December 15, 2025
จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย และคณะกรรมการจัดทำยุทธศาสตร์ ชาติด้านการสร้างการเติบโตบนคุณภาพชีวิตที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม

JTI หรือ Japan Tobacco International เป็นหนึ่งในบริษัทชั้นนำระดับโลก ก่อตั้งเมื่อปี 1999 ดำเนินธุรกิจใน 120 ประเทศทั่วโลก เจ้าของแบรนด์ที่มีชื่อเสียงอย่าง Winston, Mevius และ Camel เป็นต้น โดย JTI เปิดโอกาสกว้างในการทำงานให้กับคนรุ่นใหม่ที่มีความสามารถ โดย Gabriel Bonnet ผู้จัดการทั่วไป JTI ประเทศไทย ในฐานะผู้นำขององค์กร เขามีบทบาทในการสนับสนุน Employees Engagement ในหลายด้านๆ ที่น่าสนใจ ซึ่งนับเป็นวัฒนธรรมองค์กรที่ดีในการส่งเสริมให้พนักงานกล้าคิด กล้าทำ เพื่อสร้างโอกาสในการเติบโตในหน้าที่การงาน และเป็นแรงสำคัญในการขับเคลื่อนให้องค์กรเติบโตอย่างยั่งยืนต่อไปในอนาคต

 

Gabriel Bonnet ผู้จัดการทั่วไป JTI ประเทศไทย

 

“อันดับแรกคือการยึดพนักงานเป็นศูนย์กลางของบริษัท โดยมองว่าพนักงานไม่ได้เป็นทรัพย์สินขององค์กร แต่เป็นผู้ลงทุนของบริษัท พวกเขาลงทุนทั้งความเชี่ยวชาญและเวลา โดยทีมผู้บริหารจะช่วยวางกรอบการทำงานและเครื่องมือต่างๆ เพื่อสนับสนุนให้พนักงานพัฒนาการทำงาน และทำให้พนักงานรู้สึกว่าตัวเองมีอำนาจ มีความรับผิดชอบในงานที่ทำอย่างเต็มที่ เพื่อทำให้การทำตามแผนกลยุทธ์เกิดประสิทธิผลสูงสุด นอกจากนี้องค์กรควรสร้างสรรค์สิ่งแวดล้อมและบรรยากาศการทำงานแบบ Open Thinking คือ การเปิดใจ ตั้งใจรับฟัง ให้เกียรติกับพนักงานทุกคน เพราะการเปิดรับทุกความคิดเห็นและฟีดแบ็ก ทำให้พนักงานเกิดความเชื่อมั่นในองค์กรว่าองค์กรตระหนักถึงการมีตัวตนและคุณค่าของพนักงาน ทำให้พนักงานมีความมั่นใจที่จะพูด กล้าที่จะแบ่งปันไอเดียต่างๆ กล้าที่จะคิดโปรเจกต์ต่างๆ และพรีเซนต์มันออกมาได้อย่างน่าประทับใจ”

นอกจากนี้ Gabreil ได้อธิบายถึงวิสัยทัศน์ 4s Model ได้ต้นแบบมาจาก JT (Japanese Tobacco) ซึ่งเปรียบเสมือนพันธสัญญาระยะยาวในการดำเนินธุรกิจให้ประสบความสำเร็จอย่างยั่งยืน และหลักการแห่งความรับผิดชอบนี้ได้ถ่ายทอดมายัง JTI ด้วย “4s Model คือการที่เรารักษาสมดุลของผลประโยชน์ ลูกค้า ผู้ถือหุ้น พนักงาน และสังคมในวงกว้าง เรามุ่งที่หน้าที่อย่างเต็มที่ และไปให้ไกลกว่าความคาดหวังอีกด้วย ไม่มีส่วนประกอบไหนที่สำคัญกว่าอีกส่วน สิ่งเหล่านี้เป็นขั้นแรกของหนทางสู่ความสำเร็จ”

 

"ถ้าคุณแสดงออกถึง passion เป้าหมาย และความสามารถทำงานเป็นทีม ไม่มีอะไรจะหยุดให้คุณสร้างเส้นทางการทำงานในแบบที่คุณต้องการได้"

 

ในฐานะที่เป็นองค์กรระดับนานาชาติที่ต้องการบุคลากรที่มีศักยภาพมาร่วมงาน การโปรโมตพนักงานที่เป็น Young Talent จึงเป็นสิ่งสำคัญมาก โดยคุณ Gabriel ให้รายละเอียดว่า เนื่องจากผู้บริหารของ JTI ล้วนเป็นคนรุ่นใหม่ไฟแรง จึงพร้อมที่จะสร้างแรงบันดาลใจให้คนรุ่นใหม่ และพร้อมที่จะเข้าใจในสิ่งที่พนักงานต้องการ โดยต้องสร้างสมดุลกับสิ่งที่บริษัทต้องการด้วย พร้อมที่จะให้คำปรึกษาอย่างใกล้ชิด และชี้ให้เห็นถึงโอกาสและความก้าวหน้าในการทำงาน

“JTI จะไม่ปิดกั้นโอกาสใดๆ พนักงานทุกคนสามารถที่จะเติบโตในสายงาน หรือข้ามสายงานได้ เช่น จากที่เคยทำงานในแผนกการตลาด ก็เปิดโอกาสให้ทำงานในแผนกอื่นๆ ได้ หากพนักงานคนนั้นมีความสนใจ และมีความกระตือรือร้นที่อยากจะเปลี่ยนแปลง หรือถ้าต้องการ International career จะไปทำงานในต่างประเทศกับเครือข่ายต่างๆ ของ JTI ก็สามารถที่จะได้รับโอกาสนั้นเช่นกัน เพราะเราเชื่อว่าคนรุ่นใหม่ถูกขับเคลื่อนด้วยแรงจูงใจที่ยิ่งใหญ่มากว่า อะไรคืออนาคตหรือก้าวต่อไปของเขา อะไรที่เขาจะได้เรียนรู้ และเขาสามารถเติบโตเป็นมืออาชีพอย่างไร หรือไปที่ไหนได้บ้าง ทุกวันนี้คนไม่ได้อยากเริ่มทำงานและเกษียณในแผนกเดียว เพราะฉะนั้นเป็นเรื่องสำคัญอย่างยิ่งที่เราจะเข้าใจเป้าหมายระยะยาวของพนักงาน และให้โอกาสในการที่จะพัฒนาอาชีพของเขากับ JTI”

สุดท้าย Gabriel ย้ำว่า “ถ้าคุณแสดงออกถึง passion เป้าหมาย และความสามารถทำงานเป็นทีม ไม่มีอะไรจะหยุดให้คุณสร้างเส้นทางการทำงานในแบบที่คุณต้องการได้ ผลิตผลงานที่มีคุณภาพ และมีทัศนคติที่ดี สื่อสารให้หัวหน้าของคุณทราบว่าคุณต้องการมุ่งหน้าไปทางไหน คุณจะยังไม่พร้อมสำหรับก้าวต่อไป จนกว่าคุณจะเร่งลงมือทำมันทันที”

การเรียนการสอนในประเทศไทย ส่วนใหญ่ตั้งแต่ระดับเบื้องต้นจนถึงระดับสูงคือปริญญาตรี-โท และเอกยังเน้นรูปแบบการเรียนการสอนในลักษณะทิศทางเดียว หรือ Lecture Based Classroom

“21-24 พ.ย. ไปพนมเปญและสีหนุวิลล์  24 กลับมาไป หาดใหญ่และภูเก็ต และ 26 พ.ย. ไปสอนหนังสือเชียงใหม่ และปลายเดือนพ.ย. บินเข้าลาวต่อ ส่วนเดือนธันวาคมอยู่กรุงเทพประมาณ 3-4 วัน”

ฟังตารางงานของ สมภพ ศักดิ์พันธ์พนม ประธานกรรมการ บริษัท แอสเซท โปร แมเนจเม้นท์ จำกัด (APM) และ CEO APM ในภูมิภาคอินโดจีน มือทองด้านการเงินขาลุยที่ตระเวนเปิดตลาดใหม่ๆ ทั้งในประเทศและต่างประเทศจนได้รับการยอมรับในวงการ การหาเวลานั่งพูดคุยกับเขาจัดว่าเป็นเรื่องที่ยาก เมื่อมีโอกาส MBA จึงขอนัดคุยอัปเดตเรื่องราวของ APM ทั้งในไทยและต่างประเทศว่ามีความคืบหน้าไปในระดับใดบ้างแล้ว รวมถึงรูปแบบธุรกิจที่เขาและทีมงานกำลังสร้างอาณาจักรธุรกิจ APM ทั้งในไทยและต่างประเทศ

หากจะสรุปวิธีการทำธุรกิจของ APM จะใช้วิธีสร้างพื้นฐานให้แน่น ใส่ใจกับรายละเอียด และมีความอดทนเพื่อให้บรรลุเป้าหมายที่วางไว้ และจากนั้นก็จะเริ่มขยายฐานออกไปสู่พื้นที่หรือธุรกิจใหม่ที่เกี่ยวเนื่องกัน เห็นได้จากการที่ APM เริ่มปูงานในประเทศไทยจนมีความเข้มแข็งสามารถนำบริษัทเข้าจดทะเบียนมาอย่างต่อเนื่องโดยเฉพาะธุรกิจเอสเอ็มอีที่มีแววทั่วประเทศ โดยสมภพและทีมงานใช้วิธีเข้าไปเชิญชวนให้กิจการนั้นๆ เห็นประโยชน์ของการเข้าไประดมทุนในตลาดหลักทรัพย์และการใช้เครื่องมือทางการเงินประเภทต่างๆ

เมื่อ APM มีความมั่นคง 7 ปีที่ผ่านมา สมภพก็นำทีมเข้าไปวางรากฐานการทำธุรกิจที่ปรึกษาทางการเงินใน สปป.ลาว ที่เขามองว่าแม้ตลาดหลักทรัพย์ของ สปป.ลาว ในขณะนั้นยังเล็ก แต่ก็เป็นตลาดที่มีโอกาสอยู่มาก ประกอบกับความใกล้ชิดของทั้งสองประเทศเป็นประโยชน์ต่อการสร้างฐานธุรกิจให้เข้มแข็ง จนได้ใบอนุญาตที่ปรึกษาทางการเงินสามารถเริ่มนำบริษัทเจ้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ สปป.ลาว แล้ว 3 บริษัท และมีอีกจำนวนหนึ่งที่อยู่ระหว่างเตรียมการ ระหว่างนั้นเขาก็เริ่มวางรากฐานธุรกิจใหม่ของ APM คือธุรกิจเช่าซื้อที่กำลังเริ่มต้นในวันนี้

 

สมภพ ศักดิ์พันธ์พนม ประธานกรรมการ บริษัท แอสเซท โปร แมเนจเม้นท์ จำกัด (APM) และ CEO APM ในภูมิภาคอินโดจีน

 

ปูฐานให้มั่นคง

การเติบโตตามธรรมชาติเป็นวิธีที่ APM ใช้ขยายธุรกิจ สมภพและทีมงานวางรากฐานทั้งการขยายฐานลูกค้าและบริการอย่างค่อยเป็นค่อยไป ไม่รีบร้อน ตัวอย่างการขยายธุรกิจเช่าซื้อ สมภพมองว่าเขาและทีมงานมีประสบการณ์จากสายธนาคารมาก่อน การทำธุรกิจนี้จึงเป็นหนึ่งในธุรกิจเกี่ยวเนื่องที่สามารถเกื้อหนุนธุรกิจที่ปรึกษาทางการเงินที่อยู่เดิมได้สมภพวิเคราะห์ว่าปี 2561 ที่กำลังจะมาถึง ตลาดทุนใน CLMV จะมีความตื่นตัวมาก เพราะผู้กำกับดูแลรวมถึงผู้บริหารตลาดหลักทรัพย์ในประเทศเหล่านี้วางเป้าหมายให้มีบริษัทจดทะเบียนในแต่ละตลาดแต่ละแห่งขั้นต่ำ 20 บริษัท ทำให้ตลาดทุนในประเทศกลุ่มนี้ยังเป็นโอกาสของ APM

เขาแจกแจงกิจกรรมที่น่าสนใจของ APM ในแต่ละประเทศโดยเริ่มจาก สปป.ลาว ที่เพิ่งนำ Phousy Construction and Development Public Company (PCD) เข้าตลาดหลักทรัพย์ลาวไปเมื่อตุลาคมที่ผ่านมา และกำลังเตรียมนำ UDA Farm เข้าจดทะเบียนในช่วงไตรมาสแรกของปีหน้า และยังมีบริษัทที่เตรียมจะยื่นเข้าจดทะเบียนอีก 2 บริษัทในปี 2561 และกำลังเตรียมความพร้อมอีก 1 บริษัท ทิศทางการทำงานใน สปป.ลาวจึงยังคงเดินหน้าอย่างค่อยเป็นค่อยไป ขณะที่กัมพูชา APM กำลังรอรับใบอนุญาตในนามบริษัท APM Cambodia Securities จำกัดซึ่งคาดว่าจะได้รับในไม่นานนี้ ขณะเดียวกันก็เริ่มเจรจาให้คำปรึกษาธุรกิจในกัมพูชาเพื่อเตรียมตัวเข้าตลาดหลักทรัพย์กัมพูชาไว้แล้ว นอกจากนี้ APM ยังจะจับมือกับ ก.ล.ต.กัมพูชา เพื่อผลักดันเอสเอ็มอี 50 บริษัทเข้าโครงการ Excellence Program เตรียมเอสเอ็มอีเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ โดย APM จะทำหน้าที่เป็นที่ปรึกษาทางการเงิน ช่วยผลักดันเตรียมความพร้อมบริษัทเหล่านี้ในด้านระบบบัญชี

เมียนมาเป็นอีกประเทศที่ APM ตั้งใจจะเข้าไปทำธุรกิจ โดยยังอยู่ระหว่างการรอใบอนุญาตอย่างเป็นทางการ รวมทั้งปัจจุบันประเทศเมียนมายังไม่มีการนำหุ้นเข้า IPO แต่มีบริษัทที่จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ฯ จำนวน 4 บริษัทที่เดิมมีการซื้อขายหุ้นกันนอกตลาดหลักทรัพย์ (OTC) เดิมอยู่แล้ว และก็ขออนุญาตเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ (Rangon Stock Exchange) จึงยังไม่มีความคืบหน้าด้านที่ปรึกษาทางการเงินมากนัก เวียดนามเป็นประเทศที่มีตลาดทุนมา 19 ปีแล้ว สมภพมองว่า APM ก็ให้ความสนใจแต่ยังต้องทำให้กิจการในประเทศต่างๆ มีความเข้มแข็งมากขึ้นก่อนจึงจะรุกเข้าไปได้ อีกทางหนึ่ง APM ก็รุกเข้าไปที่สิงคโปร์ โดยอยู่ระหว่างการเตรียมความพร้อมด้านบุคลากรและศึกษากฎเกณฑ์ต่างๆ เพื่อไปเปิดบริษัทที่ปรึกษาทางการเงิน โดยสมภพให้ความสนใจ Catalyst Board ซึ่งเป็นตลาดรองที่มีกฎเกณฑ์ไม่มากนัก แต่ให้บริษัทที่ปรึกษาทางการเงินเป็นคนรับผิดชอบหากเกิดอะไรผิดพลาดขึ้นมา

สมภพสรุปกรอบที่วางไว้ทั้งหมดว่า “เพื่อให้ครอบคลุมการบริการใน 3- 5 ปีจากนี้ได้ เราไม่จำเป็นต้องเร่ง เพราะเราเรียนรู้ว่าแต่ละอย่างเร่งไม่ได้ ใจเราเร่ง แต่บางอย่างเร่งไม่ได้ อย่างไลเซนต์ พอได้แล้วเราเร่งคนก็ไม่ได้ ก็ต้องค่อยๆ เรียนรู้”ความพร้อมเป็นเรื่องสำคัญมากสำหรับงานที่ปรึกษาทางการเงิน ตัวอย่างเช่นที่สปป.ลาวซึ่ง APM ต้องส่งคนลงไปทำงานอย่างทุ่มเทอย่างน้อย 1-2 ปีเรียนรู้ทำความรู้จักตลาดใหม่ ให้ความรู้กับตลาดเกี่ยวกับสินค้าและบริการ พัฒนาบุคลากรท้องถิ่น ซึ่งต้องใช้ความทุ่มเททรัพยากรทั้งเงินทุนและเวลาเป็นอย่างมาก หัวเรือใหญ่อย่างสมภพจึงต้องลงมือด้วยตัวเองในแบบที่เรียกได้ว่ากัดไม่ปล่อยจนกว่าจะบรรลุเป้าหมายที่วางไว้ แม้จะต้องเดินทางไปมาแทบไม่มีเวลาพักแต่นั่นคืองานที่เขาสนุกและอยากทำเพื่อให้งานมีคุณภาพและเดินหน้าต่อเนื่อง

 

 

รักษาฐานขยายตลาด

การลุยงานอย่างต่อเนื่องของสมภพเป็นจุดเด่นที่เขาได้รับการยอมรับในวงการ ทำให้เขามีคิวงานแน่นล้นแทบทุกวันทั้งนี้เพื่อรักษาฐานที่มีอยู่พร้อมกับขยายตัวต่อไปหาพื้นที่ใหม่ๆ จำนวน IPO ที่ APM นำเข้าจดทะเบียนในแต่ละปีมีหลายบริษัทคือคำตอบที่เห็นได้ชัดเจน หากไม่มีการเตรียมความพร้อมอย่างต่อเนื่องคงทำได้ยากในประเทศไทยปี 2560 APM ยื่นไฟลลิ่งไปแล้ว 5 บริษัท เข้าจดทะเบียนซื้อขายไปแล้ว 2 บริษัท ขณะที่ปี 2561 สมภพบอกว่าน่าจะยื่นได้ประมาณ 6-8 บริษัท

สมภพมองว่า เอสเอ็มอียังเป็นกลไกสำคัญในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจไทย เพราะหากดูตัวอย่างในสหรัฐอเมริกาบริษัทใหญ่ๆ ล้วนเกิดจากการผลักดันเอสเอ็มอีเข้าตลาดแนสแด็กแล้วเติบโตขึ้นทั้งสิ้น ส่วนหนึ่งของการผลักดันโดย APM คือการจัดงานดินเนอร์ทอล์กตามจังหวัดต่างๆ เป็นเวลากว่า 10 ปีแล้ว เพื่อโปรโมตหุ้นน้องใหม่ที่เข้าจดทะเบียน ที่สมภพมองว่าเป็นการสร้างโอกาส 2 ทาง ทางหนึ่งคือการสร้างนักลงทุน และอีกทางหนึ่งคือการสร้างผู้ประกอบการใหม่ๆ ที่จะเข้ามาสู่กระบวนการจดทะเบียนเข้าตลาดหลักทรัพย์ “เป็นเวทีให้คนได้ฟัง หลายรายที่เป็นนักลงทุนคือผู้ประกอบการพอฟังเสร็จเขาก็เรียกรุ่นลูกมาบอกว่า เขาแก่แล้ว รุ่นลูกไปคุยกับ APM ว่าจะเอาบริษัทเข้าอย่างไรแต่ต้องคิดเองพูดเองเพราะต้องเป็นคนอยากเอาเข้าเอง เตี่ยแค่ปิ๊งไอเดีย เราก็จะได้คนรุ่นใหม่ฟังครั้งหนึ่ง 200-300 คน ครั้งหนึ่งได้ 1 ราย ก็พอแล้ว คิดแค่นี้ แต่ถ้าไม่จัดก็ไม่มีได้ ต้องยอมเหนื่อยและลงทุนด้วย

อีกเรื่องที่ APM ทำมาต่อเนื่องคือการให้ความรู้กับผู้ประกอบการเอสเอ็มอีที่บริษัทให้คำปรึกษาทางการเงินและกำลังเตรียมตัวเข้าตลาดหลักทรัพย์ โดยจัดหลักสูตร High Flyer Entrepreneur ให้แนวคิดการบริหารจัดการธุรกิจครอบครัว สามารถใช้ศาสตร์ด้านบริหารจัดการเข้าไปใช้ได้อย่างไร และเรื่องการเตรียมความพร้อมเข้าตลาดหลักทรัพย์ การใช้ประโยชน์จากตลาดทุน การใช้เครื่องมือทางการเงินเพื่อสร้างความเติบโต โดยในประเทศไทยจัดมาแล้ว 5 รุ่น และกำลังเตรียมจะจัดหลักสูตรเดียวกันใน สปป.ลาวและกัมพูชาในปีหน้า

นอกจากเป็นการให้ความรู้กับผู้ประกอบการยังเป็นการสร้างเครือข่ายทางธุรกิจที่สามารถเชื่อมโยงกันและอีกทางหนึ่งคือการสร้างสายสัมพันธ์ที่มัดแน่นกับ APM ในฐานะที่ปรึกษาที่คอยช่วยเหลือธุรกิจ การสานสัมพันธ์รักษาฐานลูกค้าเมื่อพัฒนาให้เข้มแข็งได้แล้ว ก็จะมีส่วนช่วยเสริมธุรกิจของ APM ให้ขยายตัวไปได้ ดังที่สมภพกล่าวในช่วงหนึ่งของการสนทนาว่า APM ไทยมั่นคง APM ลาวมั่นคง กัมพูชามั่นคง พอเราจะไปที่สิงคโปร์หรือเมียนมา เขาเห็นผลงาน 3 ประเทศว่ามั่นคงถึงจะต่อยอดความเป็น FA ได้ง่ายขึ้น เราจะมาพูดปากเปล่าคงไม่ได้ เราต้องพูดถึงนิติบุคคลที่เรามีผลงานนี่คือหลักการ”

สมภพเล่าภาพอนาคตที่เราจะเห็น APM จะประกอบด้วย 2 ธุรกิจหลัก คือที่ปรึกษาทางการเงิน โดยมีฐานหลักที่ประเทศไทยและ สปป.ลาว ค่อยๆ ขยายตัวไปยังประเทศกัมพูชา เมียนมาและเวียดนามภายใน 5 ปีข้างหน้า อีกข้างหนึ่ง คือธุรกิจเช่าซื้อ ที่จะปรับโครงสร้างการถือหุ้นโดยจัดตั้งบริษัทโฮลดิ้งขึ้นมาถือหุ้นในลิสซิ่งทุกประเทศในอนาคตจะผลักดันโฮลดิ้งนี้เข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ เพื่อระดมทุนไปขยายธุรกิจใน CLMV ต่อไป

 

"เพื่อให้ครอบคลุมการบริการใน 3- 5 ปีจากนี้ได้ เราไม่จำเป็นต้องเร่ง เพราะเราเรียนรู้ว่าแต่ละอย่างเร่งไม่ได้ ใจเราเร่ง แต่บางอย่างเร่งไม่ได้"

 

APM Leasingใส่เกียร์ 1 เริ่มเดินหน้า

สมภพเริ่มด้วยข่าวดีของ APM ในลาว ว่าเมื่อวันที่ 31 ตุลาคมที่ผ่านมา บริษัทหลักทรัพย์ APMLAO Leasing จำกัด ได้รับใบอนุญาตประกอบวิชาชีพทำธุรกิจเช่าซื้อใน สปป.ลาว หลังจากยื่นขออนุญาตมาแล้วกว่า 2 ปี เป็นการเติมเต็มภาพ APMLAO ที่เขาเคยเล่าให้ MBA ฟังว่า จะมีด้านการเป็นที่ปรึกษาทางการเงินที่ได้รับใบอนุญาตมาครบ 4 ปีแล้ว และด้านลิสซิ่งที่จะเป็นดาวเด่นในอนาคตของกลุ่มธุรกิจเข้ามาเสริม

สมภพเล่าเบื้องหลังว่ากว่าจะได้ใบอนุญาตมีหน่วยงานที่ร่วมพิจารณาให้ใบอนุญาตหลายหน่วยงาน โดยเริ่มต้นจะปล่อยสินเชื่อได้ในเขตนครหลวงเวียงจันทน์ก่อนระยะเวลาหนึ่งจึงจะได้รับอนุญาตให้ไปทำธุรกิจในแขวงอื่นๆ ได้ ซึ่งตามแผนงานของ APM ก็จะเป็นช่วงเวลาที่เตรียมความพร้อมบุคลากรเพื่อรองรับการขยายตัวด้วยการผสมผสานทั้งคนในพื้นที่และพนักงานที่มีประสบการณ์จากประเทศไทย

แผนงานที่ APM วางไว้สำหรับธุรกิจลิสซิ่งหลังจากได้รับใบอนุญาตจากกรมคุ้มครองสถาบันการเงินภายใต้การกำกับดูแลของธนาคารแห่งชาติ สปป.ลาว คือภายใน 2 เดือนที่เหลือของปีนี้จะเริ่มปล่อยสินเชื่อเช่าซื้อรถเพื่อการพาณิชย์ อุปกรณ์สำนักงาน อุปกรณ์ร้านเสริมสวย และอุปกรณ์ทางการเกษตร

เป้าหมายการปล่อยสินเชื่อเช่าซื้อสมภพบอกว่า “ปี 2018 ก็น่าจะปล่อยเพิ่มเติบโตไม่น้อยกว่าเป็น 100 เปอร์เซ็นต์จากปีนี้ เป้าหมาย 50 ล้านบาท ปีนี้ (2017) น่าจะปล่อย 10-20 ล้านบาท และปีต่อไป 2019 ก็อยู่ 100-200 ล้านบาท ปี 2020 น่าจะอยู่ที่ 500 ล้านบาท เป็นการปล่อยเพิ่มนะ แสดงว่าผมต้องวางแผนทางการเงินทำลิสซิ่ง สุดท้ายลิสซิ่งเป็นธุรกิจที่มีศักยภาพ ทำให้ผลงานของ APMLAO Leasing โดดเด่นในปี 2020 ได้ และมีโอกาสใช้ตลาดทุนในการระดมทุนเพื่อไปขยายในประเทศกัมพูชา และ CLMV”

สมภพมองว่าธุรกิจลิสซิ่งจะเป็นดาวเด่นของ APM ในอนาคต เขาจึงมุ่งมั่นลงลึกถึงรายละเอียด ด้วยการเป็นหนึ่งในกรรมการพิจารณาปล่อยสินเชื่อของบริษัทด้วยตัวเอง “ผมปล่อยลิสซิ่งถ้าปล่อยเสียไปหนึ่งรายสองรายกำไรที่ควรจะได้นี่หายไปเลย เพราะฉะนั้นต้องเข้ม นี่คือหัวใจการทำงานธุรกิจลิสซิ่ง ต้องดูผู้เช่าซื้อให้ถี่ถ้วน เพราะลิสซิ่ง มีตั้งแต่การวางดาวน์ 10-15 เปอร์เซ็นต์และดูความสามารถในการผ่อนชำระ ดูครอบครัว ดูที่บ้าน ไม่ใช่ทำง่าย เช่นรถปิ๊กอัป เดือนนี้จะปล่อย 1-2 คัน รู้ตัวตน รู้พ่อแม่ อย่างนี้ปล่อย เราค่อยๆ เรียนรู้ไป อย่าไปเร่ง”

TMB เป็นองค์กรชั้นนำที่ใส่ใจและให้ความสำคัญกับการพัฒนา ‘คน’ เป็นอย่างมาก เพราะเชื่อว่าเป็นส่วนหนึ่งของการเตรียมความพร้อมองค์กรให้สามารถรับมือกับการเปลี่ยนผ่านไปสู่ยุค Digital Economy ได้อย่างราบรื่น และเติบโตต่อไปในอนาคตได้อย่างยั่งยืน ขณะเดียวกันภายใต้โครงสร้างองค์กรที่มีความคล่องตัวมากขึ้นกว่าแต่ก่อน รวมถึงการสร้างระบบขั้นตอนการทำงานที่ไม่ซับซ้อน รวมไปถึงมีทีมพิเศษที่ร่วมกันทำงานเฉพาะกิจในโปรเจกต์พิเศษ ทำให้ TMB สามารถบริหารจัดการ และนำเสนอบริการที่เป็นนวัตกรรมทางการเงินได้อย่างรวดเร็ว และมีประสิทธิภาพ

พัตราภรณ์ สิโรดม หัวหน้าเจ้าหน้าที่บริหารทรัพยากรบุคคล ธนาคารทีเอ็มบี ให้รายละเอียดที่น่าสนใจว่า “เพื่อทำให้พนักงานทุกคนทำงานอย่างมีคุณค่า ขยายขอบเขตความรับผิดชอบของงาน ให้สามารถพัฒนาและเรียนรู้ทักษะใหม่ๆ และทำงานได้อย่างเต็มรูปแบบมากขึ้น โครงสร้างองค์กรที่มีประสิทธิภาพมีส่วนช่วยเป็นอย่างมาก ต่อการเปลี่ยนแปลงในอนาคต โดยการที่โครงสร้างองค์กร เป็น Flat Organization ไม่มีลำดับชั้นมาก มีเฉพาะที่จำเป็นเท่านั้น จะช่วยให้เราสามารถดำเนินงาน หรือตัดสินใจได้อย่างรวดเร็ว ทันกับความเปลี่ยนแปลงในยุคดิจิทัล”

“เท่านั้นยังไม่พอ เราได้นำ Agile มาใช้ เพื่อให้เหมาะกับลักษณะองค์กรที่ไดนามิค โดยตั้งทีมงานพิเศษขึ้นมารับผิดชอบโปรเจกต์สำคัญ ทำงานด้วยวัตถุประสงค์ที่ชัดเจน ในการที่จะนำเสนอผลิตภัณฑ์และประสบการณ์ที่ดีให้กับลูกค้าได้รวดเร็วขึ้น หรือการบริหารจัดการความเสี่ยงต่างๆ โดยไม่จำเป็นจะต้องเป็นเรื่องเกี่ยวกับไอทีเท่านั้น โดยปัจจุบันมีทีมที่มีผู้เชี่ยวชาญจากหลายๆ แผนกมารวมตัวกัน เพื่อทำงานโปรเจกต์สำคัญให้สำเร็จอย่างมีคุณภาพ สุดท้ายคือ Lean ซึ่งเป็นหนึ่งในวัฒนธรรมองค์กรของ TMB ที่เรานำมาใช้เพื่อลดขั้นตอนในการทำงาน ตัดขั้นตอนการทำงานที่ซับซ้อน ยุ่งยากและไม่จำเป็นออกไป เพื่อให้การทำงานมีประสิทธิภาพสูงสุด”

 

"TMB ฉีกกฎธรรมเนียมปฏิบัติของธนาคารด้วยการยกเลิกตอกบัตรในบางแผนก ในขณะที่หลายๆ ธนาคารยังกำหนดให้พนักงานส่วนใหญ่เข้า-ออกงานเป็นเวลา"

พัตราภรณ์ สิโรดม หัวหน้าเจ้าหน้าที่บริหารทรัพยากรบุคคล ธนาคารทีเอ็มบี

 

เพื่อให้องค์กรสามารถขับเคลื่อนไปได้อย่างรวดเร็วตามยุทธศาสตร์ที่วางไว้ จึงต้องการคนที่ใช่มาร่วมงานตั้งแต่แรก    ซึ่งพัตราภรณ์บอกว่า บุคลากรที่ TMB คัดสรรมาจะมีทั้งจากการดึงดูดคนใหม่หรือคนจากอุตสาหกรรมอื่นเข้ามาเพื่อเสริมกำลังทัพให้แข็งแกร่งยิ่งขึ้น จึงต้องขยายภาพของ Employer Branding และมีการพัฒนาในส่วนนี้อย่างต่อเนื่อง เนื่องจากผู้สมัครในยุคนี้สามารถเข้าถึงข้อมูลได้อย่างอิสระ และสามารถเปรียบ-เทียบสิ่งที่แต่ละบริษัทเสนอให้ได้อย่างง่ายดาย จึงจำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องชี้ชัดให้คนภายนอกเห็นว่า หากมาร่วมงานกับ TMB จะได้รับประโยชน์อะไรบ้าง  เช่น Best Development ซึ่งให้ความสำคัญในเรื่องการพัฒนาศักยภาพ ควบคู่ไปกับการก้าวหน้าในสายอาชีพ ซึ่งเรามีหลักสูตรที่มีเอกลักษณ์ และสามารถนำไปประยุกต์ใช้ได้ง่ายในการทำงาน ทั้งสำหรับพนักงานและหัวหน้างาน

 “ที่เด่นชัดอีกอย่างคือเรามี Talent program ซึ่งเป็นโปรแกรมสร้างผู้นำขององค์กรในอนาคต ด้วยการเตรียมความพร้อมให้กับพนักงานที่จะสามารถปฏิบัติงานในตำแหน่งที่ว่างลงได้อย่างทันท่วงที โดยเฉพาะในตำแหน่งที่เกี่ยวข้องกับดิจิทัลซึ่งในปัจจุบันยังหาผู้สมัครที่มีคุณสมบัติเพียบพร้อมและตรงตามความต้องการได้ยากมาก ซึ่งการฟูมฟักพนักงานดังกล่าวนั้นสอดรับกับแนวทางของ TMB ที่มุ่งเน้นในการปลุกปั้นและพัฒนาศักยภาพบุคลากรของตัวเองให้เติบโตและก้าวหน้าในอาชีพการงานภายในองค์กร หากมีตำแหน่งใหม่ หรือมีตำแหน่งเดิมที่ว่างลงเราก็จะพิจารณาจากกลุ่มที่อยู่ใน Talent Pool ซึ่งทำให้เขาสามารถที่จะปรับเปลี่ยนหน้าที่เพื่อขับเคลื่อนองค์กรในด้านอื่นๆ และหากมีทักษะที่จำเป็นในอนาคตเราก็ต้องรีบนำมาติดอาวุธให้เขา รวมถึงเราต้องชี้ให้เห็นชัดเจนว่า เส้นทางต่อไปในอนาคตของเขาเป็นอย่างไรและหากมีผลงานดีแน่นอนว่าจะได้รับผลตอบแทนที่ดีตามมา เพราะเรามี Reward & Recognition ในการให้รางวัลตอบแทนความทุ่มเท และความมุ่งมั่นที่จะ Make THE Different ของพนักงาน”

 

 

พัตราภรณ์ อธิบายเพิ่มเติมถึงหลักเกณฑ์ในการคัดเลือกพนักงานเพื่อเป็นส่วนหนึ่งของ Talent Program ว่า ต้องมีผลการปฏิบัติงานที่ดี มีศักยภาพในการที่จะเป็นผู้นำในอนาคต และที่สำคัญคือมีความตั้งใจที่อยากจะเปลี่ยนไปทำงานใหม่ๆ และชอบความท้าทายที่จะพัฒนาตัวเอง “เขาต้องรู้สึกยินดีที่จะก้าวออกมาจาก Comfort Zone รวมถึงมีพฤติกรรมที่สอดคล้องกับค่านิยมขององค์กร เราจะดูว่าเขามีความผูกพันองค์กรมากน้อยเพียงใด เรื่อง mindset เป็นสิ่งที่ทาง TMB ให้ความสำคัญเป็นอย่างมากเพื่อรับมือกับการเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นในทุกๆวัน ที่ผ่านมาเราจัด Boost Camp นำพนักงานที่อยู่ใน Talent Program ไปเข้าร่วมกิจกรรม เช่น การปีนเขา, การแล่นเรือใบ ฯลฯ เพื่อสอดแทรกสาระสำคัญบางอย่างที่เป็นคุณลักษณะสำคัญของผู้นำ เช่น การก้าวผ่านความกลัว การสะท้อนให้เห็นถึงประสบการณ์ที่มีประโยชน์ที่เกิดขึ้นระหว่างทางที่มีความหมายไม่น้อยไปกว่าการไปถึงจุดหมายปลายทาง เมื่อเจออุปสรรคหรือเหตุการณ์ไม่คาดคิดจะตัดสินใจทำอะไร อย่างไร เป็นต้น” จากนั้นก็เสริมสร้างทักษะความรู้ ผ่านการเรียนรู้ในรูปแบบที่หลากหลายและเน้นการเรียนรู้จากประสบการณ์

สำหรับพนักงาน TMB ก็ให้ความสำคัญและเปิดโอกาสในการเปลี่ยนแปลงตำแหน่งหน้าที่การงานภายในองค์กรได้เช่นกัน ด้วยการจัดสรรโปรแกรม Career by ME ที่เปิดโอกาสให้พนักงานเลือกวางแผนความก้าวหน้าในสายอาชีพของตนเอง โดยพิจารณาจากความสามารถและจากความสนใจของตัวพนักงานเอง “ส่วนในด้านส่งเสริม

สภาพแวดล้อมในทำงาน TMB ได้นำเทคโนโลยีและดิจิทัล แพลตฟอร์มต่างๆ มาใช้เพื่อให้เกิดเป็น Digital workplace ซึ่งแนวทางดังกล่าวถือเป็นการตอบสนองต่อความยืดหยุ่นในการทำงานของคนรุ่นใหม่ และบ่งบอกถึงวิสัยทัศน์ของ TMB ที่ล้ำหน้า จากการเน้นผลสัมฤทธิ์ของงานเป็นสำคัญ” พัตราภรณ์กล่าวปิดท้าย

TMB ถือเป็นหนึ่งในธนาคารชั้นนำที่มีภาพลักษณ์ของการเป็นธนาคารที่มีความทันสมัย ก้าวล้ำนำหน้าด้วยการนำเสนอบริการทางการเงินที่มีนวัตกรรมและเทคโนโลยีโดดเด่น เพื่อมุ่งสร้างประสบการณ์ที่ดีให้กับลูกค้าเสมอมา และในยุคที่ธนาคารมีการแข่งขันกันสูงมาก แต่ขณะเดียวกันอุตสาหกรรมนี้ก็กำลังเผชิญวิกฤตศรัทธาและการเข้ามาของ Fintech เพื่อข้ามผ่านความท้าทายดังกล่าว TMB ก็ไม่ได้นิ่งนอนใจ หากแต่ปรับตัวได้อย่างรวดเร็ว และนำเสนอบริการที่สามารถตอบสนองต่อความต้องการของลูกค้าได้อย่างตรงใจมากขึ้น

 

พีรพงศ์ นิธิไกรวุฒิ หัวหน้าเจ้าหน้าที่บริหาร บริหารความสัมพันธ์ลูกค้าธุรกิจ หนึ่งในคณะผู้บริหารระดับสูง ร่วมงานกับ TMB มานานกว่า 7 ปี ให้รายละเอียดถึงทิศทางและกลยุทธ์ต่างๆ ที่น่าสนใจของ TMB ในการครองใจผู้บริโภคยุคดิจิทัลว่า “การเสนอผลิตภัณฑ์ที่ตอบโจทย์ลูกค้า ไม่ใช่เรื่องใหม่สำหรับ TMB ซึ่งเป็นธนาคารที่ให้ความสำคัญกับเรื่อง Customer Centric มานานแล้ว กระนั้น TMB ยังคงต้องทำให้เด่นชัดและเป็นมาตรฐานมากขึ้น แม้ในทางปฏิบัติจะเป็นเรื่องยากก็ตาม แต่เป็นหนึ่งในแนวทางสร้างความแตกต่างของ TMB ด้วย เราทำโปรแกรม Turning Banker เพื่อดึงคนที่มีความสามารถและประสบการณ์ในอุตสาหกรรมสำคัญมาร่วมงานกับเรา เช่น รถยนต์ อาหาร ฯลฯ เพราะเขามีความเข้าใจในตัวอุตสาหกรรมนั้นๆ ดีมาก โดยเราจะติดอาวุธเรื่องความรู้ทางการเงินให้เขา ทำให้เราสามารถนำเสนอผลิตภัณฑ์ที่โดนใจลูกค้ามากขึ้น โดยเฉพาะสำหรับลูกค้ารายใหญ่หรือลูกค้าธุรกิจ”

“เรามอง Customer Experience เป็นสิ่งสำคัญ ทำอย่างไรให้ลูกค้าได้รับประสบการณ์ที่ดีขึ้นเมื่อใช้บริการของธนาคาร ทำอย่างไรที่เราจะไม่ต้องใช้คำศัพท์ที่ลูกค้าไม่เคยรู้เลยว่าหมายถึงอะไร รวมถึงขั้นตอนต่างๆ ที่ยุ่งยาก เพราะโดยปกติแล้วธนาคารเป็นองค์กรที่มีโครงสร้างซับซ้อน จนสะท้อนออกมาทางด้านนโยบายและกระบวนการต่างๆ ทำให้สิ่งที่ตามมาคือลูกค้าได้รับประสบการณ์ที่ไม่ดี ซึ่งเป็นเรื่องละเอียดอ่อนมาก เช่น ทุกวันนี้เราสามารถอนุมัติสินเชื่อบ้านและดำเนินการเสร็จสิ้นทั้งหมดภายในระยะเวลา 5 วัน ส่วนวิธีเข้าหาเอสเอ็มอีก็เหมือนกัน เพราะนักธุรกิจเต็มไปด้วยไอเดียอยู่แล้ว สิ่งที่เราต้องทำ คือ เราทำอย่างไรก็ได้ที่จะสนับสนุนให้ลูกค้าเติบโตได้ดีและมั่นคงมากขึ้น ด้วยการตอบสนองลูกค้าได้ดี ได้เร็วกว่าคนอื่น และตอบสนองต่อปัจจัยทางธุรกิจต่างๆ ได้อย่างทันท่วงที เพื่อเป็นตัวเลือกแรกของลูกค้าให้ได้”

 

"เรามอง Customer Experience เป็นสิ่งสำคัญ ทำอย่างไรให้ลูกค้าได้รับประสบการณ์ที่ดีขึ้น เมื่อมาที่ธนาคาร" 

พีรพงศ์ นิธิไกรวุฒิ หัวหน้าเจ้าหน้าที่บริหาร บริหารความสัมพันธ์ลูกค้าธุรกิจ ธนาคาร TMB

 

สำหรับแนวทางที่ TMB นำมาใช้ก็คือ Need Based Bank หรือการพยายามเข้าใจลูกค้าก่อนที่จะนำเสนอผลิตภัณฑ์ อันจะเป็นการตอบโจทย์ลูกค้าได้อย่างแท้จริง เริ่มต้นจากกระบวนการที่ทำให้พนักงานตระหนักและเข้าใจในแนวทางนี้ก่อน โดย ซีอีโอและผู้บริหารระดับสูง ได้มีการเดินสายพบปะพูดคุยเพื่อให้พนักงานในองค์กรทุกแผนกเข้าใจถึงความจำเป็นที่ต้องเปลี่ยนแปลง เพื่อบรรลุเป้าหมายที่ TMB ต้องการเท่านั้นยังไม่พอ TMB ยังออกแบบขั้นตอนในการนำเสนอบริการทางการเงินที่เรียบง่าย ไม่ยุ่งยาก แบบ Simple and Easy เพื่อให้สอดรับกับพฤติกรรมผู้บริโภคในปัจจุบันที่เปลี่ยนแปลงไปมาก ผู้บริโภคมีความอดทนน้อยลง มองหาความสะดวกสบายมากขึ้น

ในส่วนของการบริการลูกค้าธุรกิจ TMB ก็นำเสนอเทคโนโลยีที่ช่วยให้การทำธุรกิจของลูกค้าง่ายขึ้นกว่าเดิมมาก เช่น SME One Bank ไม่เพียงแต่ลดค่าใช้จ่าย แต่ยังลดความยุ่งยากของระบบการโอนเงินที่หลากหลายและแตกต่างในเรื่องเวลา จำนวนเงิน ค่าธรรมเนียม ที่ระบบธนาคารสร้างขึ้น รวมถึง Mobile Banking ที่ TMB เป็นธนาคารที่มี Mobile Banking Platform สำหรับเอสเอ็มอี “น่ายินดีมากที่ปัจจุบันในหลายๆ ผลสำรวจ เราก็จะติดอันดับ 1 ใน 3 หรือ Top of mind ของ Mobile Bankingที่ลูกค้าชื่นชอบและนำเสนอ Digital Solution ได้อย่างครบครัน”

 

 

ความท้าทายของ TMB เมื่อมีของดีอยู่ในมือ คือต้องทำอย่างไรที่จะสื่อสาร ส่งมอบบริการดีๆ ให้ลูกค้าได้อย่างทั่วถึงและมีประสิทธิภาพมากขึ้น “ในลูกค้าขนาดเล็ก การทำ Marketing ผ่านสื่อต่างๆ เป็นช่องทางหลัก แต่ในกลุ่มลูกค้าขนาดใหญ่ขึ้นมา การเข้าถึงกลุ่มเป้าหมายยังต้องอาศัยทีมงานที่มีประสิทธิภาพและมีความรู้ความเข้าใจในอุตสาหกรรมนั้นๆ อย่างถ่องแท้ ดังนั้นการเสริมสร้างทีมที่แข็งแกร่งจึงจำเป็นมากๆ สิ่งที่เราพยายามจะสร้างความยั่งยืนในเรื่องนี้คือเราต้องสร้างคนของเราเอง และเราเริ่มทำเรื่องนี้มานาน ทำอย่างจริงจัง และต่อเนื่อง เรามีโปรแกรมอยู่หลายโปรแกรม หนึ่งในนั้นคือ Management Trainee ขอให้เขามี Passion ที่อยากจะเรียนรู้ อยากที่จะเปลี่ยนแปลงอุตสาหกรรมการเงิน เราคิดว่าเราก็เปิดใจกว้างที่จะรับเขาเข้ามาฝึก”

สุดท้ายพีรพงศ์บอกว่า จากการที่ TMB มีโครงสร้างองค์กรแบบ Flat Organization ทำให้พนักงานทุกคนได้แสดงศักยภาพของตัวเองได้อย่างเต็มที่ และมีโอการสได้เข้าถึงผู้บริหารระดับสูง TMB จึงเป็นองค์กรใหญ่ที่เหมาะกับคนเก่งที่ต้องการเวที นอกจากนี้ด้วยวัฒนธรรมแบบ Performance Driven Organization ยังทำให้ TMB เป็นองค์กรที่สร้างความแตกต่างอย่างเด่นชัด และมีรางวัลแห่งความสำเร็จที่ชัดเจน ทำให้พนักงานรู้สึกมีกำลังใจอยากจะทำผลงานให้ดีขึ้นอย่างต่อเนื่อง ฟันเฟืองที่มีประสิทธิภาพ เต็มไปด้วยความกระตือรือร้น และกระหายในความสำเร็จเหล่านี้ จะช่วยกันขับเคลื่อนให้ TMB เติบโตอย่างยั่งยืน ท่ามกลางความผันผวน การแข่งขัน และการเปลี่ยนแปลงต่างๆ ที่เกิดขึ้น

ดร.สุพจน์ เตชวนสินสกุล คณบดีคณะวิศวกรรมศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย พร้อมด้วย อาจารย์จากภาควิชาสิ่งแวดล้อม และคณะกรรมการจัดทำยุทธศาสตร์ชาติด้านการสร้างการเติบโตบนคุณภาพชีวิตที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม จัดงานแถลงข่าวในหัวข้อ ‘การจัดการสิ่งแวดล้อมในยุค 4.0 และยุทธศาสตร์ชาติ 20 ปี ด้านสิ่งแวดล้อม’ เพื่อให้ประเทศไทยเติบโตร่วมกัน (Inclusive Growth) บรรลุเป้าหมายสู่ประเทศที่พัฒนา แล้ว ประชากรมีคุณภาพชีวิตและสิ่งแวด ล้อมที่ดีที่สุดในอาเซียน ภายในปี พ.ศ.2579 บนพื้นฐานของแนวคิด ‘เติบโต สมดุล ยั่งยืน’  ทั้งนี้ผู้สนใจติดตามหรือสอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ https://www.thailand2580.com

ดร.สุพจน์ เตชวนสินสกุล คณบดีคณะวิศวกรรมศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย

 

อาจารย์ภาควิชาสิ่งแวดล้อม จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย

 

ดร.สุพจน์ เตชวนสินสกุล คณบดีคณะวิศวกรรมศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย พร้อมด้วย อาจารย์จากภาควิชาสิ่งแวดล้อม และคณะกรรมการจัดทำยุทธศาสตร์ชาติด้านการสร้างการเติบโตบนคุณภาพชีวิตที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม

สมาคมนักเรียนเก่าญี่ปุ่น ในพระบรมราชูปถัมภ์ จัดงาน “OJSAT TRAIN TO YOUR DREAM” เปิดตัวโรงเรียนสอนภาษา

กรุงเทพฯ: ธนาคารไทยพาณิชย์และบริษัทย่อยมี กำไรสุทธิในปี 2560 (งบการเงินรวมก่อนตรวจสอบ) จำนวน 43,152 ล้านบาท ลดลง 9.4% จากปี 2559 เป็นผลมาจากการตั้งสำรองหนี้สงสัยจะสูญเพิ่มขึ้นโดยพิจารณาถึ งหลักความระมัดระวัง รวมถึงจากการคาดการณ์ความสูญเสียที่อาจจะเกิดขึ้นตามหลักเกณฑ์ทางบัญชีที่จะมีผลบังคับใช้ในปี 2562 รวมทั้งค่าใช้จ่ายในการดำเนินงานที่เพิ่มขึ้น 11.6% ส่วนใหญ่จากการลงทุนทางด้านเทคโนโลยีและการขยายฐานลูกค้าในช่องทางดิจิทัลของธนาคาร

สำหรับรายได้รวมของธนาคารเพิ่มขึ้น 2.2% จากปีก่อน จากการเติบโตของรายได้ดอกเบี้ยสุทธิ และรายได้ค่าธรรมเนียมสุทธิ

อัตราส่วน NPL ในปี 2560 อยู่ที่ 2.83% เพิ่มขึ้นจาก 2.67% ในปี 2559 ทั้งนี้ ธนาคารได้ตั้งค่าเผื่อหนี้สงสัย จะสูญจำนวน 25,067 ล้านบาท หรือ 1.26% ของสินเชื่อรวมในปี 2560 ส่งผลให้อัตราส่วนค่าเผื่อหนี้สงสัยจะสูญต่อสินเชื่อด้อยคุณภาพ ปรับตัวดีขึ้นเป็น 137.3% ณ สิ้นปี 2560 จาก 134.3% ณ สิ้นปี 2559

อาทิตย์ นันทวิทยา กรรมการผู้จัดการใหญ่และประธานเจ้าหน้าที่บริหาร ธนาคารไทยพาณิชย์ กล่าวว่า “ธนาคารได้เดินหน้าเข้าสู่ดิจิทัลแบงก์กิ้ง โดยเน้นการขยายฐานลูกค้าผ่านระบบโมบายแบงก์กิ้ง และเทคโนโลยีการชำระเงินใหม่ ๆ เช่น QR code ซึ่งจะเป็นทิศทางการเพิ่มฐานลูกค้าของธนาคารในอนาคต

อาทิตย์ นันทวิทยา กรรมการผู้จัดการใหญ่และประธานเจ้าหน้าที่บริหาร ธนาคารไทยพาณิชย์

ส่วนผลประกอบการของปีที่ผ่านมา การให้สินเชื่อมีการขยายตัวดีขึ้นในกลุ่มธุรกิจขนาดใหญ่ และลูกค้าบุคคลตามสภาวะเศรษฐกิจ ที่เริ่มปรับตัวดีขึ้น ส่งผลให้รายได้ดอกเบี้ยเพิ่มขึ้ นตามลำดับ”

Page 4 of 6
X

Right Click

No right click