

บริษัท บ้านปู จำกัด (มหาชน) ผู้นำด้านพลังงานที่หลากหลาย ประกาศกลยุทธ์ใหม่ “Energy Symphonics” หรือ “เอเนอร์จี ซิมโฟนิกส์” ขับเคลื่อนธุรกิจสู่ปี 2030 เน้นการเปลี่ยนผ่านพลังงานอย่างยั่งยืน พร้อมเผยผลประกอบการไตรมาส 3
นายสินนท์ ว่องกุศลกิจ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท บ้านปู จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า “‘Energy Symphonics’ สื่อถึงแนวทางผสานพลังงานที่หลากหลาย เพื่อสร้างโซลูชันพลังงานใหม่ที่ยั่งยืน ตอบสนองต่อความต้องการพลังงานของโลกที่เพิ่มสูงขึ้น พร้อมไปกับการดูแลโลกของเรา เรามีความมุ่งมั่นที่จะแก้โจทย์ความท้าทายด้านพลังงานและสร้างมาตรฐานใหม่เพื่อพลังงานที่มีใช้อย่างต่อเนื่อง ราคาสมเหตุสมผล และมีความยั่งยืน”

กลยุทธ์ใหม่ของบ้านปูสะท้อนความมุ่งมั่นในการเป็นผู้นำการเปลี่ยนผ่านด้านพลังงานอย่างมีความรับผิดชอบและยั่งยืน โดยมุ่งเน้นที่ 3 เป้าหมายหลัก ได้แก่ ความมั่นคงทางพลังงาน คือการจัดหาพลังงานที่เชื่อถือได้และต่อเนื่อง ความเสมอภาคด้านพลังงาน คือการจัดหาพลังงานที่มีราคาสมเหตุสมผล ทุกคนสามารถเข้าถึงได้ และความยั่งยืนด้านพลังงาน คือการจัดหาพลังงานที่ลดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม

กลยุทธ์ของบ้านปูเน้นรักษาสมดุลและตอบสามโจทย์ของพลังงาน (Energy Trilemma) ได้แก่ การส่งมอบพลังงานที่เชื่อถือได้และต่อเนื่อง (Energy Security) การจัดหาพลังงานที่มีราคาสมเหตุสมผลที่ทุกคนสามารถเข้าถึงได้ (Energy Equity) และการลดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมในการจัดหาพลังงาน (Energy Sustainability) โดยกลยุทธ์ใหม่มี 4 ภารกิจสำคัญ ดังนี้:

สำหรับผลประกอบการในไตรมาส 3 บ้านปูมีความคืบหน้าทางธุรกิจที่สำคัญ ได้แก่
ในไตรมาสที่ 3 นี้ บ้านปูมีรายได้จากการขายรวม 1,339 ล้านเหรียญสหรัฐ (*ประมาณ 46,597 ล้านบาท) กำไรก่อนหักดอกเบี้ย ภาษี และค่าเสื่อมราคา (EBITDA) รวม 379 ล้านเหรียญสหรัฐ (*ประมาณ 13,204 ล้านบาท) และขาดทุนสุทธิจำนวน 24 ล้านเหรียญสหรัฐ (*ประมาณ 830 ล้านบาท) จากราคาตลาดของถ่านหินและก๊าซธรรมชาติที่ปรับตัวลดลงและการขาดทุนที่ยังไม่เกิดขึ้นจริงจากอัตราแลกเปลี่ยน จากการแข็งค่าของเงินสกุลบาทต่อเงินสกุลเหรียญสหรัฐ

นายสินนท์กล่าวในตอนท้ายว่า “ไม่ว่าเราจะต้องประสบกับความท้าทายของตลาดพลังงานที่ผันผวน บ้านปูเชื่อมั่นว่ากลยุทธ์ Energy Symphonics จะสร้างการเติบโตให้กับบริษัทฯ สร้างคุณค่าระยะยาวให้แก่ผู้ถือหุ้น ในขณะที่ยังคงให้ความสำคัญกับการดูแลผู้มีส่วนได้เสียทุกกลุ่ม รวมถึงการดูแลโลกใบนี้”
ศึกษาข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ www.banpu.com และ https://www.facebook.com/Banpuofficialth
*หมายเหตุ: คำนวณโดยอ้างอิงอัตราแลกเปลี่ยนถัวเฉลี่ยไตรมาสที่ 3 ปี 2024 ที่ USD 1: THB 34.8065
แอนท์ อินเตอร์เนชันแนล ผู้นำระดับโลกด้านการชำระเงินดิจิทัลและเทคโนโลยีทางการเงิน ซึ่งมีสำนักงานใหญ่อยู่ที่สิงคโปร์ กำลังเร่งพัฒนาและนำเทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์ (AI) มาใช้เพื่อเพิ่มความรวดเร็วและความปลอดภัยในการทำธุรกรรมข้ามพรมแดนมากกว่าล้านรายการต่อวัน สำหรับผู้ประกอบการในกว่า 200 ประเทศทั่วโลก
การนำเทคโนโลยี AI มาใช้ในการประมวลผลธุรกรรมข้ามพรมแดนถือเป็นปัจจัยสำคัญในการขับเคลื่อนการค้าระหว่างประเทศ โดยเฉพาะสำหรับ SMEs ที่ยังไม่สามารถเข้าถึงบริการชำระเงินข้ามประเทศที่รวดเร็วและทันทีได้ การใช้ AI จะช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการดำเนินงานของผู้ประกอบการ และยังสามารถตรวจจับและป้องกันการโกง เช่น การใช้เทคโนโลยี "Deepfake" ได้อีกด้วย หยาง เป็ง ประธานเจ้าหน้าที่บริหารแอนท์ อินเตอร์เนชันแนล กล่าว

โมเดล FX ที่ปฏิบัติการโดย AI เพื่อลดค่าใช้จ่ายในการทำงาน
แอนท์ อินเตอร์เนชันแนลใช้เทคโนโลยี AI ในการคาดการณ์อัตราแลกเปลี่ยนเงินตราไม่เพียงแค่รายวันหรือรายสัปดาห์ แต่ยังสามารถคาดการณ์ได้ในระดับรายชั่วโมง ด้วยโมเดล AI ขั้นสูงที่พัฒนาขึ้นอย่างต่อเนื่องในช่วงหลายปีที่ผ่านมา โมเดลนี้ช่วยเพิ่มความแม่นยำในการคาดการณ์อัตราแลกเปลี่ยนทั้งขาเข้าและขาออก ซึ่งช่วยให้ผู้ประกอบการสามารถลดต้นทุนการทำธุรกรรมและจัดสรรทรัพยากรได้อย่างมีประสิทธิภาพ เพื่อขับเคลื่อนการเติบโตของธุรกิจอย่างยั่งยืน
โมเดล FX ที่ใช้ AI ตัวใหม่นี้สามารถรวมโมเดลหลายร้อยแบบเข้าด้วยกันเป็นระบบเดียว ซึ่งช่วยเพิ่มความแม่นยำในการคาดการณ์ แต่การพึ่งพาโมเดลเดียวในการประมวลผลธุรกรรมหลายล้านรายการต่อวันอาจก่อให้เกิดความเสี่ยงได้ "เรามีมาตรการป้องกันโดยให้มนุษย์ตรวจสอบหาความคลาดเคลื่อนระหว่างโมเดลใหม่และโมเดลเก่า เราจะไม่เชื่อมั่นใน AI หากไม่ได้รับการตรวจสอบ เนื่องจากการตรวจสอบมีไว้เพื่อรักษาความแม่นยำ" นายหยางกล่าว
ระบบยืนยันตัวตน e-KYC ที่ปฏิบัติการโดย AI ต่อต้าน Deepfake
ความก้าวหน้าของปัญญาประดิษฐ์ (AI) โดยเฉพาะเทคโนโลยี Deepfake กำลังก่อให้เกิดภัยคุกคามด้านความปลอดภัยที่สำคัญสำหรับสถาบันการเงิน เนื่องจากการปลอมแปลงที่ซับซ้อนเหล่านี้ทำให้มนุษย์ตรวจจับได้ยากขึ้น เพื่อรับมือกับการโจมตีทางไซเบอร์ที่ใช้ AI แอนท์ อินเตอร์เนชั่นแนลจึงได้พัฒนาเครื่องมือ e-KYC เพื่อต่อต้าน Deepfake โดยใช้เวลาในการพัฒนากว่า 2 ปี ซึ่งเครื่องมือดังกล่าวมีอัตราความสำเร็จในการตรวจจับสูงกว่า 99% ตามที่นายหยางกล่าว
ความร่วมมือใหม่ที่เกิดขึ้นในงานสิงคโปร์ฟินเทคเฟสติวัล
ธนาคารโอซีบีซี และแอนท์ อินเตอร์เนชั่นแนล ได้ลงนามในบันทึกข้อตกลง (MoU) เมื่อวันอังคารที่ 5 พฤศจิกายนที่ผ่านมา เพื่อมุ่งสู่การทำธุรกรรมแบบทันท่วงทีตลอด 24 ชั่วโมงระหว่างสิงคโปร์และมาเลเซีย ผ่านแพลตฟอร์ม Whale ของแอนท์ อินเตอร์เนชั่นแนล โดยใช้ AI และนวัตกรรมต่างๆ เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพและความโปร่งใส
PayPay ผู้ให้บริการชำระเงินผ่านคิวอาร์โค้ด อันดับหนึ่งของญี่ปุ่น ประกาศขยายความร่วมมือกับ Alipay+ โซลูชันการชำระเงินข้ามพรมแดนและเทคโนโลยีดิจิทัลของ แอนท์ อินเตอร์เนชั่นแนล เพื่ขยายเครือข่ายผู้ประกอบการทั่วญี่ปุ่น และมอบบริการชำระเงินที่นักท่องเที่ยวต่างชาติชื่นชอบผ่านกระเป๋าเงินดิจิทัลในประเทศ
SITEM ผู้นำด้านดาต้าเซ็นเตอร์ของประเทศไทย และธุรกิจบำรุงรักษา Facility ครบวงจร ฉลองครบรอบ 30 ปีอย่างยิ่งใหญ่ในงาน " SITEM 30 YEARS ANNIVERSARY" ภายใต้แนวคิด SITEM Sustainability มุ่งสร้างความมั่นคงและยั่งยืน พร้อมประกาศแผนขยายธุรกิจเพื่อรองรับการเติบโตในอนาคต โดยเน้นนวัตกรรมและเทคโนโลยีที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม ผสานความเชี่ยวชาญในการบริหารจัดการโครงสร้างพื้นฐานที่ทันสมัย และการบริการที่ได้มาตรฐานระดับสากล เพื่อเป็นองค์กรที่มั่นคงและเติบโตอย่างยั่งยืน

นายณัฐพล มณีเนตร ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ไซเท็ม คอร์ปอเรชั่น จำกัด กล่าวว่า “ในโอกาสครบรอบ 30 ปีของ SITEM เรามีความภาคภูมิใจที่ได้เป็นส่วนหนึ่งของการเติบโตของอุตสาหกรรมดาต้าเซ็นเตอร์และธุรกิจไอทีของประเทศไทย บริษัทฯ ได้มุ่งมั่นพัฒนาระบบการบริหารจัดการ เทคโนโลยี และบุคลากรอย่างต่อเนื่อง เพื่อให้ลูกค้าได้รับบริการที่มีมาตรฐานสูงสุด พร้อมทั้งดำเนินธุรกิจตามแนวคิด SITEM Sustainability ที่ครอบคลุมทุกมิติของการดำเนินงาน”
ธุรกิจในปัจจุบันและอนาคตของ SITEM
SITEM ตั้งเป้าขยายธุรกิจไปยังกลุ่มที่มีศักยภาพสูง ได้แก่

บริษัทในเครือของ SITEM GROUP
นายณัฐพล กล่าวปิดท้ายว่า "SITEM ขอขอบคุณลูกค้าทุกท่านที่ให้ความไว้วางใจและการสนับสนุนอย่างยาวนานตลอดสามทศวรรษที่ผ่านมา เราจะไม่หยุดยั้งการพัฒนาเพื่อยกระดับการบริการและคุณภาพ เพื่อตอบแทนความไว้วางใจของท่าน"
ผู้ที่สนใจสินค้าหรือบริการของ SITEM สามารถดูรายละเอียดเพิ่มเติมได้ทางเว็บไซต์ www.sitem.co.th , LINE OA: @sitem หรือ โทรฯ 02-591-5000 พร้อมติดตามข่าวสารและกิจกรรมต่าง ๆ ได้ทางเฟซบุ๊ก SITEM GROUP www.facebook.com/SITEMGROUP และ LinkedIn: https://th.linkedin.com/company/site-preparation-management-co-ltd
กรุงศรี (ธนาคารกรุงศรีอยุธยา จำกัด (มหาชน)) มอบสิทธิพิเศษสำหรับลูกค้าบัตร Krungsri Boarding Card เมื่อจองโรงแรม หรือที่พักในญี่ปุ่นที่ https://www.agoda.com/ksboardingcard และชำระผ่านบัตร Krungsri Boarding Card ตั้งแต่วันที่ 1 กันยายน 2567 - 31 มกราคม 2568 รับส่วนลดทันที 10% ทั้งนี้ จะต้องเข้าพักในระหว่าง วันที่ 1 กันยายน 2567 - 30 มิถุนายน 2568 เท่านั้น
ผู้ที่สนใจสามารถดูรายละเอียดและเงื่อนไขเพิ่มเติมได้ที่ เพิ่มเติมได้ที่ https://www.krungsri.com/th/promotions/cards/travel/boarding-card-discount-agoda
*ศึกษารายละเอียดและเงื่อนไขเพิ่มเติมได้จากสื่อต่าง ๆ ของธนาคาร
พฤกษา โฮลดิ้ง รายงานผลประกอบการช่วง 9 เดือนปี 2567 มีรายได้รวม 15,607 ล้านบาท กำไรสุทธิที่ 753 ล้านบาท ยังคงควบคุมค่าใช้จ่ายอย่างมีประสิทธิภาพ จากการจัดการยอดหนี้และอัตราดอกเบี้ยที่ลดลง ส่งผลให้ต้นทุนการเงินลดลง โดยมีอัตราส่วนหนี้สินสุทธิต่อทุน (Net Gearing Ratio) อยู่ที่ 0.36 เท่า ยังคงอยู่ในระดับต่ำเมื่อเทียบกับอุตสาหกรรม สะท้อนถึงการบริหารจัดการทางการเงินที่มั่นคง ท่ามกลางเศรษฐกิจผันผวน ธุรกิจเฮลท์แคร์เติบโต 21% ประกาศรุกตลาดที่อยู่อาศัยแบบเวลเนส เรสซิเดนซ์เต็มรูปแบบ
นายอุเทน โลหชิตพิทักษ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารกลุ่ม บริษัท พฤกษา โฮลดิ้ง จำกัด (มหาชน) หรือ PSH กล่าวถึงการดำเนินงานของบริษัทฯ ว่า ในช่วง 9 เดือนที่ผ่านมาบริษัทฯ มีรายได้รวม 15,607 ล้านบาท ลดลง 22% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน เนื่องจากสภาวะเศรษฐกิจและการอนุมัติสินเชื่อที่เข้มงวดมากขึ้น โดยเฉพาะในกลุ่มลูกค้าที่มีความเปราะบาง อย่างไรก็ตาม บริษัทฯ สามารถรักษากำไรขั้นต้นที่ 5,118 ล้านบาท คิดเป็นอัตรากำไรขั้นต้น 32.8% จากการใช้กลยุทธ์ด้านราคาที่ช่วยดึงดูดความสนใจของผู้บริโภคในช่วงที่ตลาดอสังหาริมทรัพย์ยังซบเซา ในขณะเดียวกัน ธุรกิจเฮลท์แคร์ของพฤกษายังคงสร้างผลกำไรที่ดีอย่างต่อเนื่อง ช่วยเสริมฐานรายได้ของบริษัทฯ ในภาพรวม
สำหรับกำไรสุทธิในช่วง 9 เดือน อยู่ที่ 753 ล้านบาท เนื่องจากรายได้จากธุรกิจหลักลดลง แต่บริษัทฯ ยังคงควบคุมค่าใช้จ่ายอย่างมีประสิทธิภาพ ส่งผลให้ต้นทุนการเงินลดลงจากการจัดการยอดหนี้และอัตราดอกเบี้ยที่ลดลง โดยมี อัตราส่วนหนี้สินสุทธิต่อทุน (Net Gearing Ratio) อยู่ที่ 0.36 เท่า ยังคงอยู่ในระดับต่ำเมื่อเทียบกับอุตสาหกรรม สะท้อนถึงการบริหารจัดการทางการเงินที่มั่นคง

ด้านธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ บริษัทฯ มียอดโอนอสังหาริมทรัพย์รวม 12,930 ล้านบาท ลดลง 24% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน โดยมีการโอนคอนโดมิเนียมใหม่ จากโครงการ แชปเตอร์ วัน ออล รามอินทรา และได้รับการตอบรับที่ดีจากการเปิดโครงการบ้านเดี่ยวใหม่อย่าง โครงการเดอะ ปาล์ม บางนา-วงแหวน 2 และ โครงการการระดับซูเปอร์ลักชัวรี อย่างเดอะ ปาล์ม เรสซิเดนเซส วัชรพล นอกจากนี้ บริษัทฯ มีรายได้จากการขายที่ดินมูลค่า 2,413 ล้านบาท เพื่อใช้ในการพัฒนาโครงการร่วมกับบริษัทพันธมิตรในอนาคต
ในช่วง 9 เดือนที่ผ่านมา บริษัทฯ มีการเปิดโครงการใหม่รวม 8 โครงการ มูลค่า 10,085 ล้านบาท โดยเฉพาะโครงการ แชปเตอร์วัน มอร์ เกษตร ใกล้มหาวิทยาลัยและใกล้ BTS สายสีเขียว ที่เปิดในช่วงไตรมาส 3 ซึ่งได้รับความสนใจจากทั้งกลุ่มลูกค้าเรียลดีมานด์ (Real Demand) และกลุ่มนักลงทุน มีการจองแล้วกว่า 42% โดยคาดว่าทั้งปีจะเปิดโครงการใหม่รวมทั้งสิ้น 18 โครงการ มูลค่ารวม 20,000 ล้านบาท ซึ่งจะมีโครงการไฮไลท์ ได้แก่ เดอะปาล์ม เรสซิเดนเซส พัฒนาการ ซึ่งเป็นโครงการเวลเนส เรสซิเดนซ์เต็มรูปแบบ ในเซกเมนต์ซูเปอร์อัลตร้าลักชัวรี (Super Ultra luxury) โครงการแรกของพฤกษา ภายใต้แนวคิดผสานการดูแลสุขภาพ Well-Living Mastery อย่างลงตัวในทุกมิติ ซึ่งจะเริ่มเปิดพรีเซลล์ในช่วงปลายเดือน
พฤศจิกายนนี้ นับว่าในปีนี้พฤกษาได้รุกตลาดอสังหาริมทรัพย์ที่เน้นเรื่องของสุขภาพอย่างเต็มตัว โดยเปิดโครงการเวลเนส เรสซิเดนซ์ รวมมูลค่า 10,000 ล้านบาท คิดเป็นสัดส่วนมากถึง 50% จากมูลค่าโครงการเปิดใหม่ทั้งปี และในปีหน้า มีแผนจะพัฒนาโครงการที่เจาะกลุ่มเฉพาะผู้สูงวัยที่เกษียณอายุด้วย

พร้อมกันนี้บริษัทฯ มียอดขายรอโอน (Backlog) รวม 5,000 ล้านบาท โดยมีโครงการพร้อมอยู่ในมือรวมมูลค่ากว่า 8,369 ล้านบาท โดยเป็นโครงการที่มีมูลค่าน้อยกว่า 7 ล้านบาทกว่า 82% ซึ่งจะได้รับประโยชน์จากมาตรการลดค่าธรรมเนียมการโอนลงเหลือ 0.01% และสามารถเร่งโอนรับรู้เป็นรายได้ในสิ้นปีนี้ พร้อมกับได้จัดแคมเปญโปรโมชัน "Last Chance โอกาสสุดท้าย" โดยการนำบ้านในสต็อกมาปรับราคาช่วยให้ผู้บริโภคตัดสินใจซื้อง่ายขึ้น และเป็นโอกาสสุดท้ายสำหรับผู้ซื้อบ้านในราคาต้นทุนเดิม รวมถึงมอบเงื่อนไขดอกเบี้ย 0% นาน 12 เดือน ร่วมกับธนาคารพันธมิตรเพื่อส่งเสริมยอดจองในไตรมาสที่ 4 ด้วย
ด้านธุรกิจเฮลท์แคร์ของพฤกษาเติบโตอย่างแข็งแกร่ง ด้วยรายได้รวม 9 เดือนแรกที่ 1,600 ล้านบาท เติบโต 21% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน โดยมีรายได้จากการรักษาคนไข้นอกเพิ่มขึ้น 25% และคนไข้ในเพิ่มขึ้น 22% โดยมีกำไรก่อนหักดอกเบี้ยและภาษี บวกกลับค่าเสื่อมราคาและจัดจำหน่าย (EBITDA) 197 ล้านบาท สะท้อนความพยายามของกลุ่ม ในการเร่งผลักดันการขยายบริการด้านสุขภาพให้เข้าถึงผู้ป่วย และลูกค้าที่ซื้อโครงการอสังหาริมทรัพย์ของพฤกษา ซึ่งในเดือนตุลาคมที่ผ่านมา ยังได้ขยายบริการด้านศัลยกรรมและระบบทางเดินปัสสาวะ รวมถึงยังเดินหน้าสร้างความร่วมมือกับพันธมิตรเพื่อพัฒนาเทคโนโลยีใหม่ ๆ ที่จะยกระดับการรักษาและคุณภาพชีวิตของคนไทยด้วย

“พฤกษา โฮลดิ้ง มุ่งมั่นที่จะตอบสนองความต้องการของลูกค้าอย่างเต็มที่และสร้างความเชื่อมั่นท่ามกลางความผันผวนทางเศรษฐกิจ ด้วยการบริหารจัดการที่ยืดหยุ่น และการปรับกลยุทธ์ให้ทันต่อความเปลี่ยนแปลงของตลาด เรามีความพร้อมที่จะพัฒนาและขยายธุรกิจเฮลท์แคร์ซึ่งเป็นอีกหนึ่งเสาหลักที่สำคัญในการเติบโตของพฤกษา เพื่อยกระดับการดูแลสุขภาพของคนไทย และสร้างคุณค่าให้แก่ผู้ถือหุ้นในระยะยาวด้วย” นายอุเทนกล่าวทิ้งท้าย
ผลกระทบจากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศเป็นสิ่งที่ไม่อาจปฏิเสธได้ ผู้นำองค์กรจึงมีบทบาทสำคัญในการขับเคลื่อนองค์กรไปสู่อนาคตที่ยั่งยืน เพื่ออนาคตที่ดีกว่าสำหรับคนรุ่นต่อไป สำหรับธนาคารยูโอบี ประเทศไทย บทบาทของเรามีความสำคัญยิ่งต่อกระบวนการเปลี่ยนผ่านนี้ ไม่เพียงแค่สนับสนุนลูกค้าให้เดินหน้าสู่การลดคาร์บอน (decarbonisation) แต่ยังต้องเป็นผู้นำการเปลี่ยนแปลงภายในเพื่อให้องค์กรและพนักงานเดินหน้าสู่เศรษฐกิจคาร์บอนต่ำด้วย
นางสาววาสินี ศิวะเกื้อ Country Function Head of Finance & Corporate Real Estate Services
ธนาคารยูโอบี ประเทศไทย กล่าวว่า “เนื่องจากการปล่อยก๊าซเรือนกระจกจากการดำเนินงานโดยตรงส่วนใหญ่เกิดจากการซื้อไฟฟ้าในอาคารสำนักงาน เราจึงวางกลยุทธ์การลดคาร์บอนโดยเน้นการจัดการอาคารอย่างยั่งยืนและการเพิ่มประสิทธิภาพการใช้พลังงาน โดยสำหรับอาคารที่เราเป็นเจ้าของ อย่างอาคารยูโอบี พลาซา กรุงเทพ ซึ่งเป็นสำนักงานใหญ่ของธนาคาร และอาคารยูโอบี เพชรเกษม เราได้ติดตั้งระบบอาคารอัจฉริยะ รวมถึงระบบไฟฟ้าอัจฉริยะและเครื่องทำความเย็นที่มีประสิทธิภาพสูง ส่งผลให้ค่าความเข้มข้นการใช้พลังงาน (EUI) ในปีที่ผ่านมาลดลงมาอยู่ที่ 139.4 kWh/m2 และ 142.1 kWh/m2 ต่อปี ตามลำดับ ซึ่งต่ำกว่าค่าเฉลี่ยของอาคารพาณิชย์ทั่วโลกที่ประมาณ 160-170 kWh/m2 ต่อปี และยังต่ำกว่าค่าเฉลี่ยของประเทศไทยที่ 219 kWh/m2 ต่อปี
ประสิทธิภาพการใช้พลังงานที่ดีขึ้นนี้สอดคล้องกับข้อกำหนดสำหรับการรับรอง Green Mark Platinum ซึ่งเป็นมาตรฐานที่ได้รับการยอมรับจากอุตสาหกรรมโดยหน่วยงานการก่อสร้างและอาคารของสิงคโปร์ และแน่นอนรวมถึงอาคารยูโอบี สาทร (ซึ่งเดิมชื่ออาคารสาทรและกูดวูด) ที่ขณะนี้อยู่ระหว่างการปรับปรุงด้วย

นอกจากนี้ เรานำแนวคิดความยั่งยืนมาผสมผสานในการออกแบบสิ่งอำนวยความสะดวกเพื่อลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกที่สาขาต่างๆ ให้ได้มากที่สุด ตัวอย่างเช่น สาขาแห่งใหม่ในระยองที่ออกแบบให้เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม โดยมีผิวภายนอกอาคารที่มีค่าการแผ่รังสีต่ำ (low emissivity) ซึ่งช่วยจัดการคุณภาพอากาศภายในสาขา ระบบปรับอากาศและระบายอากาศที่มีประสิทธิภาพสูง เพื่อให้อากาศสะอาด เย็นสบาย และประหยัดพลังงาน และขณะนี้ เราเริ่มติดตั้งแผงโซลาร์เซลล์บนหลังคา ณ อาคารยูโอบี เพชรเกษม และอาคารยูโอบี สาทร เมื่อโครงการติดตั้งในอาคารสำนักงานและสาขาที่เข้าร่วมโครงการเสร็จสมบูรณ์ เราจะสามารถผลิตพลังงานแสงอาทิตย์เพื่อใช้เอง และลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์เทียบเท่าประมาณ 200 ตัน
เป้าหมายของเราคือให้อาคารสำนักงานและสาขาของยูโอบี รวมถึงการปรับปรุงอาคารต่างๆ ในประเทศไทย กลายเป็นต้นแบบสำหรับอาคารอื่นๆ ในอนาคต เพื่อเราจะได้มีส่วนร่วมในการบรรลุเป้าหมายการลดคาร์บอนของประเทศ”

เปลี่ยนแปลงความคิดและพฤติกรรมในการจัดการขยะ
ควบคู่กับการลดคาร์บอนในอาคารสำนักงานและสาขา เมื่อพิจารณาถึงผลกระทบของขยะที่มีในชีวิตประจำวันและความสำคัญของขยะต่อคุณภาพชีวิตในกรุงเทพฯ เราจึงเชิญชวนพนักงานระดมความคิดในการรักษ์สิ่งแวดล้อม พร้อมปรับเปลี่ยนพฤติกรรมการจัดการขยะที่สามารถปรับใช้ได้ไม่ว่าจะอยู่ที่ทำงานหรือที่บ้าน
โดยนับตั้งแต่ปี 2564 เราได้เปิดตัวโครงการ Waste to Wonder เพื่อสร้างความตระหนักรู้เกี่ยวกับการจัดการขยะให้พนักงาน นับตั้งแต่การลดการใช้ การซ้ำ รวมไปถึง การคัดแยกขยะและการรีไซเคิล ในปีที่ผ่านมา พนักงานได้ร่วมกันรีไซเคิลขยะกว่า 78,000 กิโลกรัม ซึ่งประกอบด้วยกระดาษ พลาสติก อลูมิเนียม แก้ว และขยะอาหาร
นอกจากนี้ เราติดตั้งเครื่องหมักปุ๋ยที่สามารถย่อยสลายขยะอินทรีย์ได้ถึง 20 กิโลกรัมต่อวันที่อาคารยูโอบี พลาซา กรุงเทพ และอาคารยูโอบี เพชรเกษม โดยปุ๋ยที่ได้จะนำไปใช้ในการจัดภูมิทัศน์ของธนาคารและมอบให้พนักงานที่ชอบทำสวน
ปีนี้ เราได้ยกระดับโครงการ Waste to Wonder ด้วยกิจกรรม Race to Zero Waste ให้พนักงานแต่ละชั้นร่วมแยกขยะอย่างถูกต้องและลดปริมาณขยะทั่วไปที่ถูกส่งไปยังหลุมฝังกลบ ความพยายามของเราเริ่มเห็นผล ตั้งแต่เริ่มการแข่งขัน ปริมาณขยะที่เกิดขึ้นต่อชั้นต่อเดือนลดลงและอัตราการรีไซเคิลที่เพิ่มสูงขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ
ผลลัพธ์ที่ได้จากการบริหารจัดการขยะที่มีประสิทธิภาพ ทำให้ยูโอบี ประเทศไทยได้รับการคัดเลือกให้เป็นองค์กรต้นแบบในการจัดการขยะในหมวดธนาคารโดยกรุงเทพมหานคร ซึ่งในปีนี้เราเป็นเพียงธนาคารแห่งเดียวที่สามารถปฏิบัติตามเกณฑ์ของกรุงเทพมหานครในการเป็น "องค์กรปลอดขยะ"
เราภูมิใจที่เห็นพนักงานมีส่วนร่วมอย่างเต็มที่และมีแรงจูงใจในการดำเนินชีวิตอย่างยั่งยืน พร้อมทั้งให้ความร่วมมือในกิจกรรมด้านความยั่งยืนต่างๆ ขององค์กร พนักงานหลายคนเล่าว่าพวกเขารู้สึกได้ว่าตนเองสามารถจัดการขยะส่วนตัวและมีส่วนร่วมสร้างผลกระทบเชิงบวกให้กับสังคม ซึ่งเราเชื่อว่าพฤติกรรมเหล่านี้จะถูกนำไปปรับใช้ในครอบครัวของพนักงานด้วย
เปลี่ยนยานพาหนะขององค์กรให้เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม
ยานพาหนะถือเป็นอีกหนึ่งแหล่งสำคัญของการปล่อยก๊าซเรือนกระจกในองค์กร เราตั้งเป้าแทนที่ยานพาหนะทั้งหมดด้วยยานพาหนะไฟฟ้า (EVs) ภายในปี 2573 เพื่อลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกจากยานพาหนะของธนาคารเกือบร้อยละ 70 แม้ว่าการเปลี่ยนยานพาหนะจะลดปริมาณการปล่อยก๊าซเรือนกระจกในขอบเขต 1 และเพิ่มขึ้นในขอบเขต 2 จากการซื้อไฟฟ้า แต่เราคาดว่าจะลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกจากการดำเนินงานโดยตรงโดยรวมได้ถึงร้อยละ 9
การตัดสินใจนี้ไม่ได้มีเพียงเหตุผลด้านสิ่งแวดล้อม แต่ยังสะท้อนให้เห็นถึงการพร้อมเปลี่ยนแปลงเพื่อให้สอดคล้องกับข้อกำหนดและการสนับสนุนจากภาครัฐในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจสีเขียวในประเทศไทย
แม้ว่าเราจะมีความก้าวหน้าบนเส้นทางสู่ความยั่งยืน แต่เราตระหนักดีว่าการลดคาร์บอนอย่างมีประสิทธิภาพนั้นต้องใช้เวลา ไม่เพียงแต่เป็นเรื่องจำเป็นด้านสิ่งแวดล้อม แต่ยังเป็นความจำเป็นทางธุรกิจด้วย เราขอเชิญชวนทุกบริษัทในประเทศไทยมาร่วมเดินไปกับเรา การเปิดรับแนวคิดลดคาร์บอนจะช่วยสร้างเศรษฐกิจที่มีความยืดหยุ่นและคาร์บอนต่ำ ซึ่งจะเป็นประโยชน์ต่อทั้งบริษัท สังคม และโลกของเรา
บริษัท กรุงเทพประกันภัย จำกัด (มหาชน) ครองอันดับความน่าเชื่อถือทางการเงิน จาก Standard & Poor’s หรือ S&P สถาบันการจัดอันดับทางการเงินชั้นนำของโลก จัดอันดับความน่าเชื่อถือให้บริษัทฯ อยู่ที่ระดับ A- และคงมุมมองความน่าเชื่อถือ (Outlook) ของบริษัทฯ ที่ระดับมีเสถียรภาพ (Stable) (ณ วันที่ 1 พฤศจิกายน 2567) ซึ่งสะท้อนให้เห็นถึงความเป็นผู้นำในธุรกิจประกันวินาศภัยที่ยังคงครองความแข็งแกร่งด้านเงินทุน ด้วยเงินกองทุนและสินทรัพย์ที่มั่นคง มีความสามารถทางการแข่งขันด้วยผลประกอบการที่ดี รวมทั้งมีการบริหารจัดการที่ดีในระดับที่น่าพึงพอใจ ถือเป็นหนึ่งในบริษัทประกันวินาศภัยที่เข้มแข็งของประเทศไทย
กรุงเทพประกันชีวิตเผยผลดำเนินงานรอบ 9 เดือนแรกปี 2567 กวาดเบี้ยรับรวม 26,400 ล้านบาท กำไรสุทธิ 2,669 ล้านบาท เพิ่มขึ้นร้อยละ 22 ส่วนไตรมาส 3 ปี 67 มีเบี้ยประกันภัยรับรวม 10,315 ล้านบาท มาจากเบี้ยรับปีแรก 1,550 ล้านบาท มีกำไรสุทธิทั้งสิ้น 614 ล้านบาท ประกาศสร้างการเติบโตอย่างยั่งยืนภายใต้วิสัยทัศน์ใหม่ ในการมุ่งสู่การเป็นบริษัทประกันชีวิตอันดับหนึ่งในด้านความใส่ใจ ต่อผู้เกี่ยวข้องทุกกลุ่ม พร้อมดูแลลูกค้าด้วยความคุ้มครองที่มาพร้อมสิทธิประโยชน์และบริการที่เป็นเลิศ
นายโชน โสภณพนิช กรรมการผู้จัดการใหญ่และประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท กรุงเทพประกันชีวิต จำกัด (มหาชน) เปิดเผยถึงผลการดำเนินงานในไตรมาส 3 ปี 2567 ว่า บริษัทฯ มีเบี้ยประกันภัยรับรวมจำนวน 10,315 ล้านบาท ลดลงร้อยละ 1 จากช่วงเดียวกันของปีก่อน โดยมีเบี้ยประกันภัยรับปีแรกจำนวนทั้งสิ้น 1,550 ล้านบาท ลดลงร้อยละ 13 จากช่วงเดียวกันของปีก่อน ซึ่งเป็นผลจากช่องทางธนาคารที่มีเบี้ยประกันภัยรับปีแรกลดลง โดยมีกำไรสุทธิทั้งสิ้น 614 ล้านบาท ลดลงร้อยละ 5 อย่างไรก็ตาม บริษัทฯ มีเบี้ยประกันภัยรับรวมในช่วง 9 เดือนของปี 2567 จำนวน 26,400 ล้านบาท เพิ่มขึ้นร้อยละ 1 จากช่วงเดียวกันของปีก่อน โดยบริษัทฯ มีกำไรสุทธิจากการดำเนินงานในช่วง 9 เดือนแรกของปี 2567 จำนวน 2,669 ล้านบาท เพิ่มขึ้นร้อยละ 22 จากช่วงเวลาเดียวกันของปีก่อน
ทั้งนี้ บริษัทฯ มีสินทรัพย์รวม ณ วันที่ 30 กันยายน 2567 จำนวน 313,594 ล้านบาท ลดลงจากปี 2566 ที่ร้อยละ 4 จากการลดลงของสินทรัพย์ลงทุนจากกรมธรรม์ที่ครบกำหนด ทั้งนี้ สินทรัพย์ลงทุนและรายการเทียบเท่าเงินสดคิดเป็นสัดส่วนร้อยละ 95 ของสินทรัพย์รวม และมีอัตราส่วนเงินกองทุนต่อเงินกองทุนที่ต้องดำรงตามกฎหมาย (CAR) ณ สิ้นไตรมาส 3 ปี 2567 ที่ร้อยละ 433 ซึ่งสูงกว่าระดับเงินกองทุนที่กฎหมายระบุไว้ที่ 140% อย่างมีนัยสำคัญ
นายโชน กล่าวว่า ในปี 2567 บริษัทฯ ให้ความสำคัญกับการสร้างการเติบโตอย่างยั่งยืน โดยล่าสุด บริษัทฯ ได้ประกาศวิสัยทัศน์ใหม่ ในการมุ่งสู่การเป็นบริษัทประกันชีวิตอันดับหนึ่งในด้านความใส่ใจ To be the Most Caring Life Insurance Company เพื่อขับเคลื่อนองค์กรทำหน้าที่ด้วยความใส่ใจต่อผู้เกี่ยวข้องทุกกลุ่ม พร้อมเปิดตัวสิทธิประโยชน์ใหม่ 5 ด้านตามไลฟ์สไตล์ของลูกค้า และยกระดับการให้ความคุ้มครองและการบริการแก่ผู้ถือกรมธรรม์ให้ได้รับประสบการณ์ที่ดีตลอดอายุสัญญา
“บริษัทฯ ยังได้สร้างความผูกพันธ์กับผู้ถือกรมธรรม์ผ่านกิจกรรมต่างๆ อาทิ การจัดงาน Age of Happiness: Thank You Event for Our Valued Customers เพื่อขอบคุณลูกค้าธนาคารกรุงเทพที่ให้ความไว้วางใจส่งมอบความคุ้มครองเพื่อสร้างความมั่งคั่งและมั่นคงทางการเงินมามากกว่า 20 ปี และ กิจกรรมคอนเสิร์ตฉลองครบรอบ 73 ปี BLA Feel Good Concert รวมไปถึงการพัฒนาบริการและบริการเสริมด้านสุขภาพ ‘BLA EveryCare’ ที่กรุงเทพประกันชีวิตให้มากกว่าความคาดหวังของผู้ถือกรมธรรม์ โดยมีการทำงานร่วมกับโรงพยาบาลพันธมิตรอย่างต่อเนื่อง” นายโชนกล่าวในที่สุด
เตรียมพบกับ “Taiwan Healthcare Pavilion” โซนจัดแสดงเทคโนโลยีสุขภาพในงาน TAIWAN EXPO 2024 ระหว่างวันที่ 21-23 พฤศจิกายน 2567 ณ ศูนย์การประชุมแห่งชาติสิริกิติ์ ฮอลล์ 5 บูธหมายเลข 411 กลับมาอีกครั้งกับการจัดแสดงสินค้าและนวัตกรรมเกี่ยวกับ เทคโนโลยีทางการแพทย์ที่ล้ำสมัยจากไต้หวัน พร้อมทั้งพบกับโซลูชันที่เป็นนวัตกรรมชั้นนำที่จะมาเปลี่ยนแปลงการดูแลสุขภาพในอนาคต โดยผู้เข้าชมงานจะได้สัมผัสเทคโนโลยีล่าสุดที่ช่วยยกระดับการให้บริการทางการแพทย์และการดูแลสุขภาพในระดับที่ไม่เคยมีมาก่อน
ในปีนี้ Taiwan Healthcare Pavilion จะนำเสนอเทคโนโลยีและนวัตกรรมที่ทันสมัยจากไต้หวันในหลายด้านของการดูแลสุขภาพ ซึ่งครอบคลุมทั้ง การบริการทางการแพทย์ การดูแลสุขภาพอัจฉริยะ การแพทย์ทางไกล และ อุปกรณ์ช่วยเหลือทางการแพทย์ โดยมีการจัดแสดงโซลูชันต่าง ๆ ที่ได้รับการออกแบบมาเพื่อยกระดับการดูแลสุขภาพให้มีประสิทธิภาพสูงสุด รวมถึงการนำเสนอ Smart Ward ที่จะช่วยให้ผู้เข้าชมได้สัมผัสกับการใช้เทคโนโลยีเพื่อปรับปรุงการดูแลผู้ป่วยและเพิ่มประสิทธิภาพในการดำเนินงานภายในโรงพยาบาล ถือเป็นหนึ่งในนวัตกรรมที่ทำให้ไต้หวันกลายเป็นผู้นำระดับโลกในด้าน Smart Healthcare โดยมีนิทรรศการที่ผู้เข้าชมสามารถมีส่วนร่วม สะท้อนให้เห็นถึงระบบ IoT ขั้นสูงซึ่งออกแบบมาเพื่อเปลี่ยนแปลงสภาพแวดล้อมในโรงพยาบาล

นอกจากนี้ในวันที่ 22 พฤศจิกายน จะมีการจัดการประชุม Smart Healthcare Conference ระหว่างไต้หวันและไทย ประจำปี 2024 ณ ห้องประชุม 209 ศูนย์การประชุมแห่งชาติสิริกิติ์ ภายใต้หัวข้อ “เทคโนโลยีและนวัตกรรมทางการแพทย์ในการรับมือการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ ESG และการดูแลสุขภาพอย่างยั่งยืน” การประชุมนี้จะกล่าวถึงความท้าทายสำคัญ โดยเฉพาะผลกระทบของการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ ที่มีต่อระบบการดูแลสุขภาพทั่วโลก โดยมีวิทยากรจากไต้หวันและไทยมาแบ่งปันมุมมองว่าด้วยเทคโนโลยีทางการแพทย์ขั้นสูง เช่น การวินิจฉัยที่ขับเคลื่อนด้วย AI และการแพทย์ทางไกล ซึ่งเป็นปัจจัยสำคัญในการสร้างระบบการดูแลสุขภาพที่ยืดหยุ่นและยั่งยืน ซึ่งสามารถลงทะเบียนเข้าร่วมได้ทาง https://reurl.cc/nvOW2l
งานแสดงสินค้าในครั้งนี้มุ่งเน้นที่จะสาธิตให้ผู้เข้าชมเห็นว่าเทคโนโลยีทางการแพทย์ สามารถช่วยลดความยุ่งยากและเพิ่มความสะดวกในการดูแลผู้ป่วย ซึ่งผู้เข้าชมจะได้สัมผัสกับการใช้งานผลิตภัณฑ์ที่ล้ำสมัยและการสาธิตการใช้งานจากผู้เชี่ยวชาญ นอกจากนี้ยังมีการแสดงนวัตกรรมที่ตอบโจทย์การดูแลสุขภาพในทุกมิติ ตั้งแต่การให้บริการที่มีคุณภาพ ไปจนถึงการปรับเปลี่ยนสภาพแวดล้อมภายในโรงพยาบาลให้ทันสมัยและมีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น
ทั้งนี้ Smart Ward จะเป็นพื้นที่ที่แสดงถึงความเชี่ยวชาญของไต้หวันในการผสานโซลูชันเทคโนโลยีขั้นสูงเพื่อยกระดับการติดตามผู้ป่วย ความรวดเร็วในการให้บริการ และการเชื่อมต่อข้อมูลผู้ป่วยผ่านระบบ IoT นวัตกรรมนี้เป็นตัวอย่างที่แสดงให้เห็นถึงความมุ่งมั่นของไต้หวันในการพัฒนาการดูแลสุขภาพ ช่วยให้โรงพยาบาลมีระบบที่มีประสิทธิภาพ ยกระดับประสบการณ์ของผู้ป่วยและเพิ่มความแม่นยำทางการแพทย์
ผู้ประกอบการและพันธมิตรทางธุรกิจที่กำลังมองหาโซลูชันและเทคโนโลยีการดูแลสุขภาพอัจฉริยะจากไต้หวัน ที่จะช่วยยกระดับธุรกิจและการบริการด้านสุขภาพ Taiwan Healthcare Pavilion ในงาน TAIWAN EXPO 2024 พร้อมเปิดโอกาสในการสร้างพันธมิตรและร่วมมือทางธุรกิจเพื่อเตรียมพร้อมสำหรับการเปลี่ยนแปลงในวงการสุขภาพในอนาคต มาพบกันได้ตั้งแต่วันที่ 21-23 พฤศจิกายน 2024 ณ ศูนย์การประชุมแห่งชาติสิริกิติ์ ฮอลล์ 5 บูธหมายเลข 411 ติดตามรายละเอียดหรือสอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ https://thai.taiwanexpoasean.com/en/exhibitor/show-area-data/Taiwan Healthcare Pavilion/list.html