การไฟฟ้าส่วนภูมิภาค (กฟภ.) และ แกร็บ ประเทศไทย ร่วมลงนามในบันทึกข้อตกลงความร่วมมือว่าด้วย การนำโซลูชัน GrabForBusiness มาใช้ในการจองบริการรถยนต์รับจ้างผ่านแอปพลิเคชัน Grab แอปเรียกรถ เพื่อเสริมประสิทธิภาพการทำงานให้กับเจ้าหน้าที่ กฟภ. ในการเดินทางในเขตพื้นที่กรุงเทพฯ และปริมณฑล โดยความร่วมมือในครั้งนี้ จะช่วยยกระดับการปฏิบัติงานของ กฟภ. ให้มีความโปร่งใส ตรวจสอบได้ ผ่านระบบออนไลน์ทั้งยังช่วยให้องค์กรสามารถวางแผนและควบคุมค่าใช้จ่ายได้อย่างมีประสิทธิภาพ ตลอดจนช่วยยกระดับความปลอดภัยในการเดินทางให้กับเจ้าหน้าที่ด้วยบริการเรียกรถผ่านแอปฯ ที่มีเทคโนโลยีและมาตรฐานด้านความปลอดภัยในระดับสากล

นายจักรี กิจบัญชา รองผู้ว่าการโลจิสติกส์และบริการองค์กร การไฟฟ้าส่วนภูมิภาค กล่าวว่า “การไฟฟ้าส่วนภูมิภาค มีความยินดีอย่างยิ่งที่ได้ร่วมมือกับ แกร็บ ในการทดลองเปลี่ยนมาใช้ระบบเรียกรถแบบ On-Demand ภายในองค์กร จากเดิมที่ใช้ระบบเช่ารถพร้อมพนักงานขับ ซึ่งมีค่าใช้จ่ายรายเดือนทั้งค่าจ้าง และค่าเชื้อเพลิงที่ค่อนข้างสูง รวมถึงไม่สอดคล้องกับรูปแบบการใช้งานจริงที่มักเกิดขึ้นรายวัน การมีทางเลือกบริการของแกร็บนอกจากจะช่วยให้การเดินทางมีความยืดหยุ่น ยังสามารถควบคุมค่าใช้จ่ายได้เป็นระบบมากขึ้น และตอบโจทย์การใช้งานของพนักงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ อีกทั้งยังมีความมุ่งมั่นที่จะนำเทคโนโลยีดิจิทัลมาช่วยยกระดับการทำงานในองค์กรให้มีประสิทธิภาพ และเสริมสร้างความโปร่งใส่ในองค์กร โดยเราให้ความสำคัญอย่างมากในเรื่องการปฏิบัติงานตามหลักธรรมาภิบาล พร้อมมุ่งเน้นส่งเสริมให้ผู้บริหาร และพนักงานปฏิบัติงานด้วยความโปร่งใส เป็นธรรม และตรวจสอบได้มาโดยตลอด โดย การจับมือกับแกร็บในครั้งนี้ ถือเป็นก้าวสำคัญขององค์กรภาครัฐในการนำแพลตฟอร์มดิจิทัล มาใช้ในการเสริมประสิทธิภาพการทำงานให้กับเจ้าหน้าที่ และช่วยให้องค์กรสามารถบริหารจัดการค่าใช้จ่ายได้อย่างเป็นระบบยิ่งขึ้น ตอกย้ำเป้าหมายสู่การเป็นองค์กรที่โปร่งใส”

นางสาวปุณณดา เหลืองอร่าม รองผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการใหญ่ สายงานธุรกิจองค์กรและงานโฆษณา แกร็บ ประเทศไทย กล่าวว่า “ตลอดระยะเวลา 12 ปีในประเทศไทย บริการของแกร็บได้เข้ามามีบทบาทในชีวิตของผู้คนในหลากหลายด้าน ไม่ว่าจะเป็น บริการเรียกรถ บริการสั่งอาหาร-ของใช้ และส่งพัสดุ ซึ่งไม่เพียงตอบโจทย์การใช้งานของผู้ใช้บริการทั่วไป แต่ยังได้รับความนิยมในกลุ่มลูกค้าในองค์กรด้วย ดังนั้น แกร็บจึงได้ริเริ่มและพัฒนา GrabForBusiness ซึ่งเป็นโซลูชันที่ออกแบบมาเพื่อช่วยเสริมประสิทธิภาพการทำงานให้กับลูกค้าองค์กร ไม่ว่าจะเป็น การช่วยให้องค์กรสามารถบริหารจัดการค่าใช้จ่ายได้ดียิ่งขึ้น การลดงานเอกสารและลดภาระในการสำรองจ่ายเงินของพนักงาน และการนำเสนอบริการของแกร็บที่มีมาตรฐานทั้งในด้านคุณภาพและความปลอดภัย ทั้งนี้ แกร็บ รู้สึกยินดีเป็นอย่างยิ่งที่ได้มีโอกาสร่วมมือกับ การไฟฟ้าส่วนภูมิภาค ในการนำเทคโนโลยีดิจิทัลมาช่วยส่งเสริมการทำงานของภาครัฐ เพื่อให้สามารถวางแผนและควบคุมค่าใช้จ่ายได้อย่างมีประสิทธิภาพ ทั้งยังสามารถตรวจสอบข้อมูลการใช้งานได้อย่างละเอียด ซึ่งช่วยสร้างความโปร่งใสและป้องกันการทุจริตที่อาจเกิดขึ้นได้ในองค์กร”

กรมพัฒนาฝีมือแรงงาน กระทรวงแรงงาน ร่วมกับ บริษัท สยามมิชลิน จำกัด โดยศูนย์บริการรถยนต์ครบวงจรไทร์พลัส ต่อยอดความร่วมมือพัฒนาช่างศูนย์บริการรถยนต์ไทร์พลัส แบบครบวงจร ตรวจสอบบำรุงรักษารถยนต์และรถยนต์ไฟฟ้า บริการประทับใจทุกระดับ โดยมีนายเดชา พฤกษ์พัฒนรักษ์ อธิบดีกรมพัฒนาฝีมือแรงงาน และนางสาวมนฑรัตน์ ลิมปิยากร ผู้อำนวยการธุรกิจไทร์พลัสแฟรนไชส์ บริษัท สยามมิชลิน จำกัด ร่วมลงนาม ณ ห้องประชุมปกรณ์ อังศุสิงห์ ชั้น 10 อาคารกรมพัฒนาฝีมือแรงงาน

นายเดชา พฤกษ์พัฒนรักษ์ อธิบดีกรมพัฒนาฝีมือแรงงาน กล่าวว่า ผมรู้สึกยินดีอย่างยิ่งได้ที่กรมพัฒนาฝีมือแรงงาน ได้ลงนามบันทึกความร่วมมือในครั้งนี้ ซึ่งเป็นการตอบโจทย์การผลิตแรงงานฝีมือสู่อุตสาหกรรมยานยนต์ โดยเฉพาะศูนย์บริการรถยนต์ไทร์พลัส ที่กลายเป็นแหล่งจ้างงานสำคัญในการให้บริการการตรวจสอบระบบความปลอดภัย การบริการรถยนต์ไฟฟ้า การติดตั้งอุปกรณ์เสริม หรือบริการหลังการขายที่ช่วยให้ลูกค้ามีความสะดวกสบายและมั่นใจ ซึ่งระหว่างปี 2558-2567ทั้ง 2 องค์กรได้ร่วมกันการขับเคลื่อนผลิตแรงงานฝีมือ จัดฝึกอบรมหลักสูตรด้านยานยนต์สมัยใหม่ ทดสอบมาตรฐานฝีมือแรงงานแห่งชาติ สาขาช่างซ่อมบำรุงรักษารถยนต์ และสาขาการซ่อมรถยนต์ มีผู้ผ่านฝึกอบรมและทดสอบฯ รวมทั้งสิ้น 3,453 คน สำหรับในปี 2568 เป็นการต่อยอดความร่วมมือโดยร่วมกันพัฒนาหลักสูตรด้านยานยนต์ มีแผนจัดฝึกอบรมหลักสูตรการซ่อมบำรุงรถยนต์ไฟฟ้า (ระยะเวลาการฝึกอบรม 30 ชม.) และหลักสูตรมาตรฐานการปฏิบัติงานในศูนย์บริการบำรุงรักษารถยนต์(ระยะเวลาการฝึกอบรม 6 ชม.)  ในพื้นที่ 4 จังหวัด ได้แก่ ขอนแก่น สุพรรณบุรี เชียงใหม่ และตรัง และจัดทดสอบฯ สาขาช่างซ่อมรถยนต์ ระดับ 1 ให้แก่ช่างฝีมือ ช่างทั่วไป และพนักงานศูนย์บริการรถยนต์ไทร์พลัส ให้มีความรู้ ความสามารถ มีทักษะสำหรับการปฏิบัติงานอย่างมีประสิทธิภาพให้ได้มาตรฐานฝีมือแรงงาน สอดคล้องกับการเปลี่ยนแปลงของเทคโนโลยียานยนต์สมัยใหม่ ตั้งเป้ามีผู้เข้ารับการฝึกอบรบไม่น้อยกว่า 200 คน

 

 

“ขอขอบคุณทางบริษัท สยามมิชลิน จำกัด ที่มีส่วนสำคัญในการพัฒนาทักษะฝีมือแรงงานในอุตสาหกรรมยานยนต์ สร้างความเชื่อมั่นและประทับใจให้แก่ประชาชนในการรับบริการต่างๆ ในศูนย์บริการรถยนต์ พร้อมมีการจ้างงานมากขึ้นในตำแหน่งช่างฝีมืออีกด้วย”

นางสาวมนฑรัตน์ ลิมปิยากร ผู้อำนวยการธุรกิจไทร์พลัสแฟรนไชส์ บริษัท สยามมิชลิน จำกัด กล่าวว่า “ศูนย์บริการรถยนต์ครบวงจรไทร์พลัสพร้อมผลักดันความร่วมมือครั้งนี้ เพื่อเป้าหมายสำคัญ ในการมุ่งพัฒนายกระดับศักยภาพบุคลากรและศูนย์บริการไทรพลัส ให้มีความเชี่ยวชาญทางด้านการบำรุงรักษารถยนต์และรถยนต์ไฟฟ้า ตามมาตรฐานการรับรองจากกรมพัฒนาฝีมือแรงงานและมาตรฐานสากล ITSO เพื่อสร้างความมั่นใจให้กับผู้เข้าใช้บริการที่จะได้รับประสบการณ์ที่ดี จากบริการในระดับมาตรฐานสากล ส่งมอบความปลอดภัย  และความอุ่นใจด้วยความโปร่งใส จริงใจในทุกการให้บริการ พร้อมดูแลคุณและคนที่คุณรักด้วยบริการครบวงจรของไทร์พลัส ที่มีอยู่กว่า 170 สาขา ครอบคลุมทั่วประเทศไทย

 

 

BINANCE TH by Gulf BINANCE  หนึ่งในแพลตฟอร์มซื้อขายสินทรัพย์ดิจิทัลที่ได้รับการกำกับดูแลภายใต้ สำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) ร่วมกับ บริษัท กัลฟ์ เอ็นเนอร์จี ดีเวลลอปเมนท์ จำกัด (มหาชน) ลงนามบันทึกข้อตกลงความเข้าใจ (MOU) กับมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ เพื่อพัฒนาและเติมทักษะให้กับบุคลากรรุ่นใหม่ เพื่อพัฒนาหลักสูตรและกิจกรรมต่าง ๆ รองรับการขยายตัวของอุตสาหกรรมสินทรัพย์ดิจิทัลในประเทศไทย

ข้อมูลจาก ก.ล.ต. เผยมูลค่าการซื้อขายสินทรัพย์ดิจิทัลในประเทศไทย ณ เดือน มกราคม 2568 มีมูลค่ากว่า 9.95 หมื่นล้านบาท โดยมีบัญชีนักลงทุนมากกว่า 2.45 ล้านราย สะท้อนให้เห็นถึงการเติบโตอย่างก้าวกระโดดของตลาดคริปโทเคอร์เรนซี่ที่มีความต้องการบุคลากรที่มีความรู้ความเชี่ยวชาญเพิ่มขึ้นอีกเป็นจำนวนมาก ทั้งในด้านเทคโนโลยีบล็อกเชนและสินทรัพย์ดิจิทัลที่ยังอยู่ในวงจำกัด สอดคล้องกับข้อมูลของกระทรวงแรงงาน ที่ระบุว่า ณ ปัจจุบัน ประเทศไทยต้องการกําลังแรงงานด้านดิจิทัลมากกว่า 140,000 คน อาทิ วิศวกรซอฟต์แวร์ นักวิเคราะห์ข้อมูล นักพัฒนาเอไอ ผู้เชี่ยวชาญด้านความปลอดภัยไซเบอร์ ผู้พัฒนาเทคโนโลยีบล็อกเชน ผู้พัฒนาโปรแกรมเซมิคอนดัคเตอร์ ไมโครชิป ออโตเมชั่น นักการตลาดดิจิทัล

นายสารัชถ์ รัตนาวะดี ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท กัลฟ์ เอ็นเนอร์จี ดีเวลลอปเมนท์ จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า  “กัลฟ์ให้ความสำคัญกับการเติบโตของเศรษฐกิจดิจิทัล โดยเฉพาะอย่างยิ่งเทคโนโลยีบล็อกเชน ซึ่งมีศักยภาพในการเปลี่ยนแปลงหลากหลายอุตสาหกรรม ไม่ใช่แค่เพียงภาคการเงินเท่านั้น เรามองเห็นโอกาสในการประยุกต์ใช้บล็อกเชนในธุรกิจที่หลากหลาย เช่น การซื้อขายคาร์บอนเครดิต การบริหารจัดการพลังงานหมุนเวียน และการทำธุรกรรมซื้อขายไฟฟ้า แต่การที่จะขับเคลื่อนสิ่งเหล่านี้ให้เกิดขึ้นจริง เราจำเป็นต้องมีบุคลากรที่มีความรู้ความสามารถที่พร้อม ความร่วมมือกับมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ในครั้งนี้ จึงเป็นก้าวสำคัญในการพัฒนาบุคลากรรุ่นใหม่ ที่จะเข้าใจทั้งด้านพลังงานและเทคโนโลยีบล็อกเชน ซึ่งจะเป็นกำลังสำคัญในการพัฒนาอุตสาหกรรมพลังงานของไทยให้ก้าวหน้ายิ่งขึ้น นอกจากนี้ การมีบุคลากรที่มีความเชี่ยวชาญด้านคริปโทเคอร์เรนซี จะช่วยส่งเสริมให้ประเทศไทยเป็นศูนย์กลางของเทคโนโลยีบล็อกเชนในภูมิภาค และดึงดูดเงินลงทุนจากต่างประเทศได้อีกด้วย"

นายนิรันดร์ ฟูวัฒนานุกูล ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท กัลฟ์ ไบแนนซ์ จำกัด กล่าวว่า "การเติบโตของตลาดสินทรัพย์ดิจิทัลในไทยกำลังขยายตัวขึ้นอย่างมาก โดยในปี 2024 มูลค่าการซื้อขายผ่านแพลตฟอร์มของเราเติบโตขึ้นกว่า 300% และคาดว่าจะเติบโตต่อเนื่องในปีนี้ จากการยอมรับของนักลงทุนสถาบันที่เพิ่มขึ้น รวมถึงการอนุมัติ Bitcoin ETF ในสหรัฐฯ ที่จะสร้างความเชื่อมั่นให้กับตลาดทั่วโลก รวมถึงประเทศไทย ดังนั้นเราจึงต้องเร่งพัฒนาบุคลากรด้านบล็อกเชนและสินทรัพย์ดิจิทัลให้ทันต่อการเติบโตของอุตสาหกรรม ผ่านการพัฒนาหลักสูตร e-Learning และ Blended Learning ที่ครอบคลุมทั้งด้านทฤษฎีและการประยุกต์ใช้จริง โดยจะเน้นเนื้อหาที่เกี่ยวข้องกับเทคโนโลยีบล็อกเชน สินทรัพย์ดิจิทัล การเงินดิจิทัล และกฎหมายที่เกี่ยวข้อง เพื่อให้นักศึกษาไทยมีความรู้ทัดเทียมในระดับสากล และพร้อมเป็นผู้นำในการพัฒนาระบบการเงินดิจิทัลของประเทศในอนาคตอันใกล้"

ศาสตราจารย์ ดร.ศุภสวัสดิ์ ชัชวาลย์ อธิการบดีมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ กล่าวว่า "มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์มุ่งมั่นในการผลิตบัณฑิตที่มีความพร้อมรับมือกับความท้าทายในศตวรรษที่ 21 มธ.พร้อมปรับปรุงหลักสูตรให้สอดคล้องกับความต้องการของภาคอุตสาหกรรมต่าง ๆ รวมถึงอุตสาหกรรมสินทรัพย์ดิจิทัล โดยเราตั้งเป้าผลิตบัณฑิตด้านนี้กว่า 8,000 คนต่อปี และความร่วมมือกับผู้นำทั้งในอุตสาหกรรมพลังงานและสินทรัพย์ดิจิทัลครั้งนี้ จะช่วยยกระดับการเรียนการสอนให้มีความทันสมัย ผ่านการผสมผสานองค์ความรู้จากในและนอกห้องเรียน รวมถึงประสบการณ์จริงจากภาคธุรกิจ ช่วยให้นักศึกษาได้เรียนรู้จากผู้เชี่ยวชาญในอุตสาหกรรมอย่างใกล้ชิด และนำมาต่อยอดได้ นอกจากนั้นนักศึกษาและบุคลากรไทยที่เข้าร่วมโครงการนี้จะได้รับประโยชน์มากมาย เช่น โอกาสในการฝึกงานกับบริษัทชั้นนำในอุตสาหกรรมสินทรัพย์ดิจิทัล โอกาสในการทำงานในตำแหน่งที่กำลังเป็นที่ต้องการในตลาดแรงงาน และโอกาสในการสร้างเครือข่ายกับผู้เชี่ยวชาญในอุตสาหกรรมทั้งในประเทศและต่างประเทศ"

 Changpeng Zhao (CZ) อดีต CEO ของ Binance กล่าวว่า "เราเชื่อว่าการศึกษาเป็นรากฐานของนวัตกรรมและการเข้าถึงทางการเงิน ความร่วมมือของเรากับ Gulf Thailand และมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์เพื่อให้ความรู้แก่นักศึกษา 1,000 คน

เกี่ยวกับบล็อกเชนและคริปโตถือเป็นก้าวสำคัญในการเสริมสร้างศักยภาพให้กับคนรุ่นต่อไปของประเทศไทยด้วยความรู้และทักษะที่จำเป็นในการเติบโตในเศรษฐกิจดิจิทัล ประเทศไทยมีระบบนิเวศบล็อกเชนที่เติบโตอย่างรวดเร็ว และการเสริมสร้างความรู้เชิงลึกเกี่ยวกับเทคโนโลยีคริปโตให้กับเยาวชนจะช่วยขับเคลื่อนการยอมรับอย่างรับผิดชอบ การเป็นผู้ประกอบการ และการเติบโตทางเศรษฐกิจในระยะยาว ความคิดริเริ่มนี้ไม่เพียงแต่สนับสนุนกลุ่มผู้มีความสามารถในท้องถิ่นเท่านั้น แต่ยังเสริมสร้างอุตสาหกรรมคริปโตระดับโลกด้วยการส่งเสริมชุมชนผู้นำ นักพัฒนา และนักประดิษฐ์ในอนาคตที่มีข้อมูลครบถ้วน เรารู้สึกภูมิใจที่ได้ร่วมมือในความพยายามเชิงกลยุทธ์นี้และยังคงมุ่งมั่นที่จะทำให้การศึกษาเกี่ยวกับบล็อกเชนเข้าถึงได้สำหรับทุกคน เพื่อให้แน่ใจว่าประเทศไทยมีบทบาทสำคัญในการกำหนดอนาคตของ Web3"

ความร่วมมือครั้งนี้มีระยะเวลา 3 ปี นับตั้งแต่การลงนาม โดยทั้งสามองค์กรจะร่วมกันพัฒนาหลักสูตรและกิจกรรมต่าง ๆ เพื่อเสริมสร้างศักยภาพของนักศึกษาและบุคลากรให้มีความรู้ด้านเทคโนโลยีบล็อกเชนและสินทรัพย์ดิจิทัล สอดรับกับนโยบายของรัฐบาลในการมุ่งผลักดันให้ประเทศไทยเป็นศูนย์กลาง Digital Asset Hub แห่งอาเซียน ซึ่งคาดว่าภูมิภาคนี้จะมีมูลค่าตลาดรวมกว่า 1.3 แสนล้านบาท ภายในปี 2025

 บริษัท แอสตร้าเซนเนก้า ประเทศไทย เดินหน้าจับมือโรงพยาบาลพระปกเกล้า จันทบุรี ต่อยอดความสำเร็จจากการนำเทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์มาใช้ในการตรวจคัดกรองโรคมะเร็งปอดตั้งแต่ปี 2566 เพื่อให้ประชาชนภายในจังหวัดและพื้นที่ใกล้เคียง สามารถเข้าถึงการตรวจหาโรคได้ตั้งแต่ระยะเริ่มต้น ในปีนี้เราได้ขยายขอบเขตความร่วมมือสู่การวินิจฉัยและการรักษาผู้ป่วยเฉพาะราย รวมถึงการสร้างเครือข่ายการส่งต่อผู้ป่วยที่ครอบคลุม เพื่อให้มั่นใจว่าผู้ป่วยได้รับการดูแลอย่างต่อเนื่อง โดยจะเริ่มดำเนินการในกลุ่มผู้ป่วยมะเร็งปอดและมะเร็งตับเป็นกลุ่มนำร่อง ทั้งยังช่วยสนับสนุนการเข้าถึงการตรวจหายีนส์กลายพันธุ์และร่วมกันสร้างความตระหนักรู้ให้ประชาชนได้เล็งเห็นถึงความสำคัญของการตรวจคัดกรองมะเร็งในระยะแรกเริ่มซึ่งเป็นปัจจัยสำคัญในเพิ่มโอกาสรอดชีวิต

โรงพยาบาลพระปกเกล้า จันทบุรี เป็นหนึ่งในโรงพยาบาลศูนย์ของภาคตะวันออก พื้นที่รับผิดชอบของโรงพยาบาล 8 โรงพยาบาล ครอบคลุมผู้ป่วยในจังหวัดจันทบุรี ตราด สระแก้ว และ 3 อำเภอของจังหวัดระยอง อาคารศูนย์ความเป็นเลิศด้านมะเร็ง ดำเนินงานภายใต้วิสัยทัศน์ “มะเร็งรักษาหายได้ หากได้รับโอกาสในการรักษา” โดยมีผู้ป่วยมะเร็งรายใหม่เข้ามารับการรักษาที่ศูนย์แห่งนี้อยู่ที่ประมาณ 2,000 คนต่อปี และพบผู้ป่วยมะเร็งปอดรายใหม่สูงถึง 200 คน ทั้งนี้ผู้ป่วยส่วนใหญ่เป็นผู้ป่วยในระยะสุดท้าย จากความร่วมมือกับบริษัท แอสตร้าเซนเนก้า ในการนำเทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์มาใช้ประกอบการตรวจคัดกรองมะเร็งปอดในปี 2566 ที่โรงพยาบาลพระปกเกล้า และโรงพยาบาลในเครือข่าย ส่งผลให้พบผู้ป่วยในระยะแรกเริ่มได้เร็วยิ่งขึ้น รวมถึงขยายไปสู่โรคปอดอื่น ๆ เช่น ถุงลมโป่งพอง หอบหืด วัณโรค และ โรคหัวใจ เช่น

หัวใจล้มเหลว เป็นต้น นอกจากนี้โรงพยาบาลยังมีศูนย์ Clinical Research Center ที่ได้รับมาตรฐานระดับโลก เพื่อศึกษาวิจัยยาใหม่ในผู้ป่วยมะเร็ง

 

นายแพทย์ธีรพงศ์ ตุนาค ผู้อำนวยการโรงพยาบาลพระปกเกล้า จังหวัดจันทบุรี กล่าวว่า “ศูนย์ความเป็นเลิศด้านมะเร็งของโรงพยาบาลพระปกเกล้า ได้ทำหน้าที่เป็นศูนย์กลางการดูแลผู้ป่วยมะเร็งในภาคตะวันออกมาอย่างต่อเนื่อง เพื่อรับมือกับโรคมะเร็งซึ่งเป็นปัญหาสาธารณสุขที่สำคัญของประเทศไทย การลงนามความร่วมมือนี้ถือเป็นก้าวสำคัญในการยกระดับการดูแลรักษาผู้ป่วยมะเร็ง ด้วยการผสานความเชี่ยวชาญทางการแพทย์ของโรงพยาบาลพระปกเกล้าเข้ากับนวัตกรรมและเทคโนโลยีทางการแพทย์จากบริษัทแอสตร้าเซนเนก้า ภายใต้กรอบความร่วมมือนี้มีความครอบคลุมการพัฒนาในทุกมิติ ตั้งแต่การสร้างความตระหนักรู้และการคัดกรองโรคในระยะเริ่มต้น การพัฒนาระบบการวินิจฉัยด้วยเทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์ การรักษาที่แม่นยำเฉพาะบุคคลด้วยการตรวจวิเคราะห์ทางพันธุกรรม ไปจนถึงการวิจัยระดับนานาชาติ โดยเฉพาะในกลุ่มโรคมะเร็งปอดและมะเร็งตับ ซึ่งพบมากในประชากรไทย นอกจากนี้ เรายังมุ่งเน้นการพัฒนาเครือข่ายการส่งต่อผู้ป่วยที่มีประสิทธิภาพ และการพัฒนาศักยภาพบุคลากรทางการแพทย์ผ่านการอบรมและสัมมนาวิชาการ เพื่อให้มั่นใจว่าผู้ป่วยจะได้รับการดูแลที่มีคุณภาพตามมาตรฐานสากล และเพื่อให้โครงการนี้สามารถเป็นต้นแบบสำหรับการพัฒนาระบบการดูแลผู้ป่วยมะเร็งในระดับประเทศต่อไปในอนาคต”

 

ด้านนายโรมัน รามอส ประธานบริษัท แอสตร้าเซนเนก้า ประเทศไทย และ Frontier Markets เผยว่า “ปัจจุบัน โรคไม่ติดต่อเรื้อรัง (NCDs) เป็นความท้าทายด้านสุขภาพที่สำคัญมากในประเทศไทย โดยมีโรคมะเร็งเป็นปัญหาหลัก ภายใต้ความร่วมมือกับโรงพยาบาลพระปกเกล้านี้ แอสตร้าเซนเนก้าได้นำนวัตกรรมปัญญาประดิษฐ์ที่ล้ำสมัยมาช่วยปรับปรุงประสิทธิภาพของการคัดกรองมะเร็งปอดที่มีประสิทธิภาพและขยายผลไปสู่การตรวจในกลุ่มมะเร็งตับ โดยมีจุดมุ่งหมายเพื่อยกระดับการทำงานของศูนย์ความเป็นเลิศด้านมะเร็งของโรงพยาบาลพระปกเกล้าแห่งนี้ให้สามารถดูแลผู้ป่วยมะเร็งได้อย่างครอบคลุมยิ่งขึ้น”

“และเนื่องจากสถิติการตรวจพบมะเร็งในคนไทยเพิ่มขึ้นทุกปี แอสตร้าเซนเนก้าเล็งเห็นความสำคัญของการผลักดันให้คนไทยเข้ารับการตรวจคัดกรองโรคเพื่อลดอัตราการเสียชีวิต เพราะการตรวจพบจะทำให้ผู้ป่วยสามารถรับการรักษาได้รวดเร็วขึ้น สามารถช่วยลดความรุนแรงของโรค และเพิ่มโอกาสในการวางแผนการรักษาที่เหมาะสมแก่แพทย์ได้ แอสตร้าเซนเนก้าคาดหวังว่าการร่วมมือกับ โรงพยาบาลพระปกเกล้า จันทบุรี ในครั้งนี้จะส่งเสริมการยกระดับคุณภาพชีวิตและลดอัตราการเสียชีวิตของผู้ป่วยโรคมะเร็งในประเทศไทย และด้วยเดือนพฤศจิกายนที่ผ่านมาเป็นเดือนแห่งการรณรงค์ต้านภัยมะเร็งปอด โครงการนี้จึงเป็นสัญลักษณ์แห่งความมุ่งมั่นของแอสตร้าเซนเนก้าที่จะช่วยให้คนไทยห่างไกลโรคร้าย เพราะสุขภาพที่ดีของทุกคนคือจุดมุ่งหมายที่เรายึดถือในการดำเนินงานมาโดยตลอด” นายโรมัน กล่าวทิ้งท้าย

กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ร่วมด้วย องค์การตลาดเพื่อเกษตรกร (อ.ต.ก.) และ Shanghai Taihuixuan Technology Co., Ltd. ลงนามบันทึกข้อตกลงความร่วมมือ (MOU) จัดตั้งร้านค้า “THAI MALL” ในแพลตฟอร์ม E-commerce ประเทศจีน เชื่อมต่อห่วงโซ่อุปทานโลก ดันสินค้าเกษตรและผลไม้ไทยสู่เมืองเศรษฐกิจ เซี่ยงไฮ้ เซินเจิ้น และ เขตบริหารพิเศษฮ่องกง ยกระดับภาคการเกษตรไทยในระดับนานาชาติ

นางสาวอนงค์นาถ จ่าแก้ว เลขานุการรัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ กล่าวว่า ประเทศไทยให้ความสำคัญกับการพัฒนาสินค้าเกษตรเพื่อการส่งออกเป็นอย่างมาก สะท้อนได้จากมูลค่าผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศ (GDP) ภาคเกษตรที่มีสัดส่วนจำนวนราวร้อยละ 10 ของมูลค่ารวม โดยเฉพาะอย่างยิ่งการส่งออกผลไม้ไทยถือเป็นกำลังสำคัญในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจของประเทศ และสร้างรายได้ให้กับเกษตรกรไทยมาจนถึงปัจจุบัน

แม้ในช่วงที่ผ่านมาผลผลิตทางการเกษตร อาจชะลอตัวจากความเปลี่ยนแปลงทางสภาพอากาศที่ส่งผลกระทบโดยตรงต่อการเพาะปลูกและปริมาณผลผลิต อย่างไรก็ตามด้วยคุณภาพที่ได้รับการยกย่องให้ผลไม้ไทยเป็นหนึ่งในผลไม้ที่ดีที่สุดในโลก ได้รับการยืนยันจากมาตรฐานสากล ทำให้ผลไม้ไทยยังคงมีความต้องการในตลาดโลกเพิ่มสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะในตลาดประเทศจีน ที่มีปริมาณการส่งออกทุเรียน มังคุด ลำไย ในช่วง มกราคม - ตุลาคม 2567 คิดเป็นปริมาณ 1,253,208.1 ตัน หรือมีมูลค่ากว่า 130,372.7 ล้านบาท

กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ตระหนักถึงศักยภาพและความสำคัญของภาคการเกษตรไทยในการส่งเสริมเศรษฐกิจของประเทศ จึงมุ่งมั่นพัฒนามาตรฐานของผลผลิตทางการเกษตรให้มีคุณภาพสูง มีคุณภาพและมีความปลอดภัย ตอบสนองความต้องการของตลาดโลก โดยให้การสนับสนุนเกษตรกรในด้านการเข้าถึงข้อมูลที่เป็นประโยชน์ในการเพาะปลูก การปรับใช้เทคโนโลยีสมัยใหม่เพื่อเพิ่มผลผลิต ลดต้นทุน และ รักษาคุณภาพของผลผลิตให้ได้มาตรฐานสากล

นายปณิธาน มีไชยโย ผู้อำนวยการ องค์การตลาดเพื่อเกษตรกร (อ.ต.ก.) เปิดเผยว่า อ.ต.ก. พร้อมด้วยกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ และ Shanghai Taihuixuan Technology Co., Ltd. ร่วมลงนามบันทึกข้อตกลงความร่วมมือ (MOU) เพื่อจัดตั้งร้านค้า “THAI MALL” ในแพลตฟอร์ม E-commerce ของประเทศจีน ซึ่งจะทำหน้าที่เป็นตลาดกลางในการซื้อขายสินค้าเกษตรและอาหารของไทยให้ถึงมือผู้บริโภคโดยตรง โดย อ.ต.ก. มีหน้าที่ในการจัดหา คัดเลือกผลไม้ที่มีคุณภาพ พร้อมทั้งจัดส่งไปยังเมืองเศรษฐกิจที่สำคัญของประเทศจีน ได้แก่ มหานครเซี่ยงไฮ้ เซินเจิ้น และเขตบริหารพิเศษฮ่องกง

สำหรับความร่วมมือในครั้งนี้ ถือเป็นการยกระดับอีกขั้นของภาคเกษตรไทย เพื่อขยายตลาดสินค้าเกษตร เชื่อมต่อห่วงโซ่อุปทานให้มีความสมบูรณ์ โดยมีเป้าหมายในการเปิดแบรนด์สินค้าในร้านค้าดังกล่าว ไม่น้อยกว่า 10 ร้าน ภายในเดือนกันยายน ปี 2568

อีกทั้งนับเป็นการขับเคลื่อนนโยบายของรัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ เพื่อให้ภาคการเกษตรของประเทศไทย ได้มีส่วนร่วมในแพลตฟอร์มห่วงโซ่อุปทานของโลก (Global E-commerce Platform) ผ่านการขยายสินค้าเกษตรและผลิตภัณฑ์ชุมชน ในระบบ E-commerce ต่างประเทศ โดยเฉพาะตลาดประเทศจีน ซึ่งมีความต้องการสินค้าเกษตรของไทยในปริมาณสูง และ เป็นการเชื่อมโยงระบบการค้าไทยไปสู่ประเทศอื่นๆ ที่มีศักยภาพในอนาคต

ด้าน Mr.Chen Zhifa ประธานกรรมการบริษัท Shanghai Taihuixuan Technology Co., Ltd. กล่าวว่า ประเทศจีนให้การยอมรับในสินค้าทางการเกษตร รวมถึงผลไม้ของไทยมาอย่างยาวนาน โดยบริษัทมีความยินดีที่ได้เป็นส่วนหนึ่งในความร่วมมือในครั้งนี้ โดยเป็นตัวกลางเชื่อมต่อสินค้าคุณภาพของไทยไปยังแพลตฟอร์มที่ได้มาตรฐาน และไปสู่เมืองที่มีความต้องการสินค้าสูง

โดยบริษัทมีความเชี่ยวชาญและมีประสบการณ์ด้านการค้าสินค้าออนไลน์ มีความพร้อมด้านขนส่ง โกดังเก็บสินค้า รวมถึงสามารถเข้าถึง และ ประชาสัมพันธ์ข้อมูลบนแพลตฟอร์ม E-commerce ของจีนได้เป็นอย่างดี ซึ่งความร่วมมือครั้งนี้จะเป็นการขับเคลื่อนนโยบายการพัฒนาภาคการเกษตรของประเทศไทย รวมถึงเป็นกำลังในการส่งเสริมความแข็งแกร่งของสินค้าไทยในระดับนานาชาติ

Page 1 of 11
X

Right Click

No right click