

Aquatech Global แพลตฟอร์มงานแสดงเทคโนโลยีน้ำระดับโลกจากเนเธอร์แลนด์ ประกาศขยายการจัดงานมายังกรุงเทพมหานครอย่างเป็นทางการ ภายใต้ชื่อ “Aquatech Asia” (อะควาเทค เอเชีย) เพื่อเชื่อมโยงผู้นำด้านเทคโนโลยีน้ำระดับโลกกับตลาดที่มีพลวัตและศักยภาพสูงที่สุดแห่งหนึ่งของโลก นับเป็นอีกก้าวสำคัญในการเสริมสร้างความร่วมมือเพื่อรับมือกับความท้าทายด้านการบริหารจัดการน้ำของภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ซึ่งกำลังเผชิญการขยายตัวของเมือง การเติบโตทางอุตสาหกรรม และผลกระทบจากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศอย่างต่อเนื่อง
การเปิดตัวในกรุงเทพฯ ถือเป็นการขยายเครือข่ายงานของ Aquatech จากงานหลักที่จัดใน อัมสเตอร์ดัม เม็กซิโก และจีน มาสู่ภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ เพื่อสร้างเวทีระดับนานาชาติสำหรับเทคโนโลยีและนวัตกรรมด้านน้ำอย่างยั่งยืน การเปิดตัวครั้งนี้ได้รับการสนับสนุนจากพันธมิตรผู้บุกเบิกนวัตกรรมด้านเทคโนโลยีน้ำจากทั่วโลก อาทิ Atlas Filtri, Bosman Watermanagement, Defacto Urbanism, Delta Context, GOPA MetaMeta, Haskoning, Hydrosat, Nijhuis Saur Industries, หอการค้าเนเธอร์แลนด์-ไทย, NX Filtration, Ramboll, Leading Utilities of the World (LUOW), NWP, ROwat Water Control, Technimex Water Management, Water Alliance, WAVESAVE รวมถึงความร่วมมือกับรัฐบาลเนเธอร์แลนด์ ที่ร่วมกันผลักดันการแก้ปัญหาและพัฒนาเทคโนโลยีด้านน้ำในภูมิภาค
นาย René Hoeijmakers ผู้อำนวยการฝ่าย Water & Waste Water Treatment จากบริษัท Ramboll กล่าวว่า “Aquatech Asia คือเวทีสำคัญที่จะผลักดันนวัตกรรมและความร่วมมือในภาคอุตสาหกรรมน้ำ ด้วยการแบ่งปันองค์ความรู้ระดับโลกด้านการบำบัดน้ำ การจัดการน้ำภาคอุตสาหกรรม และการสร้างความยืดหยุ่นต่อสภาพภูมิอากาศ เพื่อสนับสนุนการพัฒนาที่ยั่งยืนให้กับภูมิภาคเอเชีย”
ด้าน Floris Jan Cuypers ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท NX Filtration กล่าวเสริมว่า “การขยายตัวของ Aquatech สู่กรุงเทพฯ ถือเป็นโอกาสสำคัญในการเสริมสร้างรอยเท้าของเราในเอเชีย และส่งเสริมการบำบัดน้ำแบบไร้สารเคมีที่ยั่งยืนและมีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น”
ขณะที่ Duane Schlicht กรรมการผู้จัดการ บริษัท Nijhuis Saur Industries | Asia Pacific กล่าวว่า “ภูมิภาคอาเซียนกำลังเผชิญกับความท้าทายด้านน้ำที่เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง Aquatech Asia จะมีบทบาทสำคัญในการสร้างความตระหนักรู้และขับเคลื่อนการแก้ปัญหาที่เป็นรูปธรรมในระดับภูมิภาค”
เวทีระดับเอเชียเพื่ออนาคตของน้ำอย่างยั่งยืน
Aquatech Asia มุ่งเน้นการแก้ปัญหาด้านน้ำที่เร่งด่วนที่สุดของภูมิภาค ไม่ว่าจะเป็นการบริหารจัดการน้ำท่วมและภัยแล้ง ความยืดหยุ่นต่อสภาพภูมิอากาศ และการจัดการน้ำแบบบูรณาการ เพื่อให้ประเทศในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้สามารถรับมือกับความเสี่ยงจากเหตุการณ์สภาพอากาศสุดขั้วได้อย่างยั่งยืน งานนี้จะรวบรวมผู้เชี่ยวชาญด้านน้ำระดับโลก นักนวัตกรรมเทคโนโลยี และผู้กำหนดนโยบายจากภาครัฐและเอกชน เพื่อร่วมแลกเปลี่ยนองค์ความรู้และนำเสนอแนวทางแก้ปัญหาที่ช่วยยกระดับระบบบริหารจัดการน้ำของเมือง อุตสาหกรรม และชุมชนทั่วภูมิภาค

พลังแห่งความร่วมมือ RAI Amsterdam และ VNU Asia Pacific
การขยายตัวของ Aquatech มาสู่เอเชียได้รับการสนับสนุนโดยความร่วมมือระหว่าง RAI Amsterdam และ บริษัท วีเอ็นยู เอเชีย แปซิฟิค ซึ่งมีสำนักงานใหญ่ในกรุงเทพฯ เพื่อผสานความเชี่ยวชาญระดับโลกของ Aquatech เข้ากับความเข้าใจเชิงลึกของตลาดท้องถิ่น สร้างเวทีระดับนานาชาติที่ตอบโจทย์ความต้องการของภูมิภาคอย่างแท้จริง
นายจัสติน เปา ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท วีเอ็นยู เอเชีย แปซิฟิค กล่าวถึงวิสัยทัศน์ว่า “เอเชียคือศูนย์กลางของทั้งความท้าทายและโอกาสด้านน้ำของโลก ด้วยความต้องการใช้น้ำที่เพิ่มสูงขึ้นจากการขยายตัวของเมืองและผลกระทบของสภาพภูมิอากาศ ความจำเป็นในการหาทางออกที่ชาญฉลาดและยั่งยืนจึงมีมากกว่าที่เคย Aquatech Asia จะเป็นเวทีสำคัญในการเชื่อมโยงนวัตกรรมระดับโลกเข้ากับความต้องการในภูมิภาค เพื่อผลักดันสู่อนาคตของความมั่นคงด้านน้ำอย่างยั่งยืน”
“ในฐานะผู้จัดงานแสดงสินค้าชั้นนำในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้มายาวนานกว่า 10 ปี วีเอ็นยู เอเชีย แปซิฟิค ภูมิใจที่ได้เป็นผู้นำในการนำเวทีระดับโลกเช่นนี้มาสู่กรุงเทพฯ เพื่อเสริมพลังให้กับอุตสาหกรรมและชุมชนในภูมิภาค” กล่าวเสริม
ขณะเดียวกัน นาย Daan Burghouts ผู้อำนวยการ Aquatech Global กล่าวว่า “การเปิดตัวในกรุงเทพฯ คือก้าวสำคัญในการตอบสนองต่อความท้าทายด้านน้ำที่เติบโตขึ้นในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ เรามุ่งมั่นที่จะสร้างความร่วมมือและแลกเปลี่ยนความรู้ เพื่อให้ทรัพยากรน้ำกลายเป็นพลังสนับสนุนการพัฒนาและความยืดหยุ่นของภูมิภาคนี้อย่างแท้จริง”
กำหนดการจัดงาน
Aquatech Asia 2026 (อะควาเทค เอเชีย) จะจัดขึ้นระหว่างวันที่ 25–27 พฤศจิกายน 2026 ณ ศูนย์การประชุมแห่งชาติสิริกิติ์ กรุงเทพฯ โดยจะเป็นเวทีสำคัญในการแสดงนวัตกรรม เทคโนโลยี และโซลูชันด้านน้ำระดับโลก เพื่อสร้างอนาคตที่ยั่งยืนให้กับภูมิภาคเอเชีย สำหรับข้อมูลเพิ่มเติม กรุณาเยี่ยมชมเว็บไซต์ www.aquatechtrade.com
ศูนย์กลยุทธ์และความสามารถทางการแข่งขันองค์กร (STECO) มจธ. ร่วมกับ สมาคมผู้ประกอบการปัญญาประดิษฐ์ประเทศไทย (AIEAT) ขอเชิญท่านร่วมอบรมหลักสูตร Mini MBA in AI for Business Leaders รุ่น 1 เพื่อถ่ายทอดองค์ความรู้ที่เกี่ยวข้องกับพื้นฐาน AI และจริยธรรม หลักสูตรที่จะบูรณาการการใช้ AI ในการวางแผน ดำเนินการ และวัดผลการดำเนินงานสู่ความสำเร็จ การใช้ AI ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการทำงานส่งผลต่อการยกระดับองค์กรให้ทันสมัยและตอบโจทย์ผู้รับบริการในปัจจุบันมากขึ้น อีกทั้งมีกิจกรรมการสร้างเครือข่ายทางธุรกิจเพื่อเปิดโอกาสให้เกิดการแลกเปลี่ยนเรียนรู้ระหว่างผู้เข้าร่วมอบรม

อบรม Online ทุกวันอังคาร และวันพฤหัสบดี
อบรม Onsite ทุกวันเสาร์ ณ โรงแรม S31 ถ.สุขุมวิท
อบรม 7 สัปดาห์ (Hybrid Course)
วันอังคารที่ 5, 12, 19, 26 พ.ย. และวันอังคารที่ 3 ธ.ค. 67 เวลา 18.00 - 20.00 น.
วันพฤหัสบดีที่ 7, 14, 21, 28 พ.ย. และวันพฤหัสบดีที่ 12 ธ.ค. 67 เวลา 18.00 - 20.00 น.
วันเสาร์ที่ 2, 9, 16, 23, 30 พ.ย. และวันเสาร์ที่ 14, 21 ธ.ค. 67 เวลา 9.00 - 16.00 น.
และวันเสาร์ที่ 21 ธ.ค. 67 เวลา 17.00 - 21.00 น. พบกับกิจกรรม Networking Dinner
สมัครภายในวันที่ 20 ต.ค. 2567 ราคาพิเศษ เพียงท่านละ 79,000 บาท จากราคาปกติ 89,000 บาท
สมัครได้แล้ววันนี้ ที่ https://steco.kmutt.ac.th/course/mini-mba-in-ai-for-business-leaders-1
(หลังจากลงทะเบียนเรียบร้อยแล้วท่านจะได้รับอีเมลยืนยันการลงทะเบียนเข้าร่วมอบรมภายใน 1-2 วันทำการ)
สิ่งที่ท่านจะได้รับเมื่อมาอบรมกับ STECO
- ประกาศนียบัตรจากมหาวิทยาลัยเทคโนโลยีพระจอมเกล้าธนบุรี และสมาคมผู้ประกอบการปัญญาประดิษฐ์ประเทศไทย (AIEAT)
- เครือข่ายธุรกิจ ผู้เชี่ยวชาญด้าน AI
- การศึกษาดูงานการประยุกต์ใช้ AI ในองค์กรพร้อมการบรรยายพิเศษโดยผู้บริหารระดับสูง
- สมัครอบรมในนามหน่วยงานสามารถนำใบเสร็จไปลดหย่อนภาษีได้ 200%
สอบถามข้อมูลเพิ่มเติม โทร. 064-749-9629, 02-470-9644 คุณกวิตา
เมื่อเร็วๆ นี้ ศูนย์กลยุทธ์และความสามารถทางการแข่งขันองค์กร (STECO) มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีพระจอมเกล้าธนบุรี จัดงาน Thailand Competitiveness Forum 2024 ณ Auditorium อาคาร KX Knowledge Xchange ถ.กรุงธนบุรี โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อถ่ายทอดองค์ความรู้ที่เกี่ยวข้องกับการยกระดับความสามารถทางการแข่งขัน และแลกเปลี่ยนความคิดเห็นประสบการณ์และมุมมองเกี่ยวกับ ทิศทางเศรษฐกิจไทย 2025 การยกระดับอุตสาหกรรมไทย เทคโนโลยีและนวัตกรรมกับการเพิ่มขีดความสามารถทางการแข่งขัน อีกทั้งกิจกรรมการสร้างเครือข่ายทางธุรกิจ สร้างโอกาสให้เกิดการแลกเปลี่ยนเรียนรู้ระหว่างผู้เข้าร่วมกิจกรรม
รองศาสตราจารย์ ดร.สุวิทย์ แซ่เตีย อธิการบดีมหาวิทยาลัยเทคโนโลยีพระจอมเกล้าธนบุรี กล่าวต้อนรับพร้อมให้มหาวิทยาลัยเป็นตัวกลางสำคัญในการเชื่อมโยงองค์ความรู้กับภาคอุตสาหกรรม เพื่อให้เกิดการเพิ่มขีดความสามารถทางการแข่งขันของประเทศต่อไป จากนั้น ผู้ช่วยศาสตราจารย์ ดร.วัชรพจน์ ทรัพย์สงวนบุญ ผู้อำนวยการศูนย์กลยุทธ์และความสามารถทางการแข่งขันองค์กร (STECO) มจธ. บรรยายหัวข้อ “การยกระดับความสามารถทางการแข่งขันสู่องค์กรแห่งความยั่งยืนด้วย STECO’s Enterprise Mix” ซึ่งเป็นการพัฒนาองค์ความรู้เพื่อขับเคลื่อนองค์กรให้เติบโตอย่างยั่งยืนสอดคล้องกับเป้าหมายการพัฒนาอย่างยั่งยืนขององค์การสหประชาชาติ โดยมุ่งเน้นการเตรียมความพร้อมรองรับการเปลี่ยนแปลงของโลก เพื่อให้เกิดการยกระดับทักษะบุคคล ยกระดับความสามารถทางการแข่งขันองค์กร และยกระดับความสามารถทางการแข่งขันของประเทศไทยให้ยั่งยืนต่อไป

จากนั้นเป็นการเสวนา “เทคโนโลยีและนวัตกรรมกับการเพิ่มขีดความสามารถทางการแข่งขันของประเทศไทย” โดยมี รวีรัตน์ สัจจวโรดม ประธานบริหาร สายงานการเงินและกลยุทธ์ บริษัท จีเอเบิล จำกัด (มหาชน) วริทธิ์ กฤตผล Commercial Director บริษัท Rayong Engineering & Plant Service Co., Ltd. หรือ REPCO Nex Industrial Solutions ในเครือ SCG และวิศรุต เอื้ออานันท์ Chief Digital Mar Tech Officer โรงพยาบาลบำรุงราษฎร์ ดำเนินการเสวนาโดย ดร.รังสรรค์ เกียรติ์ภานนท์ ร่วมเสวนาแลกเปลี่ยนแนวคิดการพัฒนาเทคโนโลยีและนวัตกรรมเพื่อเพิ่มขีดความสามารถทางการแข่งขันของประเทศไทย พร้อมขัอคิดสำหรับองค์กรที่ต้องการเริ่มต้นสร้างหรือประยุกต์ใช้นวัตกรรมในองค์กร
ภายในงานได้รับเกียรติจาก ศุภมาส อิศรภักดี รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม กล่าวปาฐกถาในหัวข้อ “วิทยาศาสตร์และนวัตกรรมกับความสามารถทางการแข่งขันของประเทศไทย” วิทยาศาสตร์ เทคโนโลยีและนวัตกรรม เป็นปัจจัยสำคัญในการยกระดับความสามารถทางการแข่งขันของประเทศ โดยจะช่วยขับเคลื่อนการพัฒนาประเทศไปสู่เศรษฐกิจและสังคมฐานความรู้ ซึ่งจะทำให้ประเทศมีความสามารถในการปรับตัวต่อการเปลี่ยนแปลง และจัดการกับความท้าทายต่างๆ ที่ส่งผลกระทบสำคัญต่อประเทศ เช่น การเปลี่ยนแปลงด้านภูมิรัฐศาสตร์ การเปลี่ยนแปลงเชิงโครงสร้างประชากร ทั้งนี้ ประเทศไทยได้รับการจัดอันดับขีดความสามารถในการแข่งขันของประเทศโดยสถาบันการจัดการนานาชาติ หรือ IMD ประจำปี 2566 ในอันดับที่ 30 จากเดิมอยู่ในอันดับที่ 33 ซึ่งในปี 2567 นี้พบว่าข้อจำกัดของภาคธุรกิจไทย อยู่ที่ความสามารถด้านผลิตภาพ ดังนั้น ความท้าทายของภาคธุรกิจไทย คือ การนำเทคโนโลยีและนวัตกรรมมาช่วยเพิ่มมูลค่าและผลิตภาพในสินค้าหรือบริการ การใช้ทรัพยากรให้เกิดประโยชน์และมีประสิทธิภาพสูงสุด รวมถึงการพัฒนาบุคลากรให้มีความรู้ความเชี่ยวชาญและทักษะที่จำเป็นให้สามารถปฏิบัติงานได้เท่าทันเทคโนโลยีและพร้อมรับความเปลี่ยนแปลงในอนาคตภายใต้สภาวะการแข่งขันในปัจจุบันนับเป็นความโชคดีที่ประเทศไทยมีทรัพยากรมนุษย์ที่มีศักยภาพ มีฐานความรู้ทางวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีที่เข้มแข็ง ตลอดจนมีรัฐบาลที่ให้การสนับสนุนทางด้านวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยีและนวัตกรรมอย่างเข้มข้น

นอกจากนั้น สนั่น อังอุบลกุล ประธานสภาหอการค้าแห่งประเทศไทย บรรยายพิเศษในหัวข้อ “ทิศทางเศรษฐกิจกับความสามารถทางการแข่งขันของประเทศไทย” ซึ่งเป็นการฉายภาพให้ผู้ร่วมงานได้เข้าใจปัจจัยที่ส่งผลต่อเศรษฐกิจไทย และแนวโน้มการเปลี่ยนทางเศรษฐกิจของประเทย ปิดท้ายด้วย เกรียงไกร เธียรนุกุล ประธานสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย บรรยายพิเศษในหัวข้อ “ยกระดับอุตสาหกรรมไทยเพื่อเพิ่มขีดความสามารถทางการแข่งขันอย่างยั่งยืน” โดยมุ่งเน้นการพัฒนาอุตสาหกรรมแห่งอนาคตที่ตอบโจทย์ในเรื่องของความยั่งยืน เพื่อให้ประเทศไทยสามารถแข่งขันได้ในเวทีโลก

เมื่อองค์กรแสวงหาคน “เก่ง” เพื่อมาร่วมทีม และบุคลากรมุ่งมั่นพัฒนาตนเองให้ "เก่ง" คำถามที่น่าสนใจ คือ "เก่ง" แบบไหนที่องค์กรต้องการ? บทความนี้จะวิเคราะห์มุมมอง "เก่งเพื่อเสริมทีม" และ "เก่งเพื่อเหนือทีม" พร้อมทั้งสะท้อนมุมมองสำคัญของ "ทีม" และผลลัพธ์ต่อองค์กร
"ความเก่ง" ไม่มีคำจำกัดความตายตัว ขึ้นอยู่กับระดับงาน หน้าที่ความรับผิดชอบ บริบทองค์กร และเป้าหมายขององค์กร ในระดับหัวหน้างาน ความเก่ง อาจจะหมายถึง ความสามารถในการชี้นำ กระตุ้น พัฒนาทีม ตัดสินใจ แก้ปัญหา มองการณ์ไกล และสื่อสาร ในขณะที่ระดับปฏิบัติการ อาจจะหมายถึง ทักษะเฉพาะทาง ความเชี่ยวชาญ ความรับผิดชอบ ความอดทน ความตั้งใจ ความเก่งสำหรับงานบริการ อาจจะหมายถึง ทักษะการสื่อสาร การบริการลูกค้า การแก้ปัญหาเฉพาะหน้า ความอดทน ความมีมนุษยสัมพันธ์ที่ดี ในขณะที่ความเก่งสำหรับงานขาย อาจจะหมายถึง ทักษะการสื่อสาร การโน้มน้าว การเจรจาต่อรอง ความสัมพันธ์ ความเข้าใจลูกค้า โดยความเก่งที่เหมาะสมควรจะส่งผลลัพธ์เชิงบวกกับองค์กร มากกว่าการเป็นเพียงเครื่องประดับอวดอ้างให้คนอื่นเห็นความสำคัญของตนเอง
"ทีม" เปรียบเสมือนฟันเฟืองสำคัญขับเคลื่อนองค์กรไปสู่เป้าหมาย ทีมที่ทำงานร่วมกันอย่างมีประสิทธิภาพ ผนึกกำลัง แบ่งปันความรู้ ช่วยเหลือซึ่งกันและกัน สร้างผลลัพธ์ที่ยิ่งใหญ่กว่าการทำงานคนเดียว ทีมเป็นแหล่งรวมความคิดสร้างสรรค์ มุมมองที่หลากหลาย ประสบการณ์ที่แตกต่าง กระตุ้นการคิดนอกกรอบ นำไปสู่ไอเดียใหม่ และนวัตกรรม นอกจากนี้ทีมยังเป็นกลไกแห่งการเรียนรู้ โดยสมาชิกในทีมจะได้เรียนรู้จากกันและกัน เกิดการพัฒนาทักษะ เพิ่มพูลความรู้ความสามารถ ทำให้สมาชิกภายในทีมเติบโตจากการทำงานร่วมกัน และส่งผลให้องค์กรเกิดการพัฒนาและก้าวหน้ามากยิ่งขึ้น

องค์กรเปรียบเสมือนเรือที่แล่นสู่จุดหมาย ทีมที่สร้างผลลัพธ์ จะมีความมุ่งมั่น ทุ่มเท ทำงานด้วยความตั้งใจ ร่วมมือกัน เพื่อบรรลุเป้าหมายขององค์กร ในขณะที่ทีมที่เน้นการเมือง จะมุ่งแสวงหาอำนาจ ใช้ความสามารถที่ตัวเองมีเพื่อกดขี่คนที่มีความสามารถน้อยกว่า สร้างความขัดแย้ง แบ่งแยก ทำลายบรรยากาศการทำงาน ในทีมมักมีสมาชิกที่มีความสามารถ ทักษะ นิสัย หลากหลาย คนเก่งที่แท้จริงจะนำความรู้ ทักษะ มาเสริมสร้างทีม แบ่งปัน และช่วยเหลือเกื้อกูล มุ่งหวังที่จะเห็นองค์กรประสบความสำเร็จภายใต้ความสัมพันธ์ที่ดีระหว่างทีมงานทุกคน ในขณะที่คนไม่เก่ง สามารถเรียนรู้ พัฒนา เติบโต ด้วยโอกาส การสนับสนุน จากเพื่อนร่วมงาน ผู้นำ ในขณะที่คนดีจะมุ่งมั่น รับผิดชอบ สร้างบรรยากาศการทำงานที่ดี ไม่เอาความเก่งไปทำลายความตั้งใจในการทำงานของคนอื่น ปฏิเสธไม่ได้ว่าทุกองค์กรจะมีคนไม่ดีร่วมอยู่ด้วย คนเหล่านี้จะคอยสร้างปัญหา ขัดขวางแนวคิดที่เป็นประโยชน์ต่อองค์กร แสดงความไม่เห็นด้วยกับแนวคิดที่ไม่สอดคล้องกับความสนใจของตน และทำลายบรรยากาศการทำงาน ใช้เวลาไปกับการเล่นการเมือง สร้างกลุ่มก๊วนเพื่อนินทาคนที่มีความเห็นต่าง คอยจ้องจับผิดคนที่ไม่ใช่พวกพ้องตน

"เก่งเพื่อเสริมทีม" หมายถึง บุคคลที่มีความสามารถ ทักษะ ความรู้ นำมาใช้เพื่อพัฒนาตนเอง พัฒนาเพื่อนร่วมงาน และพัฒนาองค์กร "เก่งเพื่อเหนือทีม" หมายถึง บุคคลที่มีความสามารถ ทักษะ ความรู้ นำมาใช้เพื่อเอาชนะ กดขี่เพื่อนร่วมงาน สร้างกลุ่มก้อนทางการเมืองเพื่อรักษาไว้ซึ่งความนิยมชมชอบตัวเอง "เก่งเพื่อเสริมทีม" เปรียบเสมือนแสงสว่าง นำทางองค์กรไปสู่ความสำเร็จ ทีมที่ทำงานร่วมกันอย่างมีประสิทธิภาพ ผนึกกำลัง แบ่งปันความรู้ ช่วยเหลือซึ่งกันและกัน สร้างผลลัพธ์ที่ยิ่งใหญ่กว่าการทำงานคนเดียว มุมมองที่หลากหลาย ประสบการณ์ที่แตกต่าง กระตุ้นการคิดนอกกรอบ นำไปสู่ไอเดียใหม่ และนวัตกรรม สมาชิกในทีมเรียนรู้จากกันและกัน แบ่งปันความรู้ พัฒนาทักษะ เติบโตทั้งส่วนตัวและองค์กร องค์กรที่มุ่งเน้นการทำงานเป็นทีม ส่งเสริมการทำงานของกันและกัน ให้คำแนะนำและแง่คิดด้วยความบริสุทธิ์ใจปราศจากอคติ "เก่งเพื่อเสริมทีม" จึงมีพลังมหาศาลในการขับเคลื่อนองค์กรไปสู่ความสำเร็จ และสร้างอนาคตที่ยิ่งใหญ่ คนที่มีจิตสำนึกต่อองค์กรไม่เพียงแต่บอกว่ารักองค์กร ทำอะไรเพื่อองค์กร แต่ต้องไม่ปล่อยให้ “อีโก้” ผนึกกำลังกับความลุ่มหลงมัวเมาใน “ตัวกู” มาทำลายองค์กรให้พังทลายเพียงเพราะแค่ต้องการแสดงอิทธิฤทธิ์ของความเก่งเพื่อเหนือทีม คนเก่งจริงไม่จำเป็นต้องเล่นการเมือง เพราะท้ายที่สุด การเมืองที่ทำลายพลังสร้างสรรค์อาจจะไม่มีที่ให้เก่งเพื่อเหนือทีมอีกต่อไป

----------------------------
วัชรพจน์ ทรัพย์สงวนบุญ
ศูนย์กลยุทธ์และความสามารถทางการแข่งขันองค์กร มจธ.
เมื่อเร็วๆ นี้ ศูนย์กลยุทธ์และความสามารถทางการแข่งขันองค์กร (STECO) มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีพระจอมเกล้าธนบุรี ร่วมกับ การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย