เพราะ ‘คน’ มีพื้นฐานชีวิต ความถนัด ความชอบ และความต้องการที่แตกต่างหลากหลาย การทำงานบริหารทรัพยากรบุคคล (HR) จึงไม่ใช่เรื่องง่าย โดยเฉพาะในยุค Digital Transformation เพราะนอกจากจะต้องบาลานซ์ความต้องการของคนที่เป็นพนักงานแล้ว ยังต้องวางกลยุทธ์ให้คนทำงานไม่ว่าจะอยู่ในตำแหน่งใด สามารถตอบโจทย์ความต้องการหรือเป้าหมายขององค์กรได้ ด้วยทรัพยากรที่มีและความท้าทายสารพัดด้าน

บทความนี้จะพาไปทำความรู้จัก ดร.ธภัทร อาจศรี Leader, HR Thailand, LIXIL APAC บุคคลที่ทำงานอยู่ในสายงานด้านการบริหารทรัพยากรบุคคล (Human Resource) มานานกว่า 20 ปี ด้วยความรัก (Passion) ที่ได้ทำงานร่วมกับผู้คน ด้วยใจรักในสายอาชีพ และรักในงานแก้ปัญหา ซึ่งส่งผ่านทางใบหน้าที่เปื้อนยิ้มตลอดการสัมภาษณ์

“HR มีหน้าที่รับฟังปัญหา absorb ความเครียดของคน ของพนักงาน ดังนั้น HR จึงจำเป็นต้องมีทัศนคติที่ดี มีจิตใจเข้มแข็งเป็นพื้นฐาน เพื่อส่งต่อพลังบวก (Positive Energy) ออกไป และเป็นตัวกลางที่คอยหาโซลูชันที่จะตอบโจทย์ทั้งองค์กรและพนักงานแบบ Win-Win Situation”

จากการศึกษาสู่การทำงานด้านบริหาร คนซึ่งมีความต้องการหลากหลาย

ดร.ธภัทรเล่าว่า เริ่มต้นการทำงานในสาย Hospitality ซึ่งเชื่อมโยงสายงานโรงแรมและงานบริการ ทำให้ได้พบปะผู้คนมากหน้าหลายตา ครอบคลุมไปถึงการแก้ไขปัญหาต่าง ๆ ให้กับลูกค้าและพนักงาน กว่า 6 ปีในการทำงาน โดย ดร.ธภัทรค้นพบว่าความรัก (Passion) และความสุขในการทำงานคือการที่ได้ช่วยผู้คนหาทางออกและแก้ปัญหาต่าง ๆ จนสำเร็จลุล่วง จึงมุ่งมั่นที่จะพัฒนาและต่อยอดให้กับตัวเองในสายงานนี้และตัดสินใจศึกษาต่อทั้งปริญญาโทและปริญญาเอกด้านการบริหารทรัพยากรมนุษย์และธุรกิจอุตสาหกรรม

ต่อจากนั้นได้มีโอกาสร่วมทำโปรเจกต์กับบริษัทจากประเทศออสเตรียเพื่อเซ็ตอัพและสร้างโรงงานการผลิตในประเทศไทย ซึ่งมีมูลค่าการลงทุนกว่า 8,000 ล้านบาท หลังจากเสร็จโปรเจกต์จึงได้เข้าทำงานใน บริษัท ลิกซิล (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) ในตำแหน่ง Leader ด้านการพัฒนาทรัพยากรบุคคลในประเทศไทย โดยอยู่ใต้ปีกของ LIXIL APAC ภายใต้ LIXIL Corporation ผู้บุกเบิกผลิตภัณฑ์เพื่อการจัดการน้ำและที่อยู่อาศัย ซึ่งมีบริษัทแม่อยู่ที่ประเทศญี่ปุ่น

เกริ่นก่อนว่า ลิกซิลเป็นองค์กรระดับ Global ที่ดำเนินธุรกิจใน 150 ประเทศทั่วโลก มีพนักงานรวม 55,000 คน และมีแบรนด์ชั้นนำมากมายที่อยู่ภายใต้การบริหารของ LIXIL อย่าง American Standard, GROHE, INAX, TOSTEM ฯลฯ

สำหรับลิกซิล ประเทศไทย ดร.ธภัทรมีบทบาทสำคัญในการวางกลยุทธ์พัฒนาบุคลากรทุกคน ทุกระดับ ไม่ว่าจะเป็นบุคลากรที่ทำงานในองค์กรมานาน บุคลากรรุ่นใหม่ บุคลากรที่ได้รับการสนับสนุนให้ก้าวขึ้นมาเป็นผู้บริหารรุ่นต่อไป ที่สำคัญ เป็นผู้ริเริ่มทำ โครงการพัฒนาทักษะพนักงาน (Talent Development Program) เพื่อเพิ่มศักยภาพของพนักงานให้สามารถขับเคลื่อนองค์กรไปในทิศทางที่วางไว้ได้ รวมถึงช่วยแก้ปัญหาการพัฒนาศักยภาพของพนักงานที่ขาดการพัฒนาอย่างต่อเนื่องให้เกิดขึ้น

“Talent Development Program” ไม่ได้ทำแค่การพัฒนาคนให้มีศักยภาพ แต่ยังสามารถช่วยสร้างการเติบโตที่ยั่งยืนให้กับองค์กรได้ด้วย และโครงการนี้ก็เหมือนเรายิงปืนนัดเดียวได้นกถึง 4 ตัว นกตัวแรก คือการสร้างความมีส่วนร่วมกับพนักงานในองค์กรทุกคน ทุกระดับ เพราะโครงการนี้จัดทำขึ้นเพื่อส่งเสริมการพัฒนาศักยภาพของพนักงานทุกคนในองค์กร นกตัวที่ 2 คือการปิด Pain Point เรื่องอัตราการลาออกของพนักงาน (Turnover Rate) โดยเฉพาะพนักงานในกลุ่มศักยภาพสูงขององค์กร และการขาดแผนการพัฒนาศักยภาพที่ยั่งยืนของบุคลากร นกตัวที่ 3 องค์กรได้มีแผนทดแทนที่ชัดเจน (Succession Planning) คือ เตรียมคนที่จะขึ้นมาเป็นผู้บริหารในอนาคต ดังนั้น เมื่อมีคนเกษียณ เราจึงมีคนสืบทอดตำแหน่งต่อได้เลย

“และ นกตัวที่ 4  คือ การสร้างภาพลักษณ์ที่ดีให้กับองค์กร (Employer Branding) โครงการนี้ทำให้เราได้รับ 2 รางวัลใหญ่ คือ Employee Experience Awards 2024 Thailand (EXA Awards) รางวัลที่มีหลายองค์กรในประเทศไทยเข้าร่วมประกวด ซึ่งบริษัท ลิกซิล ประเทศไทย เพิ่งเข้าร่วมเป็นปีแรก และคว้ารางวัลที่ 1 (Gold) เป็น The Best Succession Planning Strategy ยิ่งทำให้เราภูมิใจมาก กับอีกหนึ่งรางวัลคือ The Winner ด้าน Talent Development Program 2024 จาก Country Leadership Award FYE2024 ซึ่งไม่ใช่รางวัลที่จะได้มาง่าย ๆ และถือเป็นรางวัลสูงสุดของโครงการที่สามารถพัฒนาและสร้างผลกระทบเชิงบวกให้กับองค์กรในระยะยาวได้ และยังต่อยอดในเชิงธุรกิจได้อีกด้วย” ดร.ธภัทรเล่าถึงผลงานด้านการวางกลยุทธ์ด้วยความภาคภูมิใจ ผ่าน 2 รางวัลที่ได้รับ

นอกจากการทำงาน HR ดร.ธภัทรเล่าเสริมว่า ได้ทำงานด้านการบริการสังคมและแบ่งปันความรู้ในสายงานให้แก่ผู้อื่นเรื่อยมา โดยเป็นวิทยากร อาจารย์พิเศษและที่ปรึกษาให้กับวิทยาลัยนวัตกรรมสื่อสารสังคม มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ มานานกว่า 15 ปี

บริหารคนด้วยปรัชญาการทำงานของ LIXIL

ในโลกธุรกิจที่มีการแข่งขันสูงและด้วยความท้าทายด้านเศรษฐกิจในปัจจุบัน การพัฒนาศักยภาพของบุคลากร มีความสำคัญมากขึ้นทุกขณะ แม้บางองค์กรจะมองว่า งานบริหารทรัพยากรบุคคลเป็นหน่วยงานสนับสนุนการทำงานของบุคลากรภายใน แต่ ดร.ธภัทรเผยมุมมองที่กว้างและลึกกว่านั้นว่า งานบริหารทรัพยากรบุคคลมีความสำคัญในการขับเคลื่อนผู้คนให้ทำงานอย่างสร้างสรรค์ เติบโต และเป็นฟันเฟืองชิ้นสำคัญในการขับเคลื่อนคนเพื่อไปขับเคลื่อนองค์กรให้มีความแตกต่าง และสามารถแข่งขันในตลาดได้ดียิ่งขึ้น

ดร.ธภัทรจึงจัดวางระบบอย่างมีเอกลักษณ์ ใส่ใจตั้งแต่การคัดคนจาก ‘ทัศนคติ’ มากกว่า ‘ความสามารถ’ เพราะเชื่อว่าทัศนคตินั้นปรับยาก แต่ความสามารถนั้นฝึกฝนกันได้ สร้างแผนพัฒนาทักษะและความรู้ ความสามารถของบุคลากรที่ทันสมัย อัปเดตอยู่เสมอ เพื่อสนองความต้องการของบุคลากรและองค์กรได้อย่างกลมกลืน สอดคล้องไปกับหลักการทำงานขององค์กร ลิกซิล ประเทศไทย

ดร.ธภัทรอธิบายว่า พนักงานของบริษัท ลิกซิล ทั่วโลก ทำงานบนหลักการ 3 ข้อ

  • ข้อแรก Do the right thing คือ ทำสิ่งที่ถูกต้อง
  • ข้อสอง Work with Respect ทำงานด้วยความเคารพผู้อื่น เคารพซึ่งกันและกัน และให้ความร่วมมือในการทำงาน
  • ข้อสาม Experiment & Learn กล้าทดลองสิ่งใหม่ ๆ และพร้อมที่จะเรียนรู้ พัฒนาตัวเองอย่างต่อเนื่อง

ทั้ง 3 ข้อเป็นปรัชญาการทำงานที่พนักงานของบริษัท ลิกซิล ยึดเป็นแนวปฏิบัติทั่วโลก และเป็นพื้นฐานของการวางกลยุทธ์พัฒนาบุคลากรที่ ดร.ธภัทรนำมาผสานรวมกับการสร้างวัฒนธรรมองค์กรให้ ลิกซิล ประเทศไทย ได้อย่างลงตัว กล่าวคือ

  • บริษัทให้อิสระในการทำงาน พนักงานสามารถคิดและเสนอแนะวิธีการต่าง ๆ ในการทำงานหรือ ขอทำงานจากที่บ้านได้ (Hybrid Workplace) เพราะบริษัทเข้าใจในความหลากหลาย และแตกต่างของพนักงาน รวมถึงข้อจำกัดของแต่ละคน โดยจะต้องอยู่บนพื้นฐานของความเป็นมืออาชีพ ในออฟฟิศ บริษัทก็ได้จัดเตรียมอุปกรณ์รองรับการทำงานกับพนักงานให้ทั้งหมด
  • บนพื้นฐานการทำงานด้วยความเคารพซึ่งกันและกัน จึงลดความขัดแย้งได้ไม่ว่าพนักงานจะอยู่ในเจเนอเรชันไหน และยังเปิดให้มีการพูดคุยแบบ 1-on-1 เพื่อรับฟังและสร้างความเข้าใจเพื่อการทำงานร่วมกันได้ดียิ่งขึ้น
  • พนักงานสามารถทดลองทำสิ่งใหม่และผิดพลาดได้ (Failure) เราเชื่อว่าการทำงานบางครั้งก็สามารถเกิดความผิดพลาดได้ เราเข้าใจเพราะเราเชื่อว่าจะทำให้พนักงานได้เรียนรู้ ได้คิดอย่างสร้างสรรค์ และกล้าทำในสิ่งที่แตกต่าง ซึ่งสามารถต่อยอดทำให้เกิดผลิตภัณฑ์ใหม่ หรือเพิ่มมูลค่าจากไอเดียใหม่ ๆ ได้
  • ส่งเสริมให้พนักงานเรียนรู้ในรูปแบบต่าง ๆ มี Career Path ให้เติบโต ไม่ว่าจะเป็นแบบ On-site, Online, Meeting การให้พบปะพูดคุยกับคนเก่ง ๆ เรียนรู้จากผู้เชี่ยวชาญหรือคนที่มีประสบการณ์ในสายอาชีพ เพราะสามารถช่วยให้คนทำงานเรียนรู้ได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น ไม่รู้สึกว่าตัวเองย่ำอยู่กับที่ ส่งผลให้พนักงานอยากอยู่กับองค์กรไปนาน ๆ ลดอัตราการลาออก รวมถึงการเตรียมความพร้อมให้พนักงานรุ่นถัดไปขยับสู่ตำแหน่งที่สูงขึ้นแบบไม่ขาดช่วง
  • ให้พนักงานได้เรียนรู้และทดลองทำหลาย ๆ อย่าง (Multitasking) เพื่อพัฒนาทักษะให้พนักงานได้มีทักษะที่หลากหลายและเพิ่มความยืดหยุ่นและคล่องตัวในการทำงาน ในกรณี หากพนักงานคนใดคนหนึ่งลาหรือเลือนขั้นเมื่อโอกาสมาถึง ในระยะสั้นองค์กรยังสามารถ ประครองให้การทำงานเกิดความต่อเนื่องไม่หยุดชะงัก เพราะพนักงานสามารถเข้าไปเสริมหรือทำแทนกันได้ ตรงนี้จะลดภาวะการหมดไฟ (Burn Out) ของพนักงาน และอยากลาออกในท้ายที่สุด เพราะเรามุ่งให้เกิดการสร้างเสริมทักษะและความคล่องตัวในการทำงานให้กับพนักงานมากกว่าการลดค่าใช้จ่าย

3 ทักษะแห่งอนาคตที่คนทำงานรุ่นใหม่ต้องมี

ในโลกที่เต็มไปด้วยความผันผวนและเทคโนโลยีก็เข้ามามีบทบาทสำคัญในการดำเนินธุรกิจ และการดำเนินชีวิต คนทำงานต้องพร้อมปรับตัวเพื่อตอบสนองความเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นได้อย่างรวดเร็ว ที่สำคัญ ต้องมีความสามารถในการนำเทคโนโลยีเข้ามาช่วยงานได้ ร่วมกับการมี Soft Skills

“คนคนหนึ่งที่จะเก่งและเติบโตไปกับองค์กรได้ต้องมีความรู้รอบด้านนะครับในปัจจุบันนี้ ไม่ใช่เก่งเฉพาะสายงาน แต่ต้องมีทักษะด้าน Soft Skills ด้วย คือสื่อสารเป็น มีบุคลิกภาพและการวางตัวที่เหมาะสม ตัดสินใจเป็น ปรับตัวให้เข้ากับสถานการณ์ต่าง ๆ ได้ และเขาต้องพัฒนาตัวเองอยู่เสมอ เรื่องเหล่านี้สําคัญและส่งผลต่อความสําเร็จของพนักงานเลยนะครับ” ดร.ธภัทรกล่าวถึงทักษะที่ไม่ว่าจะทำงานในสายใดก็ควรมี

ในฐานะที่ทำงานด้าน HR เห็นเทรนด์ เห็นความเปลี่ยนแปลงสารพัดด้านมาตลอด ดร.ธภัทรปิดท้ายด้วยการให้คำแนะนำแก่ Young Talent & Young Professional ว่า มี 3 ทักษะพื้นฐานที่สำคัญต่ออนาคตและมีผลต่อความสำเร็จในหน้าที่การงาน ได้แก่

  • รู้จักใช้เทคโนโลยีดิจิทัลให้เป็น (Digital Intelligence) เช่น สามารถใช้ digital เพื่อมาต่อยอดในสายงานอาชีพ เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการทำงาน นำไปสู่ผลลัพธ์ที่รวดเร็ว แม่นยำหรือการสร้างผลิตภัณฑ์ที่มีคุณภาพได้
  • ต้องรู้จักสร้างเครือข่ายในสายอาชีพ ( Professional Networking) ในปัจจุบันความสำเร็จไม่สามารถเกิดขึ้นได้จากคน คนเดียว การสร้างเครือข่ายในสายอาชีพและธุรกิจที่แข็งแกร่งจึงจำเป็นอย่างมาก เพราะการมีเครือข่ายในสายอาชีพที่แข็งแกร่งที่ส่งเสริมและช่วยเหลือซึ่งกันและกันได้ จะทำให้เราประสบความสำเร็จในสายอาชีพหรือธุรกิจได้เร็วขึ้น
  • ต้องเปิดรับเรียนรู้อย่างต่อเนื่อง (Lifelong Learning) การเรียนรู้ตลอดชีวิตและตลอดเวลาเป็นสิ่งสำคัญเพราะปัจจุบันนี้บริบทของโลกในธุรกิจเปลี่ยนไปเร็วมาก ความรู้ก็เช่นกัน ความรู้ที่เรารู้ในวันนี้ อีกสามเดือน หรือ หนึ่งปี ความรู้นั้นอาจใช้ไม่ได้ไม่ทันสมัยแล้วก็ได้ ดังนั้นการเรียนรู้ตลอดเวลา จะทำให้เราสามารถพัฒนาและตามคนอื่นและคู่แข่งได้ทัน

“มนุษย์เป็นอะไรที่มหัศจรรย์ การพัฒนาคน การลงทุนกับคน มันคือการทําให้บริษัทเติบโตอย่างยั่งยืน ที่บอกนี่ไม่ใช่เพราะผมทํางาน HR แต่เพราะคนเป็นฟันเฟืองที่สำคัญในธุรกิจจริง ๆ แม้ยุคนี้ใคร ๆ จะพูดถึงการนำ AI เข้ามาทดแทน แต่ความสำเร็จของการทำงานในยุคดิจิทัลไม่ได้มาจากการทำงานหรือเทคโนโลยีเพียงอย่างเดียว แต่จะมาจากการใช้เทคโนโลยีดิจิทัลเพื่อต่อยอดทางธุรกิจให้ได้ สร้างเครือข่ายในสายอาชีพให้แข็งแกร่ง และให้ความสำคัญกับการเรียนรู้ตลอดชีวิต เพราะและถึงแม้ว่าจะนำ AI เข้ามาใช้ในองค์กร แต่องค์กรก็ยังต้องมีคนคอยควบคุมอยู่ดี จริงไหม?” ดร.ธภัทร สรุปทิ้งท้าย


เรื่อง / ภาพ โดย: กองบรรณาธิการ

อเมริกันสแตนดาร์ด แบรนด์สุขภัณฑ์ชั้นนำระดับโลก ภายใต้ ลิกซิล กรุ๊ป

ในยุคที่คนทำงานทุกคนต้องเผชิญกับปัจจัยความเปลี่ยนแปลงที่ยากจะคาดเดา ไม่ว่าจะเป็นปัจจัยในเรื่องวิกฤตโรคระบาดที่ยังไม่สิ้นสุด ภัยธรรมชาติที่รุนแรงขึ้น หรือปัญหาเงินเฟ้อ ซึ่งทำให้ข้าวของมีราคาแพงขึ้นอย่างเห็นได้ชัด กอปรกับอีกหนึ่งปัจจัยที่ส่งผลโดยตรงกับชีวิตของพนักงานในทุกส่วน นั่นคือ การดิสรัปของเทคโนโลยี ทั้งหมดนี้ส่งผลให้บุคลากรในยุคปัจจุบันต้องปรับตัวเพื่อ Upskill & Reskill ทักษะจำเป็นสำหรับการทำงานในยุคนี้กันอย่างเร่งด่วน และยังต้องปรับวิธีการทำงานให้สอดรับกับวิธีการทำงานรูปแบบใหม่ โดยเฉพาะการทำงานในรูปแบบ Remote working หรือ การทำงานจากที่ใดก็ได้อย่างมีประสิทธิภาพ และได้ประสิทธิผลอย่างที่องค์กรต้องการ ซึ่งการเปลี่ยนแปลงเหล่านี้ ล้วนจำเป็นอย่างยิ่งที่ต้องมีแรงสนับสนุนและส่งเสริมจากองค์กรและฝ่ายทรัพยากรมนุษย์ประจำองค์กร เพื่อให้พนักงานได้เข้าถึงการพัฒนาศักยภาพ ทักษะ ที่สอดคล้องกับการทำงานยุคใหม่อย่างที่ควรจะเป็น

และในวันนี้เรามีเรื่องราวของ ลิกซิล ประเทศไทย หรือ บริษัท ลิกซิล (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) หนึ่งในองค์กรยุคใหม่ที่เป็นต้นแบบของการปรับตัวในยุค Next Normal มาแชร์กัน เพื่อเป็นแนวทางสำหรับทุกองค์กรได้นำไปวางแนวทาง Culture Transformation หรือการสร้างบรรยากาศในองค์กร ที่นำสู่การวางวัฒนธรรมองค์กรให้สอดรับกับรูปแบบของการทำงานยุคใหม่ ที่ยึดหลักว่า “บุคลากรคือฟันเฟืองสำคัญที่ช่วยให้องค์กรเติบโตอย่างมั่นคงและยั่งยืน แม้ว่าสภาวการณ์จะเปลี่ยนแปลงไปอย่างไรก็ตาม” โดยมี พรกนก เล็กยิ้ม Leader, HR Thailand, LIXIL APAC เป็นผู้จะมาบอกเล่าถึงแนวปฏิบัติของ ลิกซิล ประเทศไทย ที่ช่วยขับเคลื่อนด้านพัฒนาทรัพยากรบุคคลของ LIXIL ให้สอดคล้องกับ Mega Trend ของโลกได้อย่างมีประสิทธิภาพ

วางเป้าหมาย Culture Transformation เพื่อขับเคลื่อนองค์กรฝ่าทุกดิสรัปชัน

“Culture Transformation คือ การเปลี่ยนวัฒนธรรมองค์กร ที่ทำกันอยู่เดิม ๆ ให้เปลี่ยนไปสู่วัฒนธรรมองค์กรใหม่ เนื่องจากวัฒนธรรมองค์กรแบบเดิมไม่สามารถก่อให้เกิดแรงขับเคลื่อนเพื่อบรรลุวัตถุประสงค์หรือเป้าหมายขององค์กร”

จากนิยามที่ทำให้เราเข้าใจถึงภารกิจในการทำ Culture Transformation ข้างต้นนี้ ทาง ลิกซิล ประเทศไทย ได้เปลี่ยนให้เป็นการลงมือทำจริง และได้ผลลัพธ์เป็นการ Transformation จริง ผ่านกลไกการทำงานของฝ่ายทรัพยากรมนุษย์ของ ลิกซิล ประเทศไทย ที่มีความรู้ ความเข้าใจ และสามารถใช้จุดแข็งของวัฒนธรรมองค์กร ลิกซิล ปรับให้การทำงานด้านการพัฒนาบุคลากรเป็นไปได้อย่างมีประสิทธิภาพ โดย คุณพรกนก ได้เริ่มเล่าถึงแนวคิดสำคัญของการทำ Culture Transformation ที่ลิกซิลว่า

“ลิกซิลมองเรื่อง Culture Transformation เป็นประเด็นสำคัญที่ต้องดำเนินการอย่างเป็นรูปธรรม ด้วยการสร้างสภาพแวดล้อมในองค์กรที่เอื้อให้พนักงานเกิดแรงขับเคลื่อนพร้อมรับการเปลี่ยนแปลง โดยเปลี่ยนวัฒนธรรมองค์กรไปสู่แนวทางที่สอดคล้องกับยุคสมัยใหม่”

“แล้วอะไรล่ะที่เป็นวัฒนธรรมองค์กรแบบที่เราอยากเป็น? เราเชื่อว่าบุคลากรคือฟันเฟืองสำคัญที่ช่วยให้องค์กรเติบโตอย่างมั่นคงและยั่งยืน แม้ว่าสถานการณ์จะเปลี่ยนแปลงไปอย่างไรก็ตาม ดังนั้น องค์กรของลิกซิลจึงมี LIXIL Behavior’ s เพื่อส่งเสริมให้พนักงานยึดถือเป็นแนวปฏิบัติร่วมกันในการทำงานที่หลากหลายและการรวมเข้าด้วยกัน (Diversity and Inclusion)

  1. ทำในสิ่งที่ถูกต้อง (Do the Right Thing)
  2. ทำงานด้วยความเคารพและให้เกียรติซึ่งกันและกัน (Work with Respect)
  3. กล้าทดลองและเรียนรู้ (Experiment and Learn)

เมื่อหลักการ “วัฒนธรรมองค์กร” ชัดแล้ว ลิกซิล จึงได้ปรับเอาเทคโนโลยี หรือโปรแกรมอันทันสมัยมาพัฒนาศักยภาพขององค์กรและบุคลากรให้เดินไปสู่ “การทำงานในยุค Next Normal” พร้อมกัน

“ลิกซิลยังให้ความสำคัญกับการพัฒนาบุคลากรด้วยรูปแบบการเรียนรู้ที่แตกต่างกัน ทั้งการนำ Learning Model 70-20-10 การจัดหลักสูตร Online Training ผ่าน Platform LinkedIn Learning เพื่อนำไปสู่เป้าหมายที่องค์กรตั้งไว้ นอกจากนี้เรายังได้ส่งเสริมให้พนักงานบางส่วนมีความรู้และทักษะที่จำเป็นในโลกการทำงานที่เปลี่ยนไปโดยผ่านโปรแกรมและแพลตฟอร์ม “Mentorship Program” และ “LinkedIn Learning” อีกด้วย

Mentorship Program แชร์ประสบการณ์จากรุ่นพี่สู่รุ่นน้อง ติดอาวุธให้พนักงานทุกคนปรับตัวรับทุกความเปลี่ยนแปลง

เพื่อให้เห็นภาพของกลไกสำคัญที่ทาง ลิกซิล ประเทศไทย ได้ใช้ในการเปลี่ยนวัฒนธรรมองค์กร หรือ Culture Transformation คุณพรกนก ได้ให้ข้อมูลเพิ่มเติมถึง 2 เครื่องมือสำคัญที่ทางองค์กรได้นำมาใช้ เริ่มจาก Mentorship Program ซึ่งเป็นการถ่ายทอดประสบการณ์จริงของพนักงานรุ่นพี่ไปสู่พนักงานรุ่นน้อง ที่มีวัตถุประสงค์หลักเพื่อให้พนักงานทุกคนปรับตัวกับการเปลี่ยนแปลงและบรรลุเป้าหมายในเส้นทางอาชีพของตนได้

“จริง ๆ แล้วการจัดอบรมคอร์สต่าง ๆ ให้แก่พนักงานไม่ใช่เรื่องใหม่สำหรับหลาย ๆ องค์กรในประเทศไทย เพียงแต่สำหรับลิกซิลเราวิเคราะห์องค์กรของเราและพบว่าการที่จะเปลี่ยนวิถีการทำงานของพนักงานจากเดิมไปสู่วิถีการทำงานแบบใหม่จำเป็นที่จะต้องส่งเสริมความรู้ ความเข้าใจให้แก่พนักงานไปทีละขั้นตอนด้วยการเริ่มต้นจากการถ่ายทอดประสบการณ์จริงของพนักงานรุ่นพี่ไปสู่พนักงานรุ่นน้องผ่านวิธีการที่เรียกว่า Mentorship Program”

“โดยพนักงานที่ผ่านการคัดเลือกเข้าสู่การอบรมจะมีโอกาสได้รับการถ่ายทอดองค์ความรู้ และประสบการณ์การทำงานโดยตรงจากผู้ที่มีความรู้ ความเชี่ยวชาญในการทำงาน ซึ่งโปรแกรมพี่เลี้ยงนี้จะสร้างบริบทความใกล้ชิดในวัฒนธรรมแห่งการเรียนรู้ร่วมกัน การแบ่งปันข้อแนะนำจากประสบการณ์การทำงานที่สั่งสมมา รวมทั้งไอเดียใหม่ ๆ ตลอดจนการสร้างวิสัยทัศน์ร่วมกันเพื่อมุ่งหวังให้เหล่าผู้ได้รับการสอนงาน (Mentee) บรรลุเป้าหมายในเส้นทางอาชีพของตนและสามารถปรับตัวกับการเปลี่ยนแปลงต่าง ๆ ได้”

ทั้งนี้ Mentorship Program ของลิกซิลแบ่งเป็น 3 ส่วนด้วยกัน ดังนี้

  1. Virtual Unpacking Session

โดยหยิบยกประเด็นสำคัญจาก 1 ในหนังสือธุรกิจที่ดีที่สุดในโลกอย่าง “Who Moved My Cheese” หรือ “ใครเอาเนยแข็งของฉันไป” ที่ว่าด้วยเรื่องของการเตือนสติผู้คนให้ตระหนักถึงการเปลี่ยนแปลงว่าเป็นสิ่งที่เกิดขึ้นได้ตลอดเวลา และเมื่อมีการเปลี่ยนแปลงเกิดขึ้นจงตั้งรับและกล้าเผชิญหน้าอย่างรู้เท่าทัน โดยเฉพาะในยุคที่การ Disrupt เกิดขึ้นแบบรวดเร็วมาเป็นหัวข้อหลัก นอกจากนั้นตลอดทั้งเซสชั่นทุกคนได้แลกเปลี่ยนความคิดเห็นและมุมมองของตนเองเกี่ยวกับหนังสือเล่มนี้ ได้ลองสวมบทบาทเป็นคาแรคเตอร์ของตัวละครในเรื่องเพื่อทำความเข้าใจว่าตัวละครนั้น ๆ มีวิธีคิด รู้สึก และแสดงออกต่อเหตุการณ์ ต่าง ๆ อย่างไร ซึ่งทำให้พนักงานได้ค้นพบตัวเองผ่านการคิดวิเคราะห์ว่าที่ผ่านมาตัวเราเองเคยเป็นตัวละครแบบไหนและผลกระทบที่เกิดขึ้นจากการมีความคิดเหล่านั้นในอดีต และเราควรเปลี่ยนแปลงอะไรบ้าง จากนั้นจะเข้าสู่ช่วงตกผลึกที่เรียกว่าเป็นการเปลี่ยนแปลงตนเองด้วยกระบวนการฝึกคิดให้มีมุมมองต่อสิ่งต่าง ๆ ในทิศทางที่ดีขึ้น

  1. Entrepreneurial Mindset

เป็นกิจกรรมเวิร์กชอปที่ลิกซิลส่งเสริมให้พนักงานที่เข้าร่วมกิจกรรมมีความรู้ ความเข้าใจในเรื่องความสำคัญของ หรือการมีแนวคิดแบบผู้ประกอบการ Sense of Ownership ซึ่งจะช่วยให้พนักงานกล้าคิด กล้าทำ พร้อมรับมือกับปัญหาสามารถผลักดันองค์กรให้เติบโตยิ่งขึ้น ตลอดจนยังเป็นการปลูกฝังแนวความคิดการนึกถึงผู้อื่นไม่น้อยไปกว่าตัวเอง หรือ Outward Mindset โดยกิจกรรมนี้มุ่งหวังให้พนักงานเข้าใจตนเอง เห็นอกเห็นใจผู้อื่น เห็นแก่ประโยชน์ส่วนรวมขององค์กรเป็นที่ตั้ง

  1. Group Reflection

เป็นกิจกรรมไฮไลท์ที่พนักงานรุ่นน้องมีโอกาสได้รับการถ่ายทอดความรู้ ทักษะ และประสบการณ์การทำงานจากรุ่นพี่ รวมถึงการให้คำแนะนำส่วนตัวเป็นระยะเวลา 3 เดือน

และจากการใช้ Mentorship Program มาพัฒนาศักยภาพ สร้างความเข้มแข็ง และทักษะจำเป็นเพื่อรับมือกับความเปลี่ยนแปลงให้พนักงาน คุณพรกนก กล่าวถึงผลตอบรับที่ดีที่เกิดขึ้นว่า

“ลิกซิลได้รับเสียงตอบรับค่อนข้างดีจากพนักงานทุกคนที่ได้เข้าอบรมผ่าน Mentorship Program มาในวันนี้เราจึงพร้อมนำข้อเสนอแนะต่าง ๆ มาพัฒนาให้การจัดอบรมครั้งต่อไปมีประสิทธิภาพ ตลอดจนจัดเตรียมหัวข้อการอบรมให้ทันยุค ทันเหตุการณ์มากยิ่งขึ้น”

LinkedIn Learning เครื่องมือสำคัญที่ช่วยให้พนักงานปรับตัวได้ทันกับความเปลี่ยนแปลง

“ปฏิเสธไม่ได้เลยว่าท่ามกลางการเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นในโลกยุคปัจจุบัน ทักษะหนึ่งที่ทุกคนต้องมีเพื่อปรับตัวให้เข้ากับกระแสความเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้น นั่นคือ ทักษะการเรียนรู้ตลอดชีวิต (Lifelong Learning)”

ด้วยความตระหนักในความจริงข้อนี้ ฝ่าย HR ของ ลิกซิล จึงต่อยอดนโยบายสำคัญขององค์กร ด้วยการใช้แพลตฟอร์ม LinkedIn Learning มาส่งเสริมให้พนักงานทุกคนเป็นผู้ที่ไม่หยุดเรียนรู้ โดย คุณพรกนก ได้ขยายความถึงการนำแพลตฟอร์มนี้มาใช้ในองค์กรว่า

“ลิกซิล เชื่อมาตลอดว่า “Knowledge is Power” หรือ ความรู้คือพลังสำคัญที่จะทำให้ทุกคนปรับตัวรับกับความเปลี่ยนแปลงได้ ไม่ว่าจะเกิดวิกฤตหรือการดิสรัปอะไรเกิดขึ้นก็ตาม ทางฝ่าย HR จึงได้ปรับเอาแพลตฟอร์ม LinkedIn Learning มาเป็นตัวช่วยในการติดอาวุธทางปัญญาเรื่อง Reskill & Upskill ให้แก่พนักงาน และลดปัญหาเรื่อง Skill Gap ที่เกิดขึ้นในองค์กรได้อย่างตรงจุด”

“อีกทั้งยังเปิดโอกาสให้พนักงานได้เข้าถึงแหล่งความรู้จากผู้สอน วิทยากร ที่มีประสบการณ์ด้านต่าง ๆ ในระดับโลก ไม่ว่าจะเป็นคอร์สเกี่ยวกับ Entrepreneur Spirit, Change Management ได้ทุกที่ ทุกเวลา หลังจากเรียนจบคอร์สแล้วทุกคนจะได้รับ Certificate เป็นการยืนยันถึงความสำเร็จอีกด้วย”

“โดยล่าสุด เป็นเรื่องน่ายินดีที่พนักงานของเราลงทะเบียนเรียนนับเป็นจำนวนอันดับ 3 รองจากจีน และอินเดีย นี่เป็นดัชนีชี้วัดว่าพนักงานของเราตื่นตัวและเห็นความสำคัญของการเพิ่มพูนทักษะความรู้เพื่อนำไปต่อยอดในการทำงาน”

แชร์ประสบการณ์จาก ฝ่าย HR ลิกซิล กับความสำเร็จของการพาองค์กรก้าวสู่การเป็น “องค์กรยุคใหม่” ด้วย Culture Transformation

เมื่อถามถึงแนวทางที่ ฝ่าย HR ลิกซิล ได้นำมาใช้ เพื่อบรรลุเป้าหมายของการทำให้ ลิกซิล ประเทศไทย เป็นองค์กรยุคใหม่ที่พร้อมปรับตัวกับทุกความเปลี่ยนแปลงที่จะเกิดขึ้นได้ คุณพรกนก ได้ให้คำตอบพร้อมให้มุมมองที่น่าสนใจเกี่ยวกับเทรนด์การทำงานของฝ่าย HR ในยุคนี้ด้วยว่า

“วันนี้บทบาทและหน้าที่ของ HR ได้เปลี่ยนแปลงไปอย่างสิ้นเชิง HR ไม่ได้มีความรู้จำเพาะแค่เรื่องการบริหารจัดการบุคคลอีกต่อไป แต่จำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องมีความรู้ ความเข้าใจในแง่ของธุรกิจ (Business Acumen) มีส่วนร่วมที่สำคัญในการวาง กลยุทธ์ให้แก่องค์กร หรือเรียกว่าเป็น Business Partner ในแง่การเป็นผู้นำในการพัฒนาบุคลากรทุกระดับให้สอดคล้องกับทิศทางการดำเนินธุรกิจขององค์กร”

“ในส่วนของการดูแลพนักงานลิกซิล เราเน้นสร้างบรรยากาศการทำงานในลักษณะ Agile มากขึ้น ซึ่งเป็นแนวคิดที่ ลิกซิล เร่งผลักดันให้เกิดเป็นวัฒนธรรมใหม่ในองค์กรเพื่อให้พนักงานพร้อมตั้งรับการเปลี่ยนแปลง เน้นความคล่องตัว ความยืดหยุ่น ลดความซับซ้อนของการทำงานที่เป็นขั้นตอนลง ตลอดจนเน้นให้พนักงานสามารถปรับตัวตามสถานการณ์ได้อย่างรวดเร็ว ซึ่งนี่ถือเป็นความท้าทายของฝั่ง HR เพราะเป็นเรื่องใหม่สำหรับองค์กรเราและคงต้องใช้เวลาอีกสักระยะให้พนักงานทุกคนได้ปรับตัวจนเกิดความคุ้นชิน”

“เพราะในยุคนี้ชุดทักษะความรู้แบบเดิม ๆ ไม่อาจใช้ได้ในโลกการทำงานที่เปลี่ยนแปลงไปอย่างรวดเร็วอีกต่อไป การส่งเสริมให้พนักงานมี Mindset รักการเรียนรู้ตลอดชีวิตในรูปแบบ Learn, Unlearn และ Relearn จึงเป็นหนทางที่ลิกซิลนำมาใช้ปรับกระบวนทัศน์การทำงานให้เกิดประสิทธิภาพสูงสุด”

เริ่มต้นที่ Learn คือ การเรียนรู้สิ่งใหม่ ทักษะใหม่ ตลอดจนวิธีคิดใหม่ ๆ เพื่อนำมาประยุกต์ใช้ให้เหมาะสมกับการทำงานใน Disruptive World ส่วน Unlearn คือ การละทิ้งหรือทลายกรอบความรู้ ความเชื่อ ทฤษฎีเดิม ๆ ที่เคยยึดถือมา ด้วยการกล้าทดลองและเปิดใจให้กับองค์ความรู้ใหม่ ๆ และ Relearn คือ การค้นหาและสำรวจว่ามีทักษะใดบ้างที่พนักงานของเราจำเป็นต้องเรียนรู้เพิ่มเติม ไม่ว่าจะเป็น Digital Skill และ Soft Skill เช่น ทักษะการสื่อสาร (Communication) ทักษะการบริหารเวลา (Time Management) ทักษะการทำงานร่วมกับผู้อื่น (Collaboration) ทักษะการคิดวิเคราะห์ (Critical Thinking)

เชิญสัมผัสประสบการณ์การสร้างสรรค์พื้นที่ห้องครัวและห้องน้ำจากหลากหลายแบรนด์ดัง คัดสรรและนำมาจัดแสดงในรูปแบบ multi-sensory เพื่อสร้างแรงบันดาลใจไม่รู้จบ

Page 1 of 2
X

Right Click

No right click