ซึ่งเป็นการเรียนที่เน้นการถ่ายทอดเนื้อหาจากอาจารย์ไปสู่นักเรียนหรือนักศึกษา ซึ่งกระบวนการเรียนการสอนในลักษณะนี้ เป็นที่เห็นตรงกันในหลากหลายงานวิจัยทางด้านการศึกษาว่าเป็นการเรียนการสอนที่ไม่มีประสิทธิภาพ
ไม่ได้เน้นผู้เรียนเป็นศูนย์กลางของการเรียนรู้ แต่เน้นไปที่ผู้สอนในการถ่ายทอดความรู้ นักศึกษาก็ได้แต่รับความรู้ นักศึกษาไม่สามารถนำไปปรับใช้ในการแก้ปัญหาในสถานการณ์จริง การเรียนโดยส่วนใหญ่จึงเน้นไปที่การท่องจำตามคำพูดของอาจารย์เป็นหลัก หรือเป็นเพียงการเข้าใจในเนื้อหาและทฤษฎีโดยไม่สามารถนำไปประยุกต์ใช้ในการทำธุรกิจจริงๆได้
การเรียนการสอนในมหาวิทยาลัยชั้นนำของโลกได้มีการเปลี่ยนแปลงจากรูปแบบของการ Lecture ไปสู่การเรียนการสอนผ่านการอภิปรายกรณีศึกษา (Case Discussion) เป็นการเรียนการสอนผ่าน (การอภิปราย) กรณีศึกษา หรือ Case เป็นหลัก ซึ่งนอกจากทำให้นักศึกษามีความตื่นตัวที่จะเรียนรู้แล้วยังทำให้นักศึกษา สามารถที่จะเข้าใจถึงสถานการณ์จริงจากองค์กรจริง นักศึกษาสามารถประยุกต์ใช้ทฤษฎีที่เรียนมาในการแก้ปัญหาในสถานการณ์จริงได้ โดยการเรียนการสอนผ่านกรณีศึกษานักศึกษาต้องนำตัวเองเข้าไปอยู่ในบทบาทของ Focal Manager หรือ Decision Maker หรือ ผู้ที่ต้องตัดสินใจในการแก้ปัญหาให้กับองค์กรหรือบริษัท
ผู้เขียนเองเคยไปประชุมที่มหาวิทยาลัย Harvard พบว่าที่ Harvard Business School บังคับให้ทุกๆ วิชาต้องใช้การสอนผ่านทางกรณีศึกษา แม้แต่วิชาสถิติหรือบัญชี ก็ต้องใช้กรณีศึกษาในการสอน และครึ่งหนึ่งของเกรดต้องมาจากคะแนนการมีส่วนร่วมในการอภิปรายกรณีศึกษา ผู้เขียนได้ถามอาจารย์ที่ Harvard ว่าเพราะอะไร เขาได้ตอบว่าทางมหาวิทยาลัยมีการทำวิจัยพบว่าปัจจัยที่สำคัญที่สุดที่ทำให้นักธุรกิจหรือผู้บริหารประสบความสำเร็จ ไม่ใช่ที่การมีความรู้ หากแต่ว่าเป็นความสามารถในการที่จะแสดงออกหรือสื่อสารความรู้ที่มีในการแก้ปัญหาในการตัดสินใจได้ ดังนั้นกรณีศึกษาจึงเป็นกลไกที่สำคัญที่ต้องใช้ในการเรียนการสอนด้านบริหารธุรกิจ
ถ้าถามว่ากรณีศึกษาคืออะไร จะพบว่ามีหลากหลายความหมาย แต่ถ้าเป็นความหมายที่ทุกคนเห็นตรงกันก็คือ การศึกษาสถานการณ์หรือองค์กรเชิงลึก โดยเน้นไปที่การศึกษา ประเด็นปัญหา ความท้าทาย การปฏิบัติ และ ประเด็นที่ต้องมีการตัดสินใจ ทุกๆ กรณีศึกษาต้องเป็นการศึกษาจากข้อมูลจากสถานการณ์หรือองค์กรจริง ไม่ใช่เกิดจากจินตนาการหรือความคิดเห็นของผู้เขียน นอกจากนี้ กรณีศึกษายังต้องมีการวิเคราะห์จากข้อมูลในหลากหลายมิติซึ่งรวมถึงข้อมูลปฐมภูมิ (การสัมภาษณ์, การสนทนากลุ่ม (Focus Group), การสังเกตการณ์) และข้อมูลทุติยภูมิ (เอกสารขององค์กร, งานวิจัย, และข่าวสารตามนิตยสารและหนังสือพิมพ์) มีการจัดแบ่งประเด็น และที่สำคัญที่สุดคือกรณีศึกษาที่ดีต้องเป็นเรื่องราว (Story) ที่ดีน่าสนใจ และมีความเชื่อมโยงกับทฤษฎีหรือบทเรียนที่เกี่ยวข้อง
ร.ศ. พ.ต.ต. ดร. ดนุวศิน เจริญ สถาบันบัณฑิตพัฒนบริหารศาสตร์ (นิด้า) NIDA
ความสำคัญของกรณีศึกษา
ปัญหาหลักอย่างหนึ่งของหลายองค์กร ก็คือการไม่สร้างกระบวนการเรียนรู้ภายในองค์กร เป็นสาเหตุให้เวลามีข้อผิดพลาดเกิดขึ้น องค์กรไม่มีการทบทวนและเรียนรู้จากข้อผิดพลาดนั้น ส่งผลให้ข้อผิดพลาดเดิมๆ จะเกิดขึ้นซ้ำแล้วซ้ำอีกในอนาคต การทำกรณีศึกษาส่งผลให้เกิดกระบวนการเรียนรู้ในองค์กร (Organizational Learning) ซึ่งนำไปสู่องค์กรแห่งการเรียนรู้ (Learning Organization) โดยกรณีศึกษา ทำให้องค์กรได้เรียนรู้และทบทวนจากข้อผิดพลาดหรือบทเรียนในอดีต เพื่อว่าข้อผิดพลาดเหล่านั้นจะไม่เกิดซ้ำอีก หรือในบางกรณีที่องค์กรอาจเจอปัญหาที่คล้ายคลึงกับปัญหาที่เกิดขึ้นในอดีต ก็สามารถนำเอาบทเรียนและแนวทางการแก้ปัญหาในอดีตเข้ามาประยุกต์ใช้ได้ นอกจากนี้การศึกษาผ่านกรณีศึกษา ช่วยให้ผู้ศึกษาสามารถเรียนรู้จากสถานการณ์จริง ไม่ใช่เพียงแค่ทฤษฎี ผู้ศึกษากรณีศึกษาสามารถนำทฤษฎีไปประยุกต์ใช้กับสถานการณ์ในกรณีศึกษา ผู้อบรมสามารถนำตนเองเข้าไปนั่งอยู่ในบทบาทของผู้บริหารที่ต้องมีการตัดสินใจ ซึ่งเป็นการฝึกให้ผู้อบรมสามารถฝึกกระบวนการตัดสินใจและการแก้ปัญหาขององค์กรในมุมมองของผู้บริหาร ดังนั้นกรณีศึกษาจึงเหมาะสมอย่างยิ่งที่จะใช้ในการสร้างความชำนาญให้กับพนักงานในองค์กร เพื่อเตรียมความพร้อมสำหรับพนักงานในการพัฒนาตนเองให้เป็นผู้บริหาร (ที่ดี) ต่อไปในอนาคต
ในทุกๆ กรณีศึกษาจำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องมี 3 องค์ประกอบก็คือ 1. ผู้เขียนกรณีศึกษา (หรือผู้วิจัย) ที่มีความรู้ความชำนาญและความสนใจต่อเรื่องที่ต้องมีการศึกษา 2.องค์กรหรือสถานการณ์ที่ต้องมีการศึกษา ซึ่งองค์กรต้องมีข้อมูลที่เกี่ยวข้องต่อเรื่องที่มีการศึกษาและต้องการยินยอมให้มีการศึกษา 3. ประเด็นหรือปัญหาที่ศึกษา ซึ่งจำเป็นต้องมีการระบุอย่างชัดเจนว่าอะไรคือเป้าหมายของการศึกษา กรณีศึกษาที่ดีต้องประกอบไปด้วย Teaching Note หรือคู่มือการสอน ที่มีการอธิบายทฤษฎีที่เกี่ยวข้อง คำถามและประเด็นที่ต้องมีการอภิปรายในห้องเรียน
จะเริ่มเขียนกรณีศึกษาได้อย่างไร
ผู้เขียนขอแนะว่า กรณีศึกษาควรเริ่มต้นจากประเด็นปัญหาที่มีความสำคัญต่อองค์กร หรือประเด็นที่เป็นข้อถกเถียงในองค์กร ในหลายกรณีผู้เขียนสามารถเริ่มต้นจากคำถามที่ผู้เขียนต้องการรู้จากองค์กรหรือสถานการณ์ที่ต้องการศึกษา อีกวิธีที่ใช้เยอะก็คือการเริ่มต้นจากประเด็นหรือหัวข้อที่ยังไม่เคยมีการศึกษาในองค์กรมาก่อน และองค์กรยังไม่มีองค์ความรู้ในเรื่องนั้นๆ แต่มีการปฏิบัติอยู่ นอกจากนี้ ผู้เขียนต้องมั่นใจว่าองค์กรยินยอมให้เก็บข้อมูลที่เกี่ยวข้องกับเรื่องที่ศึกษาและเห็นถึงความสำคัญของประเด็นหรือปัญหาที่ศึกษา จากนั้น
ผู้เขียนต้องทำการระบุประเภทของข้อมูลว่าข้อมูลเหล่านั้นอยู่ที่ใด หรือใครสามารถให้ข้อมูลได้บ้าง รวมถึงระบุถึงกระบวนการที่จะใช้ในการเก็บข้อมูล เช่น สัมภาษณ์ การสนทนากลุ่ม (Focus Group) การสังเกต การทบทวนเอกสาร และแบบสอบถาม เป็นต้น เทคนิคอย่างหนึ่งที่ผมแนะนำคือ ถ้าผู้เขียนได้มีโอกาสเข้าไปเป็นที่ปรึกษา (Consultant) ให้กับบริษัทหรือองค์กร สามารถใช้โอกาสนี้ในการทำงานที่ปรึกษาแก้ปัญหาให้กับองค์กร พร้อมๆ กับเขียนกรณีศึกษาที่เกี่ยวข้องไปพร้อมๆ กันได้
สุดท้าย ผู้เขียนหวังว่าสถาบันการศึกษาจะเริ่มให้ความสนใจทั้งในส่วนของการพัฒนากรณีศึกษาและการนำกรณีศึกษามาใช้ในการเรียนการสอน นอกจากนี้องค์กรก็สามารถนำกรณีศึกษามาใช้เป็นส่วนหนึ่งของการบริหารความรู้ในองค์กรเพื่อพัฒนาให้เป็นองค์กรแห่งการเรียนรู้ ถ้าองค์กรหรือสถาบันการศึกษาใดต้องการเรียนรู้เกี่ยวกับเทคนิคการเขียนกรณีศึกษา วิธีการสอนโดยใช้กรณีศึกษา และตัวอย่างของกรณีศึกษาสามารถติดต่อผู้เขียนได้ที่ This email address is being protected from spambots. You need JavaScript enabled to view it. ขอบคุณครับ