

ทรู คอร์ปอเรชั่น รุกสกัดต้นทางหลอกลวงของแก๊งคอลเซ็นเตอร์ ลุยคุมกำเนิดซิมผี เพิ่มประสิทธิภาพการลงทะเบียนซิมด้วยข้อมูลที่ถูกต้องและครบถ้วน ดึงศักยภาพ AI พัฒนาระบบอัจฉริยะพิสูจน์อัตลักษณ์ขั้นสูง ชูระบบ Liveness Detection ที่ผ่านการรับรองจาก iBeta ระดับ 2 ซึ่งเป็นมาตรฐานสากลระดับสูงสุด พร้อมฟีเจอร์ตรวจจับการปลอมแปลงและความผิดปกติทั้งเอกสารและไบโอเมทริกซ์แบบเรียลไทม์ทุกขั้นตอนของการลงทะเบียนซิม ตั้งแต่การถ่ายภาพนิ่งและ Liveness ตรวจสอบคุณภาพของภาพถ่าย พิสูจน์อัตลักษณ์ขั้นสูงในการยืนยันตัวตน เปรียบเทียบภาพได้แม่นยำมากกว่า 99% พร้อมตรวจสอบเอกสารที่ใช้ลงทะเบียนและอ้างอิงข้อมูลกับกรมการปกครอง สอดรับกับมาตรการยืนยันตัวตนและข้อมูลเกี่ยวกับการใช้บริการของผู้ใช้บริการโทรศัพท์เคลื่อนที่ของภาครัฐ พร้อมเปิดให้ลูกค้าทรู ดีแทค ลงทะเบียนซิมและยืนยันตัวตนด้วยระบบพิสูจน์อัตลักษณ์ขั้นสูงได้ง่ายๆด้วยตนเองผ่านทรูแอป (True App) แล้ววันนี้ และเตรียมเปิดใช้งานเต็มรูปแบบครบทุกช่องทางการลงทะเบียนซิมในเดือนกรกฎาคม 2568 นี้
นายจักรกฤษณ์ อุไรรัตน์ หัวหน้าคณะผู้บริหารด้านกิจการองค์กร บมจ. ทรู คอร์ปอเรชั่น กล่าวว่า การสกัด ตัดวงจรเหล่ามิจฉาชีพที่ใช้ซิมผีหลอกลวงประชาชน เป็นหนึ่งในภารกิจสำคัญที่ ทรู คอร์ปอเรชั่น มุ่งเน้นและร่วมมือกับหน่วยงานภาครัฐดำเนินมาตรการต่างๆอย่างต่อเนื่องมาตลอด เพื่อป้องกันความเสียหายและเพิ่มความปลอดภัยให้แก่ลูกค้าทรู ดีแทค รวมถึงผู้บริโภคชาวไทย ล่าสุด ทรู ยกระดับมาตรการยืนยันตัวตนและข้อมูลเกี่ยวกับการใช้บริการของผู้ใช้บริการโทรศัพท์เคลื่อนที่อย่างรัดกุมและเข้มข้นมากขึ้น โดยพัฒนาระบบลงทะเบียนซิมรูปแบบใหม่ที่สามารถพิสูจน์อัตลักษณ์ขั้นสูงด้วย AI ที่มีความแม่นยำมากกว่า 99% และอีกหลายฟีเจอร์อัจฉริยะ ซึ่งจะช่วยคัดกรอง เปรียบเทียบ และตรวจจับการปลอมแปลงและข้อมูลเท็จได้แบบเรียลไทม์ เพิ่มความมั่นใจในการปกป้องลูกค้าจากภัยไซเบอร์แบบครบวงจร ตั้งแต่ขั้นตอนการลงทะเบียนซิม ไปจนถึง การบล็อกลิงก์อันตรายและแจ้งเตือนสายเรียกเข้าที่อาจเป็นมิจฉาชีพผ่าน True CyberSafe ที่ใช้ AI ช่วยวิเคราะห์และตรวจจับพฤติกรรมต้องสงสัย เราเชื่อมั่นว่า การลงทุนในเทคโนโลยี AI นำมาพัฒนาระบบอัจฉริยะเพื่อรับมือกับภัยไซเบอร์ ไม่เพียงช่วยแก้ไขปัญหาการหลอกลวงทางไซเบอร์และบรรเทาความเดือดร้อนของประชาชน แต่ยังสอดคล้องตามหลักธรรมาภิบาลของบริษัทในการดำเนินธุรกิจตามแนวทางแห่งความยั่งยืน นับเป็นความก้าวหน้าของอุตสาหกรรมโทรคมนาคมด้านมาตรฐานความปลอดภัยในการใช้บริการ ช่วยให้ลูกค้ามั่นใจมากยิ่งขึ้นเมื่อใช้บริการของทรู
ระบบลงทะเบียนซิมรูปแบบใหม่ของทรู ดีแทค มาพร้อมความสามารถในการพิสูจน์อัตลักษณ์ขั้นสูงได้แบบเรียลไทม์ ประยุกต์ใช้ AI ในทุกขั้นตอนของการลงทะเบียน ด้วยฟีเจอร์เด่น ดังนี้
1) ตรวจสอบคุณภาพของภาพถ่าย ทั้งบัตรประชาชน และภาพหน้าตรงแบบ Liveness
2) ตรวจสอบสภาพแวดล้อมขณะทำการยืนยันตัวตน เช่น แสงสว่าง และสิ่งปกปิดใบหน้า
3) ตรวจจับการปลอมแปลงในการทำอัตลักษณ์แบบ Liveness ใช้ AI ขั้นสูง ที่ได้รับการรับรอง iBeta ระดับ 2 ซึ่งเป็นมาตรฐานสากลระดับสูงสุด การันตีความสามารถในการตรวจจับความผิดปกติได้ทั้งภาพนิ่ง การเล่นวิดีโอจากหน้าจอ การใช้ Deepfake บนหน้าจอ และการใช้หน้ากากปลอมทั้ง 2D และ 3D
4) AI เปรียบเทียบอัตลักษณ์ ตรวจสอบภาพใบหน้าจริงกับฐานข้อมูล ด้วยความแม่นยำมากกว่า 99%
5) ตรวจสอบความถูกต้องของเอกสารที่ใช้ลงทะเบียน ทั้งจับแสงสะท้อน ความคมชัด ตรวจจับการแก้ไข ปลอมแปลง ตัดต่อ สำเนา หรือใช้เอกสารที่ไม่ใช่เอกสารจริง
6) ตรวจสอบข้อมูลแบบเรียลไทม์ กับกรมการปกครอง ภายใต้ พ.ร.บ.คุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล
ลูกค้าที่ซื้อซิมทรู ดีแทค ผ่านช่องทางออนไลน์ สามารถลงทะเบียนซิมและยืนยันตัวตนด้วยระบบพิสูจน์อัตลักษณ์ขั้นสูงผ่านทรูแอป (True App) ได้แล้ววันนี้ และจะเปิดใช้งานเต็มรูปแบบครบทุกช่องทางการลงทะเบียนซิมในเดือนกรกฎาคม 2568 นี้เป็นต้นไป สอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ คอลเซ็นเตอร์ ทรู 1242 หรือ ดีแทค 1678
ทรู คอร์ปอเรชั่น โดย นางสาวสุจิตรา อมิตรพ่าย (ที่ 4 จากซ้าย) หัวหน้าสายงานบริหารฝ่ายปฏิบัติการ ทรู รีเทลช็อป ร่วมกับ Pocketalk Corporation โดย มร.มาซาฮารุ วากายามะ (ที่ 5 จากขวา) ประธานกรรมการ Pocketalk Corporation ประเทศญี่ปุ่น ประกาศเปิดตัวการขายเครื่องแปลภาษาระบบ AI “Pocketalk” อันดับ 1 ของญี่ปุ่นในด้านการแปลภาษาหลายภาษาแบบเรียลไทม์ รองรับการแปลกว่า 85 ภาษา ที่มาพร้อมกับฟังก์ชันใช้งานที่สะดวก รวดเร็ว เหมาะสำหรับการใช้งานทั้งในชีวิตประจำวันและการเดินทาง โดยวางจำหน่ายเฉพาะที่ทรูช็อป 21 สาขาทั่วประเทศไทย
สำหรับ Pocketalk เป็นอุปกรณ์แปลภาษาด้วย AI ที่ช่วยให้ผู้ที่พูดภาษาของตนเอง สามารถสื่อสารกับภาษาอื่นๆได้อย่างง่ายดาย “พูดปุ๊ปแปลปั๊ป ทลายทุกกำแพงทางภาษา สื่อสารอย่างไร้ขีดจำกัด ด้วย Pocketalk” โดยรองรับการแปลด้วยเสียงและข้อความแบบเรียลไทม์ อาทิเช่น ภาษาญี่ปุ่น, ภาษาอังกฤษ, ภาษาจีน, ภาษาฝรั่งเศส, ภาษาเกาหลี รวมกว่า 74 ภาษา และการแปลเฉพาะข้อความอีก 11 ภาษา อาทิเช่น ภาษามองโกเลีย, ภาษาจอร์เจีย, ภาษาอาเซอร์ไบจาน, ภาษาลาว เป็นต้น ใช้กลไกแปลภาษาด้วย AI บนคลาวด์ที่ล้ำสมัย ซึ่งช่วยให้การแปลแม่นยำและรวดเร็ว แม้ในกรณีของประโยคยาวๆ ตอบโจทย์ทั้งการใช้ทำงานและการท่องเที่ยว เพียงแค่ใช้สายคล้องคอกับตัวเครื่อง ก็พร้อมลุยไปกับคุณได้ทุกที่ ทุกเวลา
นอกจากนี้ Pocketalk ยังมาพร้อมฟังก์ชันฝึกอ่านออกเสียง โดยสามารถตรวจจับการออกเสียงของผู้ใช้ และตรวจสอบได้ว่าคำใดในประโยคที่ออกเสียงผิด เพื่อให้สามารถฝึกออกเสียงได้อย่างถูกต้อง เป็นเครื่องมือช่วยพัฒนาทักษะการพูดภาษาต่างประเทศได้อย่างแม่นยำและเป็นธรรมชาติยิ่งขึ้น และตัวเครื่องพร้อมอินเทอร์เน็ตโรมมิ่งในตัว ให้ใช้งานฟรีสองปี ช่วยให้การแปลเป็นไปอย่างราบรื่นแม้ในพื้นที่ที่ไม่มี Wi-Fi สามารถใช้งานได้ทันทีกว่า 140 ประเทศ สามารถดูรายละเอียดที่: https://th.pocketalk-th.com/
ทรูช็อป 21 สาขาที่ วางจำหน่าย ทรูแบรนด์ดิ้งช็อปสยามพารากอน, ทรูช็อปเซ็นทรัลบางนา, ทรูช็อปเซ็นทรัลลาดพร้าว, ทรูช็อปเซ็นทรัลพระราม 3, ทรูช็อปเซ็นทรัลพระราม 9, ทรูช็อปเซ็นทรัลเวสต์เกต, ทรูช็อปเซ็นทรัลเวิลด์, ทรูช็อปเอ็มควอเทียร์, ทรูช็อปเมกาบางนา, ทรูช็อปซีคอนบางแค, ทรูช็อปซีคอนสแควร์ 2, ทรูช็อปซีคอนสแควร์, ทรูช็อปสีลมคอมเพล็กซ์, ทรูช็อปเทอมินอล21อโศก, ทรูช็อปเดอะมอลล์บางกะปิ, ทรูช็อปเมญ่าไลฟ์สไตล์ช้อปปิ้งเซ็นเตอร์ (เชียงใหม่), ทรูช็อปเซ็นทรัลพัทยา, ทรูช็อปเทอมินอล21พัทยา, ทรูช็อปเซ็นทรัลพลาซาอุดรธานี, ทรูช็อปเซ็นทรัลภูเก็ตเฟสติวัล, ทรูช็อปเซ็นทรัลสมุย
ประเทศไทยได้รับความเชื่อมั่นในระดับสูงจากนักลงทุนชั้นนำระดับโลกอีกครั้ง เมื่อคณะผู้บริหารระดับสูงจาก Global Infrastructure Partners (GIP) กลุ่มทุนด้านโครงสร้างพื้นฐานภายใต้ BlackRock ซึ่งเป็นหนึ่งในผู้จัดการสินทรัพย์ที่ใหญ่ที่สุดในโลก เดินทางเยือนไทยอย่างเป็นทางการ นำโดยนายอเดบาโย โอกุนเลซี ผู้ร่วมก่อตั้ง ประธาน และซีอีโอของ GIP และกรรมการผู้จัดการอาวุโสของ BlackRock ในการนี้ นายโอกุนเลซีได้เข้าพบ นางสาวแพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี เพื่อหารือแนวทางการลงทุนและความร่วมมือด้านโครงสร้างพื้นฐานดิจิทัลในประเทศไทย โดยมี นายศุภชัย เจียรวนนท์ ประธานคณะผู้บริหาร เครือเจริญโภคภัณฑ์ (CP Group) พร้อมด้วยผู้บริหารจาก True IDC ร่วมแสดงวิสัยทัศน์และยืนยันความพร้อมของภาคเอกชนไทยในการยกระดับประเทศไทยสู่ ศูนย์กลางเทคโนโลยีและ AI ของภูมิภาค
นางสาวแพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี ได้กล่าวต้อนรับ และแสดงความยินดี พร้อมระบุว่า ทางรัฐบาลจะพยายามทำให้กระบวนการลงทุนโครงสร้างพื้นฐานของเอกชนมีความสะดวกรวดเร็ว และราบรื่น นอกจากนี้ยังยินดีที่จะสนับสนุนความร่วมมือของภาคเอกชน กับหน่วยงานการศึกษา เกี่ยวกับการพัฒนาองค์ความรู้ และทรัพยากรมนุษย์ เพื่อเสริมสร้างเศรษฐกิจดิจิทัล และดาต้าเซ็นเตอร์อย่างเต็มกำลัง
นายศุภชัย เจียรวนนท์ ประธานคณะผู้บริหาร เครือเจริญโภคภัณฑ์ กล่าวว่า “ประเทศไทยมีศักยภาพสูงในการเป็นศูนย์กลางดิจิทัลและ AI ของภูมิภาคอาเซียน และกำลังเข้าสู่ยุคของ Giga Data Center ซึ่งเป็นศูนย์ข้อมูลที่ออกแบบมาเพื่อรองรับพลังงานระดับกิกะวัตต์ รองรับเวิร์กโหลดที่มีความเข้มข้นสูง ตอบสนองความต้องการของบริษัทเทคโนโลยีระดับโลกที่ต่างพากันเข้ามาลงทุนในไทย CP Group จึงมุ่งมั่นที่จะทำงานร่วมกับพันธมิตรระดับนานาชาติอย่าง GIP และภาครัฐไทย เพื่อยกระดับโครงสร้างพื้นฐานดิจิทัลของประเทศให้ตอบโจทย์การเป็นดิจิทัลฮับของอาเซียน เพิ่มทุนพัฒนามนุษย์ ตลอดจนโครงการวิจัย และพัฒนาที่จะต้องมีรองรับ สามารถยกระดับไทยเป็นศูนย์กลางด้านการศึกษา ประโยชน์ก็จะตกอยู่กับลูกหลานของไทยในด้านการศึกษา และการคิดค้นนวัตกรรม ”
ด้านนายอาเดบาโย โอกุนเลสี ผู้ร่วมก่อตั้ง ประธานและซีอีโอของ GIP และกรรมการผู้จัดการอาวุโส BlackRock กล่าวว่า “GIP มีเครือข่ายการดำเนินงานในกว่า 100 ประเทศ และมีประสบการณ์ยาวนานในการสนับสนุนโครงการโครงสร้างพื้นฐานขนาดใหญ่ที่สำคัญระดับโลก อาทิ สนามบิน ท่าเรือ ระบบพลังงานไฟฟ้า พลังงานหมุนเวียน และเครือข่ายศูนย์ข้อมูล ซึ่งล้วนแต่เป็นระบบพื้นฐานที่รองรับการเติบโตของเศรษฐกิจดิจิทัลในระยะยาว เราเชื่อมั่นในศักยภาพของประเทศไทยในฐานะจุดยุทธศาสตร์สำคัญของเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ประเทศไทยมีความพร้อมทั้งในด้านภูมิศาสตร์ โครงสร้างพื้นฐาน พลังงาน และทรัพยากรมนุษย์ ซึ่งล้วนเป็นปัจจัยเกื้อหนุนต่อการเติบโตในระยะยาว การลงทุนของ GIP ในประเทศไทยครั้งนี้ไม่ใช่เพียงแค่โอกาสทางธุรกิจ แต่คือความร่วมมือที่มีเป้าหมายเพื่อร่วมสร้างระบบดิจิทัลที่มั่นคง มีเสถียรภาพ และยั่งยืน พร้อมวางรากฐานใหม่ให้กับเศรษฐกิจดิจิทัลระดับภูมิภาค”
ไฮไลต์สำคัญของการเยือนไทยในครั้งนี้ คือ GIP-BlackRock จะร่วมมือกับพันธมิตร ผ่านแผนการลงทุนโครงสร้างพื้นฐานดิจิทัล มูลค่ากว่า 3-5 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ หรือประมาณ 105,000-175,000 ล้านบาท ในโครงสร้างพื้นฐานดิจิทัลของประเทศไทย โดยเฉพาะด้านศูนย์ข้อมูล (Data Center) ซึ่งจะช่วยส่งเสริมความสามารถในการรองรับเวิร์กโหลดของเทคโนโลยีขั้นสูง เช่น AI, Big Data และ Cloud Services การลงทุนดังกล่าวไม่เพียงสร้างการจ้างงานใหม่จำนวนมากในกลุ่มวิศวกรรมและเทคโนโลยี แต่ยังช่วยเพิ่มศักยภาพของประเทศไทยในการแข่งขันในเวทีเศรษฐกิจโลกยุคใหม่
ในบริบทระดับภูมิภาค เอเชียตะวันออกเฉียงใต้กำลังกลายเป็นศูนย์กลางใหม่ของการเติบโตในตลาดดาต้าเซ็นเตอร์ โดยมีรายงานการคาดการณ์มูลค่าตลาดจะเติบโตที่ 3.81 พันล้านดอลลาร์ในปี 2567 ถึง 2572 ด้วยอัตราการเติบโตเฉลี่ยต่อปีราว 6.8% จากแรงขับเคลื่อนของ Edge Computing, AI และการใช้งานคลาวด์ในวงกว้าง ตลอดจนการคาดการณ์ว่าตลาดดาต้าเซ็นเตอร์ของไทยจะมีอัตราการเติบโตเฉลี่ยต่อปีราว 7.5%-8.5% ในระยะ 3 ปีข้างหน้า นี่คือโอกาสของประเทศไทยที่จะกลายเป็นศูนย์กลางเทคโนโลยีที่มีบทบาทสำคัญในระบบเศรษฐกิจของอาเซียน
การเยือนไทยของ GIP-BlackRock ครั้งนี้จึงถือเป็นจุดเริ่มต้นของความร่วมมือเชิงกลยุทธ์ที่สำคัญ การหลอมรวมวิสัยทัศน์ของภาครัฐ ผู้นำอุตสาหกรรมไทย และนักลงทุนระดับโลก เป็นการวางรากฐานเพื่อสร้างนวัตกรรมแห่งอนาคต ที่ประเทศไทยจะเป็นผู้กำหนดทิศทางใหม่ของภูมิภาค สู่ยุคเศรษฐกิจดิจิทัลที่ขับเคลื่อนด้วยโครงสร้างพื้นฐานอัจฉริยะอย่างแท้จริง
บริษัท ทรู คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) บริษัทโทรคมนาคม-เทคโนโลยีชั้นนำอันดับ 1 ของไทย และอันดับ 1 ของโลกด้านความยั่งยืน ด้วยคะแนน DJSI 2024 สูงสุดในกลุ่มอุตสาหกรรมโทรคมนาคมต่อเนื่องเป็นปีที่ 7 เตรียมเสนอขายหุ้นกู้ชุดใหม่ เปิดโอกาสการลงทุนในช่วงดอกเบี้ยขาลง โดยเสนอขายให้แก่ประชาชนทั่วไป จำนวน 5 ชุด อายุตั้งแต่ 3 ปี ถึง 10 ปี ด้วยอัตราดอกเบี้ยคงที่ระหว่าง 3.00 - 3.85% ต่อปี จ่ายดอกเบี้ยทุก 6 เดือนตลอดอายุหุ้นกู้ เสริมด้วยอันดับความน่าเชื่อถือ “A+” แนวโน้ม “คงที่” (Stable) จากทริสเรทติ้ง เมื่อวันที่ 20 มีนาคม 2568 สะท้อนถึงความแข็งแกร่งของบริษัทฯ ในธุรกิจโทรคมนาคมและธุรกิจเทคโนโลยีดิจิทัล คาดเปิดให้จองซื้อระหว่างวันที่ 2 และวันที่ 6 - 7 พฤษภาคม 2568 ผ่าน 7 สถาบันการเงินชั้นนำได้แก่ ธนาคารกรุงเทพ กสิกรไทย ไทยพาณิชย์ ซีไอเอ็มบี ยูโอบี บริษัทหลักทรัพย์เกียรตินาคินภัทร และบริษัทหลักทรัพย์ เอเซีย พลัส รวมถึงการขายผ่านแอปพลิเคชัน TrueMoney Wallet โดยมีธนาคารกรุงศรีอยุธยา เป็นนายทะเบียนหุ้นกู้และผู้แทนผู้ถือหุ้นกู้
นางสาวยุภา ลีวงศ์เจริญ หัวหน้าคณะผู้บริหารด้านการเงิน (ร่วม) บริษัท ทรู คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน)กล่าวว่า “หุ้นกู้ TRUE ชุดใหม่ที่กำลังจะเสนอขายในครั้งนี้ มี 5 รุ่น อายุตั้งแต่ 3 ปี ถึง 10 ปี เพื่อตอบโจทย์ความต้องการของนักลงทุนทุกกลุ่ม ไม่ว่าจะเป็นผู้ที่ต้องการลงทุนระยะสั้น ระยะกลาง หรือระยะยาว ที่มองหาโอกาสรับดอกเบี้ยอย่างสม่ำเสมอ ด้วยอัตราผลตอบแทนที่น่าสนใจและด้วยสถานะการเงินที่แข็งแกร่งของบริษัทฯ ทำให้นักลงทุนมั่นใจได้ว่าหุ้นกู้ TRUE เป็นทางเลือกการลงทุนที่มั่นคงในสภาวะตลาดปัจจุบัน โดยการออกหุ้นกู้ครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อให้กู้ยืมแก่บริษัทย่อยเพื่อนำเงินที่ได้ไปชำระคืนหุ้นกู้ที่ถึงกำหนดชำระ (refinancing)
หุ้นกู้ TRUE เป็นอีกหนึ่งโอกาสการลงทุนที่น่าสนใจ และคาดว่าจะได้รับการตอบรับจากผู้ลงทุนเป็นอย่างดีเหมือนทุกครั้งที่ผ่านมา ซึ่งมีนักลงทุนจำนวนมากให้ความสนใจจองซื้อครบเต็มจำนวน และในปัจจุบัน ดอกเบี้ยมีแนวโน้มปรับตัวลดลง จึงเป็นจังหวะที่ดีสำหรับนักลงทุนในการสะสมหุ้นกู้ในช่วงนี้ เพื่อล็อกผลตอบแทนไว้ล่วงหน้า โดยเฉพาะนักลงทุนที่นิยมลงทุนในหุ้นกู้ที่มีคุณภาพสูง”
หุ้นกู้ บริษัท ทรู คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) ชุดใหม่นี้ เสนอขาย ต่อประชาชนเป็นการทั่วไป (Public Offering) โดยมีอายุระหว่าง 3 ปี ถึง 10 ปี ซึ่งเป็นหุ้นกู้ชนิดระบุชื่อผู้ถือ ประเภทไม่ด้อยสิทธิ ไม่มีประกัน และมีผู้แทนผู้ถือหุ้นกู้ อันดับความน่าเชื่อถือของบริษัทฯ และหุ้นกู้อยู่ที่ระดับ “A+” แนวโน้ม “คงที่” หรือ “Stable” จากทริสเรทติ้ง เมื่อวันที่ 20 มีนาคม 2568 คาดว่าจะเปิดให้จองซื้อระหว่างวันที่ 2 และวันที่ 6 - 7 พฤษภาคม 2568 สำหรับผู้ลงทุนทั่วไป มูลค่าจองซื้อขั้นต่ำ 100,000 บาท และทวีคูณครั้งละ 100,000 บาท โดยอัตราดอกเบี้ยหุ้นกู้ TRUE ชุดใหม่ ทั้ง 5 ชุด มีดังนี้
1. หุ้นกู้ชุดที่ 1 อายุ 3 ปี อัตราดอกเบี้ยคงที่ 3.00% ต่อปี
2. หุ้นกู้ชุดที่ 2 อายุ 4 ปี อัตราดอกเบี้ยคงที่ 3.30% ต่อปี
3. หุ้นกู้ชุดที่ 3 อายุ 5 ปี อัตราดอกเบี้ยคงที่ 3.50% ต่อปี
4. หุ้นกู้ชุดที่ 4 อายุ 7 ปี อัตราดอกเบี้ยคงที่ 3.70% ต่อปี
5. หุ้นกู้ชุดที่ 5 อายุ 10 ปี อัตราดอกเบี้ยคงที่ 3.85% ต่อปี และผู้ออกหุ้นกู้มีสิทธิไถ่ถอนหุ้นกู้ก่อนวันครบกำหนดได้ตั้งแต่วันครบกำหนดปีที่ 5 เป็นต้นไป
ทั้งนี้ บริษัทฯ อยู่ระหว่างการยื่นแบบแสดงรายการข้อมูลการเสนอขายตราสารหนี้ และร่างหนังสือชี้ชวนซึ่งยังไม่มีผลบังคับใช้ เนื่องจากอยู่ระหว่างการพิจารณาของสำนักงาน ก.ล.ต. ผู้ลงทุนสามารถศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้จากแบบแสดงรายการข้อมูลการเสนอขายตราสารหนี้ และร่างหนังสือชี้ชวนที่ www.sec.or.th หรือ สอบถามรายละเอียดที่ผู้จัดการการจัดจำหน่ายหุ้นกู้ทั้ง 7 แห่ง ได้แก่
• ธนาคารกรุงเทพ จำกัด (มหาชน) ทุกสาขา (ยกเว้นสาขาไมโคร) หรือ โทร. 1333 หรือจองซื้อทางออนไลน์ผ่าน Bangkok Bank Mobile Banking
• ธนาคารกสิกรไทย จำกัด (มหาชน) ทุกสาขา โทร. 02 888 8888 กด 869 หรือจองซื้อทางออนไลน์ผ่าน https://www.kasikornbank.com/kmyinvest (ยกเว้นบุคคลสัญชาติต่างด้าว และนิติบุคคล สามารถจองซื้อผ่านสำนักงานใหญ่และสาขา) และรวมถึงบริษัทหลักทรัพย์ กสิกรไทย จำกัด (มหาชน) ในฐานะหน่วยงานขายของธนาคารกสิกรไทย จำกัด (มหาชน)
• ธนาคารไทยพาณิชย์ จำกัด (มหาชน) ทุกสาขา หรือ โทร. 02 777 6784 หรือจองซื้อทางออนไลน์ผ่านแอป SCB EASY และรวมถึงบริษัทหลักทรัพย์ อินโนเวสท์ เอกซ์ จำกัด ในฐานะหน่วยงานขายของธนาคารไทยพาณิชย์ จำกัด (มหาชน)
• ธนาคารซีไอเอ็มบี ไทย จำกัด (มหาชน) ทุกสาขา หรือ โทร. 02 626 7777 หรือจองซื้อทางออนไลน์ผ่าน แอป CIMB Thai
• ธนาคารยูโอบี จำกัด (มหาชน) ทุกสาขา หรือ โทร. 02 285 1555
• บริษัทหลักทรัพย์ เอเซีย พลัส จำกัด โทร. 02 680 4004
• บริษัทหลักทรัพย์ เกียรตินาคินภัทร จำกัด (มหาชน) โทร. 02 165 5555 หรือจองซื้อทางออนไลน์ผ่านแอปฯ Dime! และรวมถึง ธนาคารเกียรตินาคินภัทร จำกัด (มหาชน) ในฐานะหน่วยงานขายของบริษัทหลักทรัพย์ เกียรตินาคินภัทร จำกัด (มหาชน)
สำหรับผู้สนใจจองซื้อหุ้นกู้ผ่านแอปพลิเคชัน TrueMoney Wallet สามารถศึกษาเพิ่มเติมได้ที่เว็บไซต์ www.truemoney.com หรือติดต่อขอคำแนะนำจากเจ้าหน้าที่ของ บริษัท ทรู มันนี่ จำกัด โทร. 1240 กด 6