เซเว่น อีเลฟเว่น ปลุกโอกาสสินค้าเด็ด SME ถึงมือผู้บริโภค จัดแคมเปญ “เปิดวาร์ปความอร่อยขนมไทยจาก SME” เชิญชวนคนไทย-คนต่างชาติร่วมสนับสนุน ส่งเสริมขนมไทยฝีมือ SME ชูคอนเซ็ปต์ “อร่อย-หาทานง่าย-หลากหลาย-สะดวก” ยกทัพขนมไทยกว่า 80 รายการอาทิ ทับทิมกรอบกะทิสด กล้วยปิ้งน้ำตาลมะพร้าว ชุดรวมขนมทองมงคล สู่ร้านเซเว่น อีเลฟเว่น 14,000 สาขาทั่วประเทศ พร้อมการส่งเสริมการตลาด ณ จุดขาย ถึง 23 มี.ค.นี้ หวังช่วย SME ไทยเติบโตอย่างแข็งแกร่ง หนุนขนมไทยของ SME ขึ้นแท่น Soft Power

นายยุทธศักดิ์ ภูมิสุรกุล ประธานเจ้าหน้าที่บริหารบริษัท ซีพี ออลล์ จำกัด (มหาชน) ผู้บริหารเซเว่นอีเลฟเว่น และเซเว่น เดลิเวอรี่ กล่าวว่า การสนับสนุนการเติบโตของ SME ไทยอย่างยั่งยืน ถือเป็นหนึ่งในพันธกิจที่บริษัทให้ความสำคัญอย่างต่อเนื่องภายใต้นโยบาย “SME โตไกลไปด้วยกัน” โดยในปีนี้ได้ต่อยอดโดยนำกลุ่มสินค้าขนมไทยฝีมือ SME มาจัดแคมเปญ “เปิดวาร์ปความอร่อยขนมไทยจาก SME” เพื่อสร้างการรับรู้ถึงศักยภาพของผู้ประกอบการ SME ไทยและขนมไทยในวงกว้าง ที่พร้อมก้าวสู่การเป็น Soft Power ไทย

“เราเลือกนำกลุ่มสินค้าขนมไทยมาจัดแคมเปญต่อเนื่อง เพราะเรามองว่า ขนมไทย เป็นขนมที่มีเอกลักษณ์โดดเด่นเฉพาะตัว มีความหลากหลาย และมีรสชาติอร่อยไม่แพ้ชาติใดในโลก แต่ด้วยสินค้าขนมไทยในปัจจุบัน หาทานได้ยาก ทำให้คนรุ่นใหม่และชาวต่างชาติมีโอกาสเข้าถึงขนมไทยได้ไม่มากนัก เซเว่น อีเลฟเว่น ในฐานะผู้ที่สนับสนุน SME ขนมไทยมาโดยตลอด ต้องการช่วยแก้ไขปัญหาดังกล่าว สร้างความตระหนักว่าสินค้าขนมไทยฝีมือ SME สามารถหาทานได้ง่าย พร้อมทั้งส่งเสริมโอกาสให้ SME ขนมไทยเข้าสู่ตลาดโมเดิร์นเทรด และเติบโตอย่างยั่งยืน เข้าถึงมือผู้บริโภคทั้งชาวไทยและชาวต่างชาติ” นายยุทธศักดิ์ กล่าว

ทั้งนี้ แคมเปญ “เปิดวาร์ปความอร่อยขนมไทยจาก SME” ได้รวบรวมสินค้าขนมไทยจาก SME กว่า 80 รายการ มาร่วมแคมเปญ ถ่ายทอดจุดเด่นของขนมไทยที่วางจำหน่ายในร้านเซเว่น อีเลฟเว่น ในคอนเซ็ปต์ 1.อร่อย คงรสชาติความอร่อยอันเป็นเอกลักษณ์ของขนมไทยแท้ไว้ได้อย่างครบถ้วน 2.หาทานง่าย มีวางจำหน่ายในทุกสาขาทั่วประเทศกว่า 14,000 สาขา หรือสั่งซื้อผ่านเซเว่น เดลิเวอรี่ 3.หลากหลาย มีประเภทสินค้าขนมไทยที่เป็นที่นิยมมากมาย อาทิ ทับทิมกรอบกะทิสด กล้วยปิ้งน้ำตาลมะพร้าว ชุดรวมขนมทองมงคล  รวมถึงสินค้าที่หาทานได้ยาก อาทิ ตะโก้สามสหาย ถั่วทองกวนและเผือกกวน 4.สะดวก มาพร้อมกับแพ็กเก็จจิ้งสวยงามทันสมัย ที่ทางเซเว่น อีเลฟเว่น ร่วมพัฒนามากับผู้ประกอบการ ส่งผลให้แพ็กเก็จจิ้งของสินค้าแต่ละประเภทสะดวกต่อการรับประทานในปริมาณที่เหมาะสม

นายยุทธศักดิ์ กล่าวอีกว่า สำหรับรูปแบบการดำเนินการ จะให้ความสำคัญกับการสนับสนุนการตัดสินใจซื้อ ณ จุดขาย อาทิ การติดตั้งสื่อสนับสนุน พร้อมข้อความสั้นๆ ชวนอุดหนุนขนมไทย ที่บริเวณชั้นวางสินค้าภายในร้านเซเว่น อีเลฟเว่น และรายการส่งเสริมการขาย เพื่อช่วยขับเคลื่อน SME ด้านช่องทางขาย ช่วยทำให้ยอดขายของ SME เพิ่มขึ้น เพื่อสร้างรายได้กลับสู่ชุมชน ตามปณิธานของบริษัท “Giving and Sharing” โดยระยะเวลาของแคมเปญนี้เริ่มตั้งแต่ 24 ก.พ. 2567 ถึงวันที่ 23 มี.ค.2567

“พฤติกรรมของผู้บริโภคในร้านสะดวกซื้อจำนวนมาก ยังคงเป็นการตัดสินใจซื้อ ณ จุดขาย การจัดกิจกรรมการตลาด ณ จุดขาย อย่างการติดตั้งสื่อสนับสนุน สร้างความตระหนักถึงรสชาติ ความอร่อย สร้างความสนใจในตัวผลิตภัณฑ์ จึงมีอิทธิพลต่อการตัดสินใจซื้อของผู้บริโภคเป็นอย่างมาก เชื่อมั่นว่าแคมเปญครั้งนี้ จะช่วยยกระดับให้สินค้าขนมไทยฝีมือ SME กลายเป็น Soft Power ที่สร้างความประทับใจให้แก่ทั้งชาวไทยและชาวต่างชาติ” นายยุทธศักดิ์ กล่าว

ที่ผ่านมา เซเว่น อีเลฟเว่น ภายใต้บริษัท ซีพี ออลล์ จำกัด (มหาชน) ถือเป็นหนึ่งในองค์กรที่ให้ความสำคัญกับการสนับสนุน SME ภายใต้นโยบาย “SME โตไกลไปด้วยกัน” พร้อมทั้งเดินหน้า กลยุทธ์ 3 ให้ ประกอบด้วย 1.ให้ช่องทางขาย 2.ให้ความรู้ และ 3.ให้การเชื่อมโยงเครือข่าย ช่วยเหลือ SME อย่างต่อเนื่อง โดยศูนย์ 7-Eleven สนับสนุน SME เป็นแกนหลัก ช่วยให้ผู้ประกอบการ SME เข้าถึงแหล่งข้อมูล ความรู้ งานวิจัย ตลอดจนเป็นสื่อกลางในการเชื่อมโยงเครือข่ายพันธมิตรทั้งภาครัฐและเอกชนในการสร้างการเติบโตให้ SME ไทยเปี่ยมศักยภาพเติบโตในเวทีการค้าโลกได้อย่างแข็งแกร่งและยั่งยืน

สำหรับ SME ผู้ประกอบการ ที่สนใจสามารถนัดหมายขอเข้ารับคำปรึกษากับทางศูนย์ 7-Eleven สนับสนุน ได้ผ่าน 2 ช่องทางหลัก ได้แก่ 1.ผ่านช่องทาง Call Center เบอร์ 02-826-7750 ทุกวันจันทร์-ศุกร์ เวลา 8.30-17.00 น. หรือEmail : This email address is being protected from spambots. You need JavaScript enabled to view it. และ 2.ผ่านทาง www.7smesupportcenter.com ตลอด 24 ชั่วโมง

“ซีพี ออลล์” ผู้บริหารร้านเซเว่น อีเลฟเว่น  เซเว่น เดลิเวอรี่ และผู้ถือหุ้นใหญ่ บริษัท ซีพี แอ็กซ์ตร้า จำกัด (มหาชน) เตรียมออกหุ้นกู้เสนอขายแก่ประชาชนเป็นการทั่วไป จำนวน 3 ชุด ช่วงอายุ 5-10 ปี อัตราดอกเบี้ยระหว่าง [3.45-4.05]% ต่อปี โดยหุ้นกู้ที่เสนอขายครั้งนี้ได้รับการจัดอันดับความน่าเชื่อถือที่ระดับ “A+” จากทริสเรทติ้ง ซึ่งคาดว่าจะเสนอขายในระหว่างวันที่ 22 และ 25-26 มีนาคม 2567 ผ่านสถาบันการเงินชั้นนำ 9 แห่ง รวมถึงขายผ่านแอปพลิเคชั่น TrueMoney Wallet พร้อมเตือนนักลงทุนให้ระมัดระวังมิจฉาชีพหลอกลงทุน

นายเกรียงชัย บุญโพธิ์อภิชาติ Chief Financial Officer บริษัท ซีพี ออลล์ จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า “ซีพี ออลล์” เตรียมพร้อมที่จะเสนอขายหุ้นกู้ไม่ด้อยสิทธิ ไม่มีประกัน และมีผู้แทนผู้ถือหุ้นกู้ จำนวน 3 ชุด ประกอบด้วย หุ้นกู้ชุดที่ 1 อายุ 5 ปี อัตราดอกเบี้ย [3.45-3.50]% ต่อปี หุ้นกู้ชุดที่ 2 อายุ 8 ปี 1 เดือน 16 วัน อัตราดอกเบี้ย [3.60-3.84]% ต่อปี และหุ้นกู้ชุดที่ 3 อายุ 10 ปี อัตราดอกเบี้ย [3.85-4.05]% ต่อปี โดยจะแจ้งอัตราดอกเบี้ยที่แน่นอนอีกครั้ง ทั้งนี้ บริษัทฯ จะเสนอขายหุ้นกู้ดังกล่าวให้แก่ประชาชนเป็นการทั่วไป คาดว่าจะเสนอขายในระหว่างวันที่ 22 และ 25-26 มีนาคม 2567  ผ่านสถาบันการเงินชั้นนำ 9 แห่ง ที่ได้รับการแต่งตั้งเป็นผู้จัดการการจัดจำหน่ายหุ้นกู้ ได้แก่  ธนาคารกรุงเทพ ธนาคารกรุงศรีอยุธยา ธนาคารกรุงไทย ธนาคารกสิกรไทย ธนาคารไทยพาณิชย์ ธนาคารซีไอเอ็มบี ไทย ธนาคารทหารไทยธนชาต ธนาคารยูโอบี และบริษัทหลักทรัพย์เกียรตินาคินภัทร รวมทั้งเสนอขายผ่านแอปพลิเคชั่น TrueMoney Wallet และขอเน้นย้ำ ให้ผู้ลงทุนระวังมิจฉาชีพที่แอบอ้างชื่อบริษัทฯ หลอกลงทุน นำเสนอผลตอบแทนที่สูงเกินจริง โดยเฉพาะช่องทางโซเชียลมีเดียต่างๆ เช่น Facebook และแอปพลิเคชั่น Line เป็นต้น ขอให้นักลงทุนพิจารณาผลตอบแทนที่เป็นไปได้ หรือติดต่อสอบถามผ่านสถาบันการเงินทั้ง 9 รายที่เป็นผู้จัดการการจัดจำหน่ายก่อนตัดสินใจลงทุน

หุ้นกู้ บมจ.ซีพี ออลล์ ที่จะเสนอขายในครั้งนี้ ได้รับการจัดอันดับความน่าเชื่อถือจากบริษัท ทริสเรทติ้ง จำกัด เมื่อวันที่ 14 กุมภาพันธ์ 2567 ที่ระดับ “A+” แนวโน้ม “บวก” (Positive) สะท้อนถึงผลการดำเนินงานและสถานะการเงินที่แข็งแกร่งของ “ซีพี ออลล์” ผู้นำธุรกิจค้าปลีกที่สามารถสร้างกระแสเงินสดจากการดำเนินงาน การมีเครือข่ายสาขาที่ครอบคลุมทั่วประเทศ และมีธุรกิจสนับสนุนที่เข้มแข็ง รวมถึงแพลตฟอร์มออนไลน์ที่ประสบความสำเร็จ

“ซีพี ออลล์” เป็นที่รู้จักของประชาชนในวงกว้างด้วยแบรนด์  “เซเว่น อีเลฟเว่น” ผู้ให้บริการความสะดวกกับทุกชุมชน โดยบริษัทฯ ยังคงกลยุทธ์การเป็นจุดหมายปลายทางของอาหารและเครื่องดื่ม (Food & Drink Destination) เพื่อให้ลูกค้าได้มีโอกาสเข้าถึงสินค้ากลุ่มอาหารและเครื่องดื่ม ภายใต้สโลแกน “หิวเมื่อไหร่ก็แวะมา” และ “หิวเมื่อไหร่ก็สั่งเลย” โดยมีแผนงานที่จะพัฒนาช่องทางการจำหน่ายสินค้าและบริการ แบบ O2O เชื่อมโยงช่องทางออนไลน์และออฟไลน์แบบไร้รอยต่อ ผ่านบริการ 7-Delivery ส่งตรงถึงบ้าน นอกจากนี้ ยังมีแนวทางการขยายสาขาและสร้าง “เสน่ห์ร้าน” ให้สอดคล้องกับพฤติกรรมและความต้องการของลูกค้าในแต่ละพื้นที่ เพื่อสร้างประสบการณ์ที่เหนือความคาดหมายให้กับลูกค้า (Beyond Customer Experience) โดยมุ่งกระจายตัวให้เข้าถึงทุกชุมชน  ทั้งนี้ ณ สิ้นปี 2566 มีจำนวนร้านสาขารวม 14,545 สาขาทั่วประเทศ และยังคงมีแผนงานการเปิดร้านสาขาใหม่อย่างต่อเนื่อง

ด้วยชื่อเสียงของ “เซเว่น อีเลฟเว่น” ทำให้การขยายธุรกิจไปยังประเทศกัมพูชา และสาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชน (สปป.) ลาว ได้รับการชื่นชมและตอบรับเป็นอย่างดีจากลูกค้าในต่างประเทศ โดยบริษัทมีแผนที่จะเปิดสาขาเพิ่มเติมตามศักยภาพของแต่ละประเทศ สำหรับผลการดำเนินงานของบริษัทฯ ในปี 2566 ที่ผ่านมา  บริษัทฯ มีรายได้รวม 921,187 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 8% และกำไรสุทธิ 18,482 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 39% จากปีก่อน แสดงให้เห็นถึงการฟื้นตัวอย่างชัดเจน ขณะที่บริษัทฯ ยังคงดำเนินตามกลยุทธ์ของบริษัทฯ ภายใต้สโลแกน “สะดวกครบ จบที่เดียว (All Convenience)” ทั้งในเรื่องของสินค้าอาหารและเครื่องดื่ม รวมถึงการเป็นศูนย์บริการด้านสุขภาพและความงามของชุมชน ซึ่งสอดรับกับการบริโภคภายในประเทศที่ฟื้นตัว รวมถึงจำนวนนักท่องเที่ยวทั้งไทยและต่างประเทศที่กลับมา และมีกิจกรรมทางเศรษฐกิจต่างๆ เพิ่มมากขึ้น

ในขณะเดียวกัน บริษัทฯ ยังได้รับเลือกให้เป็นสมาชิก FTSE4Good Index ติดต่อกันเป็นปีที่ 6, เป็นสมาชิก DJSI ในกลุ่มดัชนี DJSI Emerging Markets ต่อเนื่องเป็นปีที่ 7, กลุ่มดัชนี DJSI World ต่อเนื่องเป็นปีที่ 6 อีกทั้งได้รับการจัดอันดับด้านการกำกับดูแลกิจการจาก IOD ในระดับดีเลิศ ต่อเนื่องเป็นปีที่ 4 สะท้อนถึงศักยภาพของ “ซีพี ออลล์”  ที่สามารถสร้างผลตอบแทนอย่างยั่งยืน เป็นธุรกิจที่มีผลิตภัณฑ์และกระบวนการผลิตที่ดีต่อสิ่งแวดล้อมและสังคม และเป็นธุรกิจที่มีความรับผิดชอบต่อสังคม

สถาบันการเงินผู้จัดจำหน่ายหุ้นกู้ให้ความเห็นว่า “มั่นใจว่า หุ้นกู้ “ซีพี ออลล์” จะได้รับการตอบรับจากผู้ลงทุนเป็นอย่างดีเหมือนทุกครั้งที่ผ่านมา ด้วยอันดับความน่าเชื่อถือระดับ “A+” และความแข็งแกร่งในฐานะผู้นำในธุรกิจค้าปลีก รวมถึงผลประกอบการที่ดี และยังมีแผนการเติบโตอย่างต่อเนื่องทั้งในและต่างประเทศ ดังนั้น การเสนอขายหุ้นกู้ของ “ซีพี ออลล์” ในครั้งนี้จึงเป็นอีกหนึ่งทางเลือกที่น่าสนใจสำหรับผู้ลงทุน”

ปัจจุบัน บริษัทฯ อยู่ระหว่างการยื่นแบบแสดงรายการข้อมูลและร่างหนังสือชี้ชวนต่อสำนักงาน ก.ล.ต. ซึ่งยังไม่มีผลใช้บังคับ สำหรับผู้ลงทุนที่สนใจจองซื้อหุ้นกู้ บมจ.ซีพี ออลล์ สามารถติดต่อผู้จัดการการจัดจำหน่ายหุ้นกู้ทั้ง 9 แห่งได้ ดังต่อไปนี้

 

คิดเป็นมูลค่ากว่า 20,000 ล้าน ประกาศปี’67 พร้อมเดินหน้าสนับสนุน ส่งเสริม SME ภายใต้ "กลยุทธ์ 3 ให้” ต่อเนื่อง

การพัฒนา SME อาจไม่มีสูตรสำเร็จ แต่ก็มีปัจจัยที่มีผลต่อการเติบโตของเอสเอ็มอีที่น่าสนใจที่สามารถนำมาประยุกต์ใช้ในการพัฒนาของผู้ประกอบการรายย่อยได้ เคล็ดลับหนึ่งที่สอดแทรกอยู่ในงานอบรมโครงการ “ตอกเสาเข็มเพื่อ SME” ปี 2567 ที่ทางศูนย์เซเว่น อีเลฟเว่น สนับสนุนเอสเอ็มอี ภายใต้การบริหารของซีพี ออลล์ หยิบยกขึ้นมาคือ “การสร้างแบรนด์” ได้จุดประกายให้เกิดคำถามต่อเนื่องที่เชื่อมโยงสร้างการเติบโตอย่างยั่งยืนให้กับผู้ประกอบการรายย่อยอย่างมีนัยยะสำคัญ

ผศ.ดร.วราภรณ์ คล้ายประยงค์ อาจารย์ประจำคณะวิทยาการจัดการ สถาบันการจัดการปัญญาภิวัฒน์ ผู้เชี่ยวชาญกลยุทธ์ SME หนึ่งในวิทยากร ได้ขยายความเรื่องของ “การสร้างแบรนด์” สิ่งที่ SME ควรรู้ก่อนที่จะปั้นแบรนด์ให้ปัง เพื่อพิชิตใจผู้บริโภคอย่างน่าสนใจ โดยกล่าวว่า ในปัจจุบันมีการแบ่งแยกประเภทลูกค้าตามพฤติกรรมของลูกค้า แทนแบ่งแยกตามอายุ (Generation) เนื่องจาก Digital เข้ามามีบทบาทสำคัญต่อการใช้ชีวิต และภาพเหล่านี้ยิ่งชัดเจนมากขึ้นหลังเหตุการณ์โควิด 19 โดยมีวางกรอบกลุ่มผู้บริโภคใหม่ดังนี้ กลุ่มที่น่าจับตามองคือกลุ่ม Generation C (Connected Generation) ซึ่งมีประมาณ 75% ของประชากรวัยทำงาน ต่างกับ Generation X, Y และ Z ในอดีต ตรงที่อายุไม่ใช่ปัจจัยสำคัญ

Gen C กลุ่มนี้จึงไม่ได้ถูกจำกัดด้วยอายุ แต่มุ่งเน้นไปที่ทัศนคติและกรอบความคิดในการนำเทคโนโลยีมาผสมผสานกับไลฟ์สไตล์ จากข้อมูล Parachute Digital. 2024 พบว่า กลุ่ม Gen C ส่วนใหญ่จะเสพข้อมูลผ่านเว็บไซต์โซเซียลมีเดีย โดย 42% ใช้แท็บเล็ตขณะดูทีวี และ 64% ของเวลาบนมือถือถูกใช้ไปกับ Application ต่างๆ เรียกว่า กลุ่ม Gen C มีความกระตือรือร้นและมีส่วนร่วมในสังคมออนไลน์อย่างต่อเนื่อง โดยไม่เพียงแต่บริโภคเนื้อหาเท่านั้น แต่ยังสร้าง content ขึ้นมาด้วย

จากการวิจัยของ Think with Google พบว่า 90 % ของผู้บริโภค Gen C สร้างเนื้อหาบนโลกออนไลน์อย่างน้อยเดือนละครั้ง การแบ่งปันชีวิตกับโลกดิจิทัลผ่านเครือข่ายโซเชียลมีเดีย เช่น Facebook, Twitter และ Instagram ความคิดสร้างสรรค์และกรอบความคิดดิจิทัลคือสิ่งที่ทำให้คน Gen C แตกต่างจากคนรุ่นอื่นๆ กล่าวอีกนัยหนึ่ง คนเหล่านี้คือคนที่กิน นอน และหายใจผ่านสื่อดิจิทัล (ข้อมูลจาก : Appleton. 2024) ดังนั้น คนกลุ่มนี้จึงเข้าถึงข้อมูลข่าวสารเกี่ยวกับสินค้าต่างๆ ได้อย่างรวดเร็ว

เมื่อกลุ่ม Gen C มีขนาดใหญ่ ผู้ประกอบการ SME หน้าใหม่จะทำอย่างไรเพื่อให้เข้าถึงคนกลุ่มนี้ หนึ่งในวิธีที่เห็นผลและสร้างการเติบโตอย่างยั่งยืนก็คือ “การสร้างแบรนด์” โดยการสร้างแบรนด์ในสมัยนี้ง่ายและสะดวกสบายกว่าเมื่อก่อนมาก แบรนด์ที่ดีต้องประกอบด้วยอะไรบ้าง

1.ทัศนคติในเชิงบวกกับสถานการณ์ที่เปลี่ยนแปลง : การมองโลกในแง่ดีและสนับสนุนผู้บริโภคด้วยการสร้างมูลค่าเชิงบวกกับการขายที่ลำบากจะเป็นกุญแจสำคัญในการรักษาความมั่นใจและสร้างความสัมพันธ์ในแบรนด์ เช่น ผู้ประกอบการจำหน่ายพลาสเตอร์ปิดแผล ซึ่งจะถูกใช้งานก็ต่อเมื่อเกิดบาดแผล หากผู้ประกอบการมีการนำข้อความดีๆหรือออกแบบลายที่ดูสดใส ก็จะช่วยสร้างอารมณ์และความรู้สึกที่ดีได้

2.มีความเป็นมิตร : ผู้บริโภคกำลังมองหาความไว้วางใจและมูลค่าในการซื้อสินค้า ที่มากกว่ามูลค่าทางตัวเงิน ผ่านการให้ความใส่ใจผู้บริโภค เช่น บรรจุภัณฑ์ที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม บริการด้วยใจ ดังนั้นเรื่องของคุณภาพ ความปลอดภัย และความสะดวกจึงยังคงสำคัญ แม้ว่าจะมีความอ่อนไหวต่อราคาเพิ่มขึ้น เช่น ในช่วงสถานการณ์โควิด-19 ที่คนไม่สามารถออกมาจับจ่ายซื้อสินค้าได้ ผู้ประกอบการก็มีบริการจัดส่งแบบเดลิเวอรี่ หรือมีการสอบถามเพื่อแสดงความห่วงใย

3.ผสานเทคโนโลยีทั้งในการทำงานและชีวิตประจำวัน : เมื่อกลุ่มผู้บริโภคส่วนใหญ่อยู่ในตลาดออนไลน์ ผู้ประกอบการก็เลี่ยงไม่ได้ที่จะเข้าไปสร้างแบรนด์ให้เป็นที่รู้จักผ่านช่องทางนี้ ซึ่งปัจจุบันมีหลากหลายแพลตฟอร์มออนไลน์ให้เลือกทำตลาด และมีค่าใช้จ่ายไม่สูง เหมาะกับผู้ประกอบการ SME หน้าใหม่ให้ได้ทำตลาดและสร้าง  แบรนด์ โดยผู้ประกอบการจะต้องศึกษารูปแบบและวิธีการขายในแต่ละแพลตฟอร์มให้ดี เพื่อสื่อสารให้ตรงกลุ่มเป้าหมาย

4.ให้ความสำคัญกับงานและชีวิต : การที่กลุ่ม Gen C เข้าถึงข้อมูลต่างๆได้ง่ายและรวดเร็ว ทำให้มองเห็นการเปลี่ยนแปลงของโลกในปัจจุบันที่มุ่งเน้นการให้ความสำคัญกับธรรมาภิบาลขององค์กร ดังนั้น หากแบรนด์มีการสร้างการตระหนักรู้ถึงความใส่ใจขององค์กรที่มีต่อพนักงาน ก็จะยิ่งทำให้แบรนด์เข้าไปอยู่ในใจผู้บริโภคได้ง่ายขึ้น เพราะความสุขของพนักงานที่มีต่อการทำงานจะสะท้อนออกมาผ่านตัวสินค้าและบริการนั่นเอง

5.ให้ความสำคัญกับสังคม : ผู้บริโภคตระหนักถึงปัญหาทางสังคมและสิ่งแวดล้อมมากขึ้น และต้องการเห็นธุรกิจดำเนินการด้วยความรับผิดชอบ กลุ่ม Gen C มักจะค้นหาข้อมูลของผู้ประกอบการและที่มาของสินค้าว่า สร้างผลกระทบในเชิงลบต่อสังคมหรือสิ่งแวดล้อมหรือไม่ รวมถึงมีการทำกิจกรรมหรือโครงการดีๆ เพื่อตอบแทนสังคมหรือรักษาสิ่งแวดล้อมหรือไม่ ซึ่งสิ่งเหล่านี้เป็นเรื่องที่ผู้บริโภคให้ความสำคัญอย่างมาก

หากดำเนินการสร้างแบรนด์ครบทั้ง 5 เรื่องแล้ว ลำดับถัดไปคือการเลือกช่องทางในการสร้างแบรนด์ ผู้ประกอบการควรเลือกจำหน่ายสินค้าผ่านช่องทางออนไลน์ที่มีการการันตีคุณภาพ ซึ่งปัจจุบันมีช่องทางออนไลน์ที่เป็นสื่อกลางในการขายสินค้าจำนวนมาก หากผู้ประกอบการสร้างแบรนด์ผ่านช่องทางขายออนไลน์ของตัวเอง ก็สามารถการันตีสินค้าได้เช่นกัน และต้องมีการสื่อสารกับลูกค้าอย่างรวดเร็ว เพื่อสร้างความพึงพอใจ

พร้อมเปิดตัวคลิป “เชิดชูจิตวิญญาณความเป็นครู” เนื่องในวันครูแห่งชาติ 2567

X

Right Click

No right click