September 19, 2024

การท่องเที่ยวไต้หวันเผยปี 67 คนไทยไปไต้หวันเพิ่มขึ้นเกือบ 18%  เดินหน้าจับมือเคทีซีเปิดตัวแคมเปญ ‘Unseen Taiwan 2024’ เที่ยวได้ในทุกฤดูกาล พร้อมเผยโฉมโลโก้ ‘Taiwan - Waves of Wonder’ สะท้อนกลยุทธ์การท่องเที่ยวที่คำนึงถึงสิ่งแวดล้อม สอดรับเทรนด์คนไทยนิยมเดินทางใกล้ วางรูปแบบการท่องเที่ยวตามปัจเจกนิยม และให้คุณค่ากับบริการรักษ์โลก หวังสิ้นปีดันยอดคนไทยเยือนไต้หวันเพิ่มไม่ต่ำกว่านักท่องเที่ยวในช่วงก่อนโควิด 

 

มิสซินดี้ เฉิน ผู้อำนวยการการท่องเที่ยวไต้หวัน ประจำกรุงเทพฯ เปิดเผยว่า ในปี 2566 นักท่องเที่ยวไทยเดินทางไปไต้หวันทั้งสิ้นเกือบ 4 แสนคน และตั้งแต่เดือนมกราคม – เมษายน 2567 ยอดรวมนักท่องเที่ยวคนไทยแตะ 153,638 คน เพิ่มขึ้นจากช่วงเดียวกันของปีที่ผ่านมาถึง 17.82% เป็นผลจากการขยายระยะเวลานโยบายฟรีวีซ่าสำหรับนักท่องเที่ยวชาวไทย 14 วัน จนถึงวันที่ 31 กรกฎาคม 2568 รวมถึงจำนวนเที่ยวบินตรงจากกรุงเทพฯ - ไต้หวัน ก็มีเพิ่มมากขึ้นเช่นกัน สำหรับในปีนี้ การท่องเที่ยวไต้หวันได้เปลี่ยนโลโก้ใหม่ภายใต้ธีม ‘Taiwan - Waves of Wonder’ เพื่อชูจุดยืนเรื่องกลยุทธ์การท่องเที่ยวที่คำนึงถึงสิ่งแวดล้อม ด้วยการใช้รูปแบบเส้นสายลอนคลื่นที่ได้แรงบันดาลใจมาจากภูเขา ทะเล ถนนทรงคดเคี้ยว หรือทางรถไฟ      บ่งบอกถึงความงดงามของภูมิทัศน์ธรรมชาติผสานกับมรดกทางวัฒนธรรมอันยาวนานของไต้หวัน การเลือกโทนสีส้มเพื่อเป็นสัญลักษณ์ของพระอาทิตย์ขึ้น สื่อถึงความหวังสำหรับการท่องเที่ยวยั่งยืนที่พร้อมส่งต่อไปยังประชากรรุ่นต่อไปในอนาคต  

ถึงแม้ว่าไต้หวันต้องการเพิ่มจำนวนนักท่องเที่ยวให้ได้มากขึ้น แต่รัฐบาลก็ได้ออกนโยบายเพื่อป้องกันผลกระทบที่อาจมีต่อทรัพยากรธรรมชาติและวัฒนธรรม ด้วยการรณรงค์ให้ความรู้แก่หน่วยงานภาคการท่องเที่ยวในเรื่องการลดปริมาณขยะ การใช้พลังงานอย่างคุ้มค่า และเคารพวัฒนธรรมพื้นถิ่น นอกจากนี้รัฐบาลยังได้วางแผนงานเพื่อสนับสนุนการท่องเที่ยวยั่งยืน (Sustainable Tourism) ดังนี้  1) โครงการด้านการท่องเที่ยวเชิงนิเวศน์ (Ecotourism Initiatives) การจัดตั้งอุทยานแห่งชาติ อุทยานธรณี และเขตอนุรักษ์ธรรมชาติ พร้อมแผนการบริหารด้านการท่องเที่ยวใส่ใจสิ่งแวดล้อม 2) การคมนาคมคาร์บอนต่ำ (Low-Carbon Transportation) ประชาสัมพันธ์ให้นักท่องเที่ยวเลือกเดินทางด้วยรถไฟ เส้นทางจักรยาน หรือการเช่ารถยนต์ไฟฟ้า เพื่อลดการปล่อยปริมาณคาร์บอน 3) การรับรองมาตรฐานคุณภาพ (Certification and Standards) รัฐบาลสนับสนุนธุรกิจบริการท่องเที่ยวให้ได้รับใบรับรอง อาทิ  Green Travel Mark และ Travelife เพื่อแสดงถึงความมุ่งมั่นและรับผิดชอบต่อการรักษาสิ่งแวดล้อมและความยั่งยืน 4) การพัฒนาโครงสร้างพื้นฐาน (Infrastructure Development) การลงทุนในโครงสร้างพื้นฐานด้านการท่องเที่ยวยั่งยืน อาทิ ที่พักที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม ระบบการกำจัดของเสีย รวมถึงศูนย์บริการข้อมูลนักท่องเที่ยวเพื่อให้ความรู้ด้านการอนุรักษ์สิ่งแวดล้อมและมรดกทางวัฒนธรรม 

ทั้งนี้ ปัจจุบันไต้หวันได้มีโครงการที่เป็นแบบอย่างของนโยบายท่องเที่ยวยั่งยืนเชิงรุก อาทิ ระบบยืมแก้วน้ำใช้ซ้ำที่ทะเลสาบสุริยันจันทรา: เพื่อลดปริมาณแก้วน้ำพลาสติกแบบใช้ครั้งเดียว โดยอนุญาตให้ผู้เข้าชมยืมแก้วน้ำใช้ซ้ำ (Reuse) แสดงให้เห็นถึงความมุ่งมั่นที่จะลดขยะตามสถานที่ท่องเที่ยวยอดนิยม หรือโครงการติดป้าย Bicycle-Friendly: เพื่อสนับสนุนการท่องเที่ยวด้วยจักรยาน โดยรับรองมาตรฐานที่พักว่ามีสิ่งอำนวยความสะดวกสำหรับนักปั่นจักรยาน และส่งเสริมการเดินทางที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม 

นอกจากเรื่องของการท่องเที่ยวยั่งยืนแล้ว  ไต้หวันยังมีสถานที่ท่องเที่ยวจากแคมเปญ ‘Unseen Taiwan 2024’ ที่พร้อมมอบประสบการณ์ที่แตกต่างให้กับนักท่องเที่ยวใน 4 ฤดูกาลดังนี้ 

  1. ฤดูใบไม้ผลิ (Spring) เป็นช่วงที่ดอกซากุระกำลังบานและสวยงามที่สุด ไต้หวันมีจุดชมดอกซากุระหลายแห่ง อาทิ ไทเป – อุทยานแห่งชาติหยางหมิงซาน หรือสวนเล่อหัว / นิวไทเป - วัดเทียนหยวน / เจียอี้ – อุทยานแห่งชาติอาลีซาน และ เถาหยวน - ลาลา เมาท์เทน  หรือหากต้องการขอพรสิ่งศักดิ์สิทธิ์ ไต้หวันมีวัดมากถึงกว่า 12,000 แห่งทีเดียว 
  1. ฤดูร้อน (Summer) ไต้หวันเป็นสวรรค์ของนักชิม มีร้านอาหารที่ได้รับรางวัลมิชลินถึง 4 เมืองทั่วเกาะไต้หวันได้แก่ ไทเป  ไถจง เกาสง และไถหนาน ในขณะที่ Street Food ของไต้หวันก็เป็นที่นิยมด้วยรสชาติที่อร่อย มีความหลากหลาย ในราคาที่เหมาะสม  
  1. ฤดูใบไม้ร่วง (Autumn) อากาศช่วงนี้เหมาะกับการปั่นจักรยานท่องเที่ยว ไต้หวันมีเส้นทางการปั่นจักรยานที่จัดอันดับจาก CNN ว่าเป็น 1 ในเส้นทางจักรยานที่สวยงามที่สุดในโลก นั่นคือ เส้นทางปั่นจักรยานรอบทะเลสาบสุริยันจันทรา หรือจะเลือกแช่บ่อน้ำพุร้อนเพื่อสุขภาพที่แข็งแรง อาทิ บ่อน้ำพุร้อนหยางหมิงซานที่ไทเป  ซึ่งถือเป็นน้ำพุร้อนที่มีเอกลักษณ์เพราะได้รับความร้อนมาจากภูเขาไฟ ทำให้น้ำพุร้อนมีส่วนผสมของกำมะถันสีขาวและกำมะถันสีเขียว 
  1. ฤดูหนาว (Winter) นักท่องเที่ยวนิยมเดินทางไปไต้หวันเพื่อช้อปปิ้ง ประกอบกับเป็นช่วงเทศกาลเฉลิมฉลองวันสิ้นปี จะมีการจุดดอกไม้ไฟสว่างไสวไปทั้งเมืองไทเป และหัวเมืองใหญ่ทั่วเกาะไต้หวัน รวมถึงกิจกรรมรื่นเริงอื่นๆ อีกมากมายเพื่อต้อนรับวันขึ้นปีใหม่ 

 

นางสาวพัทธ์ธีรา อนันต์โชติพัชร ผู้บริหาร KTC World Travel Service และการตลาดหมวดสายการบิน “เคทีซี” หรือ บริษัท บัตรกรุงไทย จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า หนึ่งในกลยุทธ์การตลาดของเคทีซีที่ดำเนินมาอย่างต่อเนื่องและสม่ำเสมอคือเรื่อง Partnership Marketing โดยเฉพาะในอุตสาหกรรมท่องเที่ยวที่ให้การสนับสนุน ส่งเสริม และขยายขอบเขตความร่วมมือกับพันธมิตรในทุกภาคส่วน อาทิ องค์การส่งเสริมการท่องเที่ยว สายการบิน บริษัทตัวแทน (ทั้งช่องทางออนไลน์และออฟไลน์) โรงแรม รถไฟ รถเช่า หรือเรือสำราญ ครอบคลุมทุกผลิตภัณฑ์ด้านการท่องเที่ยว นอกจากนี้ยังได้ทำกิจกรรมการตลาดร่วมกันเพื่อมอบสิทธิประโยชน์ให้กับสมาชิกผ่านงานด้านการท่องเที่ยวหรืองานแฟร์ การจัดเวิร์กชอป และกิจกรรมร่วมกับชุมชน รวมถึงพัฒนาช่องทางสื่อสารให้ตรงกลุ่มสมาชิกมากยิ่งขึ้น สำหรับความร่วมมือกับการท่องเที่ยวไต้หวันในปี 2566 ที่ผ่านมา ได้รับผลตอบรับที่ดี สะท้อนจากจำนวนสมาชิกบัตรเครดิตเคทีซีและยอดรวมการใช้จ่ายที่ไต้หวันปรับตัวสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง นอกจากนี้ ไต้หวันยังคงเป็นเส้นทางยอดนิยมของสมาชิก โดยในครึ่งปีแรกของปี 2567สมาชิกใช้จ่ายผ่านบัตรฯ ที่ไต้หวันเป็นอันดับที่ 5 เมื่อดูจากพอร์ตยอดรวมการใช้จ่ายในต่างประเทศเส้นทางเอเชีย รองจากญี่ปุ่น เกาหลี ฮ่องกง และจีน และสมาชิกเลือกใช้บริการเพื่อเดินทางไปยังไต้หวันผ่าน KTC World Travel Service สูงเป็นอันดับที่ 4 รองจากฮ่องกง ญี่ปุ่น และ จีน โดยมียอดใช้จ่ายสำหรับการเดินทางต่อบุคคลอยู่ที่ 23,000 บาทต่อราย 

ในปี 2567 เทรนด์การท่องเที่ยวมีการปรับเปลี่ยนไป สมาชิกนิยมเลือกใช้เวลาเดินทางสั้นลง และวางแผนการท่องเที่ยวด้วยตัวเองตามไลฟ์สไตล์ที่แตกต่างมากขึ้น รวมถึงเรื่องสิ่งแวดล้อมก็เป็นปัจจัยหลักในการตัดสินใจเลือกใช้บริการด้านการท่องเที่ยว KTC World Travel Service จึงได้รวมผลิตภัณฑ์บริการท่องเที่ยวที่แสดงความมุ่งมั่นด้านรักษ์สิ่งแวดล้อมไว้ในหมวดที่เรียกว่า ‘Green Products’ โดยเคทีซีได้ร่วมมอบสิทธิพิเศษเพิ่มเติม เพื่อแสดงจุดยืนในการสนับสนุนด้านการท่องเที่ยวอย่างยั่งยืนร่วมกับพันธมิตรทุกราย สำหรับแคมเปญ ‘Unseen Taiwan 2024’ เคทีซีได้จับมือกับสายการบินหลักได้แก่ ไชน่าแอร์ไลน์ (China Airlines) อีวีเอ แอร์ (EVA Air) สตาร์ลักซ์ แอร์ไลน์ (STARLUX Airlines) และการบินไทย (THAI Airways) มอบส่วนลดพิเศษเฉพาะบัตรเครดิตเคทีซี เมื่อสมาชิกจองตั๋วเครื่องบินผ่านเว็บไซต์สายการบินดังกล่าวรวมถึงผ่านช่องทางของเคเคเดย์ (KKday) นอกจากนี้ KTC World Travel Service ยังได้เสนอแพ็กเกจ ‘Taiwan Explorer’ รวมตั๋วเครื่องบิน ที่พัก และบัตรรถไฟเพื่อเน้นเรื่องการเดินทางท่องเที่ยวอย่างยั่งยืนระยะเวลา 3 วัน 2 คืน โดยสามารถเลือกเมืองจุดหมายที่ต้องการ เช่น ไทเป เกาสง หรือเมืองทางตอนใต้อื่นๆ สำหรับรายละเอียดแพ็กเกจมีดังนี้ 

  • Taiwan Explorer 3 วัน 2 คืน เริ่มต้นที่ราคา 13,900 บาท / ท่าน ประกอบด้วย ตั๋วเครื่องบินสาย การบินไชน่าแอร์ไลน์ อีวีเอ แอร์ สตาร์ลักซ์ แอร์ไลน์ และการบินไทย เส้นทางกรุงเทพฯ – ไทเป ไป - กลับ ชั้นประหยัด ที่พักโรงแรมอินเฮาส์ ย่านซีเหมินติง 2 คืน รวมอาหารเช้า สำหรับ 2 ท่าน และบัตรรถไฟ MRT ใช้เดินทางในไทเปได้ไม่จำกัดเที่ยว ระยะเวลา 3 วัน 
  • Unseen Taiwan 3 วัน 2 คืน ราคา 15,900 บาท / ท่าน ประกอบด้วย ตั๋วเครื่องบินสายการบินไชน่าแอร์ไลน์ ขาไปเส้นทางกรุงเทพฯ - ไทเป ขากลับเส้นทางเกาสง - กรุงเทพฯ ชั้นประหยัด ห้องพัก 2 คืน ไม่รวมอาหารเช้า และบัตรรถไฟความเร็วสูง Taiwan Pass High – Speed Rail Edition เดินทางได้ไม่จำกัดเที่ยว ระยะเวลา 3 วัน 

ระยะเวลาการจองตั้งแต่วันที่ 16 กรกฎาคม 2567 – วันที่ 31 ธันวาคม 2567 ระยะเวลาเดินทางตั้งแต่วันที่ 17 กรกฎาคม 2567 - วันที่ 15 มกราคม 2568 สมาชิกสามารถเลือกใช้บริการแบ่งชำระ 0% นาน 6 เดือน และพิเศษ!   เมื่อชำระค่าตั๋วเครื่องบินหรือแพ็กเกจด้วยบัตรเครดิตเคทีซี วีซ่าทุกประเภท รับฟรี Dragon Pass ทันที ดูรายละเอียดสิทธิประโยชน์จากแคมเปญ ‘Unseen Taiwan 2024’ ได้ที่ www.ktc.co.th/UNSEENTAIWAN  

นายคณพศ สิทธิวงค์ บรรณาธิการนิตยสาร My World นิตยสารท่องเที่ยวราย 2 เดือนที่จัดพิมพ์สำหรับสมาชิกบัตรเครดิตเคทีซีที่สนใจด้านการเดินทางและเป็นผู้มียอดใช้จ่ายสูงในหมวดท่องเที่ยวและไลฟ์สไตล์ กล่าวว่า สมาชิกนิตยสาร My World มีไลฟ์สไตล์การท่องเที่ยวแบบ Frequent Travelers หรือวางแผนการท่องเที่ยวบ่อย ๆ ไต้หวันจึงเป็นเส้นทางที่ตอบโจทย์ เพราะมีองค์ประกอบครบครัน อาทิ วัฒนธรรมที่สะท้อนจากประวัติศาสตร์และประเพณีที่มีอายุยาวนาน นักท่องเที่ยวสามารถสัมผัสวัฒนธรรมจีนดั้งเดิมควบคู่ไปกับวัฒนธรรมสมัยใหม่ ธรรมชาติและภูมิประเทศที่สวยงาม  เช่น อุทยานแห่งชาติอาลีซาน เมืองทางใต้ที่ทันสมัยและสวยงามอย่างเกาสง หรือเกาะทางใต้ที่มีวิถีดั้งเดิมของชาวประมง เช่น เกาะเผิงหู อาหารไต้หวันเป็นที่รู้จักในเรื่องความอร่อยและหลากหลาย โดยเฉพาะ Street Food ใน Night Market ที่มีในทุกเมืองใหญ่ การเดินทางสะดวก มีระบบขนส่งสาธารณะที่มีประสิทธิภาพ ไม่ว่าจะเป็นรถไฟฟ้าใต้ดิน รถบัส หรือรถไฟความเร็วสูง ชาวไต้หวันมีชื่อเสียงในเรื่องความเป็นมิตรและการต้อนรับนักท่องเที่ยวอย่างอบอุ่น ให้ความรู้สึกเหมือนอยู่บ้านและสามารถเรียนรู้เกี่ยวกับวัฒนธรรมท้องถิ่นได้อย่างใกล้ชิด 

นางสาวกิจชรัตน์ นทีธำรงสุทธิ์ จากเฟสบุ๊คเพจ Ratto Wanderlust เปิดเผยถึงเทรนด์การท่องเที่ยวไต้หวันมีการปรับเปลี่ยนไปตามไลฟ์สไตล์ของนักท่องเที่ยว และยังมีสถานที่ Unseen ที่ไม่ควรพลาด เช่น ถนนแห่งของกินย่านหย่งคัง (Yongkang Food Street) ที่นอกจากจะเป็นแหล่งรวมอาหารยอดนิยมโดยเฉพาะอาหารท้องถิ่นแท้ๆ ของไต้หวันแล้ว ยังมีร้านคาเฟ่น่ารักๆ ที่ทำให้ทุกคนเพลิดเพลินกับการถ่ายภาพ รวมถึงสวนหรงจิ่น (Rongjin Gorgeous Time) แหล่งรวมสถานที่โดนใจวัยรุ่นแห่งใหม่ที่ตั้งอยู่ใจกลางเมืองไทเปเหมาะกับผู้ที่ชื่นชอบธรรมชาติและยังมีกลิ่นอายสไตล์ญี่ปุ่น เดินทางสะดวกสบาย กิน ช้อป จบในที่เดียว 

มิสซินดี้ เฉินกล่าวปิดท้ายว่า การท่องเที่ยวไต้หวันได้ร่วมมือกับเคทีซีมาเป็นปีที่ 2 แล้ว และรู้สึกพึงพอใจกับกิจกรรมต่างๆ ที่เคทีซีให้การสนับสนุนด้วยดีทั้งในด้านการประชาสัมพันธ์และสิทธิพิเศษสำหรับสมาชิกบัตรฯ  จำนวนนักท่องเที่ยวไทยที่เดินทางไปไต้หวันก็เพิ่มมากขึ้นอย่างต่อเนื่อง โดยหวังว่าสิ้นปี 2567 จะมีจำนวนนักท่องเที่ยวไทยเดินทางไปไต้หวันเพิ่มไม่ต่ำกว่านักท่องเที่ยวในช่วงก่อนโควิด 

ผู้สนใจสิทธิพิเศษด้านการเดินทางท่องเที่ยวสามารถสอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ KTC World Travel Service โทรศัพท์ 02 123 5050 ตั้งแต่เวลา 8.00 น. – 22.00 น. หรือทักแชทไลน์ได้ที่ @KTCWORLD สำหรับผู้ที่ต้องการสมัครสมาชิกบัตรเครดิตเคทีซี สามารถคลิกดูรายละเอียดได้ที่ลิงค์ https://ktc.today/apply-card หรือติดต่อศูนย์บริการสมาชิก “เคทีซี ทัช” ทุกสาขาทั่วประเทศ 

ไต้หวันตอกย้ำความมุ่งมั่นในการสร้างความยั่งยืนด้านสิ่งแวดล้อมและความก้าวหน้าให้กับประชาคมโลก เปิดตัวแคมเปญ “Go Green with Taiwan” เปิดโอกาสให้ผู้ประกอบการไทยและบริษัทชั้นนำทั่วโลกร่วมส่งไอเดียพัฒนาโซลูชันและนวัตกรรม นำเสนอโครงการด้านความยั่งยืน ซึ่งสอดคล้องกับวิสัยทัศน์ของไต้หวันที่จะส่งเสริมอุตสาหกรรมสีเขียว พร้อมสนับสนุนความร่วมมือระหว่างประเทศเพื่อการพัฒนาที่ยั่งยืนของโลก โดยผู้ที่ผ่านเข้าสู่การแข่งขันรอบสุดท้ายจำนวน 6 ทีม จะได้รับสิทธิ์เดินทางไปไต้หวันแบบไม่เสียค่าใช้จ่าย เพื่อเข้าร่วมการแข่งขันรอบสุดท้ายในเดือนธันวาคม และเฟ้นหา 3 ผู้ชนะที่จะได้รับรางวัลมูลค่า 20,000 เหรียญสหรัฐ (มากกว่า 700,000 บาท) เปิดรับสมัครตั้งแต่วันนี้ – 31 สิงหาคมนี้ ดูรายละเอียดเกี่ยวกับการรับสมัครได้ที่เว็บไซต์ gogreen.taiwanexcellence.org

สำหรับงานเปิดตัวแคมเปญ “Go Green with Taiwan” ได้รับเกียรติจาก นายเจมส์ ฮวง ประธานสภาส่งเสริมการค้าและการส่งออกไต้หวัน (TAITRA) นางซินเทีย เจียง อธิบดีกรมการค้าระหว่างประเทศ (TITA) ภายใต้กระทรวงเศรษฐกิจ (MOEA) และนายสแตน ซือ ทูตกิตติมศักดิ์ ผู้ก่อตั้งและประธานกิตติมศักดิ์กลุ่มบริษัทเอเซอร์ พร้อมด้วยตัวแทนจากบริษัทพลังงานยั่งยืน สมาคมอุตสาหกรรม และนักการทูตต่างประเทศในไต้หวัน

นายเจมส์ ฮวง ประธานสภาส่งเสริมการค้าและการส่งออกไต้หวัน (TAITRA) กล่าวว่า “อุตสาหกรรมของไต้หวันมีการปรับตัวให้ทันต่อสถานการณ์ต่าง ๆ ของโลกอยู่ตลอดเวลา ตั้งแต่ในอดีตที่เป็นหนึ่งในสี่เสือแห่งเอเชีย หรือจะเป็นเมืองแห่งเทคโนโลยีท่ามกลางความวุ่นวายของ AI จนปัจจุบันได้กลายมาเป็นศูนย์กลางเครือข่าย "ห่วงโซ่อุปทานประชาธิปไตยระดับโลก" ทั้งนี้จากการสนับสนุนวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม (SMEs) ที่ลงทุนในต่างประเทศมาโดยตลอด TAITRA ได้รวบรวมสถาบันชั้นนำในประเทศ รวมถึงแหล่งข้อมูลสื่อจากทั้งในและต่างประเทศ แคมเปญ "Go Green with Taiwan" จึงเปรียบเสมือนประตูที่ให้พันธมิตรนานาประเทศได้ทำความเข้าใจกับเส้นทางสู่ความยั่งยืนของไต้หวันเป็นครั้งแรก โดยส่งเสริมการโปรโมตผลิตภัณฑ์ โซลูชันที่ครอบคลุม และนวัตกรรมที่ล้ำสมัยของไต้หวัน พร้อมเชิญชวนจับมือกับพันธมิตรนานาชาติในการขับเคลื่อนการเปลี่ยนแปลงทางเศรษฐกิจและสิ่งแวดล้อมอย่างยั่งยืน”

นางซินเทีย เจียง อธิบดีกรมการค้าระหว่างประเทศ (TITA) ภายใต้กระทรวงเศรษฐกิจ (MOEA) เล่าว่า “อุตสาหกรรมสีเขียวของไต้หวันเป็นเทคโนโลยีขั้นสูง มีโครงสร้างพื้นฐานที่ทันสมัย และยังมีส่งเสริมการวิจัยและพัฒนาที่แข็งแกร่ง รวมถึงบุคลากรด้านเทคโนโลยีที่มีความเชี่ยวชาญสูง จึงกล่าวได้ว่าไต้หวันมีศักยภาพที่สามารถสร้างสรรค์ผลิตภัณฑ์ที่เกี่ยวข้องให้มีมูลค่าสูงและมีประสิทธิภาพ ทำให้เราเป็นพันธมิตรที่มีความสำคัญต่อประเทศที่ต้องการพัฒนาพลังงานสีเขียวและเศรษฐกิจที่ยั่งยืนในระดับนานาชาติ”

ด้าน นายสแตน ซือ ผู้ก่อตั้งและประธานกิตติมศักดิ์กลุ่มบริษัทเอเซอร์ ที่เป็นทูตกิตติมศักดิ์ของแคมเปญ "Go Green with Taiwan" ซึ่งสะท้อนให้เห็นถึงศักยภาพอันแข็งแกร่งของไต้หวันในด้านนวัตกรรมเทคโนโลยีและอุตสาหกรรมสีเขียวบนเวทีนานาชาติ ความร่วมมือนี้มีเป้าหมายเพื่อผลักดันให้ทุกภาคส่วนมีการดำเนินงานที่สอดคล้องกับมาตรฐานสากล ช่วยให้โลกบรรลุเป้าหมายการปล่อยก๊าซคาร์บอนสุทธิเป็นศูนย์และร่างกฎหมาย GX (Green Transformation)

ทั้งนี้งานแถลงข่าวได้จัดขึ้นที่ "AMBI Space One" ซึ่งเป็นพื้นที่จัดแสดงที่สามารถสร้างประสบการณ์เสมือนจริงภายในตึกไทเป 101 อันเป็นที่รู้จักในฐานะตึกสีเขียวที่สูงที่สุดในโลกและเป็นสัญลักษณ์สำคัญของไต้หวัน งานนี้โดดเด่นด้วยความคิดสร้างสรรค์ด้านสิ่งแวดล้อม ไม่ว่าจะเป็นการลงทะเบียนอิเล็กทรอนิกส์แบบไร้กระดาษ มีการจัดแสดงความก้าวหน้าของไต้หวันในด้านโซลูชันเศรษฐกิจหมุนเวียน การขนส่งคาร์บอนต่ำ พลังงานและการกักเก็บ รวมถึงอุปกรณ์ด้านสิ่งแวดล้อมผ่านภาพเคลื่อนไหวแบบพาโนรามา 3 มิติที่มองเห็นได้ด้วยตาเปล่า ซึ่งใช้เทคโนโลยีล้ำสมัย โดยเน้นย้ำเรื่องความยั่งยืน นอกจากนี้ภายในงานยังช่วยลดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม โดยการลดการตกแต่งและของเสีย มีการใช้ภาชนะที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม และให้บริการเครื่องดื่มที่มาจากการค้าที่เป็นธรรม สะท้อนถึงความมุ่งมั่นในการอนุรักษ์สิ่งแวดล้อมและการใช้พลังงานอย่างมีประสิทธิภาพ เพื่อแสดงให้เห็นถึงความเป็นผู้นำและศักยภาพของไต้หวันในอุตสาหกรรมพลังงานสีเขียวที่ยั่งยืนระดับโลก ซึ่งมีส่วนช่วยในการบรรลุเป้าหมายด้านความยั่งยืนทั้งทางสิ่งแวดล้อมและเศรษฐกิจทั่วโลก

โดยจุดมุ่งหมายของแคมเปญ "Go Green with Taiwan" เพื่อเชิญผู้ประกอบการไทย สตาร์ตอัป นิสิต นักศึกษา องค์กร หรือหน่วยงานที่สนใจ มาร่วมสร้างอนาคตที่ยั่งยืนร่วมกับไต้หวัน โดยนำเสนอแนวคิดและวิธีการดี ๆ ที่จะเปลี่ยนแปลงให้โลกดีขึ้นด้วยการประยุกต์ใช้ผลิตภัณฑ์และนวัตกรรมของไต้หวัน แผนงานที่เกิดจากความร่วมมือทางเทคโนโลยีกับผู้ประกอบการไต้หวัน หรือแผนโมเดลธุรกิจใหม่ ๆ เพื่อให้บรรลุโจทย์ 2 ด้าน คือ "ความยั่งยืนด้านสิ่งแวดล้อม" หรือ "ความยั่งยืนทางเศรษฐกิจ"

คณะกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิจะคัดเลือก 6 ทีมที่จะได้เดินทางมาร่วมแข่งขันในรอบชิงชนะเลิศที่ไต้หวัน โดยสมาชิกในทีมสูงสุด 2 ท่าน จะได้รับตั๋วเครื่องบินชั้นประหยัดไป-กลับไต้หวัน พร้อมที่พักฟรี และโอกาสดูงานเพื่อเรียนรู้เกี่ยวกับการดำเนินธุรกิจที่ยั่งยืนของไต้หวัน และผู้ชนะ 3 อันดับสุดท้าย ยังจะได้รับการจัดสรรเงินรางวัลมูลค่า 20,000 ดอลลาร์สหรัฐ หรือมากกว่า 700,000 บาท อีกด้วย

แคมเปญ “Go Green with Taiwan” จัดขึ้นโดยกรมการค้าระหว่างประเทศ (TITA) ภายใต้กระทรวงเศรษฐกิจ (MOEA) และดำเนินการโดยสภาส่งเสริมการค้าและการส่งออกไต้หวัน (TAITRA) เชิญชวนผู้ที่สนใจหรือใครที่มีไอเดียพัฒนาโซลูชันที่ยั่งยืน สามารถส่งแผนและสมัครเข้าร่วมโครงการตั้งแต่วันนี้ – 31 สิงหาคมนี้ ดูรายละเอียดเกี่ยวกับการรับสมัครได้ที่เว็บไซต์ gogreen.taiwanexcellence.org และเฟซบุ๊ก Taiwan Excellence TH หรือคลิกดูขั้นตอนการรับสมัครได้ที่นี่
Go Green with Taiwan (How to Apply)_Thai Version.mp4 - Google Drive

หวังเชื่อมโยงการค้า-การลงทุน พร้อมยกระดับการแพทย์ระหว่างประเทศแบบองค์รวม

Thaiway Products ประเทศไทย เติบโตมาทางด้านธุรกิจอิเล็กทรอนิกส์จนปัจจุบันได้ขยายตลาดมาในวงการเครื่องมือแพทย์ที่เป็นระบบ AIOT ส่วนบริษัท Inventec Appliances Corp. ซึ่งเป็นบริษัทที่มีชื่อเสียงและศักยภาพติดอันดับ Top 5 ของไต้หวันในด้านของผู้ผลิตและวิเคราะสินค้านวัตกรรมใหม่ ๆ จนทำให้เกิดบริษัทลูกอย่าง ชิไลน์ ขึ้น เพื่อรองรับการเติบโตในอนาคต

นายฉัตรชัย หวัง Business Development Manager, Thaiway Products Co., Ltd. ได้ให้รายละเอียดเกี่ยวกับบริษัท Inventec และบริษัทลูกอย่าง ชิไลน์ ว่า “Inventec เป็นแซทเทิลไลท์ทางด้านอิเล็กทรอนิกส์และฮาร์ดแวร์มาตลอด จนเปิดบริษัทลูกที่ชื่อ ชิไลน์ มุ่งเน้นตีตลาดด้านการแพทย์ และผสมผสาน Know-how ในด้านนวัตกรรมของ IOT เข้ากันกับ Medical Device และได้กลายเป็นส่วนสำคัญในการขับเคลื่อนวงการตลาดของการดูแลผ่านทางไกลหรือ Telehealth และได้เป็นที่มาของสินค้า ชิไลน์ผลิตภัณฑ์ที่มีชื่อเสียงด้านโฮมแคร์ ดีไวซ์ ที่เราอยากจะให้คนไทยได้ใช้ผลิตภัณฑ์ที่เปรียบเสมือน ‘สมบัติของครอบครัว’ ตามสโลแกนของชิไลน์ เพราะผลิตภัณฑ์เครื่องมือแพทย์ที่เราผลิต เพียงคุณซื้อไปแค่หนึ่งชุดก็สามารถใช้ได้ทั้งครอบครัวและจะช่วยแจ้งเตือนและแนะนำสุขภาพร่างกายของทุกคนในครอบครัว ซึ่งร่างกายเป็นสิ่งที่ล้ำค่าที่สุด เมื่อร่างกายของทุกคนทั้งครอบครัวได้รับการดูแลจากเรา ก็เสมือนมีโรงพยาบาลอยู่ในบ้านนั่นเอง”

“ชิไลน์ ได้ผลิตสินค้าเพื่อดูแลสุขภาพสำหรับทุกคนในครอบครัว มีอุปกรณ์การแพทย์เพียงชุดเดียวก็สามารถใช้ได้กับคนทุกคนในครอบครัว โดยในหนึ่งชุดประกอบด้วย เครื่องวัดความดันในเลือด เครื่องตรวจระดับน้ำตาล ตรวจยูริค ตรวจคลอเรสเตอรอล ตรวจวัดคลื่นหัวใจ ตรวจวัดออกซิเจนในเลือด และสุดท้ายจะเป็นตัวเทอมอร์มิเตอร์สำหรับวัดอุณหภูมิในร่างกาย ซึ่งอุปกรณ์เหล่านี้จะช่วยให้สามารถติดตามสภาพร่างกายของเราได้ทุกวัน ทำให้เราเห็นว่าร่างกายเราดีขึ้นหรือแย่ลงอย่างไรบ้าง

สำหรับอุปกรณ์ทางการแพทย์ที่อยู่ใน Home Solution นั้น มีนวัตกรรมที่พัฒนาได้อย่างโดดเด่น และอำนวยความสะดวกให้แก่ผู้ใช้ในทุกครอบครัว ถ้าพูดถึงด้านของ Medical Device นั้นมีมานานมากกว่าสหัสวรรษแล้ว และทุกปีมีนวัตกรรมและความก้าวหน้าเพิ่มขึ้น เพื่อให้ปลอดภัยและแม่นยำ

แต่เทคโนโลยีในปัจจุบันสินค้าส่วนใหญ่ยังขาดความครอบคลุมในเรื่องของการจัดเก็บฐานข้อมูล นั่นทำให้จุดเด่นของเราคือตัวแอปพลิเคชัน ซึ่งเปรียบเสมือน Big Data เมื่อทุกครั้งที่มีการใช้งานในการตรวจโดยใช้เครื่องมือเหล่านี้ ก็จะถูกจัดเก็บไว้ในคลาวด์ ไม่ว่าจะตรวจวัดกี่ครั้งข้อมูลจะยังแม่นยำ ไม่สูญหาย และลดความผิดพลาด ต่างจากในอดีตที่ต้องคอยบันทึกข้อมูลแบบ Manual ด้วยตนเอง ซึ่งเสี่ยงต่อการสูญหายและผิดพลาดของข้อมูล” นายฉัตรชัย กล่าวเสริม

ชิไลน์ ได้รับรางวัลTaiwan Excellent Award เป็นเครื่องการันตี และในปี 2021 ได้รับรางวัล German iF Design Award จาก Easy Doctor Multi-Physiological Measurement System เป็นรางวัลที่เน้นด้านดีไซน์ ซึ่งเป็นการดีไซน์ด้วยฟังก์ชันของตัวผลิตภัณฑ์ มีจุดเด่นในการเก็บข้อมูลได้ดีมาก ตัวอุปกรณ์ทั้งหมดจะไม่มีจอแสดงผล (Display) หากเราตรวจแล้วอยากทราบผลต้องใช้มือถือเชื่อมต่อกับอุปกรณ์เพื่อดูผลข้อมูลผ่านแอปพลิเคชันในมือถือเท่านั้น จึงทำให้ข้อมูลถูกบันทึกโดยอัตโนมัติและถูกเก็บไว้ใน Personal Record ที่มีความปลอดภัย แม่นยำ และถูกเก็บเป็นข้อมูลเฉพาะของบุคคลนั้นที่มีความเป็นส่วนตัว มีเพียงผู้ใช้งานเท่านั้นที่สามารถแชร์ข้อมูลได้ ทางบริษัทฯ ไม่สามารถเข้าไปเห็นข้อมูลของผู้ใช้งานได้ถ้าไม่ได้รับอนุญาตจากผู้ใช้งาน และในกรณีที่มือถือสูญหายเสี่ยงต่อการถูกโจรกรรมข้อมูล ผู้ใช้งานก็สามารถอายัดบัญชีผู้ใช้ได้ทันที

เหตุผลที่ ชิไลน์ เข้ามาทำธุรกิจในประเทศไทย เพื่อตอบรับความเติบโตของตลาด Health and Wellness ตามเทรนด์การใส่ใจด้านสุขภาพของผู้บริโภค นายฉัตรชัย ให้ข้อมูลเสริมว่า “เราเพิ่งเข้ามาทำผลิตภัณฑ์ด้านสุขภาพในไทยเป็นปีแรก ที่ตัดสินใจเลือกตลาดในเมืองไทย เพราะเป็นตลาดที่ค่อนข้างมีเอกลักษณ์เฉพาะตัว มีอุปกรณ์ทางการแพทย์ที่ดีเลิศเป็นจำนวนมาก ทั้งผลิตภัณฑ์ฮาร์ดแวร์หรือการให้บริการ เป็นตลาดที่พัฒนาทางการแพทย์ที่ได้มาตรฐาน อย่างการเปิดตัวแอปพลิเคชันก็ไม่มีข้อจำกัดใด ๆ ส่วนเรื่องข้อมูลของผู้ใช้งานก็ถูกจัดเก็บไว้ในคลาวด์ที่มีเซิฟเวอร์อยู่ในไทยอย่าง Alibaba Cloud และการตัดสินใจมาเข้าร่วมในงาน Taiwan Excellence Pop-up Store in Thailand ครั้งนี้ เพื่อได้ร่วมพบปะกับบุคลากรทางการแพทย์ และนำเสนอเครื่องมือที่ตอบโจทย์ผู้ใช้งาน เนื่องจาก ชิไลน์ มีระบบคอยให้คำแนะนำและช่วยเหลือตลอด 24 ชั่วโมง ซึ่งการบริการในส่วนนี้จะช่วยประหยัดเวลาและช่วยแบ่งเบาภาระของบุคลากรทางการแพทย์อีกด้วย

“ผลิตภัณฑ์ของ ชิไลน์ เป็นสิ่งที่ตอบโจทย์ให้กับผู้ใช้งานได้อย่างลงตัว เราดีไซน์ให้มีฟังก์ชันการใช้งานที่ง่ายมาก ๆ ในราคาไม่แพง และข้อมูลที่ใช้ส่วนใหญ่เป็นอัลกอริทึมทั้งหมด ผู้ใช้ผลิตภัณฑ์ของเราส่วนใหญ่เป็นกลุ่มคนผู้รักและดูแลสุขภาพ ซึ่งเราอยากขยายไปให้ถึงคนทุกกลุ่มเพื่อเตรียมพร้อมดูแลสุขภาพก่อนเจ็บป่วย ไม่ว่าจะเป็นวัยรุ่น ผู้ใหญ่ ผู้สูงอายุ เสมือนว่าดูแลกันและกันภายในครอบครัวไปด้วยนั่นเอง ซึ่งสิ่งนี้ถือเป็นเป้าหมายของผลิตภัณฑ์ของเราต่อไป

นอกจากนี้ยังมีเครื่องมือ HRV เป็นเครื่องตรวจหัวใจ ใช้ตรวจคลื่นหัวใจ วิเคราะห์ว่าคุณมีความเครียด พักผ่อนเพียงพอรึเปล่า หรือมีโรคแทรกซ้อนหรือไม่ ซึ่งเครื่องมือตัวนี้จะวิเคราะห์ข้อมูลออกมาเพื่อประเมินความเสี่ยงของคุณ ที่สำคัญเครื่องมือตัวนี้ใช้งานง่าย สามารถมองเห็นผลวิเคราะห์ภาพรวมจากการตรวจได้ หากมีการเจ็บป่วยก็สามารถใช้ข้อมูลนี้ส่งให้แพทย์เพื่อทำการรักษาต่อได้ทันที” นายฉัตรชัย กล่าวสรุป

ทางบริษัท ชิไลน์ ได้มอบผลิตภัณฑ์เพื่อสุขภาพจากไต้หวันที่มุ่งเน้นคุณภาพและง่ายต่อการใช้งาน ไม่ว่าจะเป็นสินค้าประเภทใด หากถูกนำเข้าและผลิตจากไต้หวัน หรือมีเครื่องหมาย Made in Taiwan ขอรับรองได้เลยครับว่าคุณภาพดีมาก ซึ่งตลอดระยะเวลา 10 ปีที่ผ่านมา ผู้ผลิตสินค้าจากไต้หวันมีการลงทุนเยอะในเรื่องของการวิจัยและพัฒนาทางเทคโนโลยีเพื่อให้สินค้ามีคุณภาพ แม้อาจมีราคาที่ค่อนข้างสูงกว่าเดิมเล็กน้อย แต่มั่นใจได้ว่าเป็นสินค้าที่มีคุณภาพอย่างแน่นอน

“ผมก็ขอฝากสินค้าจากบริษัท Inventec และบริษัท ชิไลน์ ไว้ด้วยครับ รับรองคุณภาพดีเยี่ยมและหวังว่าคนไทยทุกคนจะหันมาใส่ใจดูแลสุขภาพกันมากขึ้น และรู้จักบริษัท ชิไลน์ มากขึ้น เพราะสินค้าคุณภาพจากบริษัทลูกอย่าง ชิไลน์ ภายใต้การดูแลของบริษัทแม่อย่าง Inventec รับรองได้เลยว่าเป็นสินค้าที่มีคุณภาพดีมาก ในราคาที่จับต้องได้ สามารถวางใจและเชื่อใจในความแม่นยำและปลอดภัยได้อย่างแน่นอน หากสนใจสามารถสอบถามข้อมูลเพิ่มเติมติดต่อทาง Line @thaiwayproducts” นายฉัตรชัย กล่าวทิ้งท้าย

Page 1 of 2
X

Right Click

No right click