นายไชย ไชยวรรณ กรรมการและประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ไทยประกันชีวิต จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า “นับเป็นก้าวสำคัญของไทยประกันชีวิต เมื่อหุ้น TLI ซึ่งเป็นหุ้น IPO ในหมวดธุรกิจประกันภัยและประกันชีวิตที่มีมูลค่าเสนอขายสูงที่สุดในประวัติศาสตร์ตลาดทุนไทยและภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ได้เข้าทำการซื้อขายเป็นวันแรก การเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ฯ จะช่วยให้ไทยประกันชีวิตสามารถรักษาสถานะความเป็นผู้นำและดำเนินธุรกิจให้เป็นไปตามวิสัยทัศน์ที่ตั้งใจไว้ คือ การเป็นบริษัทประกันชีวิตแห่งความยั่งยืน ส่งเสริมการเปลี่ยนผ่านองค์กรสู่มิติใหม่ เสริมสร้างศักยภาพอันแข็งแกร่งรองรับการเติบโตในอนาคต โดยกำหนด Business Purpose สู่การเป็น Life Solutions Provider มุ่งสู่การเป็นทุกคำตอบของการประกันชีวิต การประกันสุขภาพ และการวางแผนทางการเงินส่วนบุคคล เพื่อสร้างความมั่นคงในทุกช่วงของชีวิต (Life Stage) ทุกจังหวะชีวิต (Life Event) และทุกการใช้ชีวิต (Lifestyle) ของคนไทย
โดยไทยประกันชีวิต มีแผนจะนำเงินที่ได้จากการระดมทุนเพื่อใช้ในการเสริมความแข็งแกร่งให้ธุรกิจและเพิ่มศักยภาพการเติบโตในอนาคต โดยเน้นลงทุนในการพัฒนาด้านเทคโนโลยีดิจิทัล (Digital Transformation) และส่งเสริมการตลาด ผ่านนวัตกรรมและโซลูชันเพื่อเพิ่มความสะดวกสบายในการให้บริการและดูแลลูกค้าได้อย่างครบวงจร การเสริมสร้างความแข็งแกร่งของช่องทางจัดจำหน่ายผ่านทางพันธมิตรที่เป็นจุดเชื่อมต่อกับลูกค้าทั่วประเทศ ตลอดจนการเสริมสร้างความแข็งแกร่งของเงินทุน ทั้งสำหรับเงินทุนหมุนเวียนและวัตถุประสงค์อื่น ๆ โดยเราเชื่อว่านักลงทุนจะเห็นถึงศักยภาพของ TLI และร่วมเป็นส่วนหนึ่งของความมั่นคง และสร้างการเติบโตไปด้วยกัน”
ในวันแรกของการเข้าจดทะเบียนและเริ่มซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์ฯ ไทยประกันชีวิตมีทุนจดทะเบียนชำระแล้ว 11,450 ล้านบาท โดยเสนอขายหุ้นสามัญต่อประชาชนเป็นครั้งแรก (IPO) จำนวนรวมทั้งสิ้น 2,316.7 ล้านหุ้น (รวมการจัดสรรหุ้นส่วนเกิน) คิดเป็นมูลค่าการระดมทุนรวมทั้งสิ้น 37,067 ล้านบาท และมีมูลค่าหลักทรัพย์ (Market Capitalization) ประมาณ 183,200 ล้านบาท ที่ราคา IPO
ภายหลังจากการเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ฯ ครอบครัวไชยวรรณเป็นผู้ถือหุ้นใหญ่โดยถือหุ้นร้อยละ 65.60 และ Meiji Yasuda Life Insurance Company (MY) ถือหุ้นร้อยละ 15.00 (ภายใต้สมมติฐานว่าผู้จัดหาหุ้นส่วนเกินใช้สิทธิซื้อหุ้นส่วนเกินทั้งจำนวน) โดยไทยประกันชีวิตมีนโยบายจ่ายเงินปันผลให้แก่ผู้ถือหุ้นในอัตราไม่น้อยกว่าร้อยละ 30 ของกำไรสุทธิหลังหักภาษีและหักสำรองตามที่กฎหมายและข้อบังคับที่บริษัทฯ กำหนด โดยต้องไม่เกินกว่ากำไรสะสมของบริษัทฯ โดยคำนึงถึงปัจจัยที่เกี่ยวข้องต่างๆ รวมถึงการได้รับความเห็นชอบจากเลขาธิการสำนักงานคณะกรรมการกำกับและส่งเสริมการประกอบธุรกิจประกันภัย