ทวิตเตอร์ เป็นพื้นที่ที่ผู้คนมาพูดคุยและคอนเน็คกัน ทำให้ผู้คน ชุมชนเข้ามามีส่วนร่วมในบทสนทนาอย่างต่อเนื่อง คนไทยเข้ามาบนทวิตเตอร์เพื่อัปเดตว่ามีอะไรที่กำลังเกิดขึ้น #WhatsHappening และเข้าร่วมหัวข้อบทสนทนาที่หลากหลาย เช่น วงการบันเทิง กีฬา รายการทีวี ภาพยนตร์ ความงาม หรือสถานการณ์ปัจจุบัน รวมถึงการเข้ามาค้นหาและแชร์เรื่องราวที่เป็นข้อมูลอัปเดท
บทสนทนา ถือเป็นหัวใจของทวิตเตอร์ จะเห็นได้ว่า เพียงทวีตเดียว ก็สามารถสร้างอิมแพ็คไปในวงกว้างได้ ทวิตเตอร์จึงได้ทำการวิจัยเพื่อศึกษาลงลึกในกว่า 64,000 ทวีตบนทวิตเตอร์ประเทศไทย เพื่อค้นหาพลังของทวีตและชาวทวิตภพว่ามีวิธีกำหนดวัฒนธรรมอันเป็นเอกลักษณ์ของตัวเองอย่างไรผ่านชุมชนและบทสนทนา
นายมาร์ติน ยูเรน หัวหน้าแผนกงานวิจัย ภูมิภาคเอเชียแปซิฟิกและระดับโลกของทวิตเตอร์ เปิดเผยว่า
“เป้าหมายของทวิตเตอร์ตั้งแต่แรกเริ่มคือการได้ทราบถึงมุมมองที่ถูกต้องแม่นยำในบทสนทนาของคนไทยบนทวิตเตอร์ แม้บางครั้งบางบทสนทนาสามารถส่งเสียงได้ดังกว่าบทสนทนาอื่นๆ แต่สิ่งที่เราค้นพบคือ บทสนทนาของคนไทยมีความหลากหลายและมีชีวิตชีวา ผลจากงานวิจัยของทวิตเตอร์แสดงให้เห็นว่า หัวข้อในการสนทนามีการทับซ้อนกันอย่างน่าสนใจจนทำให้เกิดเป็นธีมทางวัฒนธรรมหลัก 4 รูปแบบ ซึ่งการค้นพบของเราในครั้งนี้จะช่วยให้คนไทยมีความเข้าใจชุมชนที่หลากหลายบนทวิตเตอร์ได้ดียิ่งขึ้น ขณะเดียวกันยังเป็นการนำเสนอข้อมูลเชิงลึกให้กับแบรนด์ไทยและต่างชาติได้ทราบถึงหัวข้อและธีมของการสนทนาอันเป็นเอกลักษณ์บนทวิตเตอร์ในประเทศไทยด้วยเช่นกัน”
การวิจัยนี้พบวัฒนธรรมอันเป็นเอกลักษณ์ของการพูดคุยบนทวิตเตอร์ประเทศไทย 4 รูปแบบ ซึ่งประกอบด้วยหัวข้อบทสนทนาที่มีความชัดเจนถึง 11 หัวข้อ แสดงให้เห็นว่า การแสดงออกของชาวทวิตภพนั้นสะท้อนถึงวัฒนธรรมไทย ในขณะเดียวกันก็สะท้อนความชอบ ความสนใจต่างๆ ในบทสนทนาอย่างหลากหลายและกระจายในวงกว้างมาก ซึ่งนับเป็นเอกลักษณ์ของผู้คนบนทวิตเตอร์ในประเทศไทย โดยวัฒนธรรมการพูดคุยใน 4 หัวข้อนั้นได้แก่
1.บันทึกส่วนตัว มีสัดส่วนถึง 45% (มากที่สุด) - การพูดคุยในชีวิตประจำวัน, ความรักและความสัมพันธ์ และการสะท้อนมุมมองความคิด
ธีมวัฒนธรรมการพูดคุยนี้นับได้ว่ามีพื้นที่บนทวิตเตอร์ประเทศไทยมากที่สุด และเป็นหัวข้อที่ผู้คนเข้ามาร่วมพูดคุยในชีวิตประจำวัน โดยมีการแชร์เรื่องราวเกี่ยวกับกิจวัตรการเดินทาง สิ่งที่เกิดขึ้นในชีวิตประจำวันของตัวเอง นอกจากนี้ทวิตเตอร์ยังเป็นพื้นที่ปลอดภัยในการที่ผู้คนบอกเล่าเรื่องจริงจากใจ ทวีตเรื่องราวเกี่ยวกับความรักและความสัมพันธ์ ทั้งในเรื่องของข้อบกพร่องของตัวเอง ความปรารถนาต่างๆ และการมีช่วงเวลาที่ดีกับคนสำคัญของพวกเขา
ชาวทวิตภพมักจะแชร์ปัญหาที่พบเจอในแต่ละวัน ซึ่งเป็นการสะท้อนมุมมองความคิดต่างๆ เช่น เรื่องของการ ปวดหัว อาการเหน็ดเหนื่อยเมื่อยล้า ความเห็นเรื่องสภาพอากาศ โดยเฉพาะอากาศที่ร้อนจนแทบทนไม่ไหวและอยากให้ฤดูฝนมาถึงไวๆ
2."เชื่อมต่อกับคนคอเดียวกัน" ต้องมาที่ทวิตเตอร์ มีสัดส่วนอยู่ที่ 35% - เหตุการณ์ปัจจุบัน, แพสชั่น และตลาดนัดออนไลน์
ทวิตเตอร์ได้กลายเป็นส่วนที่มีความสำคัญต่อชีวิตของคนไทย โดย คนไทยได้ใช้ทวิตเตอร์อย่างกระตือรือร้นเพื่อให้มีการเชื่อมต่อกับชุมชนของเขาอยู่ตลอดเวลา รวมถึงเพื่อเป็นการอัปเดต #WhatsHappening ในสิ่งที่กำลังเกิดขึ้น โดยคนไทยมักจะทวีตเกี่ยวกับหลากหลายเหตุการณ์ปัจจุบันอย่างสม่ำเสมอตั้งแต่เรื่องโควิด-19 สกุลเงินคริปโต ไปจนถึงการเมืองในประเทศและในแถบภูมิภาคนี้
ชาวทวิตภพมักจะแชร์แพสชั่นที่มีต่อหัวข้อดนตรี กีฬา อาหาร เทรนด์แฟชั่นและความงาม ล่าสุด คนไทยมีความกระตือรือร้นที่จะรีวิวสินค้าที่พวกเขาซื้อมาหรือสถานที่ที่ได้ไปมา สำหรับผู้ประกอบการธุรกิจ ทวิตเตอร์คือสถานที่ในการขายสินค้าได้เป็นอย่างดี อาทิ อาหารพวกโฮมคุ้กกิ้ง ขนมหวาน เสื้อผ้า สินค้าจากบรรดาแฟนด้อมและงานฝีมือ คนไทยสามารถทำให้ทวิตเตอร์กลายเป็นตลาดนัดออนไลน์ ที่พวกเขาสามารถทำได้ทั้งนำเสนอสินค้าและแสดงความคิดสร้างสรรค์บนทวิตเตอร์
3.สิ่งสวยงามที่ดีต่อใจ มีสัดส่วน 16% – แกลอรี่ศิลปะ คนดัง แฟนด้อม ความหวังและความฝัน
ชาวทวิตภพจะทวีตข้อความเกี่ยวกับความสนใจที่มีร่วมกัน เช่น การทำ แกลอรี่ศิลปะ เหมือนเวลาที่ทำอัลบั้มรูปภาพหรือการทำหนังสือ scrapbook เพราะคนที่ใช้ทวิตเตอร์ชอบแชร์สถานที่สวยๆ สิ่งของที่สวยงามในชีวิตประจำวัน เช่น ภาพคาเฟ่ บ้านสวยๆ วิวธรรมชาติ ชายหาดสวยๆ ฯลฯ
คนดังและแฟนด้อม ก็เป็นอีกหนึ่งหัวข้อของบทสนทนายอดนิยม เป็นการสนทนาที่สนุกสนาน มีสีสันเป็นอย่างมาก การทวีตถึงศิลปิน K-Pop โดยเฉพาะศิลปินชาวไทยอย่างแบบแบม (@BamBam1A) และ #Lisa จากวงแบล็กพิงค์ (@BLACKPINK) จนถึงศิลปินในประเทศอย่างเป๊ก ผลิตโชค(@peckpalit), วง 4EVE (@4eveOfficial) เรียกได้ว่าคนไทยนั้นเป็นแฟนพันธุ์แท้ของเซเล็บดาราไทยที่แท้จริง
แม้ว่าสถานการณ์การระบาดของโควิด-19 จะยังคงอยู่และสร้างความยากลำบากให้กับหลายๆ คน ทวิตเตอร์ยังเห็นว่าคนไทยมีความหวังและความฝัน ซึ่งเห็นได้จากธีมหลักของบทสนทนาที่ผู้ใช้งานจะทวีตถึงความหลังในอดีต ถึงทริปที่เคยไปเที่ยวและการเข้าไปมีส่วนร่วมในการเข้าไปเม้นต์ถามคนอื่นๆ ว่า “หลังหมดโควิดแล้ววางแผนจะไปเที่ยวที่ไหน”
4.การส่งพลังบวกให้ตัวเองและคนรอบข้าง มีสัดส่วน 4% - การเฉลิมฉลอง และ พลังบันดาลใจ โดยใจความของบทสนทนาในธีมนี้มุ่งสร้างแรงจูงใจและแรงบันดาลใจในการแสดงด้านที่ดีที่สุดของตัวเองออกมา ในอีกด้านทวิตเตอร์ก็เปรียบเสมือนเป็นพื้นที่ของการเฉลิมฉลอง ชาวทวิตภพมีความภูมิใจในการแบ่งปันความสุขและเฉลิมฉลองในทุกเหตุการณ์ อาทิ งานฉลองสำเร็จการศึกษา การเรียนได้เกรดดีๆ วันเกิด หรือ การฉลองครบรอบ ฯลฯ
ชาวทวิภพส่วนใหญ่จะทวีตข้อความทั่วๆ ไป ที่เป็นการส่งพลังบวกให้กับทุกคนในชุมชนโดยรวม เป็นการสร้างพลังบันดาลใจ
[แบรนด์จะเชื่อมต่อกับแต่ละคอมมูนิตี้และบทสนทนาได้อย่างไร? ]
ด้วยบทสนทนา 10 หัวข้อที่เป็นตัวกำหนดธีมทางวัฒนธรรม อันเป็นเอกลักษณ์ 4 รูปแบบของผู้ใช้งานทวิตเตอร์ในประเทศไทย ทำให้เห็นว่ายังมีพื้นที่ว่างมากมายมหาศาลบนทวิตเตอร์ที่รอให้แบรนด์เข้าไปเชื่อมต่อและสามารถสร้างความเกี่ยวข้องทางวัฒนธรรมกับกลุ่มเป้าหมายได้
ดังนั้นโอกาสกำลังรออยู่ ซึ่งตอนนี้แบรนด์ได้มาถึงทางแยกที่ต้องเลือกว่าจะยังคงเดินหน้าต่อไปบนถนนที่ราบเรียบ ทางเดินง่ายๆ กับผลลัพธ์ที่ลดน้อยถอยลง หรือจะเลือกเปลี่ยนแนวทางปฏิบัติด้วยการเข้ามามีส่วนร่วมในบทสนทนากับชาวทวิตภพ ซึ่งแบรนด์ยุคใหม่จะลงทุนในการเรียนรู้ถึงประเภทต่างๆ ของคอมมูนิตี้ชุมชนและบทสนทนาบนทวิตเตอร์และเข้าไปสร้างความเกี่ยวข้องทางวัฒนธรรมกับกลุ่มลูกค้าของแบรนด์ในแบบที่จริงแท้มากยิ่งขึ้น จนสามารถสร้างผลลัพธ์ได้ดีในที่สุด
บนทวิตเตอร์มีผู้คนหลากหลาย มีบทสนทนาในแง่บวกมากมาย และยังประกอบด้วยคอมมิวนิตี้ที่มีความสร้างสรรค์หลายกลุ่มที่ทำให้ทวิตเตอร์เป็นสถานที่ที่ปลอดภัยสำหรับแบรนด์ โดยจากข้อมูลยังแสดงให้เห็นว่า มีความสัมพันธ์กันระหว่างการใช้จ่ายของผู้ใช้ทวิตเตอร์กับการรับรู้ถึงความเกี่ยวข้องทางวัฒนธรรมของแบรนด์สูงถึง 88% ในขณะที่ 25% ของผู้บริโภคตัดสินใจซื้อสินค้าจากการพิจารณาถึงแบรนด์ที่เข้ามาเกี่ยวข้องในวัฒนธรรมของพวกเขา
รูป 6
“หลายแบรนด์เริ่มต้นวางแผนการทำการตลาดด้วยแนวคิดที่คิดไปก่อนล่วงหน้า เช่น ทวิตเตอร์เป็นแบบนั้นเป็นแบบนี้ แต่ทวิตเตอร์เป็นพื้นที่ที่หลากหลายสำหรับผู้คนที่หลากหลายแตกต่างกัน และหลายแบรนด์ก็เริ่มที่จะเข้าใจในจุดนี้ ทวิตเตอร์เป็นการรวบรวมผู้คนที่หลากหลายและคิดเห็นต่างกัน ซึ่งเป็นแหล่งข้อมูลที่แบรนด์สามารถเข้ามาศึกษาเพื่อช่วยให้เข้าใจความต้องการของกลุ่มเป้าหมายได้มากขึ้น” นายมาร์ติน ยูเรน กล่าวเสริม
1.บันทึกส่วนตัว: ควรสร้างแบรนด์แบบค่อยเป็นค่อยไป อย่างสม่ำเสมอ หลีกเลี่ยงการสื่อสารเชิงองค์กรที่มากเกินไป
แบรนด์ควรจะมองหาวิธีในการสร้างแบรนด์แบบค่อยเป็นค่อยไป สร้างชื่อเสียงที่เป็นลักษณะเฉพาะของแบรนด์ขึ้นมาและเอ็นเกจกับผู้บริโภค เพื่อเป็นการสร้างความสัมพันธ์อันแน่นแฟ้นในระยะยาวv เพราะการขายแบบฮาร์ดเซลล์ที่จงใจขายแบรนด์และผลิตภัณฑ์แบบโจ่งแจ้ง จะไม่ค่อยได้ผลเท่าที่ควร
2.การเชื่อมต่อกับคนคอเดียวกัน: เนื้อหาที่สั้น กระชับ เข้าใจง่าย รวดเร็ว คือหัวใจสำคัญในการเชื่อมต่อ
แบรนด์ที่อยากเข้ามาสื่อสารกับพื้นที่ในส่วนนี้ควรจะสื่อสารด้วยเนื้อหาที่อัปเดต ทวีตเกี่ยวกับผลิตภัณฑ์ตัวใหม่ ถึงจะสามารถส่งเสียงสะท้อนไปถึงกลุ่มลูกค้าเป้าหมายได้ดี เอนเกจเม้นต์ของพื้นที่ในธีมนี้ค่อนข้างน้อย ดังนั้นสิ่งที่มีความสำคัญแบรนด์ควรจะต้องพิจารณาคือต้องมีการสื่อสารที่ชัดเจน กระชับ ตรงกลุ่มเป้าหมาย และสามารถทำได้ทันที
3.การส่งพลังบวกให้ตัวเองและคนรอบข้าง: กุญแจหลักที่ต้องมี คือ เนื้อหาเชิงบวก ผ่อนคลาย และให้กำลังใจ
แบรนด์ควรจะสร้างมู้ดแอนด์โทนที่สนุกสนานและกระตุ้นอารมณ์เชิงบวกด้วยการใช้ภาพที่สร้างสรรค์ซึ่งจะช่วยกระชับความสัมพันธ์กับกลุ่มเป้าหมายให้แน่นแฟ้นและช่วยเสริมแกร่งแบรนด์ให้มีความเกี่ยวข้องกับกลุ่มลูกค้าอยู่ตลอด เพราะสิ่งที่ผู้คนต้องการซื้อคือความความรู้สึก ไม่ใช่สิ่งของ เช่น สินค้าแฟชั่นอย่างลิปสติกรุ่นใหม่ น้ำหอมกลิ่นใหม่ล่าสุด
4.การส่งพลังบวกให้ตัวเองและคนรอบข้าง: อาวุธหลักในการดึงความสนใจ คือ รูปที่สวยงาม และสะดุดตา
แบรนด์ที่อยากสร้างความเกี่ยวข้องกับกลุ่มเป้าหมายบนบทสนทนาพื้นที่นี้ ควรจะแชร์ข้อความที่มีเนื้อหาสบายๆ สอดแทรกอารมณ์ขัน สร้าง “ความรู้สึกดีๆ “ ใช้คอนเท้นต์ที่สร้างความพึงพอใจให้เกิดขึ้นได้ในทันทีและกระตุ้นให้เกิดการซื้อ เช่น ทวีตเกี่ยวกับสินค้าที่มีความโดดเด่นสะดุดตา การร่วมแข่งขัน หรือโปรโมชั่นต่างๆ
ชาวทวิตภพนั้นทรงอิทธิพล มีความคิดที่เปิดกว้าง และยังสามารถขับเคลื่อนผลลัพธ์ต่างๆ ให้เกิดขึ้นได้ แบรนด์ที่สนใจพลังบทสนทนา
CR: ข้อมูลจาก https://marketing.twitter.com