รายได้ที่สูงเป็นประวัติการณ์ได้รับแรงสนับสนุนจากการขยายแฟรนไชส์ในภูมิภาคและการเติบโตของรายได้รวมที่แข็งแกร่ง

ธนาคารยูโอบี ประเทศไทย ยกระดับโครงการ UOB My Digital Space (MDS) มอบการศึกษาที่มีคุณภาพแก่นักเรียนขาดโอกาสกว่า 4,000 คน ขยายจาก 3 โรงเรียนสู่ 6 โรงเรียนใน 6 จังหวัดได้แก่กาญจนบุรี สุราษฎร์ธานี ขอนแก่น ชลบุรี พะเยา และลำปาง โครงการ UOB MDS เป็นโครงการหลักที่สนับสนุนด้านการศึกษาของกลุ่มธนาคารยูโอบี มีแผนดำเนินโครงการในระยะยาวเพื่อลดช่องว่างทางการศึกษาของเด็กที่ขาดโอกาสให้เข้าถึงโอกาสในการเรียนรู้ผ่านช่องทางดิจิทัล เพื่อเป็นเครื่องมือให้พวกเขาสามารถประสบความสำเร็จได้ในโลกดิจิทัล และพร้อมที่จะเป็นพลังสำคัญในการขับเคลื่อนการเติบโตของอาเซียนไปด้วยกัน โดยนอกเหนือจากการมอบห้องคอมพิวเตอร์และเครื่องมือการเรียนรู้ดิจิทัลวิชาวิทยาศาสตร์ คณิตศาสตร์ และภาษาอังกฤษ โครงการ UOB MDS ได้ขยายไปสู่ความรู้ทางการเงินและการแนะแนวอาชีพ นับเป็นการตอกย้ำความมุ่งมั่นของยูโอบี ในการพัฒนาส่งเสริมเด็กและเยาวชนในอาเซียนให้พร้อมสำหรับเติบโตไปในอนาคต

นายตัน ชุน ฮิน กรรมการผู้จัดการใหญ่ ธนาคารยูโอบี ประเทศไทย ธนาคารยูโอบี ประเทศไทย กล่าวว่า “เพราะเทคโนโลยีได้กำหนดอนาคตแห่งการเรียนรู้ โครงการ UOB My Digital Space จึงมีบทบาทสำคัญในการสนับสนุนเด็กนักเรียนที่ขาดโอกาสให้เข้าถึงการศึกษาที่มีคุณภาพ ด้วยการผสานเทคโนโลยีเข้ากับการศึกษา ที่จะช่วยพัฒนาทักษะที่จำเป็นต่างๆ เพื่อให้เด็กพร้อมสำหรับอนาคต อาทิ การคิดเชิงวิเคราะห์ การแก้ปัญหา และความรู้ทางดิจิทัล พร้อมปลูกฝังความรู้ทางการเงินที่เริ่มตั้งแต่อายุยังน้อย ซึ่งเป็นความมุ่งมั่นของเราที่จะดูแลเคียงข้างชุมชนเพื่อพัฒนาผู้คนในอาเซียน ตอกย้ำบทบาทที่สำคัญของสถาบันการเงิน นับเป็นกลยุทธ์สำคัญการดำเนินงานของเราเพื่อให้แน่ใจว่าเยาวชนในวันนี้จะสามารถเติบโตได้ในระบบเศรษฐกิจอนาคต”

การขยายขอบเขตของโครงการ MDS นับเป็นการดำเนินงานที่สามารถตอบสนองต่อความต้องการด้านการศึกษาในเวลาที่เหมาะสม ดังเช่นที่ปรากฏจากผลการประเมินสมรรถนะนักเรียนมาตรฐานสากล หรือ PISA ปี 2565 ขององค์การเพื่อความร่วมมือทางเศรษฐกิจและการพัฒนา (OECD) พร้อมชี้ให้เห็นว่าการริเริ่มการเรียนรู้แบบดิจิทัลหรือ e-learning ให้ประสบความสำเร็จนั้นขึ้นอยู่กับคุณภาพของทรัพยากรด้านดิจิทัล การมีเจ้าหน้าที่ด้านเทคนิคที่เหมาะสม และความพร้อมใช้งานของแพลตฟอร์มการเรียนรู้

นางสาวกนกวรรณ โชว์ศรี ผู้อำนวยการโครงการร้อยพลังการศึกษา มูลนิธิยุวพัฒน์ กล่าวว่า “ปีนี้ โครงการ UOB My Digital Space ได้บูรณาการองค์ประกอบการเรียนรู้สำคัญเพิ่มเติมสำหรับนักเรียนอีก 2 วิชาได้แก่หลักสูตรการเงินออนไลน์เพื่อเตรียมความพร้อมให้นักเรียนมีสุขภาพทางการเงินที่ดี และเครื่องมือการแนะแนวอาชีพ เพื่อสนับสนุนให้นักศึกษาตั้งเป้าหมายของตนเองให้เหมาะสมกับความสามารถและคุณค่าของชีวิตได้ ด้วยเครื่องมือดิจิทัลทั้งหมดนี้ทั้งในด้านวิชาการและทักษะชีวิต นักเรียนสามารถเข้าไปเรียนรู้บนระบบออนไลน์ได้ทุกที่ทุกเวลา

นอกจากเครื่องมือดิจิทัลแล้ว โครงการ MDS ยังมุ่งเสริมศักยภาพให้กับครูผู้สอนเพิ่มเติมในสาขาที่มีความต้องการสูงด้วยวิธีการสอนที่ทันสมัย นายประวิทย์ สิงห์เรือง ผู้อำนวยการโรงเรียนบ่อพลอยรัชดาภิเษก จังหวัดกาญจนบุรี ยืนยันถึงผลกระทบในการเปลียนแปลงของโครงการ โดยสังเกตเห็นการพัฒนาที่ดีขึ้นเป็นสำคัญในการมีส่วนร่วมและประสิทธิภาพของนักเรียน อันเป็นผลมาจากทรัพยากรการเรียนรู้ดิจิทัลที่นักเรียนสามารถเข้าถึง

นายประวิทย์ สิงห์เรือง ผู้อำนวยการโรงเรียนบ่อพลอยรัชดาภิเษก จังหวัดกาญจนบุรี หนึ่งในโรงเรียนใหม่ที่ได้รับการสนับสนุนห้องเรียนรู้ดิจิทัล UOB My Digital Space กล่าวว่า “ก่อนหน้าที่เราจะได้รับการสนับสนุนจากโครงการ UOB My Digital Space นักเรียนต้องใช้คอมพิวเตอร์ร่วมกันด้วยทางโรงเรียนมีคอมพิวเตอร์ไม่เพียงพอต่อการใช้งาน ขอขอบคุณทางธนาคารยูโอบี ประเทศไทยที่ได้มอบห้องเรียนรู้ดิจิทัลให้กับทางโรงเรียน ซึ่งไม่เพียงแต่เด็กนักเรียนจะได้ใช้งานเครื่องคอมพิวเตอร์และวิชาเรียนดิจิทัลแล้ว นักเรียนยังได้เรียนกับครูรุ่นใหม่จาก Teach for Thailand อีกด้วย ซึ่งเราได้เห็นผลลัพธ์เชิงบวกที่เกิดขึ้นจากนักเรียนของเรา ที่พวกเขาต่างสนุกกับการเรียนรู้ในชั้นเรียนและมีผลการเรียนที่ดีขึ้น ในขณะเดียวกันยังสนับสนุนครูของเราในการเตรียมการสอนในชั้นเรียนได้ดีมีประสิทธิภาพขึ้น”

ดันเงินบาทแข็งแกร่ง ขณะที่แรงกดดันเงินเฟ้อแผ่วลง  

BAM จับมือ ธนาคารยูโอบี ประเทศไทย จัดโครงการสินเชื่อสำหรับลูกค้าซื้อทรัพย์สินรอการขายของ BAM ตอบโจทย์ผู้ที่อยากมีที่อยู่อาศัยและทรัพย์เพื่อการลงทุนด้วยสินเชื่อดอกเบี้ยสุดพิเศษ ปีแรก 2.49% เท่านั้น

นายบัณฑิต อนันตมงคล ประธานเจ้าหน้าที่บริหารบริษัทบริหารสินทรัพย์ กรุงเทพพาณิชย์ จำกัด (มหาชน) หรือ BAM กล่าวว่า ปัจจุบัน BAM มีทรัพย์สินรอการขายอยู่ในความดูแลกว่า 23,000 รายการ ครอบคลุมทั้งบ้าน ห้องชุด อาคารพาณิชย์ ที่ดินเปล่า รวมทั้งทรัพย์เพื่อการลงทุน จึงถือเป็นโอกาสดีที่ได้รับความร่วมมือจากธนาคารยูโอบี ประเทศไทย ที่ให้การสนับสนุนสินเชื่อพร้อมอัตราดอกเบี้ยพิเศษผ่อนต่องวดเบาๆ เพื่อให้ผู้สนใจซื้อทรัพย์มือสองเข้าถึงแหล่งเงินกู้ดอกเบี้ยต่ำได้สะดวกขึ้น ซึ่งเป็นอีกหนึ่งปัจจัยสำคัญที่ช่วยให้ลูกค้าตัดสินใจซื้อได้ง่ายยิ่งขึ้น

“ความร่วมมือระหว่าง BAM และธนาคารยูโอบีในครั้งนี้ จะเป็นประโยชน์ต่อลูกค้าและผู้สนใจซื้อทรัพย์ของ BAM และเป็นโอกาสดีของผู้ที่ต้องการซื้อทรัพย์เพื่ออยู่อาศัยหรือลงทุน ซึ่ง BAM มีทรัพย์สินรอการขายทั้งแบบตามสภาพหรือปรับปรุงพร้อมอยู่พร้อมใช้ไว้รองรับหลายโครงการ มีจุดเด่นเรื่องทำเลและราคา ที่ปัจจุบันไม่สามารถหาซื้อทรัพย์มือหนึ่งได้ คาดว่าจะได้ผลตอบรับที่ดีจากผู้สนใจ โดยแคมเปญแรกของปี 2567 ธนาคารจะเสนอสินเชื่อเงื่อนไขพิเศษสุดสำหรับลูกค้าที่ซื้อทรัพย์ BAM คืองานบ้าน BAM ครบจบทุก Lifestyle ในเดือนกุมภาพันธ์ 2567 นี้ ” นายบัณฑิต กล่าว

นายยุทธชัย เตยะราชกุล กรรมการผู้จัดการ บุคคลธนกิจ ธนาคารยูโอบี ประเทศไทย หรือ UOB เปิดเผยว่า “ธนาคารยูโอบีมีผลิตภัณฑ์สินเชื่อบ้านที่ตอบโจทย์ความต้องการที่หลากหลาย ความร่วมมือใน “โครงการสินเชื่อเพื่อซื้อทรัพย์ BAM” กับบริษัทบริหารสินทรัพย์ กรุงเทพพาณิชย์ จำกัด (มหาชน) นี้จะทำให้ลูกค้าของธนาคารสามารถซื้อทรัพย์มือสองคุณภาพดีจาก BAM พร้อมกับสินเชื่อที่อัตราดอกเบี้ยเริ่มต้นในอัตราพิเศษ ซึ่งนับเป็นอีกหนึ่งแนวทางที่ธนาคารสนับสนุนให้คนไทยเป็นเจ้าของอสังหาริมทรัพย์ได้ง่ายขึ้น”

สำหรับแคมเปญแรกของปี 2567 ธนาคารยูโอบี มอบข้อเสนอสินเชื่อ ในอัตราดอกเบี้ยพิเศษปีแรก เริ่มต้นเพียง 2.49 % ต่อปี เฉลี่ย 3 ปีแรกต่ำสุด 3.80% ต่อปี (กรณีทำประกันคุ้มครองวงเงินสินเชื่อ) วงเงินกู้สูงสุดไม่เกิน 100% ของมูลค่าหลักประกัน สำหรับผู้สนใจซื้อทรัพย์ของ BAM พร้อมสินเชื่อจากธนาคารยูโอบี โดยลูกค้าสามารถยื่นข้อเสนอได้ตั้งแต่ 1 กุมภาพันธ์ ถึง 31 มีนาคม 2567 ทั้งนี้อัตราดอกเบี้ยและเงื่อนไขอาจมีการเปลี่ยนแปลงได้เป็นไปตามที่ธนาคารกำหนดเพื่อร่วมฉลองครบรอบ 25 ปี BAM ลูกค้าที่สนใจสามารถลูกค้าที่สนใจสามารถติดต่อสอบถามได้ที่สาขาธนาคารยูโอบีทั่วประเทศ หรือ Call Center โทร 0-2285-1555 และ บริษัทบริหารสินทรัพย์ กรุงเทพพาณิชย์ จำกัด (มหาชน) หรือ BAM 

สำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน (บีโอไอ) ร่วมลงนามบันทึกข้อตกลง ความร่วมมือกับธนาคารยูโอบี ประเทศไทย ประกาศความร่วมมืออย่างเป็นทางการ ผนึกกำลังสร้างโอกาสทางธุรกิจ ชักจูงการลงทุนในไทยและอาเซียน

บันทึกข้อตกลงนี้เป็นความร่วมมือระหว่างสำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน (บีโอไอ) กับธนาคารยูโอบี ประเทศไทย ในการอำนวยความสะดวกและส่งเสริมการลงทุนแก่นักลงทุนต่างชาติที่ต้องการดำเนินธุรกิจใน ประเทศไทยพร้อมสนับสนุนผู้ประกอบการไทยในการขยายการลงทุนไปต่างประเทศโดยมีวัตถุประสงค์เพื่อเชื่อมโยง ความร่วมมือทางเศรษฐกิจและเสริมสร้างความแข็งแกร่งของภาคอุตสาหกรรมมากขึ้น

ผู้ประกอบการที่สนใจจะลงทุนในประเทศไทย หรือผู้ประกอบการไทยที่ต้องการจะไปลงทุนในต่างประเทศ สามารถเข้าถึงบริการทางการเงินที่ตอบโจทย์ตามความต้องการของธุรกิจ และใช้ประโยชน์จากเครือข่ายระดับภูมิภาคของธนาคารเพื่อเชื่อมต่อกับหน่วยงานภาครัฐ สมาคมอุตสาหกรรม และบริการด้านอื่นๆ ที่เกี่ยวข้องในการขยายธุรกิจทั่วภูมิภาคเอเชีย  ซึ่งบีโอไอพร้อมที่จะทำงานร่วมกับธนาคารยูโอบีในการจัดกิจกรรมต่าง ๆ เช่น งานจับคู่ธุรกิจ นิทรรศการด้านการค้าการลงทุน และงานสัมมนาเพื่อชักจูงการลงทุน

 

นายนฤตม์ เทอดสถีรศักดิ์ เลขาธิการคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน (บีโอไอ) เปิดเผยว่า “ปัจจุบันประเทศไทยเป็นแหล่งรองรับการลงทุนที่สำคัญที่สุดแห่งหนึ่งในภูมิภาคอาเซียน โดยในช่วง 1-2 ปีที่ผ่านมา มีบริษัทชั้นนำจากต่างประเทศเดินหน้าเข้ามาลงทุนตั้งฐานการผลิตในหลากหลายอุตสาหกรรมสำคัญ ภาพที่เห็นได้ชัดเจนคือ อุตสาหกรรมยานยนต์ไฟฟ้า (EV) อุตสาหกรรมอิเล็กทรอนิกส์ และอุตสาหกรรมดิจิทัล โดยคำขอรับการส่งเสริมการลงทุนจากต่างประเทศ (Foreign Direct Investment: FDI) ในช่วง 9 เดือนแรกของปี 2566 (มกราคม - กันยายน 2566) มีจำนวน 910 โครงการ เพิ่มขึ้นจากช่วงเดียวกันของปีก่อนร้อยละ 49 คิดเป็นมูลค่าการลงทุน 398,527 ล้านบาท เพิ่มขึ้นร้อยละ 43 โดยเป็นการลงทุนจีน สิงคโปร์ ญี่ปุ่น เกาหลีใต้ และสหรัฐอเมริกา ตามลำดับ

การเติบโตของการลงทุนในประเทศไทยนี้ สอดรับกับการประกาศยุทธศาสตร์การส่งเสริมการลงทุนใหม่ของบีโอไอในปีที่ผ่านมา ซึ่งนอกจากจะมีการออกมาตรการส่งเสริมการลงทุนต่างๆ แล้ว ยังรวมถึงการปรับเพิ่มบทบาทของบีโอไอในการชักจูงการลงทุนจากต่างประเทศเชิงรุก ผ่านการทำงานร่วมกับองค์กรพันธมิตร รวมถึงสำนักงานบีโอไอที่ตั้งอยู่ใน 16 ประเทศทั่วโลกในปัจจุบัน และอีก 3 แห่งที่จะจัดตั้งเพิ่มเติมในปีนี้ ได้แก่ กรุงริยาด ประเทศซาอุดีอาระเบีย นครเฉิงตู ประเทศจีน และประเทศสิงคโปร์ 

“การผนึกกำลังระหว่างบีโอไอกับธนาคารยูโอบีครั้งนี้ จะช่วยยกระดับความร่วมมือระหว่างกันในการผลักดันให้ประเทศไทยเป็นศูนย์กลางธุรกิจระหว่างประเทศ โดยส่งเสริมการลงทุน 2 ทาง ทั้งการลงทุนในอุตสาหกรรมเป้าหมายในประเทศไทย และการสนับสนุนผู้ประกอบการไทยที่มีศักยภาพให้ออกไปแสวงหาโอกาสและขยายตลาด

ในต่างประเทศ รวมทั้งการอำนวยความสะดวกในการดำเนินธุรกิจให้แก่นักลงทุนทั้งไทยและต่างชาติ การสร้างเครือข่ายพันธมิตรทางธุรกิจ และสร้างโอกาสให้ผู้ประกอบการไทยได้ขยายธุรกิจเข้าไปอยู่ในซัพพลายเชนของอุตสาหกรรมระดับโลก เพื่อตอบโจทย์การเป็นฐานการผลิตสำคัญในภูมิภาค” นายนฤตม์ กล่าว

 

นายตัน ชุน ฮิน กรรมการผู้จัดการใหญ่ ธนาคารยูโอบี ประเทศไทย กล่าวว่า “ประเทศไทยมีศักยภาพในการดึงดูดเม็ดเงินลงทุนจากต่างประเทศ เนื่องจากโครงสร้างพื้นฐานทางอุตสาหกรรม ซัพพลายเชน และแนวโน้มการเติบโตในระยะยาว ด้วยเครือข่ายของธนาคารยูโอบีที่เข้มแข็งครอบคลุมทั่วภูมิภาค และยังมีหน่วยงานส่งเสริมการลงทุนโดยตรงจากต่างประเทศของธนาคารทั้ง 10 แห่งทั่วเอเชีย เราพร้อมที่จะให้การสนับสนุนธุรกิจทั้งสำหรับบริษัทต่างชาติที่สนใจจะมาตั้งฐานการผลิตในไทย และช่วยเหลือบริษัทไทยที่สนใจไปลงทุนในประเทศเพื่อนบ้านโดยธนาคารจะร่วมมือกับบีโอไอในการเชื่อมโยงภาคธุรกิจ เพื่อสนับสนุนการเติบโตที่ยั่งยืนของอุตสาหกรรมในประเทศไทยและเพิ่มโอกาสในการค้าข้ามพรมแดนทั่วภูมิภาค”

ตั้งแต่ที่ธนาคารยูโอบีได้จัดตั้งหน่วยงานส่งเสริมการลงทุนโดยตรงจากต่างประเทศ ในปี 2554 ธนาคารได้สนับสนุนธุรกิจกว่า 4,200 บริษัทในการขยายธุรกิจในภูมิภาค ซึ่งมี 370 บริษัทได้เข้ามาลงทุนในประเทศไทย และนับตั้งแต่ปี 2562 หน่วยงานนี้ได้ช่วยให้เกิดการลงทุนโดยตรงจากต่างประเทศในไทย รวมมูลค่ากว่า 1.6 พันล้านเหรียญสหรัฐและการจ้างงานอีกกว่า 18,000 ตำแหน่งทั่วประเทศไทย นอกจากนี้ ธนาคารยังได้ช่วยเหลือธุรกิจไทยอีกกว่า 210 บริษัทในการออกไปลงทุนในประเทศต่าง ๆ อาเซียน โดยมี สิงคโปร์ มาเลเซีย และเวียดนามเป็นจุดหมายหลัก

Page 2 of 9
X

Right Click

No right click