ทรู คอร์ปอเรชั่น ตระหนักถึงความรับผิดชอบที่จะสร้างสังคมดิจิทัลที่ปลอดภัย โดยเฉพาะการปกป้องคนไทยจากภัยไซเบอร์ที่ปัจจุบันทวีความซับซ้อนและส่งผลกระทบร้ายแรงต่อชีวิตและทรัพย์สิน โดยได้ลงทุนพัฒนาระบบและนำเทคโนโลยี AI ขั้นสูงยกระดับภารกิจรักษาความปลอดภัยไซเบอร์ เปิดตัวบริการใหม่ “ทรู ไซเบอร์เซฟ True CyberSafe” ระบบป้องกันภัยไซเบอร์จากมิจฉาชีพ ทั้งจาก ลิ้งค์แปลกปลอม SMS หลอกลวง และการกรองสายเรียกเข้า โดยนำร่องให้บริการระบบปิดกั้นและแจ้งเตือนการเข้าถึงลิ้งก์แปลกปลอม (Web / URL Protection) ทั้งที่เป็น Blacklist จากภาครัฐ และลิ้งก์ที่มีความเสี่ยง รวมเบื้องต้นกว่า 100,000 ลิ้งก์ สำหรับลูกค้ามือถือทรู ดีแทค และเน็ตบ้านทรูออนไลน์ทุกคน ฟรี! ทันที ไม่ต้องลงทะเบียนหรือโหลดแอปเพิ่มเติม สร้างความมั่นใจให้คนไทยสามารถใช้งานโลกดิจิทัลได้อย่างปลอดภัย พร้อมเตรียมต่อยอดแจ้งเตือน SMS AI Filter และแจ้งเตือนสายเรียกเข้า Call AI Filter ที่จะลดความเสี่ยงทุกมิติจากภัยไซเบอร์ อีกทั้ง ผนึกกำลัง แอสเซนด์ มันนี่ (ทรูมันนี่) เพิ่มความปลอดภัยยิ่งขึ้น สำหรับลูกค้ามือถือทรู ดีแทค เมื่อใช้จ่ายผ่านแอปทรูมันนี่ ด้วยระบบป้องกันการดูดเงิน 3 ชั้น 'TrueMoney 3 x Protection' ตรวจ-จับ-หยุด ธุรกรรมแปลกปลอมที่มั่นใจได้มากกว่า ยิ่งไปกว่านั้น ทรู คอร์ปอเรชั่น เดินหน้าจับมือภาคีทุกภาคส่วน ทั้งภาครัฐ ไม่ว่าจะเป็น กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม หรือ DE คณะกรรมการกิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ หรือกสทช. สำนักงานคณะกรรมการการรักษาความมั่นคงปลอดภัยไซเบอร์แห่งชาติ สกมช. หรือ NCSA สำนักงานตำรวจแห่งชาติ รวมถึง ภาคเอกชน ทั้งในและต่างประเทศ เพื่อร่วมกันปกป้องคนไทยจากภัยไซเบอร์อย่างรอบด้าน
“มุ่งสร้างสังคมดิจิทัลที่ปลอดภัย”
นายมนัสส์ มานะวุฒิเวช ประธานคณะผู้บริหาร บมจ. ทรู คอร์ปอเรชั่น กล่าวว่า “ทรู คอร์ปอเรชั่น เดินหน้าอย่างมุ่งมั่นในภารกิจสร้างสังคมดิจิทัลที่ ครอบคลุม ปลอดภัย และยั่งยืน โดยให้ความสำคัญกับการลงทุนในโครงสร้างพื้นฐานดิจิทัลแบบครบวงจร ทั้งการเป็นผู้บุกเบิกเทคโนโลยี 3G 4G และ 5G เป็นรายแรก การวางโครงข่ายไฟเบอร์ที่ครอบคลุมทั่วประเทศแม้ในพื้นที่ห่างไกล และการสร้างระบบนิเวศน์ดิจิทัลที่แข็งแกร่ง ยกระดับคุณภาพชีวิตของคนไทยให้ดียิ่งขี้นในทุกมิติ เพื่อร่วมทรานส์ฟอร์มประเทศไทยสู่ Digital Economy อย่างเต็มรูปแบบ ขณะเดียวกัน ทรู
คอร์ปอเรชั่น ยังได้ให้ความสำคัญกับการขับเคลือนสู่สังคมดิจิทัลอย่างมีความรับผิดชอบ ซึ่งรวมถึง Responsible AI (RAI) ที่มีการใช้ AI ตามแผนการใช้ปัญญาประดิษฐ์อย่างมีความรับผิดชอบ และภารกิจดูแลปกป้องประชาชนจากภัยไซเบอร์ ที่กลายเป็นปัญหาสำคัญในปัจจุบัน ส่งผลกระทบต่อชีวิตและทรัพย์สินของประชาชน โดยล่าสุด ทรู คอร์ปอเรชั่น ได้ลงทุนพัฒนาระบบป้องกันภัยทางไซเบอร์ ที่นำเทคโนโลยี AI ขั้นสูงมาใช้เพื่อดูแลปกป้องลูกค้าทรู ดีแทค ของเราทุกคน ซึ่งเป็นที่มาของการเปิดบริการ “ทรู ไซเบอร์เซฟ ปกป้องภัยไซเบอร์” ในวันนี้ อันเป็นอีกก้าวสำคัญที่แสดงถึงความตั้งใจของทรู คอร์ปอเรชั่นในการรับผิดชอบสังคมดิจิทัล และพร้อมร่วมมือกับทุกภาคส่วนทั้ง กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม คณะกรรมการกิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ หรือ กสทช. สำนักงานตำรวจแห่งชาติ สำนักงานคณะกรรมการการรักษาความมั่นคงปลอดภัยไซเบอร์แห่งชาติ (สกมช.) และพันธมิตรเอกชน เช่น บริษัท แอสเซนต์ มันนี่ จำกัด รวมถึงอีกหลายองค์กรทั้งในและต่างประเทศ เพื่อสร้างระบบป้องกันที่แข็งแกร่งและครอบคลุมทุกมิติ ”
“ยกระดับความปลอดภัยไซเบอร์ เพื่อลูกค้าทรู ดีแทคทุกคน”
นางสุกัณณี เลิศสุขวิบูลย์ หัวหน้าสายงานธุรกิจต่างประเทศและบริการดิจิทัล บมจ. ทรู คอร์ปอเรชั่น กล่าวว่า “ทรู คอร์ปอเรชั่น ตระหนักถึงปัญหาภัยไซเบอร์ที่สร้างความเสียหายทั้งชีวิตและทรัพย์สิน โดยในปี 2566 ที่ผ่านมา คนไทยสูญเสียจากการถูกหลอกออนไลน์สูงเป็นอันดับ 4 ของโลก และประเทศไทยมีปัญหา การโทรหลอกลวง สูงเป็นอันดับสองในเอเชีย และ SMS หลอกลวงมากที่สุดในเอเชีย ซึ่งส่วนใหญ่มีลิงก์ ที่มาจากเบราว์เซอร์ที่มีความเสี่ยงแนบมาด้วย ดังนั้น เราจึงได้พัฒนาบริการใหม่ “ทรู ไซเบอร์เซฟ ปกป้องภัยไซเบอร์” ซึ่งเป็นระบบป้องกันภัยไซเบอร์ที่ทันสมัย โดยทรูได้ลงทุนพัฒนาและนำ AI ขั้นสูงมาใช้เพื่อยกระดับการปกป้องและเพิ่มความปลอดภัยในการใช้บริการโลกออนไลน์ โดยระยะแรกจะให้บริการระบบคัดกรองลิ้งค์แปลกปลอมที่รวบรวมจากพันธมิตรทั้งภาครัฐและเอกชนทั่วโลกกว่า 100,000 ลิ้งค์ โดยลูกค้าจะได้รับการบล็อก หรือ แจ้งเตือนทันทีหลังจากกดลิ้งก์จาก SMS หรือบราวเซอร์ เพื่อให้ลูกค้าพิจารณาอย่างถี่ถ้วนก่อนจะตัดสินใจเลือกเข้าหรือไม่เข้าสู่ลิ้งก์ดังกล่าว โดย เปิดให้ลูกค้ามือถือทรู ดีแทค หรือทรูออนไลน์ ที่เชื่อมต่อเน็ตบ้าน หรือ WiFi ของทรูทุกคน ใช้บริการได้ ฟรี! ไม่มีค่าใช้จ่าย สามารถใช้ได้ทันที ไม่ต้องลงทะเบียนหรือโหลดแอปเพิ่มเติม”
“ทุ่มทุนพัฒนา AI ขั้นสูง กับ True CyberSafe “
ทรู ไซเบอร์เซฟ เป็นระบบป้องกันภัยไซเบอร์ ที่ทรูได้พัฒนานำ AI ขั้นสูงมาใช้เพื่อช่วยในการวิเคราะห์ แบบแผน และพฤติกรรม การใช้ลิงก์/URL , การส่งSMS และ การโทร เพื่อหาความเสี่ยงจากมิจฉาชีพ ผ่านแมชชีนเลิร์นนิ่ง รวมทั้งช่วยตรวจจับ คัดกรอง ลิ้งก์/URL แปลกปลอม ที่รวบรวมฐานข้อมูล จากความร่วมมือกับภาครัฐ พันธมิตรเอกชน การร้องเรียนจากลูกค้า การวิเคราะห์จาก AI และจากการลงทุนของกลุ่มทรู ซึ่งได้มาจากทั่วโลกกว่า 100,000 ลิ้งก์ในระยะแรก และจะมีการพัฒนาฐานข้อมูลให้ครอบคลุมกลลวงมิจฉาชีพเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง ทั้งนี้ ระบบทรู ไซเบอร์เซฟ ยังเป็นไปตามข้อบังคับ PDPA โดยใช้เทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์ขั้นสูง เพื่อปกป้องความปลอดภัยของข้อมูลส่วนตัวของลูกค้า ซึ่งกระบวนการทำงานของ AI ทั้งหมดนี้ ทำให้ทรูสามารถตรวจพบสิ่งผิดปกติ และแจ้งเตือนภัยออนไลน์ จากมิจฉาชีพ ได้อย่างแม่นยำ รวดเร็ว และสามารถป้องกันภัยไซเบอร์จากมิจฉาชีพได้ใน 4 รูปแบบ คือ 1. ลิ้งค์แปลกปลอม ปกป้องลูกค้ามือถือทรู ดีแทค : บล็อก หรือ แจ้งเตือน เมื่อมีการเข้าถึงเว็บไซต์ที่อาจเป็นอันตราย หากลูกค้ากดเข้าไป จาก SMS หรือ บราวเซอร์ 2. ลิ้งค์แปลกปลอม ปกป้องลูกค้าเน็ตบ้านทรูออนไลน์ : บล็อก หรือ แจ้งเตือน เมื่อมีการเข้าถึงเว็บไซต์ที่อาจเป็นอันตราย บนเว็บบราวเซอร์ 3. SMS AI Filter : โดยจะแจ้งเตือนSMS ที่อาจเป็นมิจฉาชีพ ใช้ AI ในการประมวลพฤติกรรมของมิจฉาชีพ 4. Call AI Filter การกรองสายเรียกเข้า : แจ้งเตือนสายเรียกเข้าที่อาจเป็นมิจฉาชีพ โดยความร่วมมือกับหน่วยงานภาครัฐและพันธมิตรเอกชน ซึ่งคาดว่าจะเปิดให้บริการอย่างเต็มระบบทุกรูปแบบราวเดือนมีนาคม 2568
“ผนึกทรูมันนี่ ชูระบบป้องกันการดูดเงิน 3 ชั้น”
นอกเหนือจาก การพัฒนาระบบความปลอดภัยไซเบอร์ด้วยเทคโนโลยีล้ำสมัยแล้ว ทรู คอร์ปอเรชั่น ยังได้ร่วมกับ แอสเซนต์ มันนี่ มอบการปกป้องการหลอกลวงทางการเงิน ให้ปลอดภัยยิ่งขึ้น สำหรับลูกค้าทรู ดีแทค เมื่อใช้จ่ายผ่านแอป True Money ด้วยระบบป้องกันการดูดเงิน 3 ชั้น 'TrueMoney 3 x Protection' ตรวจ-จับ-หยุด ธุรกรรมแปลกปลอมที่มั่นใจได้มากกว่า
“ครอบคลุมครบทุกมิติ 360 องศา”
ยิ่งไปกว่านั้น ทรู คอร์ปอเรชั่น ยังได้ร่วมป้องกันภัยไซเบอร์ครอบคลุมการดำเนินการทุกมิติทั้ง 360 องศา ซึ่งรวมถึงการให้ความร่วมมือกับ ภาครัฐ ไม่ว่าจะเป็น การปิดเสาสัญญาณบริเวณชายแดนเพื่อป้องกันมิจฉาชีพลักลอบใช้สัญญาณเครือข่ายในการหลอกลวงประชาชน ดำเนินการตามมาตรการลงทะเบียนซิมอย่างเข้มงวด พร้อมใช้เทคโนโลยี AI ช่วยวิเคราะห์ประมวลผลตรวจสอบความผิดปกติของการลงทะเบียนซิมและการใช้งานผิดปกติ รวมทั้งให้ข้อมูลและชี้เบาะแสเพื่อช่วยหน่วยงานภาครัฐในการปราบปรามมิจฉาชีพ อีกทั้งยังเปิดศูนย์ฮอตไลน์ 9777 ให้โทรแจ้งเบอร์โทรและ SMS ต้องสงสัย พร้อมแจ้งผลภายใน 48 ชม. เพื่อนำไปสู่การจับกุมมิจฉาชีพ ยิ่งไปกว่านั้น ทรู คอร์ปอเรชั่น ยังมุ่งเน้นเสริมสร้างความตื่นตัวและตระหนักรู้เท่าทันกลลวงของมิจฉาชีพทางออนไลน์ โดยจัดกิจกรรมเวิร์กชอป เสริมทักษะให้คนไทยรู้ทันโลกออนไลน์ ผ่านเว็บไซต์ทรูปลูกปัญญา อีกด้วย
FTSE Russell บริษัทในเครือตลาดหลักทรัพย์ลอนดอน ในฐานะผู้ประเมิน ESG ซึ่งเป็นที่ยอมรับระดับสากล ประกาศรายชื่อบริษัทติดอันดับดัชนีความยั่งยืน FTSE4Good 2024 โดยทรู คอร์ปอเรชั่น เป็นเทคคอมปานีไทยรายเดียวที่ติดกลุ่มคะแนนสูงสุดในกลุ่มอุตสาหกรรมโทรคมนาคมทั่วโลกต่อเนื่องเป็นปีที่ 8 โดยมีคะแนนรวมเพิ่มขึ้นจาก 4.4 ในปีที่ผ่านมา เป็น 4.5 จากคะแนนเต็มรวม 5 คะแนน โดยเฉพาะมิติด้านธรรมาภิบาลที่ได้คะแนนเต็ม 5 คะแนน จากการกำกับดูแลกิจการที่ดี มีโครงสร้างคณะกรรมการเป็นไปตามสากล ประกอบด้วยคณะกรรมการอิสระ คณะกรรมการที่ไม่ใช่ผู้บริหาร มีคณะกรรมการเพศชายและหญิง ส่งเสริมความหลากหลายทางเพศ เชื้อชาติ รวมถึงนโยบายต่อต้านการทุจริต จัดตั้งหน่วยงานที่มีหน้าที่กำกับดูแลธรรมาภิบาลภายในบริษัทโดยเฉพาะ เพื่อให้มั่นใจว่าพนักงานทุกคนปฏิบัติตามมาตรฐานสูงสุดทางกฎหมายและจริยธรรม ตลอดจนสร้างวัฒนธรรม ‘Speak Up’ ที่ให้พนักงาน รวมถึงบุคคลภายนอก มีส่วนร่วมแจ้งเบาะแสที่อาจละเมิดต่อหลักธรรมาภิบาล (Code of Conduct) ของบริษัท ผ่านสายด่วนธรรมาภิบาล (Integrity Hotline)
มาตรวัดความยั่งยืนผ่านมาตรฐานระดับโลก FTSE Russell
ล่าสุด ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย ประกาศยกระดับการประเมินความยั่งยืนบริษัทจดทะเบียนไทย จากเดิมที่เคยใช้เกณฑ์หุ้นยั่งยืน (THSI: Thailand Sustainability Investment) หรือที่รู้จักกันในชื่อ SET ESG Ratings เพื่อประเมินและรวบรวมบริษัทเข้ากลุ่มหุ้นยั่งยืน เปลี่ยนมาเป็นดัชนีมาตรฐานสากล FTSE4Good ของ FTSE Russell ซึ่งเป็นไปตามเป้าหมายด้านการพัฒนาที่ยั่งยืนของสหประชาชาติ โดยเน้นประเมินข้อมูลที่บริษัทจดทะเบียนเปิดเผยสู่สาธารณะทั้งในและต่างประเทศอย่างโปร่งใส ประเมินหลักทรัพย์กว่า 8,000 แห่งทั่วโลกจาก 47 ประเทศ ซึ่งมีเกณฑ์พิจารณาตัวชี้วัดมากกว่า 300 ด้าน 14 ธีม ทั้งในมิติด้านสิ่งแวดล้อม สังคม และบรรษัทภิบาล โดยได้ให้บจ.ในไทย เตรียมความพร้อม 2 ปี ก่อนการประเมิน และจะประกาศผลคะแนน ESG สู่สาธารณะตั้งแต่ปี 2569 เป็นต้นไป
ทรู พร้อมรับมือทุกความท้าทาย ฝ่าด่านประเมินเข้มข้นมาตลอด 8 ปีซ้อน
นายมนัสส์ มานะวุฒิเวช ประธานคณะผู้บริหาร บมจ. ทรู คอร์ปอเรชั่น กล่าวว่า “ทรู คอร์ปอเรชั่น เล็งเห็นความสำคัญของการประเมิน FSTE Russell ซึ่งเป็นอีกหนี่งมาตรวัดให้องค์กรต่างๆ ทั่วโลก รวมถึงทรูได้นำข้อเรียนรู้มาพัฒนา ลดความเสี่ยง ตลอดจนสร้างผลกระทบเชิงบวกต่อเศรษฐกิจ สังคม และสิ่งแวดล้อม ซึ่งทรู ได้ศึกษาและเตรียมตัวให้พร้อมกับการประเมิน ESG Score โดย FTSE Russell มานานกว่า 8 ปีแล้ว เนื่องด้วยเป็นบริษัทจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ที่มีมูลค่าตลาดสูง เมื่อเทียบกับบริษัทเทเลคอมทั่วโลก ทั้งนี้ ทรู คอร์ปอเรชั่น ยังคงเดินหน้ารักษามาตรฐานด้านความยั่งยืนระดับสากลที่เข้มข้นนี้ต่อไป หลังจากที่ในปี 2024 ได้รับการรับรองเป็นสมาชิกดัชนีความยั่งยืน FTSE4Good อีกครั้ง ด้วยคะแนนระดับท็อปต่อเนื่องเป็นปีที่ 8”
เจาะลึก “ทรู” ผ่านประเมินเข้ม FSTE4Good 2024
ในปีนี้ นอกจากที่ทรู ผ่านการประเมิน FSTE Russell ที่ได้คะแนนเต็มในมิติด้านธรรมาภิบาลแล้ว ในมิติด้านสิ่งแวดล้อม ด้านการบริหารจัดการการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ ทรู สามารถลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกได้ 12.7% เมื่อเทียบกับเป้าหมาย 12.6% ด้วยการนำเทคโนโลยี AI, Machine Learning มาบริหารจัดการเครือข่ายให้มีประสิทธิภาพ และติดตั้ง Solar Cell มากกว่า 7,000 แห่ง ที่เสาสัญญาณและสถานีฐาน และจะขยายสู่ Data Centers ส่งเสริมการใช้พลังงานหมุนเวียน มุ่งสู่เป้าหมาย Net Zero ตามแนวทาง SBTi โดยในปี 2567 ทรูได้รับการรับรองเป้าหมาย Near-Term จาก SBTi เป็นรายแรกของบริษัทโทรคมนาคมไทย ในการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกทั้งทางตรงและทางอ้อมของตนเองให้ได้ราว 42% ภายในปี 2573 อีกด้วย
ส่วนด้านการบริหารจัดการสิ่งแวดล้อมตลอดห่วงโซ่คุณค่า มีคุณธรรมและข้อพึงปฏิบัติสำหรับคู่ค้าที่กำหนดให้คู่ค้าต้องบริหารจัดการด้านสิ่งแวดล้อม โดยในปี 2567 ทรู เริ่มผลักดันให้คู่ค้าหลัก 62% ตั้งเป้าหมายลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกทางอ้อมอื่นๆ (Scope 3) และมุ่งสู่เป้าหมาย Net Zero โดยจะดำเนินการให้ครบ 100% ในปี 2568 ขณะที่มิติด้านสังคม มีนโยบายด้านการบริหารแรงงานอย่างเป็นธรรมและเท่าเทียม เป็นไปตามกฎหมาย ข้อบังคับ และแนวปฏิบัติด้านแรงงานสากล อีกทั้ง ยังมีนโยบายด้านสิทธิมนุษยชนที่ใช้ภายในองค์กรและกับพันธมิตรทางธุรกิจ สนับสนุนความเท่าเทียมทางเพศ รวมถึงกลุ่ม LGBTQI และส่งเสริมแรงงานสตรี พร้อมการดูแลชุมชนสู่การพัฒนาที่ยั่งยืน
ทรู คอร์ปอเรชั่น ภายใต้เป้าหมายต้องการอยู่คู่การศึกษาไทย ล่าสุดเผยอีกหนึ่งโครงการ คือ CONNEXT ED ที่ทรู เป็นหนึ่งใน 12 องค์กรเอกชน ผู้ก่อตั้งมูลนิธิสานอนาคตการศึกษา คอนเน็กซ์อีดี ภายใต้ความร่วมมือ 3 ภาคส่วน ทั้งภาครัฐ ภาคประชาสังคม และภาคเอกชน สานต่อความมุ่งมั่นในการเป็นเทคคอมปานีไทย นำศักยภาพด้านเทคโนโลยีดิจิทัล มาร่วมสนับสนุนการศึกษา ดูแลโรงเรียนคอนเน็กซ์อีดีของทรู 1,101 แห่ง ครอบคลุม 70 จังหวัดทั่วประเทศ สร้างผู้นำด้านเทคโนโลยีเพื่อการศึกษา (ICT Talent) กว่า 80 คน พร้อมด้วยผู้นำรุ่นใหม่ (School Partner) อีก 250 คน ที่พร้อมเคียงบ่าเคียงไหล่ ทำงานร่วมกับผู้บริหาร ครู นักเรียน และชุมชน เพื่อวางแผนพัฒนาโรงเรียนให้เกิดขึ้นจริงอย่างยั่งยืน
นายศุภชัย เจียรวนนท์ ประธานคณะผู้บริหาร เครือเจริญโภคภัณฑ์ และประธานกรรมการ บมจ. ทรู คอร์ปอเรชั่น และประธานคณะกรรมการบริหารมูลนิธิสานอนาคตการศึกษา คอนเน็กซ์อีดี กล่าวว่า “โลกเปลี่ยนแปลงอยู่ตลอดเวลา เราจำเป็นต้องปรับตัวให้ทัน รวมถึงด้านการศึกษา ที่ไม่ใช่มุ่งเน้นกระบวนการเรียนรู้เพียงแค่ “จำให้ได้ สอบให้ผ่าน ทำการบ้านให้เสร็จ” แต่ควรเป็นการเรียนรู้ผ่านการปฏิบัติและลงมือทำเพื่อให้ได้ประสบการณ์จริง โดยบทบาทของครู จะกลายเป็นโค้ชออกแบบการสอนให้ผู้เรียนได้เพิ่มพูนประสบการณ์และสนุกไปกับการเรียนที่ให้เด็กเป็นศูนย์กลาง ซึ่งแม้ประเทศของเราอาจจะยังไม่มีพิพิธภัณฑ์ที่ครอบคลุมด้านต่างๆ มากมาย ให้เด็กได้เลือกเรียนตามความสนใจ แต่ถ้าภาคเอกชน สามารถทำให้มีศูนย์ Learning Center เกิดขึ้น และปรับหลักสูตรร่วมกับภาคการศึกษา ก็จะทำให้องค์ความรู้จากภาคเอกชนเชื่อมโยงเข้าไปพัฒนาระบบทรัพยากรมนุษย์ได้”
ดึงศักยภาพทรู บุกเบิกโครงการ ร่วมพลิกโฉมการศึกษาไทย
ทรู คอร์ปอเรชั่น ได้ริเริ่มโครงการต่างๆ เพื่อร่วมขับเคลื่อนภารกิจยกระดับการศึกษาไทย ผ่านความร่วมมือมูลนิธิฯ ซึ่งภายหลังได้กลายเป็นโมเดลต้นแบบให้ภาครัฐและองค์กรเอกชนอื่นๆ ได้นำไปประยุกต์ใช้ เพื่อส่งเสริมการเรียนรู้ของเยาวชนไทยยุคดิจิทัล ไม่ว่าจะเป็น นำร่องสร้างศูนย์การเรียนรู้ชุมชน (Learning Center) ตั้งแต่ปี 2560 เพื่อสร้างระบบนิเวศและเสริมกระบวนการเรียนรู้ที่เน้นผู้เรียนเป็นศูนย์กลาง อีกทั้งสนับสนุนการมีส่วนร่วมของชุมชน โดยจากเดิมมี 9 แห่ง ขยายเพิ่มขึ้นเป็น 20 แห่งทั่วประเทศ หรือโครงการผู้นำด้านเทคโนโลยีเพื่อการศึกษา (ICT Talent) ที่ทำหน้าที่ผลักดันให้ครูและนักเรียนใช้สื่อไอซีทีอย่างสร้างสรรค์และเกิดประโยชน์สูงสุด
นายมนัสส์ มานะวุฒิเวช ประธานคณะผู้บริหาร บมจ. ทรู คอร์ปอเรชั่น กล่าวว่า “ทรู คอร์ปอเรชั่น พร้อมให้การสนับสนุนการดำเนินงานของมูลนิธิสานอนาคตการศึกษา คอนเน็กซ์อีดี สอดคล้องตามแนวทาง 5 ยุทธศาสตร์หลักมาอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะยุทธศาสตร์ที่ 5 (Digital Infrastructures) นำโครงสร้างพื้นฐานดิจิทัล รวมถึงความเชี่ยวชาญด้านไอซีทีและเทคโนโลยีที่มีอยู่ของทรู เข้าไปร่วมสนับสนุนภาคการศึกษา แต่ขณะเดียวกัน ต้องปลูกฝังเยาวชนเรื่องการใช้เทคโนโลยีอย่างสร้างสรรค์และปลอดภัย โดยเฉพาะในยุคที่เทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์ หรือ AI กำลังเข้ามามีบทบาทอย่างยิ่งในทุกด้าน ดังนั้นการให้ความรู้ สร้างความเข้าใจเรื่องการใช้เทคโนโลยีและ AI อย่างมีจริยธรรม มีความรับผิดชอบ จึงเป็นเรื่องที่สำคัญอย่างยิ่ง”
ส่อง ร.ร.บ้านตำหรุ (วิงประชาสงเคราะห์) จ.ประจวบฯ สู่โรงเรียนต้นแบบคอนเน็กซ์อีดี
หนึ่งในโรงเรียนคอนเน็กซ์อีดีต้นแบบ คือ โรงเรียนบ้านตำหรุ (วิงประชาสงเคราะห์) จ.ประจวบคีรีขันธ์ ซึ่งอยู่ภายใต้การดูแลของทรู นับเป็นอีกหนึ่งตัวอย่างโมเดลโรงเรียนที่สะท้อนให้เห็นชัดถึงการทำงานร่วมกันอย่างเข้มแข็งระหว่างผู้บริหารสถานศึกษา คุณครู นักเรียน ICT Talent และ School Partner ที่สามารถนำแนวทางยุทธศาสตร์ 5 หลัก ไปประยุกต์ใช้จนเกิดผลและสร้างการเปลี่ยนแปลงอย่างเป็นรูปธรรม
1. ยุทธศาสตร์ที่ 1 : การเปิดเผยข้อมูลสถานศึกษาสู่สาธารณะ (Transparency) นำระบบ School Management System (SMS) มาใช้ พร้อมกรอกข้อมูล และตรวจสอบข้อมูลอย่างสม่ำเสมอ เพื่อเรียนรู้จุดอ่อนจุดแข็ง มาวางแผนพัฒนาโรงเรียนต่อไป
2. ยุทธศาสตร์ที่ 2 : กลไกตลาดและวัฒนธรรมการมีส่วนร่วม (Market Mechanisms) โรงเรียนแห่งนี้ทำงานร่วมกับชุมชนอย่างเข้มแข็ง องค์การบริหารส่วนตำบล (อบต.) ให้การสนับสนุน เช่น คอมพิวเตอร์ งบประมาณ และองค์ความรู้จากชาวบ้าน มีกรรมการสถานศึกษาร่วมติดตามในทุกด้าน รวมถึงมี SP ร่วมคิดพัฒนา ทำงานกันอย่างใกล้ชิด
3. ยุทธศาสตร์ที่ 3 : การพัฒนาผู้บริหารสถานศึกษาและครูผู้สอน (High Quality Principals & Teachers) ICT Talent ผลักดันให้ครูมีทักษะดิจิทัล และผลักดันครูทุกคนมี Blog ของตนเองในเว็บไซต์โรงเรียน เพื่ออัปโหลดคลิปวิดีโอ สื่อการสอน และกิจกรรมต่างๆ เพื่อให้นักเรียนสามารถเข้าไปทบทวนบทเรียนได้ทุกที่ ทุกเวลา ผู้ปกครองยังสามารถเข้ามาดูบรรยากาศในห้องเรียนของบุตรหลานได้ด้วย ครูบางส่วน สามารถใช้ AI ทำสื่อการสอนให้เด็กๆ อีกทั้งยังสามารถต่อยอดทักษะการใช้อุปกรณ์บอร์ด Micro:bit มาสร้างนวัตกรรมการเรียนรู้ภาษาอังกฤษ เป็นต้น ล่าสุด โรงเรียนได้รับการประเมินจากสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาประจวบคีรีขันธ์ เขต 2 ให้เป็นโรงเรียน Digital Platform ต้นแบบ นอกจากนี้ ICT Talent ยังทำงานร่วมกับสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษา และ ICT Talent ภาครัฐ อบรมให้ความรู้ด้านเทคโนโลยีแก่บุคลากรการศึกษาในพื้นที่อีกด้วย
4. ยุทธศาสตร์ที่ 4 : เด็กเป็นศูนย์กลาง เสริมสร้างคุณธรรมและความมั่นใจ (Child Centric & Curriculum) จัดการเรียนการสอนแบบ Active Learning เด็กนักเรียนสามารถนำเทคโนโลยี AI มาใช้ในการเรียนรู้ เพิ่มขีดความสามารถการแข่งขันระดับประเทศ เช่น นำ AI มาใช้ในการแต่งและเล่านิทาน ความสามารถด้านวิทยาศาสตร์ ซึ่งกำลังมีแผนนำห้องสมุดมาปรับเป็นศูนย์ Learning Center โดยสามารถระดมทุนและจัดหางบประมาณได้ด้วยตนเองจากการจัดกิจกรรมฟุตบอล ผ่านความร่วมแรงร่วมใจกับคนในชุมชน
5. ยุทธศาสตร์ที่ 5 : การเข้าถึงโครงสร้างพื้นฐานดิจิทัลของสถานศึกษา (Digital Infrastructures) เข้าถึงสื่ออุปกรณ์การเรียนรู้คอมพิวเตอร์โน้ตบุ๊ก เด็กนักเรียนมีห้องคอมพิวเตอร์ ห้องวิทยาศาสตร์ และห้องออกอากาศ เพื่อการเรียนรู้และอัปเดตข่าวสารของโรงเรียน
นางบุษบา มณีวงศ์ ผู้อำนวยการโรงเรียนบ้านตำหรุ (วิงประชาสงเคราะห์) จ.ประจวบคีรีขันธ์ เปิดเผยว่า “โรงเรียนบ้านตำหรุ (วิงประชาสงเคราะห์) พัฒนาในทางที่ดีขึ้นอย่างต่อเนื่อง ด้วยนำ 5 ยุทธศาสตร์หลักของคอนเน็กซ์อีดีมาปรับใช้ และที่สำคัญมี ICT Talent และ School Partner จากทรู ที่เปรียบเสมือนเพื่อนคู่คิด ทำให้โรงเรียนเกิดการเปลี่ยนแปลงด้านบวกในหลากหลายด้าน โดยเฉพาะการพัฒนาทักษะด้านดิจิทัลของครูและนักเรียน รวมถึงการสนับสนุนที่เข้มแข็งจากชุมชน ทั้งนี้ เชื่อว่ากระบวนการเรียนรู้ที่ได้จากการเป็นโรงเรียนคอนเน็กซ์อีดี จะช่วยส่งเสริมระบบการศึกษาของโรงเรียนอย่างแน่นอน”
กรุงเทพฯ, 18 พฤศจิกายน 2567 – เตรียมตัวพบกับมหากาพย์แห่งศึกอีสปอร์ตในประเทศไทย ด้วยความร่วมมือครั้งยิ่งใหญ่ระหว่าง ทรู คอร์ปอเรชั่น และ โลตัส จัดการแข่งขัน “The Ultimate Battle Lotus's x True5G Esports Tournament 2024” รับรองโดย Garena RoV Thailand ซึ่งเป็นการรวมยอดฝีมือ RoV 64 ทีม จากทัวร์นาเมนต์ใหญ่ 2 รายการ ได้แก่ 32 ทีม จาก Lotus's x True5G Tournament 2024 และ 32 ทีม จาก True5G Esports Tournament 2024 ที่ผ่านมา โดยผู้เข้าแข่งขันจะมาต่อสู้กันในรอบสุดท้าย ณ Lotus’s สาขารังสิต วันที่ 14 ธันวาคม 2567 เพื่อเฟ้นหาสุดยอดนักสู้เกม RoV ระดับมืออาชีพจากทั่วประเทศ ชิงเงินรางวัลรวมกว่า 850,000 บาท พร้อมโอกาสก้าวสู่นักกีฬามืออาชีพต่อไปนอกจากนี้ ภายในงานยังมีกิจกรรมความบันเทิงอีกมากมายอาทิ การแสดงคัฟเวอร์แดนซ์ และการประกวดคอสเพลย์ สร้างบรรยากาศสุดมันให้กับเหล่าเกมเมอร์และผู้เข้าร่วมงาน
รายละเอียดรางวัล
· รางวัลชนะเลิศ 100,000 บาท
· รองชนะเลิศอันดับหนึ่ง 50,000 บาท
· รองชนะเลิศอันดับสอง 30,000 บาท