เอสซีจี เคมิคอลส์ หรือ SCGC ยังคงเดินหน้าลงพื้นที่ที่ได้รับผลกระทบอย่างต่อเนื่อง เพื่อรับฟังและเร่งช่วยเหลือผู้ที่ได้รับผลกระทบในระยะเร่งด่วน พร้อมเฝ้าระวังคุณภาพสิ่งแวดล้อมอย่างเข้มข้นเต็มรูปแบบ

นายมงคล เฮงโรจนโสภณ ประธานเจ้าหน้าที่สายงานปฏิบัติการ SCGC กล่าวว่า “หลังจากที่ได้ลงพื้นที่พบชุมชนอย่างใกล้ชิด เพื่อรับฟังข้อห่วงกังวลต่าง ๆ บริษัทฯ ได้ดำเนินการเร่งช่วยเหลือผู้ที่ได้รับผลกระทบในระยะเร่งด่วนทันที โดยในด้านสุขภาพ ได้ดูแลและรักษากรณีมีอาการเจ็บป่วย จัดที่พักนอกพื้นที่ชั่วคราวสำหรับกลุ่มเปราะบางที่อยู่ใกล้พื้นที่เกิดเหตุ รวมไปถึงการนำทีมบุคลากรทางการแพทย์มาดูแลอย่างใกล้ชิด และในส่วนคุณภาพสิ่งแวดล้อมนั้น บริษัทฯ ยังเฝ้าระวังอย่างต่อเนื่องและเต็มรูปแบบ พร้อมทั้งตรวจวัดคุณภาพอากาศโดยเจ้าหน้าที่สิ่งแวดล้อมของบริษัทฯ ครอบคลุมพื้นที่ชุมชน จำนวน 40 จุด ต่อเนื่อง เพื่อคืนความเชื่อมั่นให้กับชุมชน”

นายมงคล ย้ำเพิ่มเติมว่า “ขณะนี้ บริษัทฯ ยังไม่มีการระบายน้ำออกนอกโรงงาน ซึ่งส่วนใหญ่มาจากน้ำฝนที่ตกมาในช่วงนี้ โดยได้กักเก็บไว้ในบ่อพักและรางระบายน้ำฝน ซึ่งจะทำการตรวจสอบคุณภาพน้ำร่วมกับสำนักงานท่าเรืออุตสาหกรรมมาบตาพุด สำนักงานเจ้าท่าภูมิภาคที่ 6 และสำนักงานทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมจังหวัดระยอง หากผลตรวจวัดคุณภาพน้ำอยู่ในเกณฑ์มาตรฐานจึงจะระบายน้ำออกจากโรงงาน  สำหรับน้ำและโฟมที่เกิดจากการดับเพลิง ได้ส่งกำจัดโดยบริษัทที่ได้รับอนุญาตตามกฎหมาย”

ทั้งนี้ ผลการตรวจวัดคุณภาพอากาศจากสถานีตรวจวัดคุณภาพอากาศแบบต่อเนื่องของการนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย และ เทศบาลเมืองมาบตาพุด ยังอยู่ในเกณฑ์มาตรฐาน

สำหรับผู้ที่ได้รับผลกระทบ สามารถติดต่อศูนย์ช่วยเหลือบรรเทาผลกระทบ ได้ตลอด 24 ชั่วโมง โทร 085-650-4049

บริษัท หัวเว่ย เทคโนโลยี่ (ประเทศไทย) จำกัด จัดงาน “Huawei Cloud Database Summit Thailand 2024” ภายใต้แนวคิด ‘GaussDB: ตัวเลือกที่ดีกว่าของฐานข้อมูลแห่งอนาคต’ (GaussDB: A Better Way to Database) ภายในงาน หัวเว่ยผนึกกำลังร่วมกับลูกค้าและพันธมิตรชั้นนำเปิดตัวโซลูชัน GaussDB เพื่อผลักดันให้อุตสาหกรรมทั้งภาครัฐและเอกชนในประเทศไทยเข้าถึงเทคโนโลยีฐานข้อมูล AI-Native และเร่งกระบวนการพลิกโฉมสู่ดิจิทัล นอกจากนี้ หัวเว่ย คลาวด์ยังเปิดตัวโครงการนำร่อง GaussDB Pioneer Program เพื่อผลักดันนวัตกรรมและการประยุกต์ใช้เทคโนโลยีฐานข้อมูลในประเทศไทย

หัวเว่ย คลาวด์ GaussDB, ตัวเลือกสำหรับฐานข้อมูลที่ก้าวล้ำไปอีกขั้น ด้วยคุณสมบัติชั้นนำ 6 ประการ

นายเดวิด หลี่ ประธานกรรมการบริหาร บริษัท หัวเว่ย เทคโนโลยี่ (ประเทศไทย) จำกัด กล่าวระหว่างพิธีเปิดว่า “การปฏิวัติด้านดิจิทัลกำลังเปลี่ยนแปลงทุกสิ่งทุกอย่างรอบตัวเรา โดยเราเห็นการใช้งาน AI มากขึ้นในธุรกิจต่าง ๆ ซึ่งฐานข้อมูลนับเป็นพื้นฐานของการปฏิวัติทางดิจิทัล และการปลดปล่อยข้อมูลในยุคของบิ๊ก ดาต้าและ AI นั้นมีความท้าทายอยู่สี่ประเด็นหลัก คือ ประการแรก การประมวลผลข้อมูลปริมาณมากที่หลากหลายและกระจัดกระจายด้วยการใช้ฐานข้อมูล ประการที่สอง การคงประสิทธิภาพที่สูงในการประมวลผลข้อมูลมาก ๆ ในเวลาพร้อมกัน ประการที่สาม การรักษาความปลอดภัยที่ครอบคลุมทั่วถึงและการจัดการกับการละเมิดข้อมูล และประการที่สี่ แนวโน้มดิจิทัลซึ่งได้รับความนิยมในทุกธุรกิจที่ต้องการอีโคซิสเต็มท้องถิ่นที่หลากหลายและเข้มแข็ง เราภูมิใจที่จะเสนอ GaussDB ฐานข้อมูลรุ่นต่อไปของเราให้กับประเทศไทย ซึ่งจะมอบโซลูชันที่มีประสิทธิภาพสูงเพื่อปลดล็อกคุณค่าของข้อมูลอย่างเต็มที่ และ "ให้โลกมีตัวเลือกที่ดีกว่า" "

GaussDB ได้รับการพัฒนามานานกว่า 20 ปีตั้งแต่ปี พ.ศ. 2544 และได้รับการทดสอบผ่านการใช้งานจริง เช่น  ฐานข้อมูลเชิงพาณิชย์ของหัวเว่ยถูกย้ายไปยัง GaussDB ช่วยลดเวลาการสร้างรายงานประจำปีจาก 30 วันเหลือเพียง 10 วัน และธนาคารชั้นนำแห่งหนึ่งของจีนใช้ GaussDB พลิกโฉมฐานข้อมูลเดิมให้กับระบบธุรกิจมากกว่า 150 ระบบ

บรูโน จาง ประธานเจ้าหน้าที่ฝ่ายเทคโนโลยี หัวเว่ย คลาวด์ กล่าวถึงหกก้าวสำคัญที่ทำให้ GaussDB เป็นตัวเลือกที่ดีกว่าสำหรับฐานข้อมูลแห่งอนาคต

ประการแรกคือ สถาปัตยกรรมขั้นสูง GaussDB ใช้สถาปัตยกรรมคลาวด์เนทีฟแบบ 3 เลเยอร์ (three-layer pooling) ให้บริการผู้ใช้หลากหลายองค์กร (Multi-Tenancy) และปลดล็อกประสิทธิภาพการทำงาน ประการที่สอง GaussDB ให้บริการแบบมัลติ-โมเดล (multi-model) ผสานฐานข้อมูลแบบ HTAP, เวกเตอร์ และมัลติ-โมเดลขจัดสภาวะคอขวดของข้อมูล และสนับสนุนธุรกิจใหม่ได้มากขึ้น ประการที่สาม ความพร้อมใช้งาน GaussDB ผสานการทำงานระหว่างฮาร์ดแวร์และซอฟต์แวร์อย่างลงตัว มาพร้อมดูอัล คลัสเตอร์ ทำงานสอดผสานกันอย่างเหนือชั้น จึงพร้อมใช้งานอยู่เสมอ ประการที่สี่ ความอัจฉริยะ GaussDB มาพร้อมแบบจำลองฐานข้อมูลขนาดใหญ่และมีระบบการดำเนินงานและบำรุงรักษา (O&M) แบบโต้ตอบทันที ลดข้อจำกัดด้านประสบการณ์ใช้งาน ประการที่ห้า การรักษาความปลอดภัย GaussDB มาพร้อมระบบรักษาความปลอดภัยแบบ E2E พร้อมการเข้ารหัสเต็มรูปแบบและระบบป้องกันการปลอมแปลง หมดกังวลด้านความปลอดภัยและความเป็นส่วนตัว และประการสุดท้าย อีโคซิสเต็มเปี่ยมศักยภาพ ฐานข้อมูลบุคคลที่สามสามารถโยกย้ายได้อย่างราบรื่นโดยอัตโนมัติและการทำงานร่วมกับพาร์ทเนอร์ ช่วยลดข้อจำกัดของอีโคซิสเต็ม

ฐานข้อมูลหัวเว่ย คลาวด์วางรากฐานที่แข็งแกร่งพร้อมสร้างมูลค่าสูงสุดให้กับข้อมูล

เทคโนโลยีฐานข้อมูลเปลี่ยนไป 5 ทิศทางหลัก: จากฐานข้อมูลแบบรวมศูนย์ไปสู่แบบกระจาย, จากความน่าเชื่อถือของฮาร์ดแวร์เปลี่ยนเป็นความน่าเชื่อถือของซอฟต์แวร์, จากทรัพยากรคงที่ไปจนถึงการรองรับการขยายตัวแบบยืดหยุ่นบนคลาวด์, จากการบำรุงรักษาแบบแมนนวลเปลี่ยนเป็นระบบอัจฉริยะ, และเปลี่ยนจากการป้องกันความปลอดภัยจุดเดียวเป็นการสร้างระบบรักษาความปลอดภัยรอบด้าน และเพื่อตอบสนองความต้องการที่แตกต่างกันของธุรกิจ หัวเว่ย คลาวด์ มอบบริการฐานข้อมูลชั้นนำระดับองค์กร 3 รูปแบบ ได้แก่ GaussDB, GaussDB for MySQL และ GeminiDB ซึ่งเป็นฐานข้อมูลแบบ multi-model NoSQL

GaussDB ผลักดันนวัตกรรมทางธุรกิจในอุตสาหกรรมการเงิน มอบระบบการดำเนินงานและการบำรุงรักษา (O&M) แบบ deterministic และยกระดับความเสถียรและความน่าเชื่อถือของข้อมูลไปอีกขั้น

หัวเว่ยเปิดตัวโครงการ GaussDB Pioneer Program ในประเทศไทย

เซลีน เฉา ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร หัวเว่ย คลาวด์ ประเทศไทย กล่าวในหัวข้อ สร้างอนาคตดิจิทัลอัจฉริยะแบบก้าวกระโดดบนคลาวด์ โดยเน้นย้ำว่า หัวเว่ย คลาวด์เป็นหนึ่งในสามผู้ให้บริการชั้นนำในตลาดคลาวด์สาธารณะในประเทศไทย และครองอันดับหนึ่งในตลาดไฮบริดคลาวด์ “เราภูมิใจที่ได้ครองอันดับ ผู้ให้บริการคลาวด์ชั้นนำที่ให้บริการลูกค้าจากอุตสาหกรรมหลายภาคส่วนในภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก ที่สำคัญกว่านั้น ทีมงานของเราทุ่มเทอย่างเต็มที่และผนึกกำลังร่วมกับพาร์ทเนอร์เพื่อบ่มเพาะอีโคซิสเต็มที่แข็งแกร่งในประเทศไทย” 

ภายในงานครั้งนี้ หัวเว่ย คลาวด์ ยังได้เปิดตัวโครงการนำร่อง GaussDB Pioneer Program ในประเทศไทย พร้อม 3 สิทธิพิเศษ ประการแรกลูกค้า 100 ท่านแรกจะได้รับสิทธิ์ทดลองใช้งานฟรี 1 เดือน และได้รับการดูแลโดยผู้เชี่ยวชาญในช่วง 1 เดือนแรกของการใช้งาน ประการที่สองพาร์ทเนอร์ 100 รายแรก จะได้รับสิทธิ์ร่วมพัฒนาโซลูชันกับหัวเว่ย คลาวด์ พร้อมรับโอกาสทางธุรกิจและส่วนลดพิเศษ ประการที่สาม สำหรับสมาชิก คลาวด์ เนทีฟ อีลิท คลับ (Cloud Native Elite Club CNEC) โดยสมัครสมาชิก CNEC และได้สิทธิ์เป็น  100 ท่านแรกที่เข้าร่วมกิจกรรมประจำเดือน ร่วมแลกเปลี่ยนความคิดเห็นกับผู้นำทางความคิดระดับโลกและรับการฝึกอบรมพิเศษมากมาย

เปิดตัวคลาวด์ เนทีฟ อีลิท คลับ (Cloud Native Elite Club - CNEC) และ GaussDB (DWS) 3.0 ในไทย

หัวเว่ย คลาวด์ ยังได้จัดเสวนาระหว่างประธานเจ้าหน้าที่ฝ่ายประสบการณ์ลูกค้าจากองค์กรชั้นนำเพื่อหารือเกี่ยวกับความท้าทายด้านฐานข้อมูล และคุณลักษณะที่จำเป็นของฐานข้อมูลในกระบวนการเปลี่ยนผ่านสู่ยุคอัจฉริยะ โดยมีผู้นำจากธุรกิจและเทคโนโลยีชั้นนำกว่า 50 รายเข้าร่วม ได้แก่ ธุรกิจการเงิน ธุรกิจโทรคมนาคม และอินเทอร์เน็ตจากภูมิภาคเอเชีย แปซิฟิก ในยุคแห่งอัจฉริยะ ความต้องการด้านข้อมูลเพิ่มสูงขึ้นและมีความหลากหลายมากขึ้น การดำเนินธุรกิจเป็นแบบเรียลไทม์และเป็นระบบมากขึ้น ก่อให้เกิดความท้าทายใหม่ด้านความยืดหยุ่นและประสิทธิภาพของคลังข้อมูลที่รองรับการวิเคราะห์ข้อมูล เพื่อรับมือกับความท้าทายเหล่านี้  GaussDB (DWS) 3.0 เป็นบริการคลังข้อมูล (Data Warehouse Service – DWS) เจเนอเรชันใหม่บนคลาวด์ มาพร้อมนวัตกรรมล้ำสมัย ครอบคลุมตั้งแต่สถาปัตยกรรม, ความเข้ากันได้, ไปจนถึงการกำหนดการกู้คืนความเสียหายได้ตามความต้องการ

GaussDB มอบโซลูชันที่ครอบคลุมเพื่อเพิ่มศักยภาพการแข่งขันในยุคคลาวด์และ AI ซึ่งรวมถึงความพร้อมใช้งานสูง ช่วยลดอัตราการสูญหายและความขัดแย้งของข้อมูล พร้อมบริการกู้คืนข้อมูลสำคัญจากระยะไกลประสิทธิภาพและฟังก์ชันรองรับการขยายตัวของข้อมูลที่เหนือชั้น ทำให้สืบค้นข้อมูลที่ซับซ้อนจำนวนหลายพันล้านรายการได้ในไม่กี่วินาที ฐานข้อมูล GaussDB AI-native อัจฉริยะแบบ end-to-end มอบประสิทธิภาพการประมวลผลสูงขึ้นถึง 5 เท่า นอกจากนี้ ฐานข้อมูลที่เข้ารหัสด้วยซอฟต์แวร์เต็มรูปแบบทำให้ GaussDB ได้รับการรับรองความปลอดภัยระดับสูงสุดในอุตสาหกรรม และที่สำคัญที่สุด GaussDB ติดตั้งและโยกย้ายข้อมูลได้ง่าย ทำให้ในปัจจุบันมีการใช้งานฐานข้อมูลของหัวเว่ย คลาวด์ มากกว่า 2,500 รายการในหลากหลายภาคส่วน รวมถึงธุรกิจการเงิน รัฐบาล ธุรกิจแบบดั้งเดิม อินเทอร์เน็ต และภาคการผลิต

หัวเว่ยวางรากฐานที่แข็งแกร่งในประเทศไทยมายาวนานกว่า 25 ปี และมีความมุ่งมั่นอย่างแรงกล้าที่จะร่วมพัฒนาเทคโนโลยีดิจิทัลในประเทศไทยตามพันธกิจ ‘เติบโตพร้อมกับประเทศไทย ร่วมสนับสนุนประเทศไทย (Grow in Thailand, Contribute to Thailand) ตลอดเวลาที่ผ่านมา หัวเว่ยร่วมผลักดันการเปลี่ยนผ่านสู่ยุคอัจฉริยะของเอเชีย แปซิฟิก ซึ่งเป็นหนึ่งในภูมิภาคที่มีชีวิตชีวามากที่สุดในโลก พร้อมศักยภาพมหาศาลในด้านเศรษฐกิจดิจิทัล บริษัทมุ่งมั่นรับมือโลกอัจฉริยะที่กำลังจะมาถึงภายใต้กลยุทธ์ ‘All Intelligence’ ด้วยการนำเสนอโซลูชันล้ำสมัย รวมถึงเทคโนโลยีคลาวด์และ AI เพื่อส่งเสริมการเติบโต ประสิทธิภาพการทำงาน ความสามารถในการแข่งขัน และสร้างความร่วมมือในท้องถิ่น และสนับสนุนการเติบโตของเศรษฐกิจดิจิทัลของประเทศไทยเพื่อปูทางสู่การเป็นศูนย์กลางดิจิทัลของอาเซียน

บริษัท บ้านปู จำกัด (มหาชน) ผู้นำด้านพลังงานที่หลากหลายในระดับนานาชาติ เผยผลประกอบการ ไตรมาส 1 ปี 2567 มีรายได้จากการขายรวม 1,088 ล้านเหรียญสหรัฐ (ประมาณ 38,810 ล้านบาท) กำไรก่อนหักดอกเบี้ย ภาษี และค่าเสื่อมราคา (EBITDA) รวม 250 ล้านเหรียญสหรัฐ (ประมาณ 8,924 ล้านบาท) และกำไรสุทธิ 43.5 ล้านเหรียญสหรัฐ (ประมาณ 1,552 ล้านบาท) ในช่วงที่ผ่านมาแม้ต้องเผชิญกับความผันผวนของราคาพลังงานในตลาดโลก บริษัทฯ ยังคงบริหารจัดการธุรกิจและต้นทุนได้อย่างมีประสิทธิภาพ สามารถสร้างกระแส  เงินสดได้อย่างต่อเนื่อง ด้านธุรกิจก๊าซธรรมชาติ พร้อมเดินหน้าสู่การบรรลุเป้าหมาย Net Zero เต็มพิกัด โดยมีโครงการดักจับและกักเก็บคาร์บอน (Carbon Capture, Utilization and Storage: CCUS) ในสหรัฐอเมริกาที่เตรียมดำเนินการในปีนี้ ขณะที่กลุ่มธุรกิจเทคโนโลยีพลังงาน โรงงานผลิตแบตเตอรี่ในไทยได้เริ่มส่งมอบแบตเตอรี่ให้กับลูกค้าในประเทศไทยแล้ว

นายสินนท์ ว่องกุศลกิจ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท บ้านปู จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า “ในไตรมาส 1   ปี 2567 บริษัทฯ ยังคงมุ่งเน้นเพิ่มประสิทธิภาพในการดำเนินงานและบริหารจัดการต้นทุนอย่างรัดกุม ยกระดับ  การดำเนินงานของทุกกลุ่มธุรกิจใน 9 ประเทศ และเพิ่มศักยภาพในการบริหารจัดการทรัพยากรเพื่อคงความสามารถในการสร้างกระแสเงินสดอย่างต่อเนื่อง โดยกลุ่มธุรกิจแหล่งพลังงานและผลิตพลังงาน มุ่งเน้นเพิ่มประสิทธิภาพและลดต้นทุนเพื่อตอบสนองต่อภาวะราคาพลังงานที่ผันผวน สำหรับกลุ่มธุรกิจเทคโนโลยีพลังงาน มีความคืบหน้าของโรงงานประกอบแบตเตอรี่ในประเทศไทยที่ได้เริ่มส่งมอบแบตเตอรี่ชุดแรกแล้ว นอกจากนั้น เรายังมุ่งบริหารพอร์ตโฟลิโอให้สอดคล้องไปกับแนวทางการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก ผ่านการจัดสรรงบประมาณการลงทุนอย่างเหมาะสมเพื่อการเติบโตอย่างยั่งยืน”

สำหรับผลการดำเนินงานของ 3 กลุ่มธุรกิจหลัก ในไตรมาส 1 มีรายละเอียดดังต่อไปนี้

กลุ่มธุรกิจแหล่งพลังงาน ด้านธุรกิจเหมือง บริษัทฯ เร่งดำเนินมาตรการต่าง ๆ ทั้งการควบคุมต้นทุนการผลิต การเสริมประสิทธิภาพในการผลิตและการขนส่ง ที่ช่วยประหยัดเวลาและทรัพยากรและลดสิ่งเหลือทิ้งจากกระบวนการผลิต และดำเนินกลยุทธ์ทางการตลาด เพื่อให้ได้คุณภาพของสินค้าตรงตามความต้องการของลูกค้า ทำให้ยังคงสร้างกระแสเงินสดได้อย่างแข็งแกร่ง ธุรกิจก๊าซธรรมชาติ บริษัทฯ ยังคงใช้เครื่องมือทางการเงินเพื่อป้องกันความเสี่ยงจากราคาก๊าซธรรมชาติที่มีความผันผวน ในส่วนโครงการดักจับและกักเก็บก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ (Carbon Capture, Utilization and Storage: CCUS) ในสหรัฐอเมริกา เพื่อมุ่งสู่เป้าหมาย Net Zero ใน Scope 1 และ 2 ในปี 2568 โครงการแรก “Barnett Zero” ดำเนินงานอย่างต่อเนื่อง ขณะที่โครงการที่สอง “Cotton Cove” ตั้งเป้าเริ่มดำเนินการภายในปี 2567 นี้ โดยแต่ละโครงการมีอัตราการกักเก็บคาร์บอนไดออกไซด์เฉลี่ยสูงสุดอยู่ที่ 210,000 และ 45,000 ตันคาร์บอนไดออกไซด์เทียบเท่าต่อปีตามลำดับ

กลุ่มธุรกิจผลิตพลังงาน สำหรับธุรกิจผลิตไฟฟ้าจากพลังงานความร้อน มีผลการดำเนินงานตามเป้าและคงประสิทธิภาพในการผลิตไฟฟ้าที่ดีต่อเนื่อง โดยมีปัจจัยบวกจากการเติบโตของความต้องการการใช้ไฟฟ้าในทุกภูมิภาคทั่วโลก โดยเฉพาะจากโรงไฟฟ้าพลังงานความร้อนที่มีเสถียรภาพและสร้างความมั่นคงในระบบการจ่ายไฟฟ้าเพื่อรองรับความต้องการในช่วงที่สภาพภูมิอากาศมีความผันผวน อีกทั้งยังมีความเติบโตของการใช้ AI และ ธุรกิจดาต้าเซ็นเตอร์ในประเทศต่าง ๆ สำหรับธุรกิจผลิตไฟฟ้าจากพลังงานหมุนเวียนในประเทศจีน ญี่ปุ่น เวียดนาม และออสเตรเลีย ยังคงรายงานผลการดำเนินงานที่ดี สร้างกระแสเงินสดอย่างสม่ำเสมอ แม้ในไตรมาสนี้จะเผชิญกับสภาพอากาศที่ไม่เอื้ออำนวยซึ่งเป็นไปตามฤดูกาล

กลุ่มธุรกิจเทคโนโลยีพลังงาน มีการเติบโตแข็งแกร่งอย่างต่อเนื่อง โดยการมุ่งขยายฐานลูกค้าและการลงทุนร่วมกับพันธมิตรใหม่ ๆ  ในธุรกิจแบตเตอรี่และระบบกักเก็บพลังงาน (Battery & Energy Storage System Solutions: BESS) โรงงานผลิตแบตเตอรี่ลิเธียมไอออนภายใต้ความร่วมมือระหว่าง บ้านปู เน็กซ์ และ เอส โวลต์ เอเนอร์จี้ เทคโนโลยี (ประเทศไทย) ได้เปิดดำเนินการเชิงพาณิชย์ และส่งมอบแบตเตอรี่ให้กับลูกค้าในประเทศไทยมากกว่า 20,000 ชุด โดยมีเป้าหมายการผลิตรวม 60,000 ชุดต่อปี พร้อมลงนามบันทึกข้อตกลงความร่วมมือจัดตั้งโรงงานและพัฒนาอุตสาหกรรมที่เกี่ยวเนื่องกับการกักเก็บพลังงาน เซลล์แบตเตอรี่ และการรีไซเคิลแบตเตอรี่ในขณะที่โรงงานประกอบแบตเตอรี่ดีพี เน็กซ์ ซึ่งเป็นบริษัทร่วมทุนของบ้านปู เน็กซ์ และดูราเพาเวอร์ สามารถส่งมอบแบตเตอรี่ชุดแรกให้กับเชิดชัยมอเตอร์เซลส์เพื่อนำไปใช้กับรถบัสไฟฟ้าแล้วเช่นกัน โดยมีเป้ากำลังการผลิตรวมที่ 1 กิกะวัตต์ชั่วโมง นอกจากนี้ ในไตรมาสนี้ยังมีการเปิดตัวโครงการ ‘Infinite Cafe Powered by Banpu NEXT’ เฟสที่สอง ที่จามจุรีสแควร์ ในรูปแบบป๊อปอัพคาเฟ่ที่มีระบบโซลาร์รูฟท๊อปผลิตไฟฟ้าพร้อมแบตเตอรี่กักเก็บไฟฟ้าในตัว ซึ่งเป็นการนำเสนอโซลูชันพลังงานสะอาดที่สอดคล้องกับไลฟ์สไตล์ของผู้คน เพื่อขยายสู่กลุ่มลูกค้าธุรกิจบริการต่าง ๆ ในส่วนโครงการบริหารจัดการระบบผลิตความเย็นจากส่วนกลาง (District Cooling System) ศูนย์ราชการเฉลิมพระเกียรติฯ โซนซี คาดว่าจะเปิดดำเนินการเต็มรูปแบบในไตรมาส 4 ปีนี้

จากความโดดเด่นในการบริหารจัดการและการพัฒนาทรัพยากรบุคคลในช่วงเวลาที่ผ่านมา ส่งผลให้บ้านปูได้รับ  3 รางวัลจากงาน Employee Experience Awards 2024 ซึ่งจัดโดย Human Resources Online ประเทศสิงคโปร์ ในประเภท Best Management Training Programme (ระดับ Silver) ประเภท Best Holistic Leadership Development Strategy (ระดับ Silver) และประเภท Best Executive Coaching Programme (ระดับ Bronze)สะท้อนความมุ่งมั่นของบ้านปูในการเป็นองค์กรแห่งการเรียนรู้ตลอดชีวิต (Lifelong Learning Organization)  และการตระหนักถึงความสำคัญของทรัพยากรบุคคลที่เป็นสินทรัพย์ที่มีค่าที่สุดของบริษัทฯ

“บ้านปูยังคงสร้างการเติบโตของพอร์ตโฟลิโอพลังงาน โดยมุ่งสานต่อโร้ดแม็พภารกิจการเปลี่ยนผ่านสู่พลังงานที่ยั่งยืน (Sustainable Energy Transition) สิ่งที่ผมให้ความสำคัญ คือการสร้างกระแสเงินสดให้แข็งแกร่งยิ่งขึ้น จากการดำเนินงานที่เต็มประสิทธิภาพของสินทรัพย์ต่าง ๆ ในทุกกลุ่มธุรกิจของบริษัทฯ โดยมุ่งเน้นการนำเทคโนโลยีดิจิทัลและ AI เข้ามาสนับสนุนให้เกิดประโยชน์สูงสุด พร้อมการต่อยอดโอกาสเพิ่มรายได้จากการเลือกลงทุนที่จะให้ผลตอบแทนสูง โดยผสานความแข็งแกร่งทั้งในธุรกิจที่มีอยู่เดิมและธุรกิจใหม่ที่มีศักยภาพในการเติบโตไม่ว่าจะภาคพลังงานหรืออุตสาหกรรมที่เกี่ยวข้อง ขณะเดียวกันก็เร่งผลักดันการลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์จากการดำเนินธุรกิจเพื่อร่วมขับเคลื่อนสังคมคาร์บอนต่ำ

ผมเชื่อว่าการสร้างการเติบโตทางธุรกิจอย่างต่อเนื่องในทุกมิติของบ้านปู ควบคู่ไปกับการมุ่งบรรลุเป้าด้านความยั่งยืนทั้งด้านสิ่งแวดล้อม สังคม และการกำกับดูแลกิจการในทุกกระบวนการทางธุรกิจ จะสร้างคุณค่าให้กับผู้ถือหุ้นและผู้มีส่วนได้เสียทุกกลุ่มได้อย่างแท้จริง” นายสินนท์ กล่าวปิดท้าย

ขอเชิญผู้ประกอบการที่สนใจขยายธุรกิจสู่ตลาดการค้าออนไลน์ระดับโลกเข้าร่วมอบรมโครงการ “The Road to Global E-Commerce 2024” จัดโดยธนาคารเพื่อการส่งออกและนำเข้าแห่งประเทศไทย (EXIM BANK) ร่วมกับ Ablibaba, AJ e-commerce, Hong Kong Trade Development Council (HKTDC) ในวันอังคารที่ 21 พฤษภาคม 2567 เวลา 9.00-16.00 น.EXIM BANK สำนักงานใหญ่

ผู้เข้าร่วมอบรมโครงการจะได้รับการ “เติมความรู้” Global E-commerce Trends 2024 ชี้โอกาสการขายสินค้าออนไลน์และการเริ่มต้นธุรกิจส่งออก พร้อมช่องทางขยายธุรกิจสู่ตลาดโลกกับ E-commerce Platform ระดับโลก เช่น Alibaba ซึ่งมีจำนวนสมาชิก 305 ล้านคน และ Hong Kong Trade Development Council (HKTDC) ซึ่งมีจำนวนผู้ลงทะเบียนใช้บริการกว่า 2 ล้านคนทั่วโลก อัปเดตข้อมูลการจัดการขนส่งสินค้า การบริหารความเสี่ยงทางการค้าระหว่างประเทศ พร้อมรับคำปรึกษาจากผู้เชี่ยวชาญ เพื่อ “เติมโอกาส” ความสำเร็จบนตลาดการค้าออนไลน์ รวมทั้ง “เติมเงินทุน” เพื่อเริ่มต้นธุรกิจส่งออกจาก EXIM BANK สมัครฟรี! ไม่มีค่าใช้จ่าย รับจำนวนจำกัด ตั้งแต่บัดนี้-20 พฤษภาคม 2567

สอบถามเพิ่มเติมได้ที่ EXIM Contact Center โทร. 0 2169 9999 และติดตามข่าวสารของ EXIM BANK ได้ที่ Facebook Fanpage : EXIM Bank of Thailand, EXiM SMEs Plus และ Line Official : @EXIMThailand

บริษัทสยามคูโบต้าคอร์ปอเรชั่น จำกัด โดย นางวราภรณ์ โอสถาพันธุ์ กรรมการรองผู้จัดการใหญ่อาวุโส ร่วมกับ นายธนากร ชินสุทธิประภา กรรมการผู้จัดการ บริษัท ร่วมใจมอเตอร์เซลส์จำกัด ผู้แทนจำหน่ายสยามคูโบต้า มอบแทรกเตอร์ L4018DT(VT) พร้อมอุปกรณ์ต่อพ่วง 2 คัน ให้แก่อุทยานแห่งชาติภูกระดึง เพื่อสนับสนุนการทำแนวกันไฟป่าให้แก่อุทยานแห่งชาติภูกระดึงในภารกิจพิชิตไฟป่าและผลกระทบจากไฟป่าโดยเฉพาะฝุ่น PM2.5 โดยมี นายสำเร็จ ภูแสนศรี หัวหน้าอุทยานแห่งชาติภูกระดึง ให้เกียรติรับมอบ ณ โรงแรมมาร์เบิล อาร์ช เดอ เลย จังหวัดเลย เมื่อเร็วๆ นี้

ทิพยประกันภัย เชิญชวนร่วมงาน Money Expo 2024  พบกับโปรโมชันและสิทธิพิเศษเพียบ !!  ลด รับ ชิง…ได้จริง 3 ต่อ โปรโมชันประกันภัยที่คุ้มสุดคุ้ม เพื่อคุณเท่านั้น อาทิ ประกันภัยรถยนต์ ประกันอัคคีภัย ประกันภัยสุขภาพและอุบัติเหตุ ประกันภัยสัตว์เลี้ยง และประกันภัยประเภทอื่นๆ อีกมากมาย  พร้อมมีเจ้าหน้าที่ให้คำปรึกษาและบริการลูกค้าอย่างเต็มรูปแบบ ครบจบทุกประกันภัย

  • ลด...เบี้ยประกันภัย สูงสุด 23%
  • รับ...ของสมนาคุณ* รวมมูลค่ากว่า 300,000 บาท
  • ชิง...ทองคำ รวมมูลค่ากว่า 180,000 บาท (ขึ้นอยู่กับประเภทประกันภัยที่กำหนด)
  • พิเศษ! ลูกค้าต่ออายุ รับบัตร Lotus’s สูงสุด 1,000 บาท

พบกันที่ บูธทิพยประกันภัย (K8) ในงาน Money Expo 2024  ตั้งแต่ 16 - 19 พ.ค. 67 อาคารชาเลนเจอร์ 2-3 อิมแพ็ค เมืองทองธานี

บริษัท แมคไทย จำกัด ผู้นำธุรกิจร้านอาหารบริการด่วน (QSR) ภายใต้แบรนด์ แมคโดนัลด์ ประเทศไทย ร่วมขับเคลื่อนธุรกิจเพื่อความยั่งยืน (Sustainability) เปิดตัว Green Concept Store แห่งแรกในประเทศไทย ที่สาขาเลียบคลองสอง เขตคลองสามวา ชูแนวคิด Happy Green’ กับร้านรูปแบบใหม่ ทันสมัยและรักษ์โลก

นางสาวกิตติวรรณ อนุเวชสกุล ประธานกรรมการบริหาร บริษัท แมคไทย จำกัด เปิดเผยว่า “แมคโดนัลด์ ยังคงให้ความสำคัญกับการดำเนินธุรกิจเพื่อสร้างความยั่งยืน ในเรื่องของ Sustainability เพื่อยกระดับคุณภาพการให้บริการให้ตอบโจทย์กับไลฟ์สไตล์และพฤติกรรมของลูกค้าที่ให้ความสำคัญกับสิ่งแวดล้อมมากยิ่งขึ้น เราจึงเปิดตัว แมคโดนัลด์ Green Concept Store แห่งแรกในประเทศไทย ที่สาขาเลียบคลองสอง เขตคลองสามวา บนแนวคิด Happy Green’ เน้นการส่งมอบประสบการณ์แห่งความสุขที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม โดดเด่นด้วยรายละเอียดในทุกขั้นตอน ตั้งแต่การออกแบบ, การตกแต่งภายใน จนถึงเลือกใช้วัสดุและอุปกรณ์ในร้านต่างๆ  ที่คำนึงถึงผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมและการลดการใช้พลังงาน แต่ยังคงมีดีไซน์ที่ทันสมัยและสวยงาม”

ทั้งนี้ Green Concept Store แห่งแรกในไทยของแมคโดนัลด์ ที่สาขาเลียบคลองสอง ได้ใช้ดีไซน์การตกแต่งร้านแบบ Essential Ingredients 2.0’ ที่หยิบเอกลักษณ์ของวัตถุดิบหลักของแมคโดนัลด์มาใช้ในรูปแบบของศิลปะป๊อปอาร์ตที่สนุกสนาน และใช้สีโทนอุ่น (Warm Color Tone) สร้างบรรยากาศที่อบอุ่น ผ่อนคลาย และสบายตา

สำหรับแนวคิด ‘Happy Green’ เน้นการส่งมอบประสบการณ์แห่งความสุขที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม มีองค์ประกอบดังนี้

การออกแบบภายนอก เพื่อสิ่งแวดล้อมและประหยัดพลังงาน

  • สวนแนวตั้งสีเขียว (Vertical Garden) ความสูงขนาด 7 เมตร และร่มเงาของต้นไม้ใหญ่ (Tree Shades) ช่วยเพิ่มพื้นที่สีเขียวบริเวณรอบร้าน  และช่วยลดความร้อนที่เข้าสู่ตัวอาคาร สามารถลดอุณหภูมิได้โดยเฉลี่ยประมาณ 2-3 องศาเซลเซียส
  • แผงโซลาร์เซลล์ (Solar Rooftop) เพื่อใช้พลังงานแสงอาทิตย์ได้อย่างเต็มประสิทธิภาพ ลดอัตราการใช้พลังงานไฟฟ้า รวมถึงลดปริมาณก๊าซเรือนกระจกที่เป็นตัวการสำคัญที่ก่อให้เกิดภาวะโลกร้อน ซึ่งจะสามารถช่วยประหยัดค่าไฟเฉลี่ย 10-15 %
  • ไฟถนนจากโซลาร์เซลล์ (Solar Cell Street Lights) กักเก็บพลังงานแสงอาทิตย์เพื่อใช้ในการส่องสว่างภายในพื้นที่ด้านนอกสาขาแทนการใช้ไฟฟ้า สามารถลดการใช้ไฟฟ้าในช่วงกลางคืนได้ถึง 100%
  • จุดให้บริการชาร์จรถยนต์ไฟฟ้า (EV Charging Station) อำนวยความสะดวกให้รถยนต์ไฟฟ้าด้วยพลังงานทางเลือกกับเครื่องชาร์จในรูปแบบ DC Quick Charge กำลังไฟกว่า 120 กิโลวัตต์
  • จุดจอดรถจักรยาน (Bicycle Friendly) อำนวยความสะดวกให้แก่ลูกค้าที่ใช้จักรยาน ซึ่งมีส่วนในการช่วยประหยัดพลังงานและลดปัญหามลพิษ  พร้อมเสริมสร้างสุขภาพที่แข็งแรงอีกด้วย
  • แทงค์กักเก็บน้ำฝน (Rainwater Collecting Tank for Irrigation) กักเก็บน้ำฝนสำหรับใช้รดน้ำต้นไม้ในพื้นที่ จึงสามารถช่วยประหยัดน้ำได้เป็นอย่างดี

 

การออกแบบภายใน และการเลือกใช้อุปกรณ์ต่างๆ เพื่อลดอุณหภูมิและประหยัดพลังงาน

  • หลอดไฟ LED (LED Lighting) ใช้หลอดไฟ LED ทั้งโครงการ ช่วยประหยัดพลังงานไฟฟ้าที่สำหรับให้แสงสว่างได้มากกว่าหลอดไส้ถึง 80%-90%
  • สุขภัณฑ์ประหยัดน้ำ พร้อมเซ็นเซอร์อัตโนมัติ (Low Water Consumption Sanitary Ware with Auto Censor) ช่วยลดการใช้น้ำได้ถึง 20-30%
  • ใช้วัสดุกันความร้อน (Heat Insulation) เพื่อลดการตกกระทบของแสงแดด และไม่ให้รังสีความร้อนผ่านเข้าสู่ภายในมากนัก
  • ดีไซน์รูปแบบร้านให้ลดพื้นที่ของกระจก เพื่อลดการรับแสงอาทิตย์โดยตรง รวมถึงการลดความสูงของเพดาน เพื่อช่วยลดความร้อนเข้าสู่ตัวอาคาร ซึ่งจะทำให้เครื่องปรับอากาศไม่ต้องทำงานหนักมาก และสามารถประหยัดพลังงานได้มากยิ่งขึ้น
  • ถาดรีไซเคิลพลาสติกจากส่วนผสมของเปลือกไข่ (Egg Shell Tray)* ทำจากส่วนผสมของพลาสติกหลังการบริโภค (Post-Consumer Recycle – PCR) และเปลือกไข่ซึ่งนับเป็นวัสดุชีวภาพ (Bio-material) ซึ่งคาดว่าจะสามารถช่วยลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกได้ถึง 50%

*สนับสนุนโดย ‘ศูนย์นวัตกรรมคาร์กิลล์ ประเทศไทย’

แมคโดนัลด์ Green Concept Store สาขาเลียบคลองสอง นับเป็นอีกหนึ่งก้าวสำคัญของแมคโดนัลด์ ประเทศไทย ที่จะร่วมเป็นส่วนหนึ่งในการรักษาสิ่งแวดล้อมและดำเนินธุรกิจแบบยั่งยืนเพื่อผู้บริโภคและสังคม โดยปัจจุบัน แมคโดนัลด์ เปิดให้บริการกว่า 230 สาขา โดยในปีนี้เราตั้งเป้าเปิดสาขาใหม่กว่า 20 สาขา และรีโนเวทร้านสาขาเดิมจำนวน 25 สาขา” นางสาวกิตติวรรณ กล่าวทิ้งท้าย

ออเนอร์ (HONOR) ผู้ให้บริการอุปกรณ์อัจฉริยะชั้นนำระดับโลก ประกาศให้ทดลองใช้งาน Android 15 Beta 1 อย่างเป็นทางการแล้ววันนี้* พร้อมให้นักพัฒนา HONOR ใช้งานได้ตั้งแต่วันที่ 10 พฤษภาคมที่ผ่านมา โดยเปิดให้อัปเดตเป็นครั้งแรกและใช้งานบนสมาร์ตโฟนระดับแฟลกชิป HONOR Magic6 Pro และ HONOR Magic V2 ซึ่งโปรแกรมนี้ให้การเข้าถึงการอัปเดต Android ล่าสุดก่อนใคร โดยสามารถทดสอบฟีเจอร์ใหม่ ๆ และเพิ่มความเสถียรของแอปพลิเคชันต่าง ๆ บนสมาร์ตโฟน ตลอดจน Android 15 ยังช่วยยกระดับด้านความปลอดภัยและความเป็นส่วนตัวของอุปกรณ์มากขึ้น เพื่อมอบประสบการณ์การใช้งานที่ดีที่สุดและมีประสิทธิภาพมากที่สุด

อัปเกรดด้านความเป็นส่วนตัวและความปลอดภัยให้รัดกุมยิ่งขึ้น

สำหรับ Android 15 ผู้ใช้สามารถปกป้องข้อมูลส่วนบุคคลของตนได้ด้วยการควบคุมที่ดีที่สุดในสภาพแวดล้อมของอุปกรณ์ที่ปลอดภัยยิ่งขึ้น ด้วยการนำเสนอแซนด์บ็อกซ์ SDK ซึ่งอนุญาตให้บริการต่าง ๆ เช่น การโฆษณาทำงานในแซนด์บ็อกซ์, ป้องกันไม่ให้แอปฯ ต่าง ๆ เก็บข้อมูลส่วนตัวของผู้ใช้ นอกจากนี้ยังปรับปรุงประสบการณ์ด้านความเป็นส่วนตัวของผู้ใช้ให้ดียิ่งขึ้น โดย Android 15 ยังมาพร้อมกับ Privacy Indicator ที่ได้รับการปรับปรุงพร้อมพอร์ทัลการจัดการสิทธิ์ใหม่ที่ช่วยให้ผู้ใช้ทราบถึงสถานะการคุ้มครองความเป็นส่วนตัวของตนมากขึ้น เมื่อจัดการและเรียกใช้สิทธิ์สำหรับคุณสมบัติต่าง ๆ เช่น กล้องหรือไมโครโฟน

การเพิ่มเสถียรภาพและการจัดสรรพลังงานที่ดียิ่งขึ้น

Android 15 ยังได้มีการปรับแต่ง Android Dynamic Performance Framework (ADPF) ซึ่งช่วยเพิ่มประสิทธิภาพการทำงานในการเปิดแอปพลิเคชันที่ต้องใช้พลังงานมาก อาทิ แอปพลิเคชันเกม การโต้ตอบกับระบบพลังงานของอุปกรณ์ รวมถึงช่วยให้อุปกรณ์ตอบสนองต่อความต้องการบน GPU, CPU และระบบระบายความร้อนได้ดียิ่งขึ้น ตลอดจนช่วยให้แอปฯ ที่ทำงานค้างอยู่เบื้องหลังเป็นเวลานานสามารถจัดการพลังงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ

นอกจากนี้ Android 15 ยังเพิ่มประสิทธิภาพฟีเจอร์ส่วนบุคคล เช่น สำหรับการถ่ายภาพผ่านแอปพลิเคชันของโซเชียลมีเดีย ซึ่งกล้องในแอปฯ สามารถควบคุมความเข้มของแสงจากแฟลชได้ อีกทั้งนักพัฒนาซอฟต์แวร์ยังสามารถใช้ Android API รวมถึงเครื่องมือและทรัพยากรที่ Google มอบให้ เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการใช้งานในสถานการณ์ต่าง ๆ ของผู้ใช้ที่เป็นส่วนตัวมากขึ้น

HONOR Magic6 Pro และ HONOR Magic V2 สามารถอัปเดต Android 15 Beta 1 ได้แล้ว โดย HONOR Magic6 Pro มีจุดเด่นในด้านกล้อง Falcon Camera ที่น่าทึ่ง รวมถึงความเชี่ยวชาญด้านเทคโนโลยีการประมวลผลของ MagicLM บนเครื่องโดยตรง และประสบการณ์ด้าน Intent-based AI ที่สมบูรณ์แบบ ซึ่งเป็นตัวแทนของกลุ่มอุปกรณ์อัจฉริยะที่สร้างสรรค์ขึ้นในอุตสาหกรรม AI สำหรับ HONOR Magic V2 สามารถก้าวข้ามขีดจำกัดมาตรฐานของสมาร์ตโฟนแบบพับได้ และเป็นครั้งแรกที่ความหนาของสมาร์ตโฟนแบบพับได้มีความหนาไม่เกิน 10 มิลลิเมตร ซึ่งถือได้ว่าเป็นสมาร์ตโฟนแบบพับได้ที่เบาและบางที่สุดในโลก นอกจากนี้ สมาร์ตโฟนทั้งสองรุ่นยังรับประกันการอัปเดตซอฟต์แวร์ระบบปฏิบัติการ MagicOS หลัก 4 รายการบนอุปกรณ์ รวมถึงการอัปเดตความปลอดภัย 5 ปี สำหรับผู้ใช้ทั่วโลกด้วย

HONOR ให้การสนับสนุนนักพัฒนาอย่างเต็มที่ในการพัฒนาและเพิ่มประสิทธิภาพแอปพลิเคชันของตนให้เข้ากับระบบปฏิบัติการ Android และมอบประสบการณ์การใช้งานที่ดีที่สุดสำหรับผู้ใช้งาน โดย Android 15 Beta 1 พร้อมให้นักพัฒนาทดลองใช้แล้ววันนี้ เพื่อปรับปรุงความเสถียรและการพัฒนาแอปพลิเคชันสำหรับ Android เวอร์ชันถัดไป โดย HONOR จะยังคงเดินหน้าพัฒนาการอัปเดตครั้งใหม่เพื่อให้เป็น Android 15 Beta ต่อไป

Android 15 Beta เปิดให้ทดสอบได้แล้ววันนี้! ผู้ที่สนใจสามารถลงทะเบียนร่วมทดลองใช้งาน* ได้ที่ https://developer.honor.com/.../guides/android_15_beta_guide และซื้อสมาร์ตโฟน HONOR Magic6 Pro และ HONOR Magic V2 ได้แล้ววันนี้ ที่ HONOR Experience Store ทุกสาขา และร้านตัวแทนจำหน่ายทั่วประเทศ ดูรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่เว็บไซต์ https://www.hihonor.com/th หรือติดตามข่าวสารและกิจกรรมได้ที่เฟซบุ๊ก HONOR Thailand

“เอ็น.ซี.ซี.” ร่วมกับ “ททท.” เปิด 3 งานใหญ่ “Thailand Golf & Dive Expo plus OUTDOOR Fest 2024” เอาใจสายเที่ยวไลฟ์สไตล์ เจาะกลุ่มนักท่องเที่ยวกำลังซื้อสูง คาดมีผู้เข้าชมงานไม่น้อยกว่า 55,000 คน เกิดเงินสะพัดในงานกว่า 200 ล้านบาท เชื่อทั้ง 3 งานจะช่วยขยายฐานนักท่องเที่ยวคุณภาพทั้งไทยและต่างชาติมากยิ่งขึ้น ดันธุรกิจที่เกี่ยวเนื่องขยายตัวตามไปด้วย

นายสุรพล อุทินทุ  กรรมการผู้จัดการ บริษัท เอ็น.ซี.ซี. แมนเนจเม้นท์ แอนด์ ดิเวลลอปเม้นท์ จำกัด กล่าวว่า การจัดงานทั้ง 3 งานในครั้งนี้จัดขึ้นจากการที่มองเห็นว่าประเทศไทยมีศักยภาพทางการท่องเที่ยว และเป็นจุดหมายปลายทางการท่องเที่ยวที่สำคัญของโลก ส่งผลให้มีกิจกรรมการท่องเที่ยวที่หลากหลาย และกระจายไปทุกตลาดการท่องเที่ยว โดยหนึ่งในตลาดเฉพาะทาง (Niche Market) ที่เติบโตในระดับสูง คือ การท่องเที่ยวกลางแจ้งทั้งการเล่นกอล์ฟ การดำน้ำ และกิจกรรมท่องเที่ยวและกีฬากลางแจ้ง ที่ได้รับความนิยมเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง โดยนักท่องเที่ยวทั้ง 3 กลุ่มนี้ ถือได้ว่าเป็นหนึ่งในนักท่องเที่ยว ที่มียอดการใช้จ่ายต่อหัวสูง และมีระยะเวลาการท่องเที่ยวที่ค่อนข้างยาวกว่านักท่องเที่ยวทั่วไป “เอ็น.ซี.ซี.” จึงได้ร่วมมือกับพันธมิตรทั้งภาครัฐ และเอกชนทั้งในและต่างประเทศจัดงาน “Thailand Golf & Dive Expo plus OUTDOOR Fest 2024” งานแสดงสินค้าด้านการท่องเที่ยวที่เป็นการรวม 3 งานแสดงสินค้าที่ตอบโจทย์ทุกไลฟ์สไตล์ของการท่องเที่ยว ทั้งด้านกีฬากอล์ฟ ดำน้ำ และท่องเที่ยวแนวกิจกรรมกลางแจ้ง  จัดขึ้นระหว่างวันที่ 16-19 พฤษภาคม 2567  เวลา 11.00-20.00 น. ณ ฮอลล์ 5-6  ศูนย์การประชุมแห่งชาติสิริกิติ์

ภายในงานจะมีผู้ประกอบการเข้าร่วมงานมากกว่า 500 บูธ ซึ่งเพิ่มขึ้นจากปีก่อนประมาณ 25% ในจำนวนนี้เป็นผู้ประกอบการต่างชาติประมาณ 20% สำหรับการจัดงานครั้งนี้ ได้มีแบรนด์ดังเข้ามาร่วมเป็นจำนวนมาก พร้อมจัดโปรโมชั่นพิเศษที่มีส่วนลดสูงถึง 80% และมีกิจกรรมต่างๆ ให้เข้าร่วมมากมาย

“การจัดงานทั้ง 3 งานนี้ คาดว่าจะมีนักท่องเที่ยวและผู้สนใจทั่วไปเข้ามาร่วมงานตลอดทั้ง 4 วันนี้ไม่น้อยกว่า 55,000 คน และมียอดซื้อขายภายในงานและต่อเนื่องไปในอุตสาหกรรมนี้กว่า 200 ล้านบาท โดยงานนี้นับเป็นหนึ่งในกลไกส่งเสริมการท่องเที่ยวในประเทศ และขับเคลื่อนการเติบโตของเศรษฐกิจไทยได้เป็นอย่างดี” นายสุรพล

งาน "Thailand Dive Expo :TDEX" มหกรรมธุรกิจท่องเที่ยวดำน้ำครบวงจร มีสินค้าและบริการเกี่ยวกับการท่องเที่ยวดำน้ำ ตั้งแต่คอร์สเรียนไปจนถึงทริปดำน้ำทั้งในและต่างประเทศ จากสถาบันสอนดำน้ำที่ได้มาตรฐาน รีสอร์ตใกล้แหล่งดำน้ำ อุปกรณ์ดำน้ำ อุปกรณ์เสริมแบรนด์ดังและสุดยอดอุปกรณ์ดำน้ำจากแบรนด์ชั้นนำ กล้องถ่ายภาพและวีดิโอใต้น้ำพร้อมคำแนะนำจากมืออาชีพ ในราคาโปรโมชั่นสุดพิเศษ มาจัดแสดงกว่า 285 บูธ นอกจากนี้ ยังมีการเสวนา “TDEX Diver’s Talk” ในหัวข้อที่น่าสนใจ เช่น เทคนิคการถ่ายภาพใต้น้ำ การดำน้ำกับวาฬออร์กา ฯลฯ นิทรรศการภาพถ่ายใต้น้ำจากการประกวด “TDEX Underwater Photo Contest ครั้งที่ 17” และคลิปวีดิโอใต้น้ำจากการประกวด “TDEX Underwater Moment VDO Contest” ซึ่งจัดขึ้นเป็นปีแรก อีกทั้งปีนี้เป็นการฉลองครบรอบ 20 ปี ของการจัดงาน Thailand Dive Expo จึงได้จัดทำของที่ระลึกสุดพิเศษ Limited Edition 3 รูปแบบ ได้แก่ “Aroma Book กลิ่น Aqua de TDEX” สำหรับผู้ที่ซื้อสินค้าภายในงานครบ 25,000 บาท (จำนวนจำกัด ตามเงื่อนไขที่กำหนด) เซทผ้าปิดตา “TDEX Eyerest & Escape Set” และตุ๊กตาผ้าห่มสีสันสดใส “TDEX Box Fish” มาจำหน่ายภายในงาน โดยรายได้ส่วนหนึ่งนำไปมอบให้กับมูลนิธิเพื่อการอนุรักษ์สิ่งแวดล้อม นอกจากนี้ สำหรับผู้เข้าชมงานทั้ง 3 งาน จะได้รับสิทธิ์ลุ้นของรางวัลต่าง ๆ  อาทิ  คอร์สเรียนดำน้ำขั้นพื้นฐาน ขั้นแอดวานซ์ และฟรีไดวิ่ง, อุปกรณ์ดำน้ำแบรนด์ดัง, Gadget นักดำน้ำ และรางวัลอีกมากมาย  พร้อมชิมกาแฟหอมกรุ่นสูตรพิเศษจาก Nespresso (จำนวนจำกัดต่อวัน)

งาน "Thailand Golf Expo 2024" งานมหกรรมท่องเที่ยวเชิงกีฬากอล์ฟ ซึ่งจัดต่อเนื่องมาเป็นปีที่ 10 ได้รวบรวมผู้ประกอบการชั้นแนวหน้าเข้ามานำเสนอแพ็กเกจกรีนฟีสนามกอล์ฟ การจำหน่ายอุปกรณ์กอล์ฟ อุปกรณ์เสริม ชุดกีฬากอล์ฟหลากหลายแบรนด์ดัง ภายในงานได้จัดกิจกรรมแข่งขันพัตต์กอล์ฟ “1 พัตต์ 1 แสน” ซึ่งเป็นกิจกรรมไฮไลต์และได้รับความสนใจจากผู้เข้าร่วมงานเป็นอย่างมาก และกิจกรรม “Swing Quick Fix” กับเครื่อง Golf Simulator ที่จะช่วยนักกอล์ฟปรับวงสวิงให้ตีกอล์ฟได้ดีขึ้น ทั้งนี้ประเทศไทยมีจำนวนสนามกอล์ฟอยู่ประมาณ 200 กว่าแห่งทั่วประเทศ แบ่งเป็นสนามกอล์ฟของภาคเอกชนที่เปิดให้บริการเชิงพาณิชย์ประมาณ 160 แห่ง อีก 40 แห่งเป็นสนามกอล์ฟของหน่วยงาน ราชการและรัฐวิสาหกิจ ซึ่งสนามกอล์ฟของประเทศไทย เป็นที่สนใจของนักท่องเที่ยวต่างชาติ เนื่องจากราคาค่าบริการสนามกอล์ฟในประเทศไทยมีราคาที่ถูกกว่าในหลายประเทศ อีกทั้งการให้บริการของสนามกอล์ฟมีคุณภาพและได้มาตรฐาน  จึงเป็นที่ดึงดูดให้นักกอล์ฟชาวต่างชาติเดินทางเข้ามาเล่นกอล์ฟกันมากขึ้น

งาน  "Outdoor Fest 2024"  งานมหกรรมท่องเที่ยวเชิงไลฟ์สไตล์กลางแจ้ง จัดต่อเนื่องเป็นครั้งที่  5  โดยได้ขยายการจัดงานออกมาเพื่อตอบโจทย์ผู้ที่ชื่นชอบการท่องเที่ยวกลางแจ้ง  ทั้งทางบก  น้ำ และอากาศ  โดยได้รวบรวมผู้ประกอบการชั้นนำจากไทยและต่างประเทศ ยกขบวนเข้ามาจำหน่ายอุปกรณ์แคมป์ปิ้ง เดินป่า โดรน SUP Board Surfboard เจ็ทสกี คายัค ที่พักรีสอร์ต รวมถึงแพ็กเกจกิจกรรมท่องเที่ยวเชิงผจญภัยและกิจกรรมกลางแจ้งมาไว้ในงานครั้งนี้ โดยกิจกรรมการท่องเที่ยวกลางแจ้ง การผจญภัย การท่องเที่ยวทางเลือก และการท่องเที่ยวเชิงอนุรักษ์ ได้รับความนิยมเพิ่มขึ้นมาก และตลาดการท่องเที่ยวกลุ่มนี้ได้มีการเปลี่ยนแปลงตามความก้าวหน้าของตลาดในด้านเทคโนโลยี และการโฆษณา จึงทำให้การท่องเที่ยวกลุ่มนี้มีความเปลี่ยนแปลงตามความต้องการของตลาดที่รวดเร็ว ทำให้ในการจัดงาน Outdoor Fest 2024 ในครั้งนี้ จะเป็นโอกาสสำคัญที่เปิดให้นักท่องเที่ยวที่ชื่นชอบการท่องเที่ยวกลางแจ้ง ได้เลือกซื้อสินค้าในเทคโนโลยีใหม่ล่าสุด พร้อมด้วยข้อเสนอดีที่สุดของกลุ่มสินค้าที่หลากหลาย รวมทั้งการสัมผัสประสบการณ์กิจกรรมผจญภัย และอื่นๆ อีกมากมาย เช่น เสวนาบนเวทีกับกูรูกาแฟแนวแคมป์ปิ้ง และร่วมลุ้นโชคที่จะแจกรางวัลมากมายภายในงาน และยังมีกิจกรรมในงาน ได้แก่ โซนคอมมูนิตี้คอกาแฟ Caff ‘n Camp (คาฟ แอนด์ แคมป์), โดมดูดาวและดวงจันทร์จำลอง จากสถาบันวิจัยดาราศาสตร์แห่งชาติ (NARIT) และโปรโมชั่นกับบัตร KTC และ Central รับ cash back, e-Coupon และของสมนาคุณในงานมากมาย

ด้านนางสาวสมฤดี จิตรจง รองผู้ว่าการด้านตลาดในประเทศ การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย กล่าวว่า ททท. ได้ให้การสนับสนุนบริษัท เอ็น.ซี.ซี.ฯ ในการจัดงาน Thailand Golf & Dive Expo plus Outdoor Fest มาอย่างต่อเนื่อง เพื่อตอกย้ำความพร้อมและศักยภาพของสินค้าและบริการทางการท่องเที่ยวของประเทศไทย ซึ่งจะเป็นการกระตุ้นให้เกิดการเดินทางท่องเที่ยว สร้างรายได้ให้กับผู้ประกอบการท่องเที่ยวที่เกิดจากการซื้อขายแพ็กเกจท่องเที่ยว อุปกรณ์ต่าง ๆ อีกทั้งยังช่วยกระจายรายได้ลงสู่ชุมชนท้องถิ่นในพื้นที่ใกล้เคียง พร้อมทั้งได้สนับสนุนให้มีการสอดแทรกแนวคิดความรับผิดชอบต่อสังคมและสิ่งแวดล้อมแก่นักท่องเที่ยว เพื่อให้เกิดความยั่งยืนในระยะยาวด้วย เชื่อว่าการจัดงานในครั้งนี้จะสามารถสร้างมูลค่าทางการท่องเที่ยวได้เป็นอย่างดี สร้างรายได้ให้อุตสาหกรรมท่องเที่ยวไม่ต่ำกว่า 200 ล้านบาท

ทั้งนี้ ททท. ยังคงมุ่งเน้นส่งเสริมการท่องเที่ยวเมืองรอง ส่งเสริมการท่องเที่ยววันธรรมดา และจัดกิจกรรมส่งเสริมการท่องเที่ยวเพื่อกระตุ้นให้ เกิดการเดินทางท่องเที่ยวภายใต้แนวคิด 365 วัน มหัศจรรย์เมืองไทยเที่ยวได้ทุกวัน ผ่าน Soft Power ประเทศไทย โดยให้ความสำคัญกับการท่องเที่ยวเชิงคุณภาพอย่างยั่งยืน จึงมุ่งเน้นสร้างการรับรู้และนำเสนอสินค้าทางการท่องเที่ยว ที่ตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์กับกลุ่มนักท่องเที่ยวคุณภาพ โดยเฉพาะกลุ่มนักท่องเที่ยวที่มีความสนใจเฉพาะ อาทิ กิจกรรมทางน้ำ แคมป์ปิ้ง และกิจกรรมกอล์ฟ ที่ได้รับความนิยมจากทั้งนักท่องเที่ยวชาวไทยและชาวต่างชาติ

มหกรรมแสดงสินค้าและบริการด้านการท่องเที่ยวเชิงไลฟ์สไตล์ “Thailand Golf & Dive Expo plus OUTDOOR Fest 2024”  จะจัดขึ้นระหว่างวันที่ 16-19  พฤษภาคม  2567  เวลา  11.00-20.00 น. ณ ฮอลล์ 5-6 ศูนย์การประชุมแห่งชาติสิริกิติ์  ผู้สนใจเข้าชมงานสามารถติดตามความเคลื่อนไหวกิจกรรมดำน้ำได้ทาง Facebook: Thailand Dive Expo (TDEX)  หรือ www.ThailandDiveExpo.com กิจกรรมกีฬากอล์ฟ ติดตามดูรายละเอียดได้ทาง Facebook: Thailand Golf Expo หรือ www.ThailandGolfExpo.com กิจกรรมท่องเที่ยวกลางแจ้ง Outdoor Fest ติดตามดูรายละเอียดได้ทาง Facebook: Traveler & Outdoor Expo หรือ www.traveloutdoorexpo.com 

Page 1 of 623
X

Right Click

No right click