JFIN Chain จับมือ 360Connect เปิดตัว “360Connect : Connect The Future” หลักสูตรการเรียนรู้รูปแบบใหม่มุ่งเน้นการศึกษาที่ไม่หยุดนิ่งแค่ในห้องเรียนโดยผู้เรียน สามารถเรียนไปด้วยสร้างรายได้ ไปด้วยบนแพลตฟอร์ม ภายใต้แนวคิด “Learn more, Contribute more, Earn more - ยิ่งเรียน ยิ่งทำ ยิ่งได้!”
โดยงานนี้ได้รับเกียรติจาก คุณพงศ์พิศิชญ์ ประทีปะวณิช นายกสมาคม NFT และ Web3 แห่งประเทศไทย เป็นประธานเปิดงาน 360Connect : Connect The Future แพลตฟอร์มแห่งการเรียนรู้ สู่โลกอนาคต
นายกิตติพล ลีปิพัฒนวิทย์ ผู้บริหารบริษัท KMARS STUDIO และ นายโฆษิต ขุมทรัพย์ ผู้บริหารโปรเจกต์ Tripster ผู้ก่อตั้งแพลตฟอร์ม 360Connect ได้ร่วมให้ข้อมูลแนวทาง, เป้าหมาย, วิสัยทัศน์ ของการสร้างห้องเรียน Learn2Earn ว่า “เรานำปัญหาด้านการศึกษามาปรับเปลี่ยนให้อยู่ในระบบนิเวศของเทคโนโลยีบล็อกเชน เพื่อให้เกิด แรงจูงใจต่อผู้เรียนมากยิ่งขึ้น 360 Connect เป็นแพลตฟอร์มที่ทุกคนได้เรียนรู้ด้านการลงทุนและการหารายได้ ในสินทรัพย์ดิจิทัล รวมถึงเทคโนโลยี ที่เกี่ยวข้อง เพื่อเรียน ทำกิจกรรม และรับรางวัล ไปพร้อมกับผู้เชี่ยวชาญ และผู้มีประสบการณ์ หลากหลายท่าน ตั้งแต่อาจารย์ระดับท็อปในวงการคริปโต ไปจนถึง CEO เจ้าของธุรกิจ Start-Up ที่จะมาแชร์ความรู้และประสบการณ์ให้ผู้เรียน”
ด้าน นายธนวินท์ รัฐเมธา รองประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท เจ เวนเจอร์ส จำกัด กล่าวว่า “JFIN Chain มุ่งมั่นที่จะเป็น Blockchain for Business เรามีเครื่องมือพร้อมใช้ (Ready to use tools) สำหรับธุรกิจให้เริ่มต้นในการ นำไปเชื่อมต่อสู่โลกบล็อกเชน โดยเฉพาะการสร้าง Join Application บล็อกเชนแอปพลิเคชันที่ทำหน้าที่หลักเป็นกระเป๋า ในการเก็บเหรียญและ NFT ซึ่งออกแบบมาให้ ผู้ใช้งานเข้าถึงได้อย่าง seamless โดยที่ไม่ต้องมีความรู้ในเรื่องเทคโนโลยี เชิงลึกแต่อย่างไร การจับมือกับ 360Connect ในครั้งนี้ เป็นอีกโปรเจกต์ที่ต้องการสร้างให้เกิดการใช้งานที่เพิ่มขึ้น ทั้งในกลุ่มธุรกิจองค์กร และผู้ใช้งานทั่วไป ซึ่ง JFIN Chain เองให้การสนับสนุนให้เข้าถึงได้ง่าย ด้วยการเชื่อมต่อเข้ากับ Join Application ในการสร้าง Account รวมถึงจัดเก็บทั้งโทเค็นรางวัล และ NFT ที่ได้จากการเข้าเรียนด้วย
โดยภายในงานได้วิทยากร 5 ท่าน ซึ่งเป็นอาจารย์ผู้สอนคอร์สเรียนบนแพลตฟอร์ม 360Connect มาพูดคุย และให้ความรู้เกี่ยวกับห้องเรียนดิจิทัล อาทิ คุณมิกซ์ กฤษหรัญย์ เทศทอง จากเพจ MIXER การลงทุนแห่งอนาคต ได้มาแชร์ประสบการณ์ว่าทำไมถึงได้เปิดใจให้กับการซื้อขายสินทรัพย์ดิจิทัล ทั้งที่ก่อนหน้านี้ได้ใช้เวลาอยู่กับการลงทุนหุ้น มาอย่างยาวนาน ทางด้าน คุณบอย วรพจน์ ธารา-ศิริสกุล Co-Founder หุ้นปันผล ผู้ให้ความรู้ด้าน Hybrid Investment ได้กล่าวถึงจุดประสงค์ในการที่จะเผยแพร่เรื่องราวการแลกเปลี่ยนสินทรัพย์ดิจิทัลแบบเบื้องต้น ให้กับกลุ่มคนที่ลงทุนในกองทุน และตลาดหุ้น เพื่อให้พวกเขาได้ต่อยอดมายังโลกแห่งสินทรัพย์ดิจิทัล ในส่วนของ คุณบอส จิรายุ ระเริง Co-Founder of Great Dream Guild ได้มาเปิดโลกแห่งการเล่นเกมเพื่อสร้างรายได้ให้กับทุกคน ซึ่งจากการเล่นเกมสามารถพามาสู่ธุรกิจที่มีระบบนิเวศอยู่ในเทคโนโลยีบล็อกเชนได้อย่างมีประสิทธิภาพ รวมถึง คุณฟ้า กัญญารัตน์ แสงสว่าง Country Head (Thailand) at The Sandbox เตรียมตัวสำหรับการพาทุกคนเข้าสู่การ สร้างรายได้ในโลก Metaverse ชื่อดังอย่าง The Sandbox ที่จะให้ทุกคนเป็นได้ทั้ง ผู้เล่น และเจ้าของพื้นที่เสมือน
เพื่อพัฒนาการสร้างรายได้อย่างสมจริง และ คุณพลอย อิสรียาห์ ประดับเวทย์ Influencer และ NFT Creator แห่งวงการ NFT พร้อมที่จะมาแนะนำแนวทางในการสร้างตัวตนบนโลกดิจิทัลเพื่อให้เกิดประโยชน์ และสามารถ ต่อยอดเป็นแนวทางในการทำงานร่วมกันกับโปรเจกต์ WEB3 ต่างๆ ได้ทั้งในประเทศไทย และต่างประเทศทั่วโลก โดยวิทยากรทั้ง 5 ท่าน จะมีหลักสูตรร่วมกับทางแพลตฟอร์ม 360Connect ที่ไม่ว่าอยู่ที่ไหนก็สามารถเรียนรู้ ไปกับพวกเขาได้ เพื่อเปลี่ยนแปลงการศึกษาให้สร้างรายได้ในยุคดิจิทัลนี้
นอกจากนี้แล้ว ยังมีส่วนร่วมกับพาร์ทเนอร์ทางด้านการศึกษาโดยตรง อย่าง ‘MeLearn’ อีกโปรเจกต์เพื่อการศึกษา ให้น้องๆ นิสิตและชั้นมัธยมบนโลกบล็อกเชน เพื่อให้น้องๆ เรียนรู้และเข้าถึงเทคโนโลยีอย่างง่ายมากขึ้น พร้อมรับสิทธิประโยชน์ในอนาคต และผู้ให้บริการด้าน Web3 Wallet อย่าง Velo โดยมี คุณอินทกานต์ ณ ตะกั่วทุ่ง ได้ขึ้นแนะนำฟีเจอร์การใช้งานในส่วนระบบของ Velo ที่จะสามารถเชื่อมโลก WEB3 มายัง WEB2 และสามารถนำมา ใช้งานจริงได้ ซึ่งตอนนี้กำลังร่วมมือพัฒนากับ Vending Machine เจ้าหนึ่งอยู่ พร้อมเปิดตัวให้พวกเราได้ใช้งานกันในเร็วๆ นี้ รวมถึงกิจกรรมสุดพิเศษจาก Maxbit นายหน้าซื้อขายสินทรัพย์ดิจิทัลน้องใหม่ที่มาร่วมจัดกิจกรรมภายในงาน ให้ทุกคนได้ร่วมสนุกเพื่อรับของที่ระลึกไปกันแบบฟรีๆ
และรวมถึงเหล่าพันธมิตรที่มาร่วมให้การสนับสนุนในงานเปิดตัวแพลตฟอร์ม 360Connect ครั้งนี้ ได้แก่ สมาคม NFT และ WEB3 แห่งประเทศไทย, JFIN Chain, ห้างสรรพสินค้าสยามพารากอน, SCBX Next Tech, MeLearn, มหาวิทยาลัยมหิดล, iNT สถาบันบริหารจัดการเทคโนโลยีและนวัตกรรม มหาวิทยาลัยมหิดล, Orbit, Tripster, SmyleLand, MIXER การลงทุนแห่งโลกอนาคต, The Sandbox, Maxbit นายหน้าซื้อขายสินทรัพย์ดิจิทัล, บริษัท หุ้นปันผล จำกัด, Tokenine, และ Great Dream Guild
แพลตฟอร์ม 360Connect ยินดีต้อนรับผู้เรียนทุกรูปแบบ ตั้งแต่มือใหม่ ไปจนถึงผู้ที่มีประสบการณ์ในวงการ WEB3 แล้ว โดยคอร์สเรียนทั้งหมดจะครอบคลุมทุกเนื้อหาที่เกี่ยวกับโลกเทคโนโลยี ไม่ว่าจะเป็นการแลกเปลี่ยนสินทรัพย์ดิจิทัล, คริปโตเคอร์เรนซี่, การเงินดิจิทัล, Metaverse, โทเคนดิจิทัล, และ AIRDROP, รวมถึง Future Tech ที่ให้ทุกคนได้เตรียมพร้อมกับการเข้าสู่ยุคดิจิทัลอย่างเต็มรูปแบบ 360Connect หวังเป็นอย่างยิ่งว่าแพลตฟอร์มนี้ จะช่วยให้ทุกคนเข้าถึงการศึกษาในโลกดิจิทัลได้ง่ายยิ่งขึ้นและไม่ใช่แค่โอกาสในการเรียนรู้เรื่องเทคโนโลยีเท่านั้น แต่เป็นการเปิดทางสู่โอกาสในการ สร้างรายได้ให้กับทุกคน ไม่ว่าจะอยู่ที่ไหน เมื่อไหร่ก็ตาม
ผู้สนใจสามารถลงทะเบียนเพื่อใช้งานแพลตฟอร์ม 360Connect และชมสาธิตวิธีการใช้งานได้ทาง LINE Official Account : @360Connect หรือ https://lin.ee/Ena7WmQ โดยสามารถแจ้งปัญหาการใช้งาน ทำกิจกรรม และเลือกดูคอร์สเรียนได้ผ่านช่องทาง LINE มาเชื่อมต่อสู่โลกบล็อกเชนที่จะทำให้ธุรกิจ ไลฟ์สไตล์ ความรู้ และการสร้างรายได้ เป็นไปได้แบบไร้ขีดจำกัดกับ 360Connect
J Ventures ผู้พัฒนาแพลตฟอร์มเทคโนโลยี และดิจิทัล ทรานสฟอร์เมชัน ในกลุ่มเจมาร์ท กรุ๊ป (Jaymart Group) และพัฒนาเหรียญ JFIN และ JFIN Chain บล็อกเชนสัญชาติไทย ประกาศความพร้อมนำเหรียญ สู่ ‘Coinstore.com’ เว็บเทรดชั้นนำที่มีการพัฒนาระบบให้เข้ากับความต้องการใช้งานของนักลงทุนในตลาดเอเชีย อเมริกาใต้ และแอฟริกา อย่างเป็นทางการในวันที่ 17 พฤษภาคมนี้ ปักหมุดเชื่อมต่อบล็อกเชน JFIN Chain เข้ากับ Coinstore.com เพื่อรองรับทุกการเติบโตของธุรกิจ และเพิ่มโอกาสขยายการพัฒนานวัตกรรมบนบล็อกเชนไปสู่ต่างประเทศ
นายธนวัฒน์ เลิศวัฒนารักษ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท เจ เวนเจอร์ส จำกัด (J Ventures) กล่าวว่า “เจ เวนเจอร์ส ได้พัฒนา JFIN Chain เพื่อเป็นบล็อกเชนอินฟราสตรักเจอร์หลักในการช่วยขับเคลื่อนธุรกิจสู่ Digital Transformation แท้จริง โดยเราเชื่อว่าเทคโนโลยีบล็อกเชนนั้นจะเป็นเครื่องมือหลักที่จะเปลี่ยนแปลงวิธีการดำเนินธุรกิจ ทำให้เรามุ่งมั่นที่จะทำให้เทคโนโลยีนี้สามารถเข้าถึงได้ในทุกรูปแบบ และใช้งานง่ายสำหรับทั้งบุคคลและธุรกิจ
ครั้งนี้เป็นอีกโอกาสสำคัญของ JFIN โดยร่วมมือกับ Coinstore.com ที่เป็นกระดานเทรดต่างประเทศ เพื่อขยายการใช้งานบล็อกเชน JFIN Chain ออกไปนอกประเทศอย่างเป็นทางการ เป็นการต่อเติมจิ๊กซอว์ให้กับ Ecosystem ของ JFIN CHAIN ที่จะรองรับผู้ใช้งานจากทั่วเอเชีย อเมริกาใต้ และแอฟริกา โดยเฉพาะในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ส่งสัญญาณให้เห็นถึงการเติบโตของบล็อกเชนของเรา ซึ่งคาดว่าจะได้รับความสนใจจากทั้งในฝั่งนักลงทุนต่างชาติ กลุ่มธุรกิจองค์กร ตลอดจนนักพัฒนาจากต่างประเทศ ให้เข้ามาร่วมใช้งาน JFIN Chain มากขึ้น
ขณะเดียวกันในฝั่งประเทศไทย JFIN Chain จะทำหน้าที่เป็น Corporate Blockchain ที่เน้นความแข็งแกร่งของ Ecosystem และมีศักยภาพในการผลักดันและขับเคลื่อน Digital Transformation (DX) ให้กลุ่มพันธมิตรเติบโตไปด้วยกัน โดยมุ่งขยายทั้งองค์ความรู้ เทคโนโลยี และเครื่องมือตัวช่วยสำเร็จรูป ด้วยพันธมิตรทางธุรกิจ โดยเฉพาะ Jaymart Group และกลุ่มสตาร์ทอัปของเรา ซึ่งการที่ JFIN Chain ได้เชื่อมต่อกับตลาดต่างประเทศในครั้งนี้ จะเป็นการเปิดโอกาสให้กับพันธมิตรของเราที่วางแผนจะเร่งขยายไปยังภูมิภาคต่างประเทศทำได้สะดวกมากขึ้น เพราะเรามีช่องทางเทคโนโลยีรองรับให้แล้ว ดังนั้นกลุ่มธุรกิจและองค์กรในประเทศไทย ที่สนใจจะเข้ามาพัฒนานวัตกรรม หรือสร้างบล็อกเชนแอปพลิเคชันต่างๆ บน JFIN Chain จะสามารถวางแผนร่วมกันไปกับเราเพื่อเชื่อมต่อสู่ต่างประเทศได้เลย"
นายเจมส์ โท (James Toh) Global Head of Business Development, Coinstore.com ศูนย์ซื้อขายสินทรัพย์ดิจิทัลระดับโลก ซึ่งมีสำนักงานใหญ่อยู่ในประเทศสิงคโปร์ รองรับผู้ใช้งานกว่า 3.5 ล้านคน ใน 175
ประเทศทั่วโลก กล่าวว่า “Coinstore.com ให้บริการซื้อขายคริปโตเคอร์เรนซีที่รวดเร็วและปลอดภัย รวมถึงบริการตราสารอนุพันธ์, บริการ OTC และ NFT ด้วยเทคโนโลยีและอินฟราสตรักเจอร์ด้านฟินเทค และบล็อกเชนของเรา จะช่วยสร้าง ecosystem ให้ทุกคนได้เข้าถึงสินทรัพย์ดิจิทัล และเทคโนโลยีต่างๆ ที่พัฒนาบนบล็อกเชนได้ทั่วโลก เราหวังจะเป็นส่วนหนึ่งในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจคริปโตให้เติบโตขึ้นร่วมกันไปกับแพลตฟอร์มของเรา”
นอกจากนี้ นายธนวัฒน์ ยังกล่าวเพิ่มเติมว่า “ในมุมของผู้พัฒนา เรามองว่า JFIN Chain คือ ประตูธุรกิจสู่บล็อกเชน (A Business Gateway to Blockchain Innovation) เราพร้อมผลักดันและขับเคลื่อน Digital Transformation ให้เกิดขึ้นจริงในกลุ่มพันธมิตร เพื่อรับมือกับการเกิดใหม่ของธุรกิจที่ต้องการการขับเคลื่อนด้วยเทคโนโลยี เราตั้งใจให้ JFIN Chain รองรับการทำงานได้ทุกกลุ่มธุรกิจอุตสาหกรรม ไม่ว่าจะประเภทไหนก็มาใช้งานได้ ไม่จำเป็นต้องเป็นสายเทคโนโลยีเท่านั้น ซึ่งนอกจากการไปต่างประเทศครั้งนี้จะเป็นประโยชน์ให้กลุ่มธุรกิจไทยที่ใช้งานบนบล็อกเชนของเรา ยังรองรับธุรกิจต่างประเทศที่เข้ามาใช้งานบน JFIN Chain ในอนาคต เหล่านี้ จะยิ่งเสริมทัพให้ ecosystem แข็งแกร่งขึ้นไปด้วยกัน”
เพื่อตอบโจทย์วิสัยทัศน์ขององค์กรที่ต้องการเข้าสู่โลก Web3.0 ด้วยเทคโนโลยีบล็อกเชนที่เข้าถึง และใช้งานง่ายสำหรับองค์กรและธุรกิจ JFIN Chain ยังสร้างสรรค์ Blockchain Tools ผสานระหว่าง โลกของเทคโนโลยี Blockchain เข้ากับโลกของธุรกิจ พร้อมช่วยให้ธุรกิจได้เพิ่มโอกาสการสร้างความสัมพันธ์ให้กับลูกค้า และเข้าถึงกลุ่มผู้ใช้งานได้หลากหลาย ผู้ที่สนใจสามารถหาข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ https://www.jfincoin.io
บ.เจ เวนเจอร์ส (JVC) ผู้พัฒนาซอฟต์แวร์ และแอปพลิเคชันทางด้านฟินเทค และลงทุนในธุรกิจสตาร์ตอัพ ซึ่งเป็นบริษัทย่อยของ บมจ.เจมาร์ท (JMART) เปิดเกมรุกธุรกิจใหม่ในโลกของฟินเทค เตรียมเปิดตัว JFin DDLP ระบบสินเชื่อแบบดิจิทัลที่ไม่มีตัวกลาง อีกทั้งเตรียมนำมาต่อยอดผลิตภัณฑ์อื่นๆ ประเดิมใช้งานในกลุ่มเจมาร์ทภายในปี 2562 นี้
สำหรับก้าวรุกครั้งนี้ เป็นความต่อเนื่อง จากที่ บมจ.เจมาร์ท (JMART) ประกาศความสำเร็จของบ.เจ เวนเจอร์ส โดยได้เปิดระดมทุน ICO (Initial Coin Offering) เมื่อเดือนกุมภาพันธ์ที่
ผ่านมา และการระดมทุนครั้งนี้สร้างปรากฏการณ์ จากการเปิด Pre-Sale JFin Coin ที่ราคา 6.60 บาทต่อโทเคน และจำนวน 100 ล้านโทเคนนั้น สามารถขายหมดเกลี้ยงภายใน 55 ชั่วโมง
ธนวัฒน์ เลิศวัฒนารักษ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท เจ เวนเจอร์ส จำกัด หรือ JVC เผยถึงการพัฒนาระบบสินเชื่อแบบ DDLP คือ ระบบการกู้ยืมเงินแบบดิจิทัลบนเทคโนโลยีบล็อกเชนที่มีความปลอดภัยสูง รองรับกระบวนการแบบครบวงจร ตั้งแต่การระบุตัวตน (KYC) กระเป๋าเงินอิเล็กทรอนิกส์ การประเมินเครดิต การอนุมัติสินเชื่อ และการติดตามหนี้สิน เพื่อสนับสนุนและพัฒนาการบริการด้านสินเชื่อได้อย่างมีประสิทธิภาพ
รวมถึงรองรับระบบ P2P Lending ระบบตลาดสินเชื่อออนไลน์ที่เชื่อมต่อให้ผู้กู้ที่มีศักยภาพสามารถกู้เงินได้โดยตรง ไม่ต้องผ่านธนาคารหรือสถาบันการเงิน ดังนั้นระบบ DDLP จะเป็นหนึ่งในระบบสำคัญที่เพิ่มศักยภาพการแข่งขันของกลุ่มบริษัทเจมาร์ทในอนาคตอันใกล้นี้ ตั้งเป้าระบบจะแล้วเสร็จพร้อมเริ่มใช้งานในปี 2562
สำหรับจุดแข็งของ JFin DDLP คือ เป็นระบบที่พัฒนาขึ้นจากการนำเทคโนโลยีบล็อกเชนมาใช้ ทำให้สามารถสร้างระบบการเงินที่ยั่งยืน ขยายตลาด และเข้าถึงประชากรได้อีกจำนวนมาก โดยเฉพาะกลุ่มที่ไม่สามารถเข้าถึงระบบธนาคารหรือการให้บริการทางการเงิน โดยบริษัทฯ มุ่งเน้นการจับกลุ่มลูกค้าที่มีเครดิตดี วิเคราะห์จากฐานข้อมูลลูกค้าของกลุ่มเจมาร์ทที่มีรวมกันมากกว่า 3 ล้านราย
โดยเฉพาะบริษัทในเครือ ได้แก่ บมจ.เจเอ็มที เน็ทเวอร์ค เซอร์วิสเซ็ส (JMT) ผู้นำในธุรกิจบริหารหนี้ด้อยคุณภาพ และรับจ้างติดตามหนี้สิน เป็นกุญแจสำคัญที่ทำให้เรามีฐานข้อมูลและสามารถรับความเสี่ยงได้มากขึ้น
รวมถึงการเสริมทัพด้วยการจับมือพันธมิตรและกลุ่ม
ผู้ประกอบการสตาร์ตอัพ เพื่อสนับสนุนข้อมูลให้แก่บริษัทฯ ให้มี Big Data ที่สามารถสร้าง Credit scoring หรือการประเมินการขอสินเชื่อบุคคลโดยอัตโนมัติผ่านเทคนิคการให้คะแนนเครดิตผ่านข้อมูลต่างๆ ที่ระบุไว้ เพื่อให้สามารถคัดเลือกลูกค้าที่มีเครดิตดีได้อย่างแม่นยำมากขึ้น นับเป็นจุดเริ่มต้นของการนำเทคโนโลยีมาปรับใช้ในโลกการเงินอย่างสมบูรณ์แบบ ส่งผลดีต่อ JVC ในฐานะผู้นำในธุรกิจพัฒนาซอฟต์แวร์ และแอปพลิเคชันทางด้านฟินเทคให้ได้รับการตอบรับมากขึ้นในอนาคต
หลังจากที่ บมจ.เจมาร์ท (JMART) ประกาศความสำเร็จ บ.เจ เวนเจอร์ส (JVC) บริษัทย่อยที่ระดมทุน ICO (Initial Coin Offering) สำเร็จเมื่อเดือนกุมภาพันธ์ที่ผ่านมา โดยเปิด Pre-Sale ขาย JFin Coin 100 ล้านโทเคนหมดเกลี้ยงภายใน 55 ชั่วโมง ล่าสุดเดินหน้าแผนธุรกิจตามที่กำหนดไว้ เปิดเกมรุกสินเชื่อในโลกฟินเทค โดยพัฒนา JFin DDLP ระบบสินเชื่อแบบดิจิทัลที่ไม่มีตัวกลาง อีกทั้งเตรียมนำมาต่อยอดผลิตภัณฑ์อื่นๆ ประเดิมใช้งานในกลุ่มเจมาร์ทภายในปี 2562 นี้
อดิศักดิ์ สุขุมวิทยา ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท เจ มาร์ท จำกัด (มหาชน) หรือ JMART เปิดเผยถึง แผนการดำเนินงานหลังจาก บริษัท เจ เวนเจอร์ส จำกัด หรือ JVC (เป็นบริษัทย่อยที่ JMART ถือหุ้นในสัดส่วน 80%) ผู้พัฒนาซอฟท์แวร์ และแอฟพลิเคชั่นทางด้านฟินเทค ลงทุนในธุรกิจสตร์ทอัพ ประสบความสำเร็จจากการระดมทุนด้วยการทำ ICO เป็นรายแรกในประเทศไทยของกลุ่มบริษัทมหาชน ที่สร้างปรากฏการณ์ของโลกการเงิน นำเทคโนโลยีบล็อกเชนเข้ามาใช้ในการทำธุรกิจสินเชื่อ ในชื่อเหรียญ JFin Coin
อดิศักดิ์ สุขุมวิทยา ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท เจ มาร์ท จำกัด (มหาชน)
ทั้งนี้ JFin Coin เปิดเสนอขาย Pre-sale วันแรกเมื่อวันที่ 14 กุมภาพันธ์ 2561 ที่ผ่านมา ได้รับการตอบรับเกินคาดหมาย โดยเปิดเสนอขายในคราวนี้จำนวน 100 ล้านโทเคน ที่ราคาขาย 6.60 บาทต่อโทเคน ได้ถูกผู้สนับสนุนจองซื้อหมดเต็มจำนวนเรียบร้อยแล้วภายใน 55 ชั่วโมงแรก ตอกย้ำความเชื่อมั่นต่อนักลงทุนในแผนธุรกิจที่วางไว้ ในฐานะที่เจมาร์ทเป็นบริษัทมหาชน ก่อตั้งและดำเนินธุรกิจมา 30 ปี การันตีความถูกต้อง และธรรมภิบาลในการบริหารธุรกิจ มุ่งหวังในการเป็นผู้นำเทคโนโลยีทางด้านการเงินอย่างสมบูรณ์แบบ ทำให้เกิด ICO ที่มีมาตรฐานขึ้นในประเทศไทย ได้รับการยอมรับจากหน่วยงานต่างๆ มั่นใจนำเงินที่ได้ไปใช้ให้เกิดประโยชน์ และมีประสิทธิภาพ โดยเม็ดเงินที่ได้จากการระดมทุนราว 660 ล้านบาท ทีมงานได้เริ่มดำเนินการพัฒนาระบบ Decentralized Digital Lending Platform (DDLP) ไปตามแผนที่วางไว้เรียบร้อยแล้ว สนับสนุนการเติบโตในธุรกิจสินเชื่อของกลุ่มเจมาร์ท ให้แข็งแกร่งยิ่งขึ้นได้
ธนวัฒน์ เลิศวัฒนารักษ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท เจ เวนเจอร์ส จำกัด หรือ JVC เผยถึงการพัฒนระบบสินเชื่อแบบดิจิทัลที่ไม่มีตัวกลาง (Decentralized Digital Lending Platform หรือ DDLP) คือ ระบบการกู้ยืมเงินแบบดิจิทัลบนเทคโนโลยี Blockchain ที่มีความปลอดภัยสูง รองรับกระบวนการแบบครบวงจร ตั้งแต่การระบุตัวตน (KYC) กระเป๋าเงินอิเล็กทรอนิกส์ การประเมินเครดิต การอนุมัติสินเชื่อ และการติดตามหนี้สิน เพื่อสนับสนุนและพัฒนาการบริการด้านสินเชื่อได้อย่างมีประสิทธิภาพ
รวมถึงรองรับระบบ P2P Lending ระบบตลาดสินเชื่อออนไลน์ที่เชื่อมต่อให้ผู้กู้ที่มีศักยภาพสามารถกู้เงินได้โดยตรง ไม่ต้องผ่านธนาคารหรือสถาบันการเงิน ดังนั้น ระบบ DDLP จะเป็นหนึ่งในระบบสำคัญที่เพิ่มศักยภาพการแข่งขันของกลุ่มบริษัทเจมาร์ทในอนาคตอันใกล้นี้ ตั้งเป้าระบบจะแล้วเสร็จ พร้อมเริ่มใช้งานในปี 2562
สำหรับจุดแข็งของ JFin DDLP คือ เป็นระบบที่พัฒนาขึ้นจากการนำเทคโนโลยีบล็อกเชนมาใช้ ทำให้สามารถสร้างระบบการเงินที่ยั่งยืน ขยายตลาด และเข้าถึงประชากรได้อีกจำนวนมาก โดยเฉพาะกลุ่มที่ไม่สามารถเข้าถึงระบบธนาคารหรือการให้บริการทางการเงิน โดยบริษัทฯ มุ่งเน้นการจับกลุ่มลูกค้าที่มีเครดิตดี วิเคราะห์จากฐานข้อมูลลูกค้าของกลุ่มเจมาร์ทที่มีรวมกันมากกว่า 3 ล้านราย
โดยเฉพาะบริษัทในเครือ ได้แก่ บมจ.เจเอ็มที เน็ทเวอร์ค เซอร์วิสเซ็ส (JMT) ผู้นำในธุรกิจบริหารหนี้ด้อยคุณภาพ และรับจ้างติดตามหนี้สิน เป็นกุญแจสำคัญที่ทำให้เรามีฐานข้อมูลและสามารถรับความเสี่ยงได้มากขึ้น
รวมถึงการเสริมทัพด้วยการจับมือพันธมิตรและกลุ่มผู้ประกอบการสตาร์ทอัพ เพื่อสนับสนุนข้อมูลให้แก่บริษัทฯ ให้มี Big Data ที่สามารถสร้าง Credit scoring หรือการประเมินการขอสินเชื่อบุคคลโดยอัติโนมัติผ่านเทคนิคการให้คะแนนเครดิตผ่านข้อมูลต่างๆ ที่ระบุไว้ เพื่อให้สามารถคัดเลือกลูกค้าที่มีเครดิตดีได้อย่างแม่นยำมากขึ้น นับเป็นจุดเริ่มต้นของการนำเทคโนโลยีมาปรับใช้ในโลกการเงินอย่างสมบูรณ์แบบ ส่งผลดีต่อ JVC ในฐานะผู้นำในธุรกิจพัฒนาซอฟท์แวร์ และแอฟพลิเคชั่นทางด้านฟินเทคให้ได้รับการตอบรับมากขึ้นในอนาคต
หลังจากบริษัทย่อยของกลุ่มเจมาร์ท บริษัท เจเวนจอร์ส ประกาศทำ ICO (Initial Coin Offering) ในชื่อ JFin Coin โดยเริ่มเสนอขาย Pre-Sale วันแรก เมื่อ 14 กุมภาพันธ์ 2561 เวลา 10.00 น. ผ่าน TDAX ตลาดแลกเปลี่ยนเงินดิจิทัลของคนไทยเหรียญที่นำมาเสนอขายครั้งนี้ทั้งหมดจำนวน 100 ล้านโทเคน ที่ราคา 6.60 บาท หรือคิดเป็นเงิน 660 ล้านบาทสามารถขายได้หมดในเวลาเพียง 55 ชั่วโมง และเตรียมเข้าซื้อขายในตลาดรองไม่เกิน 2 เมษายนที่จะถึงนี้ เป็นเหตุการณ์หนึ่งที่วงการการเงินและฟินเทคในประเทศไทยต้องบันทึกไว้
จุดเริ่มต้นของเทคโนโลยีใหม่นี้เริ่มจาก Bitcoin เหรียญชื่อดังเจ้าแรกเป็นต้นมา ผู้ที่สนใจวงการนี้ในประเทศไทย ก็เริ่มขยับตัวตามกันมา ในช่วงแรกยังคงอยู่ในวงแคบๆ ไม่โด่งดังเท่าไรนัก จนกระทั่งราคา Cryptocurrencies ในตลาดโลกพุ่งสูงทำสถิติกันเป็นรายวัน ส่งผลให้เกิดความตื่นตัวในฝั่งผู้ลงทุน และกลุ่มที่ต้องการทำเหมือง (Miner) ขุดเหรียญต่างๆ จนปัจจุบันตลาด Cryptocurrencies ในไทยมีผู้เข้ามาเกี่ยวข้องเพิ่มมากขึ้น จำนวนเหรียญที่อยู่ในตลาดแลกเปลี่ยนหลายล้านเหรียญ คือเครื่องยืนยันในเรื่องนี้รวมถึงงานพูดคุยสัมมนาเกี่ยวกับเรื่องนี้ที่มีให้เห็นอยู่แทบจะทุกสัปดาห์
ตาม White Paper ของ JFin Coin ระบุว่า จะนำเงินที่ได้ไปใช้พัฒนา Decentralized Digital Lending Platform (DDLP) เป็นแพลตฟอร์มการให้บริการกู้ยืมแบบดิจิทัลด้วยเทคโนโลยี Blockchain แน่นอนว่าเจ้าของโครงการย่อมมีความยินดีที่ ICO ของตนได้รับความสนใจอย่างล้นหลาม
อดิศักดิ์ สุขุมวิทยา ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท เจ มาร์ท จำกัด (มหาชน) (JMART) กล่าวหลังจากการ Pre-Sale สิ้นสุดเนื่องจากมีผู้จองซื้อโทเคนหมด 100 ล้านโทเคนว่า “ขอขอบคุณหน่วยงานต่างๆ ที่ให้โอกาสเราในการอธิบาย และคำแนะนำต่างๆ การทำ ICO ครั้งนี้ เราถือเป็นกลุ่มบริษัท
จดทะเบียนรายแรกที่ทำเรื่องนี้ ผมเข้าใจดีว่าย่อมมีอุปสรรคในด้านการอธิบายความเข้าใจ และมีหลากหลายความคิดเห็น แต่ด้วยความตั้งใจของผมและทีมงานที่มุ่งหวังให้ ICO นี้เกิดขึ้นให้ได้ในประเทศไทย ที่ผมทำธุรกิจมาตั้งแต่ต้น”
ความสำเร็จที่เกิดขึ้นส่งผลให้เห็นการออกตัว ICO อีกหลายรายติดตามมา บางรายก็ไปออกขายในต่างประเทศ บางรายเสนอขายในประเทศ แต่ยังไม่มีความชัดเจนในรายละเอียดเท่าที่ควร แต่ก็เห็นได้ว่ามีหลายธุรกิจที่มองว่า ICO คือช่องทางหนึ่งในการระดมทุนสำหรับกิจการ
ความใหม่ของ ICO เป็นหนึ่งในความท้าทายสำหรับผู้ที่เกี่ยวข้อง โดยเฉพาะอย่างยิ่งหน่วยงานกำกับดูแล สำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) หนึ่งในหน่วยงานหลักของภาครัฐที่ได้รับมอบหมายให้ดูแลเกี่ยวกับ Cryptocurrency ก็ออกข่าวเตือนเกี่ยวกับการลงทุนที่เกี่ยวข้องกับ ICO มาเป็นระยะในช่วงที่เกณฑ์การกำกับดูแลยังไม่ออกมาอย่างเป็นทางการ โดย ก.ล.ต. เตือนและให้ข้อมูลอย่างต่อเนื่องว่า “การลงทุนในสินทรัพย์ดิจิทัล ICO และ Cryptocurrencies จำเป็นต้องอาศัยความรู้ความเข้าใจอย่างมาก เพราะการลงทุนในสินทรัพย์ประเภทนี้มีความเสี่ยงในหลายแง่มุม หากผู้ลงทุนไม่เข้าใจอย่างแท้จริงจะเสียหายได้โดยง่ายนอกจากนี้ อาจมีผู้ฉวยโอกาสในการสร้างกระแสโดยนำโครงการที่มีการใช้เทคโนโลยีใหม่ซึ่งไม่เคยมีมาก่อนมาเป็นจุดขาย หรือโครงการที่ไม่มีแผนธุรกิจที่ชัดเจนที่จะสามารถรองรับการใช้เทคโนโลยีดังกล่าว และ/หรือนำเรื่องเทคโนโลยีมาบังหน้า เพื่อหลอกลวงประชาชนให้ลงทุน
ผู้ที่ได้รับการชักชวนหรือคิดที่จะลงทุนในสินทรัพย์ดิจิทัล จำเป็นต้องทำความเข้าใจรายละเอียดที่เกี่ยวข้อง ทั้งสินทรัพย์ที่จะลงทุน ตัวกิจการ สิทธิของผู้ลงทุน และโครงสร้างของโทเคนที่จะได้รับจากการลงทุน และประเมินความเหมาะสมเทียบกับความสามารถในการรับความเสี่ยงของตนก่อนลงทุนเสมอ ตลอดจนระวังความเสี่ยงจากการที่ผู้ให้บริการไม่ใช่ธุรกิจที่อยู่ในการกำกับดูแลความเสี่ยงและไม่มีการกำหนดมาตรฐานด้านการรักษาความมั่นคงปลอดภัยด้านไซเบอร์และอื่น ๆ
อย่างไรก็ดี ผู้ลงทุนควรตระหนักว่า การกำกับดูแลจะช่วยลดความเสี่ยงได้เฉพาะบางส่วนเท่านั้น เช่น ป้องกันการหลอกลวง แชร์ลูกโซ่ อย่างไรก็ดี ความเสี่ยงในด้านอื่นๆ ยังคงมีอยู่ เช่น ความเสี่ยงทางธุรกิจของกิจการ ความเสี่ยงจากราคาสินทรัพย์ดิจิทัลที่ผันผวน ตลอดจนความเสี่ยงจากการที่ระบบเก็บรักษาสินทรัพย์ดิจิทัลอาจถูกโจรกรรมไซเบอร์ และที่สำคัญที่สุด ควรตระหนักว่า หากเกิดความเสียหาย มีโอกาสสูงที่จะไม่สามารถเรียกร้องจากใครได้ ดังนั้น ถ้าไม่เข้าใจ อย่าลงทุน เพราะสินทรัพย์ดิจิทัลไม่ได้เหมาะกับทุกคน”
โดย ก.ล.ต. เตรียมออกเกณฑ์กำกับดูแล ICO ที่เกี่ยวข้องกับการระดมทุนในประเทศไทยคาดว่าจะออกมาภายในเดือนมีนาคมนี้ หลังจากรับฟังความคิดเห็นจากผู้มีส่วนเกี่ยวข้องมาแล้ว 2 รอบ
ขณะที่ธนาคารแห่งประเทศไทยก็มีประกาศไปยังสถาบันการเงินให้งดทำธุรกรรมที่เกี่ยวข้องกับ Cryptocurrencies ก็เป็นอีกหนึ่งดาบที่หยุดความร้อนแรงของวงการสินทรัพย์ดิจิทัลในประเทศไทยไปได้ระดับหนึ่ง
ฝั่งผู้ให้บริการอย่าง TDAX ต้องออกประกาศในหน้า ICO Portal ว่า “เนื่องจากความไม่แน่นอนต่อกฎเกณฑ์ที่ ก.ล.ต. อาจจะประกาศออกมาในเร็วๆ นี้ ทางเราได้ทำการระงับการดำเนินการของ ICO portal ไว้ชั่วคราวจนกว่าจะมีความชัดเจนต่อสถานการณ์นี้มากขึ้น” ทำให้ ICO ที่เตรียมจะขายใน TDAX ต้องรอต่อไปจนกว่าจะมีความชัดเจน
ผลกระทบจากปรากฏการณ์ ICO ที่เปิดตัวกันอย่างร้อนแรงจะเป็นอย่างไรต่อไป ต้องติดตามดูท่าทีจากหน่วยงานกำกับดูแล ในการออกเกณฑ์การควบคุมดูแลที่ความชัดเจน ป้องกันความเสี่ยงให้กับผู้ลงทุนจากผู้ที่คิดใช้เครื่องมือนี้เพื่อหลอกลวง และป้องกันการใช้เครื่องมือทางการเงินใหม่นี้ในทางที่ผิด โดยต้องไม่ลืมว่า เทคโนโลยีเหล่านี้สามารถเคลื่อนตัวไปได้ทุกแห่งตราบที่ยังสามารถเชื่อมต่อกับอินเทอร์เน็ตได้ เราจะมีส่วนร่วมกับเรื่องนี้ในระดับใด และทำอย่างไรให้ประเทศไทยปรากฏตัวอยู่บนแผนที่ของเรื่องนี้ เพื่อไม่ให้เราเสียโอกาสได้รับประโยชน์จากเทคโนโลยีเหล่านี้