PTG ประกาศร่วมมือ SSC IT Group เดินหน้าใช้ประโยชน์บนเทคโนโลยีจาก Dataiku เพื่อยกระดับกลยุทธ์การวิเคราะห์ข้อมูล สำหรับองค์กร โดยความร่วมมือครั้งนี้จะช่วยให้ PTG สามารถวิเคราะห์ข้อมูลเชิงลึกจากแหล่งข้อมูลต่างๆ ได้อย่างมีประสิทธิภาพ และรองรับการนำ AI มาใช้เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการดำเนินงาน พัฒนาสินค้าและบริการ ซึ่งจะนำพาบริษัทเข้าสู่ยุคใหม่ด้วยกลยุทธ์ที่เน้นข้อมูลเป็นศูนย์กลาง และ จะสามารถเข้าใจลูกค้าและตอบสนองความต้องการของลูกค้าได้ดียิ่งขึ้น

นายสัทธา สุภาพ ผู้อำนวยการ ฝ่าย Business Intelligence บริษัท พีทีจีเอ็นเนอยีจํากัด (มหาชน) กล่าวเน้นย้ำถึงความสำคัญของเทคโนโลยีที่ทุกคนเข้าถึงได้ว่า "เรามุ่งหวังว่าทุกคน ไม่ว่าจะมีพื้นฐานด้านเทคนิคมากหรือน้อย ล้วนมีศักยภาพในการค้นหาคุณค่าจากข้อมูลและมีส่วนร่วมในการขับเคลื่อนการเติบโตขององค์กร Dataiku มีจุดเด่นเรื่องการทำงานด้านวิเคราะห์ข้อมูลร่วมกัน ซึ่งจะช่วยให้ผู้เชี่ยวชาญด้านข้อมูลและผู้เชี่ยวชาญด้านเฉพาะทางสามารถทำงานร่วมกันได้อย่างมีประสิทธิภาพ อีกทั้งยังนำ AI ไปบูรณาการกับการทำงานประจำวันได้ง่ายขึ้น นอกจากนี้ แพลตฟอร์ม Dataiku ยังมีระบบ MLOps และ Governance ซึ่งช่วยสร้างกลยุทธ์ที่น่าเชื่อถือและอธิบายได้ง่ายขึ้น"

 

ในภาพ: นายสัทธา สุภาพ ผู้อำนวยการ ฝ่าย Business Intelligence บริษัท พีทีจีเอ็นเนอยี จํากัด (มหาชน)

วันนี้ PTG กำลังดำเนินการโครงการ Customer Data Integration (CDI) ซึ่งจะนำมาใช้ในการสร้างแบบจำลองเชิงพยากรณ์ (predictive modeling) เข้ากับระบบสมาชิกที่มีสมาชิกกว่า 20 ล้านคน เพื่อมาคำนวณมูลค่าที่ลูกค้าแต่ละรายใช้จ่ายไปกับสินค้าหรือบริการของธุรกิจ (customer lifetime value) และเสริมสร้างการตลาดแบบเฉพาะบุคคล (marketing personalization) เป็นการเพิ่มประสิทธิภาพและลดต้นทุนการทำตลาดไปด้วยกัน ซึ่งด้วยความสำเร็จนี้ PTG มุ่งมั่นทีจะเดินหน้ายกระดับกลยุทธ์ การสร้างระบบ วิเคราะห์ข้อมูล สู่ enterprise AI อย่างต่อเนื่องโดยการนำเทคโนโลยี AI บนแพลตฟอร์ม Dataiku มาใช้ในการพัฒนาโซลูชันต่างๆ ไปสู่ภาคธุรกิจนอกเหนือจากธุรกิจน้ำมันเพื่อสร้างความยั่งยืนให้กับธุรกิจ

ความสำเร็จในการนำเทคโนโลยีการวิเคราะห์มาใช้ของ PTG และ Dataiku โดย SSC IT Group ครั้งนี้ ไม่เพียงแต่สามารถเอาชนะความท้าทายเดิมๆ ในการพัฒนาโครงการทางด้านวิทยาศาสตร์ข้อมูลเท่านั้น แต่ยังแสดงให้เห็นถึงศักยภาพของการสร้างสรรค์นวัตกรรมร่วมกัน ความสำเร็จนี้ตอกย้ำถึงความสำคัญของการพิสูจน์เทคโนโลยี (proof of technology) ภายใต้สภาพแวดล้อมทางธุรกิจที่รวดเร็วในปัจจุบัน ซึ่งโซลูชันของการนำ Dataiku มาใช้จะช่วยประหยัดเวลาในการสร้าง Model ซึ่งจะมีความสำคัญต่อการรักษาความได้เปรียบในการแข่งขันของกลุ่มธุรกิจต่างๆ ภายใต้เครือ PTG จะสามารถใช้ประโยชน์จากการวิเคราะห์ข้อมูลขนาดมหาศาลจากระบบนี้ ซึ่งจะช่วยเพิ่มรายได้ให้กับบริษัทนั้นได้อย่างมีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น

ทั้งนี้เพื่อขับเคลื่อนธุรกิจด้วยการตัดสินใจทางธุรกิจที่มีประสิทธิภาพ PTG มุ่งมั่นที่จะคว้าและหาโอกาสใหม่ ๆ โดยอาศัยพลัง AI ซึ่งเปรียบเหมือนการสร้างสรรค์และคิดค้นสิ่งใหม่ ๆ วิสัยทัศน์ของ PTG คือการปฏิวัติความสัมพันธ์ระหว่างธุรกิจกับลูกค้า โดยมอบประสบการณ์ที่เหนือระดับ สร้างความประทับใจและสายสัมพันธ์ที่ยั่งยืนให้กับลูกค้า ความมุ่งมั่นด้านนวัตกรรมและความเป็นเลิศ นี่คือสิ่งที่ทำให้ PTG เป็นผู้นำโดดเด่น ไม่เพียงแค่ในภาคพลังงานเท่านั้น แต่ยังรวมไปถึงอุตสาหกรรมอื่น ๆ อีกด้วย

SSC IT Group ในฐานะคู่ค้าและเป็นผู้เชี่ยวชาญ Dataiku ซึ่งเป็นหนึ่งในแพลตฟอร์ม AI ระดับโลกที่เป็นที่ยอมรับอย่างกว้างขวางว่าสามารถนำมาใช้ในการสนับสนุนภาคธุรกิจได้เป็นอย่างดี เนื่องจาก Dataiku เป็นเครื่องมือที่มีความทันสมัยในด้านการนำข้อมูลองค์กรมาวิเคราะห์เชิงลึก (Advance analytics) โดยใช้เทคโนโลยี AI/ML ที่ใช้งานง่ายและมีความยืดหยุ่นสูงที่สุดในกลุ่ม Solutions ที่เกี่ยวกับ Data Science Platform โดยในปัจจุบันมีบริษัททั่วโลกให้ความไว้วางใจใช้ Dataiku เพื่อสนับสนุนการตัดสินใจทางธุรกิจที่สำคัญขององค์กรในทุกภาคธุรกิจ อาทิ ธุรกิจค้าปลีก ธุรกิจพลังงาน ธุรกิจการเงินการธนาคาร เป็นต้น โดย Dataiku มุ่งเน้นพัฒนารับการเปลี่ยนแปลงของการดำเนินธุรกิจของลูกค้าอย่างต่อเนื่อง ไม่ว่าจะเป็นทางด้านการคาดการณ์ยอดขายในอนาคต หรือ ระบบการวิเคราะห์ข้อมูลโดยคำนึงถึงพฤติกรรมลูกค้าในปัจจุบันและรวมถึงสามารถแนะนำข้อเสนอที่เหมาะสมในอนาคตให้กับลูกค้า ทั้งนี้ Dataiku ยังได้มุ่งมั่นพัฒนาแพลตฟอร์มสำหรับองค์กรธุรกิจที่จะนำ AI และ Generative AI มาขับเคลื่อนธุรกิจให้มีความคล่องตัว รวมถึงมีความพร้อมรองรับการแข่งขันทางธุรกิจ โดยย้ำเน้นถึงความง่ายและความสะดวกในการทำงานร่วมกันภายในองค์กร ตั้งแต่วิศวกรข้อมูล (Data Engineer), นักวิเคราะห์ข้อมูล (Data

Analyst) ไปจนถึงนักวิทยาศาสตร์ข้อมูล (Data Scientist) และอีกทั้งผู้ใช้ข้อมูลในเชิงธุรกิจ (Business User / Citizen Data Science) อีกด้วย

PTG วางโรดแมป “PTG Business Outlook : Drive for Tomorrow” เพื่อยกระดับสถานีบริการน้ำมัน PT และยกระดับการบริการผ่าน PT Service Master ให้ตอบโจทย์ความต้องการของลูกค้าเพื่อความ “อยู่ดี มีสุข” ในทุกด้านของช่วงชีวิต เผยปี 65 ยอดขายน้ำมันสูงสุดเป็นประวัติการณ์ จำนวน 5,316 ล้านลิตร พร้อมเผยกลยุทธ์การรุกตลาดของพันธุ์ไทย และแผนอนาคต 5 ปี ขยายธุรกิจ Oil & Non-Oil ให้เติบโตและยั่งยืนทุกมิติ

นายพิทักษ์ รัชกิจประการ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท พีทีจี เอ็นเนอยี จำกัด (มหาชน) (PTG หรือ บริษัทฯ ) เปิดเผยว่า บริษัทฯ ได้จัดงานแถลงข่าวใหญ่ “PTG Business Outlook : Drive for Tomorrow” เพื่อต้องการสื่อสารถึงการยกระดับสถานีบริการ PT ยกระดับการบริการ PT Service Master ให้ตอบโจทย์ความต้องการของลูกค้าให้ “อยู่ดี มีสุข” ทั้งนี้ ในปี 2565 ที่ผ่านมา มีเหตุการณ์สำคัญเกิดขึ้นมากมาย โดยธุรกิจ Oil ของ PTG มีปริมาณการจำหน่ายน้ำมันผ่านทุกช่องทางสูงสุดเป็นประวัติการณ์ จำนวน 5,316 ล้านลิตร เติบโตขึ้น 5.9% จากช่วงเดียวกันของปีก่อนหน้า (YoY) โดยการเติบโตหลัก ๆ มาจากช่องทางการค้าปลีกผ่านสถานีบริการที่ 6.5% YoY นอกจากนี้ ยังได้เปิดตัวสถานีบริการน้ำมัน PT ครบวงจร (PT Max Park Salaya) ซึ่งเป็น Flagship รูปแบบแรกที่ได้รับการออกแบบให้มีความทันสมัย ติดตั้งหัวจ่ายน้ำมันระบบดิจิทัล พร้อมทั้งจัดให้มีพนักงาน PT Service Master เข้ามาอำนวยความสะดวกในส่วนของการให้บริการจำหน่ายน้ำมัน ซึ่งทุกคนจะได้รับการฝึกอบรมเป็นพิเศษ เพื่อมาเสริมด้านการบริการให้สร้างความพึงพอใจสูงสุดแก่กลุ่มลูกค้า

ในส่วนของธุรกิจ Non-Oil บริษัทฯ ได้ร่วมมือกับทางการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (กฟผ.) ในการติดตั้งสถานีอัดประจุไฟฟ้าสำหรับรถยนต์ภายในสถานีบริการน้ำมัน PT ภายใต้นามว่า Elex by EGAT Max โดย ณ สิ้นปี 2565 Elex by EGAT Max ได้ติดตั้งไปแล้ว 35 สถานี และมีแผนที่จะติดตั้งเป็น 65 สถานีในปี 2566 กระจายตามจุดสำคัญทั่วประเทศ

ทั้งนี้ ยังมีร้านกาแฟพันธุ์ไทย ที่พร้อมเติบโตตามแผนกลยุทธ์ 4 ด้าน คือ 1.มุ่งขยายสาขาร้านกาแฟพันธุ์ไทยในรูปแบบของ “แฟรนไชส์” ทั้งภายในและนอกสถานีบริการน้ำมัน PT 2.รังสรรค์เครื่องดื่มใหม่ ๆ โดยใช้วัตถุดิบที่มีรสชาติดีและหาทานได้ยากจากทั่วทุกภูมิภาคของประเทศไทย 3.เน้น Delivery Platform ให้มากขึ้น ทั้งนี้ เพื่อเพิ่มการรับรู้ (Awareness) การมองเห็น (Visibility) และการเข้าถึงแบรนด์ของลูกค้า (Accessibility) และ 4.นำข้อมูลลูกค้าจากบัตรสมาชิก PT Max Card และ PT Max Card Plus มาเป็น

เครื่องมือในการวิเคราะห์พฤติกรรมการบริโภคของลูกค้า เพื่อเพิ่มยอดขายและความถี่ของการเข้าใช้บริการร้านกาแฟพันธุ์ไทย

นอกจากนี้ ยังมี Enabler สำคัญที่ได้เข้ามาช่วยเสริม ธุรกิจ Oil และ Non-Oil ก็คือ Max Me ที่ได้เปิดตัวเมื่อไตรมาส 3 ปี 2565 ที่ผ่านมา ซึ่งเป็น Application ที่จะเข้ามาช่วยตอบโจทย์ลูกค้าสมาชิกบัตร PT Max Card ที่มีอยู่ในปัจจุบันกว่า 19 ล้านสมาชิก ให้สามารถทำธุรกรรมต่าง ๆ ไม่ว่าจะเป็นการสะสมแต้มเสมือนบัตร PT Max Card อีกทั้งยังมีฟังก์ชัน e-Wallet ให้สามาถใช้จ่ายผ่านโทรศัพท์มือถือในยุคดิจิตอลไลฟ์สไตล์ สอดคล้องกับยุคสังคมไร้เงินสด

ในส่วนของการพัฒนาอย่างยั่งยืนในมิติสิ่งแวดล้อม บริษัทฯ ร่วมลงนามสัญญาก่อสร้างและบริหารจัดการโครงการกำจัดขยะมูลฝอยเพื่อผลิตกระแสไฟฟ้าจากชุมชน ณ เทศบาลเมืองบ้านพรุ จังหวัดสงขลา ขนาด 4.5 เมกะวัตต์ ซึ่งได้ลงนามสัญญาก่อสร้างและบริหารกับทางเทศบาลเมืองบ้านพรุไปในปี 2565 ซึ่งคาดว่าจะเริ่มก่อสร้างได้ภายในไตรมาส 3/2566 และคาดว่าจะเปิดจ่ายไฟฟ้าเข้าระบบเชิงพาณิชย์ (COD) ได้ภายในปี 2568 โดยความร่วมมือในครั้งนี้ จะช่วยลดปริมาณขยะสะสม ลดผลกระทบจากกลิ่นและน้ำเสีย อีกทั้งยังเป็นการนำของเสียมาก่อให้เกิดประโยชน์ และช่วยส่งเสริมสุขอนามัย สิ่งแวดล้อม และความเป็นอยู่ของคนในชุมชนในละแวกดังกล่าวให้ดีขึ้น ตามวิสัยทัศน์การดำเนินงานของบริษัทฯ ที่หวังให้ผู้มีส่วนได้เสียทุกกลุ่มมีชีวิตที่ “อยู่ดี มีสุข” ในทุกด้านของช่วงชีวิต

นายพิทักษ์ กล่าวอีกว่า ภายใน 5 ปีข้างหน้า บริษัทฯ ตั้งเป้าหมายไว้ว่า จะมี Retail Oil Market Share กว่า 25% มีจำนวนสมาชิก Max Card กว่า 30 ล้านสมาชิกซึ่งจะครอบคลุมคนไทยทั่วประเทศ และมีจำนวนสาขากาแฟพันธุ์ไทยกว่า 5,000 สาขา พร้อมพัฒนาและมุ่งหาธุรกิจใหม่ ๆ เพื่อใช้ประโยชน์จากระบบนิเวศของ PTG สร้างประสบการณ์ O2O ที่ไร้รอยต่อ รวมถึงการใช้ Data เพื่อให้เกิด End-to-End Personalization ที่ตรงกับความต้องการของผู้บริโภค ทั้งนี้ ยังพร้อมยกระดับสถานีบริการน้ำมัน PT ใน 3 มิติ ได้แก่ 1. Expansion and Renovation โดยเดินหน้าขยายสาขาทั้งหมดปีนี้สู่ 2,206 สาขา 2. Service Innovation โดยการยกระดับการให้บริการ ซึ่งบริษัทฯ จัดตั้ง PT Service Master ขึ้นมาเพื่อให้คำแนะนำลูกค้า อีกทั้งยังมี Max Camp ให้ลูกค้าได้เข้าพักผ่อนในระหว่างการเดินทาง โดยให้บริการฟรีสำหรับสมาชิก Max Card และ 3. Data Optimization โดยการรวบรวมความต้องการของกลุ่มลูกค้าต่าง ๆ ผ่านทางฐานสมาชิก Max Card, Max Card Plus, Max Me และ Max Enterprise Connect เพื่อนำเสนอ Data-Driven Offerings and Promotions ให้ตรงใจ และตรงความต้องการลูกค้ามากที่สุด

“บริษัทฯ เราจะยกระดับการให้บริการภายในสถานีบริการน้ำมัน PT โดยบริการรูปแบบใหม่ “PT Service Master” ที่พร้อมดูแล แนะนำลูกค้าให้ประทับใจได้รับสิทธิประโยชน์สูงสุด เพื่อตอบสนองความต้องการของลูกค้าที่เพิ่มมากขึ้น และสามารถดูแลลูกค้าได้ทั่วประเทศ โดยทุกวันนี้มี 200 กว่าคน และเรา

จะเพิ่มเป็น 2,500 คน ภายใน 5 ปีข้างหน้านี้ สำหรับ PT Max Camp เรามีสิ่งอำนวยความสะดวกครบครัน ไม่ว่าจะเป็นห้องอาบน้ำ เตียงนอน ทีวี เครื่องซักผ้า โดยลูกค้าที่เป็นสมาชิกสามารถใช้บริการได้ฟรี โดยจะเปิดบริการตลอด 24 ชั่วโมง พร้อมติดตั้งกล้องวงจรปิด เพื่อความปลอดภัยอีกด้วย ซึ่งในปัจจุบันตั้งอยู่ใน 64 สถานี และจะขยายเป็น 141 สถานี ภายในปี 2570 ในปัจจุบันเรามีฐานสมาชิก Max Card ทั้งสิ้น 19 ล้านสมาชิก โดยเราจะขยายไปเป็น 30 ล้านสมาชิกในอีก 5 ปีข้างหน้า ซึ่งความสำคัญของ Max Card และ Max Card Plus คือเป็นเครื่องมือในการวิเคราะห์พฤติกรรมลูกค้า เพิ่มยอดขาย และเพิ่มความถี่ของการเข้ามาใช้บริการธุรกิจในเครือเพิ่มมากขึ้น นอกจากนี้เรามีเครื่องมือ Max Me ที่เป็น Application และ e-Wallet ที่จะช่วยต่อยอดฐานสมาชิกในโลกออนไลน์ โดยภายในปีนี้คาดว่าลูกค้าจะสามารถชำระเงินผ่าน Max Me กับ Partner ของเรากว่า 1 ล้าน Touchpoints อีกทั้งเรายังมีบริการสินค้าดิจิทัล Financing และ Lifestyle ที่จะมาเชื่อมต่อกับ Max Me อีกด้วย ทั้งนี้ เรายังมีการใช้ Digital Platform เพื่อตอบโจทย์ B2B ได้แก่ Max Enterprise Connect ซึ่งเป็น Fuel Management Platform ที่ช่วยในการบริหารต้นทุนน้ำมันอย่างมีประสิทธิภาพ แก้ปัญหาได้ตรงจุด และลดความยุ่งยากที่เกี่ยวกับเอกสาร เหมาะสำหรับผู้ประกอบการและองค์กรธุรกิจทุกขนาด โดยที่สามารถดู Real Time Data ได้ตลอด 24 ชม. และเราสามารถเชื่อมต่อ Microservices เพื่อเพิ่มสิทธิประโยชน์สำหรับองค์กรได้ในอนาคต” นายพิทักษ์ กล่าว

ขณะที่ นายรังสรรค์ พวงปราง ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท พีทีจี เอ็นเนอยี จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า ในส่วนของจำนวนสถานีบริการน้ำมัน PT สิ้นปี 2565 ที่ผ่านมา อยู่ที่ 2,149 สถานี แบ่งเป็น สถานีบริการฯ ที่เป็นกรรมสิทธิ์ของบริษัทฯ (COCO) จำนวน 1,809 สถานี และสถานีบริการฯ ที่เป็นของผู้ประกอบการที่ได้รับสิทธิ์จากบริษัทฯ (DODO) จำนวน 340 สถานี

สำหรับจำนวนสาขาของธุรกิจ Non-Oil สิ้นปีที่ผ่านมาอยู่ที่ 1,526 สาขา แบ่งเป็น 1.ร้านกาแฟพันธุ์ไทย จำนวน 511 สาขา 2.ธุรกิจ LPG แบ่งเป็น สถานีบริการ Auto LPG จำนวน 231 สถานีบริการ และร้านจำหน่ายก๊าซ LPG บรรจุถัง (Gas Shop) จำนวน 253 สาขา 3.ร้านสะดวกซื้อ Max Mart จำนวน 309 สาขา 4.ร้านคอฟฟี่ เวิลด์ จำนวน 26 สาขา 5.ศูนย์บริการซ่อมแซมและบำรุงรักษารถยนต์ Autobacs จำนวน 45 สาขา 6.ศูนย์เปลี่ยนถ่ายน้ำมัน Maxnitron Lube Change จำนวน 52 สาขา 7.จุดพักรถ Max Camp จำนวน 64 จุด 8.สถานีอัดประจุไฟฟ้า (EV Charging) จำนวน 35 จุดชาร์จ

“ธุรกิจ Non-Oil ของ PTG มีการเติบโตในทุกมิติ ไม่ว่าจะเป็น จำนวน Touchpoint ที่เติบโต 36% YoY และมี CAGR 5 ปีเฉลี่ยสะสมที่ 34% รายได้เติบโต 68% YoY และ CAGR 5 ปี ที่ 37% กำไรขั้นต้นเติบโต 50% YoY และ CAGR 5 ปี ที่ 36% และสัดส่วนกำไรขั้นต้นที่เติบโตอย่างต่อเนื่อง โดย ณ สิ้นปี มีสัดส่วนกำไรขั้นต้นในธุรกิจ Non-Oil ที่ 18.5% ซึ่งเป็นไปตามที่เรามองไว้ว่าจะอยู่ที่ระดับ 15-20%” นายรังสรรค์ กล่าว

ส่วนโครงการ Solar Rooftop เป็นการลงทุนผ่าน บริษัท พีทีจี กรีน เอ็นเนอยี จำกัด (PTGGE) ปัจจุบันกำลังอยู่ในระหว่างลงทุนและซื้อขายไฟฟ้าในรูปแบบ Private PPA กับบริษัทฯ และจะขยายการลงทุนในประเทศและต่างประเทศต่อไปในอนาคต ปัจจุบันโครงการนี้มีมูลค่าเงินลงทุนจำนวน 300 ล้านบาท และมีกำลังการผลิตไฟฟ้า ทั้ง Phase 1-4 โดยรวมประมาณ 8.171 MW โดยในปัจจุบัน Phase 1 และ 2 ได้ดำเนินการติดตั้งเสร็จสิ้นแล้ว โดยปีนี้มีแผนติดตั้งเพิ่มอีก 6.291 MW คาดว่าปี 2567 จะลดปริมาณการใช้ไฟฟ้า 9.5 ล้านหน่วยต่อปี และคาดว่าจะลดค่าใช้จ่าย 40-50 ล้านบาท รวมทั้งช่วยลดปริมาณการปล่อยคาร์บอนไดออกไซด์ได้ 4.237 ล้านตันต่อปี (EPPO ref:การปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ต่อหน่วยการใช้ไฟฟ้า (kWh) :0.446)

“ในส่วนของโรงไฟฟ้าขยะเพื่อชุมชน ณ เทศบาลเมืองบ้านพรุ มีขนาด 4.5 MW ซึ่งโครงการนี้จะช่วยเสริมธุรกิจ Renewable Energy ของบริษัทฯ และส่งเสริมมิติสิ่งแวดล้อม สอดคล้องกับกลยุทธ์ ESG ของบริษัทฯ ซึ่งมีมูลค่าโครงการโดยประมาณ 1,000 ล้านบาท คาดว่าจะเริ่มการก่อสร้างได้ในช่วงไตรมาส 3/2566 และ เปิด COD ได้ในปี 2568 โดยผลประโยชน์ที่บริษัทฯ คาดว่าจะได้รับ คือสามารถลดปริมาณขยะสะสมได้ 2-3 ล้านตัน คาดว่าสามารถลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์สะสมได้ 4-5 ล้านตัน และสร้างงานสร้างโอกาสให้คนอีก 100 ตำแหน่ง ทั้งหมดนี้เพื่อเชื่อมให้ทุกคนได้มีโอกาสเข้าถึงชีวิตที่ “อยู่ดี มีสุข" ในทุกด้านของช่วงชีวิต” นายรังสรรค์ กล่าว

PTG - KU ร่วมลงนามความร่วมมือ พัฒนาการเรียน - การสอน - การวิจัย หวังใช้ประสบการณ์ผู้ประกอบการไทยช่วยต่อยอดความรู้ใหม่ๆ ให้นิสิต

Page 1 of 2
X

Right Click

No right click