไปที่การสร้างแรงงานที่มีทักษะด้านดิจิทัลและปลูกฝังแนวคิดการเป็นผู้เรียนรู้ตลอดชีวิต Coursera มุ่งมั่นที่จะสนับสนุนวิสัยทัศน์นี้โดยมอบทักษะที่จำเป็น เครื่องมือที่ขับเคลื่อนด้วย AI ประกาศนียบัตรและใบรับรองที่เป็นที่ยอมรับระดับโลกซึ่งจำเป็นต่อการเติบโตในตลาดงานที่มีการแข่งขันสูงให้แก่ผู้เรียนและสถาบันต่าง ๆ โดยเป้าหมายของเราคือการส่งเสริมบุคลากรที่มีความสามารถเพื่อร่วมพัฒนาและกำหนดทิศทางอนาคตด้านดิจิทัลของประเทศไทย”

โดยประกาศใหม่จาก Coursera ในประเทศไทย ประกอบไปด้วย:

● เส้นทางการเรียนปริญญาหลักสูตรใหม่จาก University of London (UoL): โปรแกรม International Foundation Programme (IFP) ในสาขาวิชาวิทยาการคอมพิวเตอร์จะช่วยมอบทักษะพื้นฐานในวิชาคณิตศาสตร์ สถิติ และการเขียนโปรแกรม เปิดโอกาสให้ผู้เรียนทุกคน ไม่ว่าจะมีประสบการณ์การศึกษาหรือการทำงานมาก่อนหรือไม่ก็ตาม และเมื่อเรียนจบแล้วสามารถเข้าศึกษาต่อในระดับปริญญาตรีแบบออนไลน์ในสาขาวิทยาการคอมพิวเตอร์จาก University of London ได้โดยตรง

● ประกาศนียบัตรวิชาชีพใหม่ 8 หลักสูตร ที่จะช่วยให้ผู้เรียนชาวไทยเรียนรู้หรือต่อยอดในสายอาชีพที่มีความต้องการสูง: ○ ประกาศนียบัตรวิชาชีพระดับเริ่มต้นสำหรับนักวิเคราะห์ค่าตอบแทนและสวัสดิการ จาก ADP ○ ประกาศนียบัตรวิชาชีพระดับเริ่มต้นสำหรับผู้เชี่ยวชาญด้าน Payroll จาก ADP ○ ประกาศนียบัตรวิชาชีพระดับเริ่มต้นสำหรับนักพัฒนาซอฟต์แวร์ระดับจูเนียร์ จาก Amazon ○ ประกาศนียบัตรวิชาชีพด้านวิศวกรรมข้อมูล จาก DeepLearning.AI และ AWS ○ ประกาศนียบัตรวิชาชีพด้านการออกแบบเกม จาก Epic Games ○ ประกาศนียบัตรวิชาชีพระดับเริ่มต้นสำหรับนักพัฒนาแอปพลิเคชันมือถือ iOS และ Android จาก IBM ○ ประกาศนียบัตรวิชาชีพระดับเริ่มต้นสำหรับ Program Manager จาก IBM ○ ประกาศนียบัตรวิชาชีพระดับเริ่มต้นสำหรับนักประชาสัมพันธ์และการสื่อสาร จาก Microsoft ● ใบรับรองวิชาชีพระดับเริ่มต้น 6 หลักสูตรจาก Google ได้แก่ Google Cybersecurity, Google Data Analytics, Google Digital Marketing & E-commerce, Google IT Support, Google Project Management และ Google UX Design โดยหลักสูตรทั้งหมดได้รับการพัฒนาด้วยการอัปเดตจาก GenAI พร้อมมอบการฝึกอบรมด้าน AI ที่สามารถนำไปใช้ได้ได้จริงจากผู้เชี่ยวชาญของ Google

● หลักสูตรความเชี่ยวชาญเฉพาะทางแบบใหม่จาก IBM และ Microsoft มอบทักษะ GenAI ที่ถูกปรับให้เหมาะสมกับบทบาทของแต่ละอาชีพ ช่วยให้ผู้เรียนสามารถนำ AI มาใช้ในการทำงานและเพิ่มประสิทธิภาพการทำงานได้:

○ ความเชี่ยวชาญเฉพาะทางของ IBM ครอบคลุมอาชีพต่างๆ ไม่ว่าจะเป็น นักวิเคราะห์ BI, ผู้เชี่ยวชาญด้านความปลอดภัยทางไซเบอร์, นักวิทยาศาสตร์ทางข้อมูล, การบริหารทรัพยากรมนุษย์, ผู้จัดการผลิตภัณฑ์ และอื่น ๆ อีกมากมาย โดยจะเน้นที่การใช้ศักยภาพของ GenAI ในหน้าที่งานต่าง ๆ

○ ความเชี่ยวชาญเฉพาะทางด้าน Copilot ของ Microsoft ที่จะสอนการผสมผสาน AI ให้เข้ากับงานประจำวันอย่างมีประสิทธิภาพด้วยหลักสูตรต่างๆ เช่น Microsoft Copilot สำหรับการวิเคราะห์ข้อมูล, การตลาด, การขาย และการพัฒนาซอฟต์แวร์ ● การพัฒนาของ Coursera Coach ที่ใช้ AI เพื่อมอบประสบการณ์การเรียนรู้ที่เป็นส่วนตัวและโต้ตอบได้มากขึ้น ช่วยเพิ่มผลลัพธ์การเรียนรู้ได้ดียิ่งกว่าเดิม:

○ ระหว่างนักเรียนและครูในประเทศไทย โดย Coach จะทำหน้าที่เป็นผู้ช่วยเสมือน โดยให้คำแนะนำส่วนบุคคล คำตอบ และสรุปวิดีโอบรรยายเป็นภาษาท้องถิ่น

○ Coach for career guidance: ภายในสิ้นปี Coach จะช่วยให้ผู้เรียนสำรวจเส้นทางอาชีพและระบุทักษะที่สามารถถ่ายทอดได้ไปยังเส้นทางการเรียนรู้หรืออาชีพอื่นได้ พร้อมทั้งแนะนำเส้นทางการเรียนรู้ที่ปรับแต่งตามประสบการณ์และเป้าหมายของผู้เรียน

○ Coach for interactive instruction: ปัจจุบันผู้สอนสามารถใช้ Coach เพื่อสร้างกิจกรรมการเรียนรู้ที่สมจริง โดยเริ่มจากบทสนทนาแบบ Socratic หรือการเรียนรู้ด้วยการตั้งคำถามด้วยการโต้ตอบแบบข้อความ ผู้สอนสามารถระบุวัตถุประสงค์ในการเรียนรู้ สไตล์การสอน และเกณฑ์การประเมินได้ ผ่านการใช้แนวทางการสอนและเนื้อหาหลักสูตรที่ดีที่สุดของ Coursera โดยมี Google Gemini เป็นโมเดลภาษาขนาดใหญ่ (LLM) ตัวแรกที่ขับเคลื่อนฟีเจอร์นี้\

● เพิ่มหลักสูตรเนื้อหาภาษาไทยถึงสองเท่า: ปัจจุบันมีหลักสูตรที่แปลเป็นภาษาไทยกว่า 4,700 หลักสูตร สำหรับผู้เรียนรายบุคคลและภายในองค์กร โดยจำนวนหลักสูตรภาษาไทยเพิ่มขึ้นจาก 2,000 หลักสูตรเมื่อเปรียบเทียบกับปีที่แล้ว

● ความร่วมมือใหม่ครั้งใหม่กับ PWC ประเทศไทย, มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์, มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีพระจอมเกล้าธนบุรี, มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ, ธนาคารกสิกรไทย, บริษัท บ้านปู จำกัด (มหาชน), ธนาคารไทยพาณิชย์ และเซ็นทรัล รีเทล

คุณวรวัจน์ สุวคนธ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารทรัพยากรบุคคล ธนาคารไทยพาณิชย์ จำกัด มหาชน เน้นย้ำถึงความสำคัญของการพัฒนา “ทักษะการเรียนรู้” สำหรับทุกกลุ่มอายุ โดยเฉพาะอย่างยิ่งการยกระดับทักษะของพนักงานธนาคารไทยพาณิชย์ผ่านแพลตฟอร์ม Coursera ตั้งแต่ปี 2561 ธนาคารไทยพาณิชย์ได้จับมือเป็นพันธมิตรกับ Coursera เพื่อสร้างหลักสูตรภาษาไทย ขยายโอกาสการเรียนรู้ให้กว้างไกลออกไปนอกแพลตฟอร์ม และยกระดับการศึกษาในประเทศไทยผ่านโครงการ CSR ซึ่งมีประโยชน์ต่อผู้เรียนกว่า 4,000 คน และเร็วๆ นี้ SCB Academy จะเปิดตัวโปรแกรมการเรียนรู้แบบครอบคลุมทั่วประเทศ โดยผสมผสานเวิร์กช็อปแบบโต้ตอบและจัดกิจกรรมในสถานที่จริงตามหลักสูตร “Learning How to Learn” ของ Coursera ซึ่งมุ่งเน้นการเสริมทักษะที่จำเป็นให้กับผู้สอน นอกจากนี้ ธนาคารไทยพาณิชย์ยังมีแผนที่จะร่วมมือกับดร. บาร์บารา โอ๊คลีย์ เพื่อแปลหลักสูตร “Accelerate Your Learning with ChatGPT” เป็นภาษาไทยภายในปี 2568 โดยใช้ประโยชน์จาก AI เชิงสร้างสรรค์เพื่อพัฒนาการศึกษาของไทย

Page 1 of 5
X

Right Click

No right click