December 15, 2025
×

Warning

JUser: :_load: Unable to load user with ID: 10974

ทีเอ็มบี หรือธนาคารทหารไทย จำกัด (มหาชน) มุ่งตอกย้ำลูกค้าทีเอ็มบีต้องได้มากกว่า (Get MORE with TMB) นำเสนอบริการเพื่อการจัดการงานบุคคลที่ชาญฉลาดสำหรับกลุ่มลูกค้าธุรกิจ บริการ ‘TMB Payroll Plus’ ชูจุดเด่น All-in-One Digital Employee Engagement Solution การบริหารจัดการสวัสดิการพนักงานด้วยระบบอินเทอร์เน็ตแบงกิ้ง ที่มากกว่าเรื่องการจ่ายเงินเดือน เอื้อประโยชน์นายจ้างหรือเจ้าของธุรกิจสร้างความผูกพันกับพนักงาน ส่งมอบสวัสดิการสุขภาพ พร้อมคุ้มครองชีวิต หรือประกันกลุ่มราคาสุดพิเศษ ตัดความกังวลที่ต้องเตรียมเงินก้อนโตไว้จ่าย ด้วยข้อเสนอชำระค่าเบี้ยประกันเป็นรายเดือนในราคาเบาๆ ซึ่งเป็นรูปแบบบริการใหม่ที่จะช่วยอำนวยความสะดวก เพิ่มประสิทธิภาพการบริหารธุรกิจ และตอบโจทย์ทุกความต้องการของลูกค้าธุรกิจ

นายรัชกร ชยาภิรัต หัวหน้าเจ้าหน้าที่บริหารนวัตกรรมทางดิจิทัล (ลูกค้าธุรกิจ) ทีเอ็มบี เปิดเผยว่า การที่บริษัทมี Employee Engagement ที่ดี จะลดอัตราการลาออกของพนักงานได้ถึง 32%  ดังนั้นบริษัทจึงจำเป็นต้องมีเครื่องมือที่มีประสิทธิภาพในการบริหารจัดการงานบุคคลไม่ว่าจะเรื่องการจ่ายเงินเดือน หรือดูแลด้านสวัสดิการต่างๆ แก่พนักงาน เพื่อให้เขามีความสุขในการทำงานและสร้างผลกำไรให้กับบริษัท ยิ่งไปกว่านั้นเครื่องมือเหล่านี้ต้องมาช่วยลดความยุ่งยาก ค่าใช้จ่ายและงาน Operation ที่เกิดจากการจ่ายค่าจ้างหรือเงินเดือนแบบเงินสด ซึ่งทางเลือกบริหารจัดการงานบุคคล TMB Payroll Plus จะเป็นเครื่องมือสำคัญที่จะช่วยให้ธุรกิจส่งมอบสิ่งที่ตรงกับความต้องการของพนักงานอย่างแท้จริง 

"นอกจากจะนำเทคโนโลยีดิจิทัลมาใช้กับการจ่ายเงินเดือน และช่วยบริหารจัดการงานบุคคลด้วยฟีเจอร์ต่างๆ เพื่ออำนวยความสะดวกลูกค้าธุรกิจของเราแล้ว ทีเอ็มบียังมองถึงความต้องการของคนในองค์กรของลูกค้า เพราะหลังจากสำรวจข้อมูลพบว่าสวัสดิการที่คนทำงานต้องการนอกเหนือจากเรื่องรายได้ และสวัสดิการพื้นฐานตามกฎหมาย ก็คือสวัสดิการด้านสุขภาพ หรือการประกันสุขภาพ ค่ารักษาพยาบาลให้กับบุคคลในครอบครัวของพนักงาน หรือประกันชีวิต เราจึงนำเสนอ TMB Payroll Plus ใส่ใจในรายละเอียดเล็กๆ น้อยๆ แต่สำคัญ เพื่อช่วยแก้ปัญหา และตอบสนองความต้องการของทุกฝ่าย่ได้อย่างตรงจุด"

ทั้งนี้ บริการ TMB Payroll Plus สร้างขึ้นเพื่อตอบโจทย์ความต้องการของลูกค้าขนาดกลาง-ใหญ่ โดยมุ่งเน้นที่บริการ 3 ด้านเป็นสำคัญ ได้แก่

1.จัดการเงินเดือนพนักงานด้วยระบบอัตโนมัติ จัดการเงินเดือน เบี้ยเลี้ยง หรือค่าจ้างพนักงานโดยไม่จำกัดจำนวนด้วยระบบอินเทอร์เน็ตแบงก์กิ้ง (TMB Business CLICK) ได้ 24 ชั่วโมง พร้อมให้อิสระกับพนักงานในการเลือกรับเงินเดือนบัญชีธนาคารใดก็ได้ เพื่อลดความยุ่งยากในการเปลี่ยนบัญชีธนาคารเดิมของพนักงาน

2.สร้าง Employee Engagement ในราคาเบาๆ และไม่ต้องจ่ายเงินก้อน ซื้อประกันกลุ่มราคาสุดพิเศษให้พนักงาน เมื่อสมัครบริการจ่ายเงินเดือนกับทีเอ็มบีก็สามารถได้รับประกันชีวิต ฟรี และถ้าต้องการซื้อประกันเพิ่ม ก็ซื้อได้ในราคาประหยัดเริ่มต้นที่ 200-300 บาทต่อคนต่อเดือน พร้อมประกันกลุ่มราคาสุดพิเศษที่คุ้มครองครอบคลุมมากกว่า ทั้งค่ารักษาจากการเจ็บป่วยทั่วไป (OPD) การเจ็บป่วยนอนโรงพยาบาล (IPD) อุบัติเหตุไม่จำกัดจำนวนครั้ง รวมถึงคุ้มครองชีวิตให้แก่พนักงาน

3.นำเสนอระบบช่วยบริหารจัดการงานบุคคลแบบดิจิทัล HR Management Program ครบทุกฟีเจอร์ ครอบคลุมการใช้งานทั้งบริษัทและพนักงาน โดย TMB Payroll Plus จะช่วยอำนวยความสะดวกแก่ลูกค้าธุรกิจด้วยระบบจัดการข้อมูลพนักงาน ระบบการบริหารการทำงานเป็นกะ และคำนวนบัญชีเงินเดือน (Payroll) อัตโนมัติ เพิ่มช่องทางสื่อสารภายในธุรกิจ ส่วนฟีเจอร์สำหรับพนักงาน มีทั้งบันทึกเวลาเข้า-ออก และส่งลางานแบบเรียลไทม์ ตลอดจนดาวน์โหลดแบบฟอร์มภาษีอัตโนมัติพร้อมดูสลิปเงินเดือน ออนไลน์ ผ่านแอปพลิเคชันเป็นต้น

"สิ่งที่เรามุ่งมั่นและยึดถือมาตลอดคือ ลูกค้าทีเอ็มบีต้องได้มากกว่า  (Get MORE with TMB) เราจึงต้องมองหาทางเลือกที่ดีที่สุดเพื่อตอบสนองความต้องการของลูกค้าให้ได้มากที่สุดและครบรอบด้าน ซึ่ง TMB Payroll Plus คือคำตอบที่ทีเอ็มบีคัดสรรอย่างดีเพื่อนำเสนอสำหรับลูกค้าธุรกิจที่กำลังมองหาเครื่องมือช่วยจัดการงานบุคคลได้อย่างชาญฉลาด พร้อมทั้งเข้าถึงแรงจูงใจในการทำงานของพนักงานด้วยระบบสวัสดิการที่ตรงใจ เพื่อให้ทุกคนทำงานอย่างมีความสุข ไร้ความกังวล เพิ่มขีดความสามารถในการทำงาน และยังมีส่วนช่วยสนับสนุนให้กลุ่มธุรกิจของไทยเติบโตและแข็งแกร่งขึ้นอีกด้วย" นายรัชกร กล่าวทิ้งท้ายถึงเหตุผลที่ควรเลือก TMB Payroll Plus ไว้เป็นตัวเลือกที่น่าสนใจ

 

 

ลูกค้าที่สนใจสามารถสอบถามข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับ TMB Payroll Plus บริการเพื่อการจัดการงานบุคคลสำหรับกลุ่มลูกค้าธุรกิจ ได้ที่ Corporate Call Center เบอร์ 02-643-7000

บริษัท โทเทิ่ล แอ็คเซ็ส คอมมูนิเคชั่น จำกัด (มหาชน) หรือดีแทค และ บริษัท การีนา ออนไลน์ (ประเทศไทย) จำกัด ผู้ให้บริการเกมออนไลน์และแพลตฟอร์มการสื่อสารชั้นนำ ที่ให้ผู้ใช้งานสามารถเข้าถึงเกมออนไลน์ยอดนิยมทั้งบนมือถือและคอมพิวเตอร์  ร่วมกันเปิดตัวงานแข่งขัน Free Fire Thailand Championship 2019 Presented by dtac” ณ ลานแฟชั่นฮอล์ ชั้น 1 ศูนย์การค้าสยามพารากอน อย่างเป็นทางการเพื่อตอกย้ำกระแสความแรงของเกม  Garena Free Fire อีกทั้งยังเป็นการผลักดันนักกีฬา และวงการ E-Sportsของไทยให้ก้าวไกลสู่ระดับโลก พิเศษสุดสำหรับลูกค้าดีแทคทั้งระบบรายเดือนและเติมเงิน ซื้อแพ็กเสริมเน็ตที่กำหนด รับไอเทมสุดพิเศษในเกม และรับไอเทมสุดพิเศษอีกมากมาย เมื่อซื้อไอเทมในเกมผ่านระบบชำระเงินของดีแทค (Pay via dtac) ตามระยะเวลาที่กำหนด

ปัจจุบันอัตราการเติบโตของผู้เล่นเกมบนโทรศัพท์มือถือนั้นเพิ่มสูงขึ้นเป็นอย่างมาก ข้อมูลจากเว็บไซต์ Newzoo.com ระบุว่า ในปี 2561 ที่ผ่านมา ตลาดอุตสาหกรรมเกมทั่วโลกนั้นขยายตัวเป็นอย่างมาก ซึ่งส่วนสำคัญที่ช่วยให้ตลาดอุตสาหกรรมเกมนั้นเติบโตขึ้นอย่างเห็นได้ชัดคือกลุ่มเกมบนโทรศัพท์มือถือ เมื่อเปรียบเทียบการขยายตัวที่เกิดขึ้นในปี 2561 กับปี 2560 แล้ว เห็นได้ว่ามีการขยายตัวของเกมบนโทรศัพท์มือถือมากกว่า 50%  ทั้งนี้เป็นเพราะว่าการเล่นเกมผ่านอุปกรณ์โทรศัพท์มือถือนั้นเข้าถึงได้ง่าย สามารถเล่นได้ทุกที่ ทุกเวลา อีกทั้งยังไม่ได้ถูกจำกัดไว้ด้วยเพศ หรือช่วงอายุอีกต่อไป

นางสุกัณณี เลิศสุขวิบูลย์ ผู้อำนวยการ สายงานการตลาดระบบเติมเงิน บริษัท โทเทิ่ล แอ็คเซ็ส คอมมูนิเคชั่น จำกัด (มหาชน) หรือดีแทค กล่าวว่า “ดีแทคเห็นแนวโน้มกระแสความแรงของตลาดเกมบนโทรศัพท์มือถือ โดยเฉพาะในกลุ่มลูกค้าดีแทค ปัจจุบันมีฐานลูกค้าที่สนใจเกมมากกว่า 30% ฐานเกมเมอร์ผู้หญิงค่อนข้างเติบโตขึ้นในปีที่ผ่านมา แต่ฐานลูกค้าผู้ชายยังคงเยอะกว่า โดยกลุ่มช่วงอายุจะอยู่ในช่วงอายุต่ำกว่า 24 ปี และ 25 - 39 ปี มากกว่า 50% อาศัยอยู่ในบริเวณ กรุงเทพมหานคร  และข้อมูลที่น่าสนใจ คือค่าเฉลี่ยการใช้จ่ายเงินในลูกค้าเติมเงินเกมเมอร์จะสูงกว่าลูกค้าเติมเงินปกติถึง 1 เท่าตัว 

เกมออนไลน์ถูกจัดให้เป็นกีฬา E-Sports กีฬาประเภทนี้สามารถส่งเสริมให้คนพัฒนาแนวคิด วิเคราะห์สถานการณ์ เป็นการเพิ่มทักษะและการแก้ไขปัญหา ดีแทคมุ่งนำเสนอบริการที่เป็นมากกว่าผู้ให้บริการโทรศัพท์มือถือ และต้องการที่จะมีส่วนร่วมในการสนับสนุนความก้าวหน้าของวงการ E-Sports ไทย เพราะเราเชื่อว่าเกมเมอร์ทุกคน ต่างล้วนมีความสามารถที่ซ่อนอยู่ภายในตัว และพัฒนาความสามารถนั้นเพื่อก้าวเข้าสู่สายอาชีพนักกีฬา E-Sports อย่างเต็มตัว ด้วยเหตุผลนี้เองที่ทำให้เรามีความยินดีเป็นอย่างยิ่งที่ได้ผนึกกำลังกับบริษัท การีนา ออนไลน์ ซึ่งเป็นผู้ให้บริการเกมออนไลน์ยักษ์ใหญ่ในประเทศไทย ในการที่จะช่วยกันผลักดันให้นักกีฬา และวงการ E-Sports ของไทย สามารถก้าวไกลไปสู่ระดับโลก”

“ในความร่วมมือกับการีนาครั้งนี้ ดีแทคได้ก้าวเข้ามาเป็นผู้สนับสนุนกีฬา E-Sports อย่างเต็มตัวเป็นครั้งแรก โดยเป็นผู้สนับสนุนหลักตลอดรายการ “Free Fire Thailand Championship 2019 Presented by dtac” เริ่มตั้งแต่การเปิดตัวเต็มรูปแบบอย่างยิ่งใหญ่ในวันที่ 6 และ 7 เมษายน 2562 ที่กำลังจะมาถึงนี้ รวมทั้งงานแข่งขัน “Free Fire Proleague 2019 Presented by dtac” เพราะเราอยากที่จะเป็นส่วนหนึ่งที่ช่วยสร้างพลังของเกมเมอร์ชาวไทยให้เป็นที่ประจักษ์ในระดับโลก” นางสาว สุกัณณี กล่าว

นายศรุต วานิชพันธุ์, Director of Sea (ประเทศไทย) บริษัทผู้ให้บริการอินเตอร์เน็ตแพลตฟอร์มชั้นนำ อาทิ การีนา (Garena) กล่าวว่า “ในฐานะผู้นำด้านนวัตกรรมเกม การีนามุ่งมั่นในการพัฒนานวัตกรรมเพื่อมอบประสบการณ์เหนือระดับให้กับเหล่าเกมเมอร์อยู่เสมอ เช่น การก้าวเข้าสู่การเป็นผู้พัฒนาเกม จากเกม Garena Free Fire ซึ่งเป็นเกมแรกที่การีนาพัฒนาและเปิดให้บริการเอง สำหรับความร่วมมือระหว่าง การีนา และ ดีแทค บนเกม Garena Free Fire นี้ ก็เป็นการตอบโจทย์และเติมเต็มความต้องการของผู้บริโภคยุคปัจจุบัน ซึ่งมองหานวัตกรรมและประสบการณ์การเล่นเกมใหม่ๆอยู่ตลอดเวลา ความร่วมมืออย่างเต็มรูปแบบในครั้งนี้รวมถึงความพิเศษบนตัวเกม Garena Free Fire เช่น ไอเท็มต่างๆ เอ็กซ์คลูซีฟเฉพาะลูกค้าดีแทค และ ความยิ่งใหญ่บนการแข่งขันอีสปอร์ต ซึ่งดีแทคได้เข้ามาสนับสนุนรายการแข่งขันทั้งระดับประเทศ อย่าง ‘Free Fire Thailand Championship 2019 Presented by dtac’’ นอกจากนี้ คอเกมชาวไทยยังสามารถติดตามอีกหนึ่งสุดยอดการแข่งขัน จาก การีนา และ ดีแทค ในรายการ  ‘Free Fire Proleague 2019 Presented by dtac’ ภายในกลางปี 2562 นี้ ได้อีกด้วย”

‘Garena Free Fire’  เป็นเกมแนว ‘Battle Royale’ บนมือถือเกมแรกที่พัฒนาและเปิดให้บริการเองโดยการีนา โดดเด่นด้วยดีไซน์ ควบคุมง่าย จบไว รองรับกับการเล่นบนสมาร์ทโฟนทุกรุ่น  มาพร้อมความตื่นเต้นในการเอาตัวรอดของเกมแนว ‘Battle Royale’ โดยภายในเกม ผู้เล่นจะต้องรับบทเป็นหนึ่งใน 50 ตัวละคร ที่เดินทางมายังเกาะร้าง และต้องทำทุกวิถีทางเพื่อเอาตัวรอด ผู้ที่เหลือรอดเป็นคนสุดท้ายเท่านั้นจึงจะเป็นผู้ชนะ  หลังจากได้เปิดให้บริการมาเป็น ระยะเวลา 1 ปี เกม ‘Garena Free Fire’  กลายเป็นเกม ‘Battle Royale’ มือถือ ที่ได้รับการตอบรับและความนิยมจากผู้เล่นทั่วโลกและชาวไทยอย่างดีเยี่ยม มียอดผู้ลงทะเบียนบนเกม ‘Free Fire’ สูงถึง 350 ล้านคนจากทั่วโลก มียอดผู้เล่นสูงสุดต่อวันถึง 40 ล้านคน ติดอันดับ ‘Top 5’ สำหรับแอพพลิเคชั่นยอดนิยม และได้รับการถูกเสนอชื่อเป็น ‘Game of the year’ 2018 บน ‘Google Play’ รวมถึง‘Top Free Games of the year 2018’ บน ‘App Store’  และกลายเป็นเกมที่ได้รับยอดดาวน์โหลดสูงสุด บน App Store อีกด้วย  เกม ‘Garena Free Fire’ พร้อมเติบโตต่อเนื่องไปพร้อมกับเกมเมอร์ทั่วโลกและเกมเมอร์ชาวไทยอย่างไม่หยุดยั้ง

ความร่วมมือระหว่างดีแทค และ การีนา ในครั้งนี้ได้มอบสิทธิพิเศษให้แก่ลูกค้าดีแทคทั้งระบบรายเดือนและเติมเงินทุกคนที่เล่นเกม Garena Free Fire โดยมีรายละเอียดดังต่อไปนี้

  1. ลูกค้าดีแทคทั้งแพ็กเกจเติมเงินและรายเดือน เมื่อสมัครแพ็กเกจเสริมตามที่กำหนด รับทันที!ไอเทมสุดพิเศษในเกม
  2. ลูกค้าดีแทคที่ซื้อไอเทมในเกมผ่านระบบชำระเงินของดีแทค (Pay via dtac)รับทันที! ไอเทมสุดพิเศษในเกม

ลูกค้าดีแทคสามารถใช้บริการ Pay via dtac ให้ลูกค้าซื้อแอป เติมเกม ซื้อสติกเกอร์ไลน์ และสมัครบริการต่างๆ ผ่านเบอร์ดีแทคได้ง่ายๆ สะดวก ปลอดภัยไร้กังวล ไม่ต้องใช้บัตรเครดิต ใช้ได้ทั้งลูกค้าเติมเงินและรายเดือน สำหรับลูกค้าเติมเงิน ระบบจะตัดเงินจากกระเป๋าเงินในเบอร์ดีแทค ส่วนลูกค้ารายเดือน ยอดการซื้อจะถูกรวมไปกับค่าบริการรอบบิลนั้นๆ

สามารถอ่านรายละเอียดเพิ่มเติมสำหรับโปรโมชั่นสำหรับเกม Garena Free Fire ได้ที่ http://dtac.co.th/s/ff

มาร่วมสนุกไปกับสุดยอดเกมมือถือสไตล์ Battle Royale ที่ต้องทำทุกวิถีทาง ให้อยู่รอด...เป็นคนสุดท้าย  Garena Free Fire สามารถดาวน์โหลดได้แล้วตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไป ทั้งบนระบบปฏิบัติการโทรศัพท์มือถือ iOS และ Android

ติดตามรายละเอียดและกิจกรรมต่างๆ จากเกม Garena Free Fire ได้ที่

Website:http://ff.garena.in.th/
Facebook: https://web.facebook.com/freefireth/

จากความต้องการใช้ทรัพยากรที่เพิ่มมากขึ้น ทำให้หลายภาคส่วนหันมาให้ความสนใจกับการใช้ประโยชน์จากทรัพยากรให้คุ้มค่ามากที่สุด ไม่ว่าจะเป็นภาครัฐที่ได้กำหนดยุทธศาสตร์ 20 ปี มุ่งการพัฒนาที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม ขณะที่ภาคประชาชนเริ่มตื่นตัวและปรับเปลี่ยนพฤติกรรมอย่างจริงจัง ด้านองค์กรเอกชนก็ต่างปรับตัว เพื่อสร้างการเติบโตได้อย่างยั่งยืนในระยะยาว ซึ่งความสำเร็จจะเกิดขึ้นได้จริง หากทุกภาคส่วนร่วมมือกันอย่างจริงจัง เพื่อช่วยผลักดันประเทศไทยและอาเซียนให้บรรลุเป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืนของโลก (Sustainable Development Goals : SDGs)

นายศักดิ์ชัย ปฏิภาณปรีชาวุฒิ ประธานคณะกรรมการเศรษฐกิจหมุนเวียน เอสซีจี กล่าวว่า “เอสซีจีมี Passion และให้ความสำคัญกับการพัฒนาอย่างยั่งยืน ด้วยการนำแนวคิดเศรษฐกิจหมุนเวียนหรือการใช้ทรัพยากรให้เกิดประโยชน์สูงสุดมาปรับใช้ภายในองค์กรอย่างต่อเนื่อง โดยมีการแต่งตั้งคณะกรรมการเศรษฐกิจหมุนเวียน (Circular Economy Committee) เพื่อกำหนดกลยุทธ์ และนโยบาย ตลอดจนติดตามเรื่อง Circular Economy ในระดับสากลแล้วนำมาปรับใช้ในการสร้างความร่วมมือระดับท้องถิ่น และสร้างเครือข่ายระดับประเทศ รวมถึงพัฒนาสินค้าและบริการตามแนวทาง Circular Economy ด้วยการใช้นวัตกรรม และส่งเสริมให้พนักงานและคู่ธุรกิจนำไปปรับใช้ ภายใต้แนวปฏิบัติ Circular Way โดยเริ่มส่งเสริมให้พนักงานปรับเปลี่ยนพฤติกรรมการใช้ชีวิตประจำวันที่คำนึงถึงสิ่งแวดล้อมมากขึ้น ด้วยการแยกขยะลงถังขยะ 6 ประเภทที่วางไว้ตามจุดต่างๆ ในเอสซีจี โดยมีเป้าหมายเพื่อการจัดการขยะ (Waste Management) ให้สามารถหมุนเวียนกลับมาใช้ประโยชน์ได้ใหม่ และก้าวสู่การเป็น Zero Landfill โดยขยะที่ถูกแยกประเภทแล้ว จะถูกส่งไปเข้ากระบวนการจัดการ และขยะบางประเภทที่สามารถนำกลับมาสร้างมูลค่าหรือสร้างประโยชน์ได้อีก เช่น กระดาษขาว-ดำ ก็จะถูกนำไปเป็นวัตถุดิบผลิตกระดาษไอเดียกรีน กระดาษน้ำตาล หรือนำไปผลิตเป็นกระดาษบรรจุภัณฑ์สำหรับทำลอนลูกฟูก อีกทั้งในอนาคตจะมีการแปรรูปขยะประเภทเศษอาหารเพื่อนำกลับมาใช้ในการปรับปรุงดิน รวมทั้งส่งเสริมนวัตกรรม “Green Meeting” หรือการจัดประชุมที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมในทุกโอกาสของเอสซีจี”

อย่างไรก็ตาม เอสซีจีเพียงองค์กรเดียว คงไม่สามารถสร้างให้เกิดผลสำเร็จในวงกว้างได้ เอสซีจีจึงให้ความสำคัญกับการสร้างความร่วมมือกับทุกภาคส่วน เพื่อร่วมกันผลักดันและสนับสนุนให้ประเทศไทยและประเทศในอาเซียน บรรลุเป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืนของโลกได้ (Sustainable Development Goals : SDGs)

“นับเป็นโอกาสดีที่ประเทศไทยได้เป็นประธานอาเซียนและเป็นเจ้าภาพการจัดประชุมผู้นำและรัฐมนตรีประเทศอาเซียน ตลอดทั้งปี 2562 เอสซีจีจึงได้มีส่วนร่วมแบ่งปันแนวคิดนวัตกรรม “Green Meeting” ใน 5 หมวด สำหรับการจัดประชุมดังกล่าวร่วมกับกระทรวงการต่างประเทศ ได้แก่ การจัดเตรียมสถานที่ที่เดินทางได้สะดวกด้วยระบบการขนส่งมวลชนสาธารณะ (Green Venue) การลดใช้เอกสารในทุกขั้นตอน (Green Document) การออกแบบตกแต่งสถานที่ เวที นิทรรศการ ด้วยวัสดุที่สามารถใช้ซ้ำ นำกลับไปใช้ใหม่ รวมถึงการประหยัดพลังงาน (Green Arrangement) การจัดเตรียมอาหารและเครื่องดื่มให้เพียงพอ ไม่เหลือทิ้ง เลือกอาหารพื้นถิ่น ไม่เกิดขยะจากบรรจุภัณฑ์ (Green Catering) และการคำนวณค่าคาร์บอนที่เกิดขึ้นจากการจัดงาน แล้วชดเชยด้วยการปลูกต้นไม้ทนแทน (Climate Protection) เพื่อเป็นส่วนหนึ่งในการช่วยรณรงค์สร้างจิตสํานึก และชวนผู้ร่วมงานร่วมปรับเปลี่ยนพฤติกรรมการใช้ชีวิตให้เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมด้วย นายศักดิ์ชัย กล่าว

ไม่เพียงคำนึงการพัฒนาอย่างยั่งยืนเท่านั้น แต่เอสซีจียังมุ่งคิดค้น และนำเทคโนโลยีมาพัฒนานวัตกรรมเพื่อผลิตสินค้าและบริการที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม เพื่อยกระดับตลอดกระบวนการผลิตให้ใช้ทรัพยากรอย่างคุ้มค่าที่สุด ตามแนวคิดเศรษฐกิจหมุนเวียน (Circular Economy)

นายศักดิ์ชัย กล่าวเพิ่มเติมว่า นอกจากแนวคิดนวัตกรรม “Green Meeting” แล้ว เอสซีจียังมีส่วนร่วมนำเสนอผลิตภัณฑ์จากกระดาษรีไซเคิลในการจัดประชุมผู้นำอาเซียน เช่น นิทรรศการจากกระดาษรีไซเคิล ฉากหลังสำหรับถ่ายภาพ เก้าอี้กระดาษ แท่นบรรยาย กล่องกระดาษสำหรับรับคืนป้ายชื่อคล้องคอ สมุดโน้ตจากกระดาษรีไซเคิล 100% บรรจุภัณฑ์อาหาร Fest หลอดกระดาษ ขวดน้ำพับได้ Fill Fest และถังขยะแยกประเภท รวมถึงกระเป๋าถุงปูน และตะกร้าสานจากเส้นเทปกระดาษที่นำวัสดุเหลือใช้จากกระบวนการผลิตของเอสซีจีมาพัฒนาเป็นผลิตภัณฑ์ที่มีมูลค่าเพิ่ม ซึ่งผลิตภัณฑ์เหล่านี้ล้วนมาจากความมุ่งมั่นของเอสซีจีที่ต้องการใช้ทรัพยากรใหม่ให้น้อยที่สุด และใช้ทรัพยากรที่มีอยู่ให้เกิดประโยชน์และคุ้มค่าที่สุด โดยใช้นวัตกรรมการผลิตให้สามารถนำกระดาษที่ใช้แล้วกลับมาใช้ซ้ำ และเพิ่มสัดส่วนการใช้วัตถุดิบรีไซเคิลที่สูงขึ้น แต่ยังคงคุณภาพของกระดาษให้แข็งแรง เพื่อให้สามารถนำไปผลิตเป็นสินค้ารูปแบบต่างๆ ได้ อีกทั้งยังเป็นการเชิญชวนให้ผู้ร่วมงานร่วมปรับเปลี่ยนการใช้ชีวิตให้เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมด้วย

เอสซีจี และกระทรวงการต่างประเทศ ยังมีแนวคิดร่วมกันที่จะประยุกต์ใช้นวัตกรรม Green Meeting และผลิตภัณฑ์จากกระดาษรีไซเคิล สำหรับการจัดประชุมตลอดทั้งปี 2562 และเมื่อสิ้นสุดการใช้งาน อุปกรณ์จากกระดาษรีไซเคิลบางส่วนจะถูกมอบให้หน่วยงานที่มีความต้องการใช้ เพื่อสร้างประโยชน์ได้อย่างคุ้มค่าที่สุด ส่วนที่เหลือก็จะถูกนำกลับไปเป็นวัตถุดิบในการผลิตกระดาษรีไซเคิลได้อีกครั้ง เพื่อให้เกิดขยะจากการประชุมน้อยที่สุด ตามแนวคิดเศรษฐกิจหมุนเวียน (Circular Economy) อีกทั้งยังได้ขยายแนวคิดดังกล่าวไปสู่กระทรวงอื่นๆ เพื่อให้เกิดการปฏิบัติที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมอย่างเป็นรูปธรรมในวงกว้าง

ก้าวต่อไป เอสซีจีจะยังคงมุ่งสร้างสรรค์นวัตกรรมที่ตอบสนองความต้องการของผู้มีส่วนได้เสียให้ดีขึ้นอย่างต่อเนื่อง ภายใต้แนวปฏิบัติ Circular Way ด้วยการพัฒนาและต่อยอดความยั่งยืนโดยใช้ประโยชน์จากทรัพยากรให้เกิดประโยชน์สูงสุดตามแนวคิดเศรษฐกิจหมุนเวียน (Circular Economy) ผสานกับการนำเทคโนโลยีดิจิทัลมาปรับใช้ภายในองค์กร ซึ่งจะช่วยยกระดับกระบวนการดำเนินงานตลอดห่วงโซ่คุณค่า เพื่อเป็นรากฐานสำคัญในการสร้างความเข้มแข็งให้ธุรกิจเติบโต ควบคู่กับการสร้างความยั่งยืนให้แก่ผู้มีส่วนเกี่ยวข้องทุกฝ่าย ตลอดจนเดินหน้าสร้างความร่วมมือ เพื่อขับเคลื่อนอาเซียนให้บรรลุเป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืนของโลก (Sustainable Development Goals : SDGs) และพร้อมที่จะเป็นหนึ่งในองค์กรต้นแบบที่ช่วยถ่ายทอดและเผยแพร่องค์ความรู้ด้านการพัฒนาอย่างยั่งยืนให้แก่ผู้ที่สนใจ ด้วยเชื่อมั่นว่าจะมีส่วนช่วยยกระดับอุตสาหกรรมของประเทศไทยและอาเซียนให้เจริญก้าวหน้าตามแนวคิด “ร่วมมือ ร่วมใจ ก้าวไกล ยั่งยืน” ต่อไป

บริษัท เจริญโภคภัณฑ์อาหาร จำกัด (มหาชน) หรือ ซีพีเอฟ และ บริษัท ซี.พี.เวียดนาม คอร์ปอเรชั่น หรือ ซี.พี. เวียดนามคว้า 7 รางวัลระดับโลก Total Productive Maintenance : TPM 2018 สะท้อนภาพลักษณ์องค์กรที่ประสบความสำเร็จด้านการควบคุมและจัดการเพื่อเพิ่มผลผลิตองค์กร และมีระบบงานตามแนวคิด “การป้องกัน” ส่งผลให้เกิดการเพิ่มประสิทธิภาพการผลิตและลดต้นทุน พร้อมเอื้อประโยชน์ต่อสังคม สิ่งแวดล้อมและชุมชน

 

นายเรวัติ หทัยสัตยพงศ์ ประธานผู้บริหารฝ่ายปฏิบัติการ ธุรกิจอาหารสัตว์บก ซีพีเอฟ เปิดเผยว่า โรงงานผลิตอาหารสัตว์บกของซีพีเอฟ 4 แห่ง ได้แก่ โรงงานบางนา กม.21, โรงงานพิษณุโลก, โรงงานหนองแค และโรงงานปักธงชัย ผ่านการประเมินรางวัล TPM จากผู้เชี่ยวชาญ TPM Assessor ของสถาบัน JIPM (Japan Institute of Plant Maintenance) โดยวิธีการประเมิน 5 ด้าน คือ 1.ด้านการบริหารจัดการโรงงาน ที่มีการถ่ายทอดนโยบายไปสู่การปฏิบัติ (Policy Deployment) เริ่มต้นจากวิสัยทัศน์ไปจนถึงการกำหนดตัวชี้วัดและเป้าหมายการดำเนินงาน 2.ด้านระบบ ประเมินความน่าเชื่อถือ ความสมเหตุสมผลของระบบที่ถูกสร้างขึ้น ที่สามารถนำมาปฏิบัติและสร้างผลลัพธ์ที่ดีได้จริงเป็นไปตามแนวทางของ TPM 3.ด้านบุคลากร ประเมินทักษะความสามารถของพนักงานทุกระดับในการวิเคราะห์ ปรับปรุง (Kaizen) เพื่อกำจัดความสูญเสียผ่านโครงการต่างๆ โดยเฉพาะผู้ควบคุมเครื่องจักร (Operator) 4.ด้านผลลัพธ์ ประเมินผลการดำเนินงานที่สอดคล้องกับระบบและทักษะความสามารถของบุคลากร ทั้งความสมเหตุสมผลของตัวชี้วัด ความท้าทายของเป้าหมายและผลสำเร็จ 5.ด้านการมีส่วนร่วม ประเมินความมีส่วนร่วมในการแก้ไขปัญหา เพื่อกำจัดความสูญเสียของพนักงานทุกคน ทุกระดับ ทุกหน่วยงาน

 

“กระบวนการประเมินทั้ง 5 ด้าน นอกจากจะส่งผลให้โรงงานมีประสิทธิภาพการผลิตที่ดี ลดการสูญเสีย และเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันแล้ว ยังส่งผลถึงการแสดงความรับผิดชอบต่อสังคม สิ่งแวดล้อมและชุมชน อาทิ การลดการสูญเสียในกระบวนการผลิต ส่งผลให้ลดการเกิดมลภาวะภายในชุมชน พร้อมลดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม” นายเรวัติ กล่าว

 

ขณะเดียวกัน โรงงานอาหารสำเร็จรูปสระบุรี ยังสามารถคว้ารางวัล Award for TPM Excellence, Category A ได้เป็นครั้งแรกอีกด้วย ทั้งนี้นอกจากประเทศไทยแล้วซีพีเอฟยังขับเคลื่อนให้สถานประกอบการของบริษัทในต่างประเทศมีการพัฒนาเพื่อเพิ่มขีดความสามารถทางการแข่งขันอย่างต่อเนื่อง

 

นายชำนาญ หวังอัครางกูร รองกรรมการผู้จัดการบริหาร ธุรกิจอาหารสัตว์และพันธุ์สัตว์ ซี.พี.เวียดนาม เปิดเผยว่า โรงงานผลิตอาหารสัตว์บกของบริษัท 2 แห่ง ได้แก่ โรงงานด่องนาย และโรงงานบิ่นเยือง ผ่านการประเมินรางวัล Award for TPM Excellence, Category A นับเป็นสถานประกอบการ 2 แห่งแรกของ ซี.พี.เวียดนาม ที่ได้รับรางวัลดังกล่าว

“การมีส่วนร่วมในการดำเนินกิจกรรมตามแนวทางและเป้าหมายของ TPM ตั้งแต่ผู้บริหารระดับสูง จนถึงพนักงานหน้างานทุกระดับ และทุกหน่วยงานอย่างต่อเนื่อง สะท้อนให้เห็นว่าพนักงานทุกระดับของบริษัทมีการพัฒนาอย่างไม่หยุดยั้ง เพื่อให้บรรลุเป้าหมายเดียวกันในเรื่อง 3 Zero คือ Zero Accident, Zero Defect และ Zero Breakdown ทำให้การทำงานมีประสิทธิภาพสูง มีความปลอดภัย และสร้างความพึงพอใจให้กับลูกค้า” นายชำนาญ กล่าว

 

ทั้งนี้ ในปี 2015-2016 ธุรกิจอาหารสัตว์บกซีพีเอฟ สามารถคว้ารางวัล Award for TPM Excellence, Category A รวม 11 รางวัล สำหรับรางวัล TPM 2018 สถาบัน JIPM จะจัดพิธีมอบรางวัลในวันที่ 21 มีนาคม 2562 ณ เกียวโต อินเตอร์เนชั่นแนล คอนเฟอร์เรนท์ เซ็นเตอร์ ประเทศญี่ปุ่น

(ในภาพจากซ้ายไปขวา : 1.นางสาวนริสสา ลิมปนาทร ผู้อำนวยการฝ่ายการตลาด บริษัท ซิลิงโก้ ประเทศไทย จำกัด 2.นายทรงพล ชัญมาตรกิจ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บมจ. ทีวี ไดเร็ค 3.นางพิทยา วรปัญญาสกุล รองประธานเจ้าหน้าที่บริหาร – ธุรกิจบัตรเครดิต เคทีซี 4.นางสาวธนิดา ซุยวัฒนา ประธานเจ้าหน้าที่บริหารฝ่ายการตลาด บริษัท ลาซาด้า ประเทศไทย จำกัด 5.นางจุรีรัตน์ ก้องเกียรติวงศ์ หัวหน้าสายงานดิจิทัล แผนกเครื่องสำอางชั้นสูง บริษัท ลอรีอัล (ประเทศไทย) จำกัด 6.นางสาวกีรติ โรจนกีรติกานต์ ผู้จัดการฝ่ายการตลาด บริษัท พอลพ่า บาย ดามาคัน จำกัด)

 

“เคทีซี” หรือ บริษัท บัตรกรุงไทย จำกัด (มหาชน) ผู้นำธุรกิจสินเชื่อเพื่อผู้บริโภค ร่วมกับ 5 พันธมิตรธุรกิจออนไลน์ “ลาซาด้า” “ทีวี ไดเร็ค” “ซิลิงโก้” “ลอรีอัล ไทยแลนด์” และ “พอลพ่า บาย ดามาคัน” จัดงานเสวนาปันความรู้เพื่อร่วมสร้างสังคมไทยที่ยั่งยืนKTC FIT Talks” ครั้งที่ 4 ซึ่งเป็นงานเสวนาเพื่อร่วมแบ่งปันประสบการณ์ ความรู้และเสริมสร้างความเข้าใจในเรื่องต่างๆ กับสังคมสาธารณะ โดยหัวข้อเสวนาจะปรับเปลี่ยนไปตามเทรนด์และกระแสความสนใจของสังคมในช่วงเวลานั้นๆ ภายใต้กรอบหัวข้อที่เกี่ยวกับการเงิน (Finance) นวัตกรรม (Innovation) และเทคโนโลยี (Technology)

โดยในครั้งนี้จัดขึ้นภายใต้หัวข้อ “เจาะลึกธุรกิจอีคอมเมิร์ซและช้อปปิ้งออนไลน์ ทางออกเศรษฐกิจไทยยุคดิจิทัล” เผยมุมมองและกลยุทธ์การปรับตัวของอีมาร์เก็ตเพลสและธุรกิจช้อปปิ้งออนไลน์ท่ามกลางกระแสดิจิทัล ดิสรัปชั่นที่พฤติกรรมผู้บริโภคเปลี่ยนแปลง เพื่อร่วมขับเคลื่อนธุรกิจและเศรษฐกิจไทยให้เติบโตอย่างยั่งยืน เทรนด์ธุรกิจออนไลน์และทีวี ช้อปปิ้ง ในปี 2562 รวมทั้งโอกาสและความท้าทายของสตาร์ทอัพในการเข้ามาทำธุรกิจขายสินค้าออนไลน์ ชี้ช้อปออนไลน์ไม่น่ากลัวอย่างที่คิด พร้อมแนะนำการใช้เครื่องมือทางการเงินอย่างไรมีแต่ได้กับได้ ณ ห้องประชุมใหญ่ “เคทีซี” ชั้น 14 อาคารสมัชชาวาณิช 2 พร้อมถ่ายทอดสดผ่านเฟซบุ๊คไลฟ์ (Facebook Live) ทางเพจ #KTC CSR Club

นายธนวัฒน์ สุธรรมพันธุ์ (ที่ 3 จากซ้าย) กรรมการผู้จัดการ บริษัท ไมโครซอฟท์ (ประเทศไทย) จำกัด เผยผลสำรวจหัวข้อ  Future Ready Business: Assessing Asia Pacific’s Growth Potential Through AI ร่วมกับ มร.ไมเคิล อะราเน็ตตา (ที่ 4 จากซ้าย) รองประธานบริหาร ไอดีซี ไฟแนนเชียล อินไซต์ คุณชัชวลิต ธรรมสโรช (ที่ 2 จากซ้าย) ผู้จัดการฝ่าย หน่วยงานบริหารทั่วไป บริษัท พีทีที โกลบอล เคมิคอล จำกัด (มหาชน) และ นางกัญจนี วงศ์รุ่งโรจน์กิจ (ที่ 1 จากซ้าย) ผู้อำนวยการฝ่ายเทคโนโลยี บริษัท ฟรอนทิส จำกัด

 

มีรายงานวิจัยที่จัดทำขึ้นร่วมกันโดยไมโครซอฟท์ เอเชีย แปซิฟิก และไอดีซี ในหัวข้อ Future Ready Business: Assessing Asia Pacifics Growth Potential Through AI ได้แสดงให้เห็นถึงความจำเป็นที่ภาคธุรกิจของไทยควรเร่งนำ AI มาใช้งาน เพื่อยกระดับศักยภาพในด้านการสร้างสรรค์นวัตกรรมและเสริมประสิทธิภาพการทำงาน โดยจากผลสำรวจองค์กรธุรกิจ 101 แห่งทั่วประเทศ พบว่ามีองค์กรเพียง 26% เท่านั้นที่นำ AI เข้ามาเป็นองค์ประกอบหลักในกลยุทธ์ทางธุรกิจ แม้ว่ากว่า 85% ขององค์กรเหล่านั้นจะเข้าใจดีถึงผลกระทบเชิงบวกจากการใช้งาน AI ก็ตาม

ผลสำรวจดังกล่าวยังเผยอีกว่า องค์กรธุรกิจไทยคาดว่า AI จะเพิ่มอัตราการสร้างนวัตกรรมขึ้นอีก 66% และเพิ่มประสิทธิภาพการทำงานของพนักงานได้ราว 32% ภายในปี 2564 ขณะที่จะศักยภาพการแข่งขันจะเพิ่มสูงขึ้นถึง 81%

นายธนวัฒน์ สุธรรมพันธุ์ กรรมการผู้จัดการ บริษัท ไมโครซอฟท์ (ประเทศไทย) จำกัด กล่าวว่า “ทุกวันนี้ ทุกบริษัทก็เป็นเหมือนบริษัทซอฟต์แวร์ และการทำงานในทุกส่วนก็เป็นดิจิทัลมากขึ้น การจะประสบความสำเร็จในโลกยุคใหม่นี้ องค์กรต่างๆ จำเป็นต้องนำเอาเทคโนโลยีที่ดีที่สุดมาประยุกต์ใช้ให้ได้โดยเร็ว และสร้างความสามารถเชิงดิจิทัลที่เป็นเอกลักษณ์เฉพาะของตัวเองได้ ซึ่งในยุคของเรา AI จะเป็นเทคโนโลยีที่กำหนดทิศทางแห่งอนาคต ด้วยศักยภาพมหาศาลทั้งในการขับเคลื่อนการปฏิรูปธุรกิจ สร้างนวัตกรรม เสริมประสิทธิภาพการทำงานของพนักงาน และต่อยอดการเติบโตของธุรกิจ ด้วยเหตุนี้เอง ประเทศและธุรกิจที่ยังไม่ได้เริ่มต้นใช้งาน AI จึงกำลังเผชิญกับความเสี่ยงที่จะเสียความได้เปรียบในการแข่งขัน และตกเป็นรองธุรกิจที่เป็นผู้นำในด้านนี้”

สำหรับองค์กรที่เริ่มนำ AI มาใช้ มีปัจจัยขับเคลื่อนให้ธุรกิจนำเทคโนโลยีดังกล่าวมาปรับใช้ใน 5 อันดับแรกคือ ประสบการณ์ที่ดีขึ้นของลูกค้า (31% ของผู้ร่วมทำการสำรวจเลือกเป็นปัจจัยอันดับหนึ่ง) ความสามารถในการแข่งขันสูงขึ้น (22%) ส่วนต่างกำไรที่เพิ่มขึ้น (22%) เพิ่มประสิทธิภาพการทำงานของพนักงาน (9%) และสร้างสรรค์นวัตกรรมได้รวดเร็วขึ้น (8%) ตลอดปีที่ผ่านมา องค์กรที่เริ่มใช้งาน AI ได้เห็นถึงการพัฒนาที่ชัดเจนจากศักยภาพในด้านต่างๆ เหล่านี้ที่เพิ่มขึ้นราว 28-36% และยังคาดการณ์อีกว่าจะได้เห็นการเปลี่ยนแปลงในทางที่ดีขึ้นกว่าเดิมอีกไม่ต่ำกว่า 20% ในช่วงระยะเวลาอีก 3 ปีข้างหน้า

 

ประเทศไทยจำเป็นต้องพัฒนาศักยภาพด้านข้อมูล และเสริมการลงทุนเกี่ยวกับ AI

ผลการสำรวจของไมโครซอฟท์และไอดีซีนี้ ได้เก็บข้อมูลด้านความพร้อมของประเทศไทยสำหรับการพัฒนาและประยุกต์ใช้ AI ใน 6 ด้านหลักๆ โดยพบว่าประเทศไทยจะต้องเดินหน้าพัฒนาศักยภาพต่อไปในทุกด้าน โดยเฉพาะในด้านข้อมูลและการลงทุน เพื่อกระตุ้นให้เกิดการนำ AI มาใช้งานอย่างเต็มตัว

มร.ไมเคิล อะราเน็ตตา รองประธานบริหาร ไอดีซี ไฟแนนเชียล อินไซต์ กล่าวว่า “ประเทศไทยยังต้องเสริมความพร้อมในหลายมิติ เพื่อให้คว้าโอกาสจากพลังของ AI ได้ อย่างเต็มที่ ขณะที่หลายๆ ธุรกิจของไทยประกาศความมุ่งมั่นในการปรับเปลี่ยนวัฒนธรรมองค์กรเพื่อเปิดรับเทคโนโลยีไปแล้ว แต่ก็ยังมีสิ่งสำคัญอีกหลายอย่างที่ต้องดำเนินการเพื่อทำให้เกิดกลยุทธ์ AI ที่ชัดเจน โครงสร้างพื้นฐานที่แข็งแกร่ง และระบบข้อมูลที่เพียบพร้อม เปิดให้เข้าถึงได้โดยสมบูรณ์ ปัจจัยทั้งหมดนี้จะปูทางไปสู่ความสามารถที่ดีขึ้นของ AI และผลกระทบทางธุรกิจที่สัมผัสได้อย่างแท้จริง ภาคธุรกิจจะต้องลงทุนอย่างต่อเนื่องในเทคโนโลยีแห่งอนาคตนี้ และสร้างวัฒนธรรมการเรียนรู้ที่ยั่งยืน มุ่งเน้นความคล่องตัว เพื่อวางรากฐานของความสำเร็จในระยะยาว โดยที่ในบางกรณี อาจไม่ได้เห็นผลตอบแทนเป็นเม็ดเงินในทันที”

ส่วนผู้นำในภาคธุรกิจที่กำลังประยุกต์ใช้ AI กำลังประสบกับความท้าทาย 3 ประการ ได้แก่ ภาวะขาดความเป็นผู้นำทางความคิด และความมุ่งมั่นของผู้บริหารในการลงทุนกับ AI การขาดทักษะ ทรัพยากร และโอกาสการเรียนรู้อย่างต่อเนื่อง และการที่ผู้บริหารไม่ได้ให้ความสำคัญเชิงกลยุทธ์กับการพัฒนาระบบข้อมูลให้พร้อมสำหรับ AI

ผลสำรวจนี้ยังแสดงให้เห็นว่า ธุรกิจต้องสร้างวัฒนธรรมองค์กรที่เหมาะสมเพื่อให้เกิดความก้าวหน้าในการใช้งาน AI ผู้นำธุรกิจและพนักงานที่ร่วมแสดงความเห็นจำนวนมากเชื่อว่า คุณสมบัติทางวัฒนธรรมที่ช่วยส่งเสริมการประยุกต์ใช้ AI เช่น การพร้อมรับความเสี่ยง การสร้างสรรค์นวัตกรรมเชิงรุก และความร่วมมือข้ามสายงานของแต่ละทีม ยังไม่แพร่หลายนักในสภาพแวดล้อมการทำงานปัจจุบัน

“โดยรวมแล้ว พนักงานขององค์กรในประเทศไทยมีความเคลือบแคลงสงสัยเกี่ยวกับความพร้อมทางวัฒนธรรมขององค์กร มากกว่าในกลุ่มผู้นำธุรกิจ” นายอะราเน็ตตาเสริม “ผู้นำธุรกิจต้องเปิดใจรับวัฒนธรรมใหม่เสียแต่ตอนนี้ และพัฒนาให้นวัตกรรมและการเรียนรู้อย่างต่อเนื่องเป็นส่วนประกอบหลักของวัฒนธรรมองค์กร เพื่อเป็นการเตรียมความพร้อมให้เกิดความคล่องตัว ความสามารถในการปรับตัว และการเติบโตต่อไป”

 

ยังต้องแก้ไขปัญหาด้านทักษะของแรงงาน ก่อนปูทางสู่การใช้งาน AI

ผลสำรวจดังกล่าวพบว่า ผู้นำธุรกิจและพนักงานมีมุมมองเชิงบวกเกี่ยวกับผลกระทบของ AI ต่อการทำงานในอนาคต โดยมากกว่าครึ่งหนึ่ง (77% ของผู้นำธุรกิจ และ 58% ของพนักงาน) เชื่อว่า AI จะช่วยทำงานปัจจุบันของพวกเขาให้ดีขึ้น หรือลดภาระในกรณีของงานที่ต้องทำซ้ำๆ อยู่เป็นประจำ

“เมื่อพูดถึงกรณีการสร้างตำแหน่งงานใหม่ หรือโอกาสใหม่ๆ ที่จะเข้ามาแทนที่งานแบบเดิม ผู้นำธุรกิจ 13% เชื่อว่า AI จะช่วยสร้างโอกาสงานใหม่ๆ ได้ ขณะที่มีเพียง 5% ที่รู้สึกว่าเทคโนโลยีนี้จะเข้ามาแทนที่แรงงานคน ในภาพรวม ผู้นำธุรกิจ 90% และพนักงาน 77% มองว่าการนำ AI มาประยุกต์ใช้จะช่วยเปิดทางไปสู่โอกาสใหม่ๆ หรือเสริมให้พวกเขาทำงานที่ทำอยู่เดิมได้ดียิ่งขึ้น” นายอะราเน็ตตากล่าว

ผลสำรวจนี้ยังพบอีกว่า พนักงานมีความตั้งใจที่จะเรียนรู้ทักษะใหม่ๆ มากกว่าที่ผู้นำธุรกิจคาดการณ์ไว้ โดยผู้นำ 36% รู้สึกว่าพนักงานไม่มีความสนใจในการพัฒนาทักษะใหม่ๆ ขณะที่มีพนักงานเพียง 18% ที่รู้สึกเช่นนั้นจริงๆ

“วิสัยทัศน์ด้าน AI ของไมโครซอฟท์มุ่งเน้นไปที่มนุษย์ก่อนเป็นอันดับแรก เทคโนโลยี AI ไม่สามารถก้าวหน้าไปได้โดยปราศจากคน จึงเท่ากับว่าพนักงานหลายล้านคนจำเป็นต้องปฏิรูปตัวเองให้มีทักษะ ยกระดับความสามารถให้พร้อมสำหรับอนาคตในยุคแห่ง AI” นายธนวัฒน์กล่าวเสริม “เป็นเรื่องน่ายินดีที่ธุรกิจถึง 81% ให้ความสำคัญกับการเสริมสร้างทักษะของพนักงานในอนาคต พวกเขาวางแผนที่จะลงทุนไปกับทรัพยากรมนุษย์มากกว่าเทคโนโลยีใหม่ๆ แต่ขณะเดียวกัน ผู้นำธุรกิจราว 48% ก็ยังไม่เริ่มดำเนินการเพื่อช่วยพนักงานของพวกเขาให้มีทักษะที่เหมาะสม ซึ่งถือเป็นเรื่องที่น่ากังวลอยู่ในขณะนี้ โดยพวกเขาจำเป็นต้องส่งเสริมให้เกิดการเปลี่ยนแปลงรูปแบบการฝึกสอนพนักงานโดยด่วน”

สำหรับ 3 ทักษะสำคัญที่ผู้นำธุรกิจในประเทศไทยต้องการ ได้แก่ ความคิดสร้างสรรค์ ทักษะดิจิทัล และการคิดวิเคราะห์ โดยที่ 2 ทักษะแรกนั้น มีความต้องการในตลาดแรงงานสูงกว่าปริมาณบุคลากรที่มีคุณสมบัติตรงกับความต้องการนี้ ผลสำรวจนี้ยังเผยว่า ผู้นำธุรกิจให้ความสำคัญกับความสามารถทางด้านสังคมมากกว่าที่พนักงานคาดการณ์ไว้ ส่วนทักษะที่มีภาวะขาดแคลนมากที่สุด ได้แก่ การบริหารจัดการโครงการ ความเป็นผู้นำและการจัดการบุคลากร และความคิดสร้างสรรค์

 

จีซี ยกระดับความปลอดภัยของการเดินทางด้วย “AI for Road Safety”

โดยเฉลี่ยแล้ว ในแต่ละวันมีผู้เสียชีวิตจากอุบัติเหตุบนท้องถนนในประเทศไทยถึง 66 คน ซึ่งนับเป็นอัตราที่สูงเป็นอันดับต้นๆ ของโลก ซึ่งกว่า 60% ของอุบัติเหตุที่เกิดขึ้นกับรถขนส่งสาธารณะ มีสาเหตุหลักมาจากพฤติกรรมการขับรถเร็วเกินกำหนดและความเหนื่อยล้าหรือง่วงนอนของผู้ขับขี่ ทั้งนี้ บริษัท พีทีที โกลบอล เคมิคอล จำกัด (มหาชน) หรือ จีซี มีสำนักงานในกรุงเทพฯ และโรงงานในระยอง ซึ่งถือเป็นจังหวัดศูนย์กลางด้านอุตสาหกรรม ในแต่ละปีพนักงานของจีซีจะเดินทางไป-กลับบนเส้นทางนี้จำนวนมาก ด้วยรถตู้รับส่งของบริษัทฯ

จีซีให้ความปลอดภัยเป็นสิ่งสำคัญอันดับหนึ่ง บริษัทฯ จึงเริ่มเดินหน้าใช้โซลูชั่นอัจฉริยะที่ขับเคลื่อนด้วย AI เพื่อลดความเสี่ยงในการเกิดอุบัติเหตุบนท้องถนน ผ่านโครงการ “AI for Road Safety” โดยความร่วมมือระหว่างจีซีและฟรอนทิส บริษัทที่ปรึกษาชั้นนำด้านการวางแผนกลยุทธ์และการนำนวัตกรรมมาประยุกต์ใช้ในองค์กร โดยใช้เทคโนโลยี AI ของไมโครซอฟท์ ซึ่งผสมผสานระบบการจดจำใบหน้า เข้ากับระบบการวิเคราะห์ภาพวิดีโอและข้อมูล เพื่อสังเกตการณ์พฤติกรรมของผู้ขับขี่ได้แบบเรียลไทม์

ระบบดังกล่าวทำงานโดยใช้กล้องที่จับภาพคนขับ พร้อมระบบจีพีเอส เพื่อเก็บข้อมูลภาพใบหน้าและการเคลื่อนไหวของยานพาหนะก่อนจะส่งไปยังระบบคลาวด์ เพื่อประมวลผลด้วย Machine Learning หากตรวจพบสัญญาณความเสี่ยง ผู้ขับจะได้รับการแจ้งเตือน หรือได้รับการติดต่อจากผู้ดูแลระบบรถโดยสาร โดยอาจมีการส่งคนขับรายใหม่ไปแทนที่ในกรณีที่จำเป็น นอกจากนี้ ผู้ดูแลระบบยังสามารถประเมินผลการทำงานของรถโดยสารและผู้ขับขี่ในระยะยาวได้ ผ่านหน้าจอแสดงข้อมูลที่มีระบบการวิเคราะห์ข้อมูล Power BI ของไมโครซอฟท์ โดยครอบคลุมทั้งศักยภาพของผู้ขับขี่ ปัจจัยความเสี่ยงที่อาจเกิดขึ้น รวมถึงแง่มุมต่างๆ ที่สามารถพัฒนาให้ดีขึ้นได้ในการฝึกอบรมผู้ขับขี่

คุณชัชวลิต ธรรมสโรช ผู้จัดการฝ่าย หน่วยงานบริหารทั่วไป บริษัท พีทีที โกลบอล เคมิคอล จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า “ในฐานะผู้นำด้านนวัตกรรมเคมีภัณฑ์ของประเทศ บริษัทฯ ตระหนักถึงความปลอดภัยเป็นสิ่งสำคัญอันดับหนึ่ง โดยเป้าหมายสูงสุดคือ ต้องไม่มีอุบัติเหตุเกิดขึ้นในทุกพื้นที่โรงงาน สำนักงาน และเขตอุตสาหกรรมของเรา ตลอดจนความปลอดภัยของบุคลากรทุกคน การนำระบบ AI นี้มาใช้งาน ไม่เพียงทำให้เกิดประโยชน์กับบริษัทเท่านั้น แต่ยังช่วยเสริมความอุ่นใจให้กับครอบครัวของพนักงานทุกคน ที่ต่างก็ต้องการให้สมาชิกของครอบครัวได้กลับบ้านอย่างปลอดภัย พร้อมหน้าพร้อมตากันทุกวัน เราเชื่อว่าความมุ่งมั่นและแรงสนับสนุนจากทีมงานของเรา ผนึกกับศักยภาพของ AI จะช่วยให้เราบรรลุเป้าหมายนี้ไปได้ด้วยดี”

ผู้สนใจสามารถค้นหาข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับโซลูชั่น AI ของไมโครซอฟท์ได้ที่

https://news.microsoft.com/apac/features/artificial-intelligence/

(บุคคลในภาพ จากซ้ายไปขวา 1.คุณนรุตม์ เจียรสนอง รองประธานเจ้าหน้าที่บริหารฝ่ายการตลาด บริษัท เมเจอร์ ซีนีเพล็กซ์ กรุ้ป จำกัด (มหาชน) 2.คุณวิศรุต พูลวรลักษณ์ ผู้อำนวยการ บริษัท เมเจอร์ ซีนีเพล็กซ์ กรุ้ป จำกัด (มหาชน) 3.ณวิชา พูลวรลักษณ์ ประธานกรรมการบริหาร บริษัท เมเจอร์ ซีนีเพล็กซ์ กรุ้ป จำกัด (มหาชน) 4.คุณนิธิ ภัทรโชค กรรมการผู้จัดการใหญ่ ธุรกิจซีเมนต์และผลิตภัณฑ์ก่อสร้าง เอสซีจี 5.คุณยุทธนา เจียมตระการ ผู้ช่วยผู้จัดการใหญ่-การบริหารกลาง เอสซีจี 6.ม.ล.เอวิตา ยุคล 7.คุณกษิดิศ กลศาสตร์เสนี)

 

เอสซีจี โดย คุณนิธิ ภัทรโชค กรรมการผู้จัดการใหญ่ ธุรกิจซีเมนต์และผลิตภัณฑ์ก่อสร้าง และบริษัท เมเจอร์ ซีนีเพล็กซ์ กรุ้ป จำกัด (มหาชน) โดย คุณวิชา พูลวรลักษณ์ ประธานกรรมการบริหาร เป็นประธานเปิดตัวโครงการ SCG x MAJOR SYNERGY INNOVATION DAY” ณ โรงภาพยนตร์ อีนิกม่า พารากอนซีนีเพล็กซ์ เพื่อเฟ้นหาสุดยอดไอเดียนวัตกรรมภายใต้แนวคิด Circular Economy, Digital Platform, Universal Design และ One Stop Logistic Solution  โดยมีสตาร์ทอัพจากทั้ง 2 องค์กรมาทำงานร่วมกัน เพื่อสร้างประสบการณ์ในการชมภาพยนตร์ที่เหนือระดับให้กับลูกค้า นับเป็นการจับมือครั้งสำคัญของผู้นำด้านนวัตกรรมและเทคโนโลยีแบบ Cross Industry ในกลุ่มอุตสาหกรรมก่อสร้าง และอุตสาหกรรม Entertainment อย่างแท้จริง

 

จบไปแล้วสำหรับการแข่งขันแผนธุรกิจฉบับ IDE หรือ IDE Competition ด้วยความร่วมมือระหว่างมหาวิทยาลัยหอการค้าไทย สถาบันเทคโนโลยีแมสซาชูเซตส์ และ Haas School of Business มหาวิทยาลัยแคลิฟอร์เนีย เบิร์กลีย์ การแข่งขันนี้เป็นส่วนหนึ่งของงาน IDE 2019 ที่จะผลักดันให้เกิดผู้ประกอบการนวัตกรรม และแนวคิดธุรกิจที่หลากหลาย ผ่านการพัฒนาแผนธุรกิจใน 3 รายการ ได้แก่  MIT Enterprise Forum การประกวดแผนธุรกิจที่การสร้างนวัตกรรมเพื่อผลกระทบที่ดี  Global Social Venture Competition การแข่งขันแผนธุรกิจสร้างผู้ประกอบการเพื่อสังคมที่ดียิ่งขึ้น และ กะเทาะเปลือก แผนธุรกิจภาษาไทยค้นหาความคิดสร้างสรรค์ต่อยอดนวัตกรรม

ในการแข่งขันครั้งนี้ได้รับเกียรติจากกรรมการผู้ที่เป็นทั้งนักคิด และนักประกอบการนวัตกรรมจากทั้งชาวไทยและชาวต่างชาติ อาทิ ผศ.ดร.อัครวิทย์ กาญจนโอภาษ CEO, Food Innopolis, จรัมพร โชติกเสถียร กรรกรรมการบริหาร ธนาคารกรุงเทพ จำกัด (มหาชน), Andrew Anselmo อาจารย์ผู้สอน Artisan’s Asylum, Katja Wald กรรมการบริหาร MIT Enterprise Forum Cambridge และ Micheal Burtov ผู้ก่อตั้ง & ซีอีโอ GeoOrbital เป็นต้น

โดยผู้ชนะเลิศในแต่ละรายการ มีดังนี้

 

  • MIT Enterprise Forum Thailand ได้แก่ ทีม VINA Youth Meter” ที่นำเอาเทคโนโลยีไบโอนาโนมาใช้ในการวิเคราะห์ youth prohormone ในปัสสาวะ และแสดงผลสุขภาพผ่านทางโทรศัพท์มือถือ โดยอุปกรณ์นี้จะช่วยให้ผู้ใช้งานสามารถปรับไลฟ์สไตล์ การกิน และการออกกำลังกายเพื่อให้ร่างกายคงอยู่ในเกณฑ์มาตรฐานได้
  • GSVC Southeast Asia Regional ได้แก่ ทีม Rehab Happy Walk” ผู้ออกแบบและผลิตอุปกรณ์ช่วยอาการเดินติดขัดในผู้ป่วยโรคพาร์กินสัน ที่เครื่องมือนี้นั้นจะสามารถช่วยผู้ป่วยโรคนี้ได้มากถึง 10 ล้านคนทั่วโลกเลยทีเดียว ซึ่งผู้ชนะรายการนี้จะได้เข้าแข่งขันรายการในรอบ Global Finals ในเดือนเมษายน ณ UC Berkeley มหาวิทยาลัยแคลิฟอร์เนีย ประเทศสหรัฐอเมริกา
  • กะเทาะเปลือก ได้แก่ทีม OmniEnergy” ผู้เสนอแผนธุรกิจพัฒนาแพลตฟอร์มการเทรดพลังงานสะอาด อาทิ พลังงานจากลม พลังงานจากน้ำ และพลังงานแสงอาทิตย์ ในรูปแบบ Peer-to-Peer

 

สำหรับงาน IDE 2019 นี้จัดขึ้นต่อเนื่องเป็นปีที่ 3 โดยความร่วมมือของ "ศูนย์การสร้างผู้ประกอบการที่ขับเคลื่อนโดยนวัตกรรม โดยมหาวิทยาลัยหอการค้าไทย หรือ IDE Center by UTCC"  บริษัท สิงห์ คอร์เปอเรชั่น จำกัด ธนาคารพัฒนาวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อมแห่งประเทศไทย เมืองนวัตกรรมอาหาร (Food Innopolis) The Knowledge Exchange (KX) โดยมหาวิทยาลัยเทคโนโลยีพระจอมเกล้า ธนบุรี  บริษัท พฤกษา เรียลเอสเตท จำกัด (มหาชน) และภาคีพันธมิตรภาครัฐและเอกชน ซึ่งมีเป้าหมายที่จะร่วมกันสร้างระบบนิเวศทางการประกอบการ และขับเคลื่อนให้ผู้ประกอบการนวัตกรรมในประเทศไทยเกิดมากขึ้น สามารถติดตามความเคลื่อนไหวและกิจกรรมต่างๆ ได้ที่ facebook.com/idecenterbyutcc

นางสาวโชษิตา เทพยสุวรรณ (ขวา) ผู้จัดการ – ธุรกิจบัตรเครดิต “เคทีซี” หรือ บริษัท บัตรกรุงไทย จำกัด (มหาชน) จับเทรนด์ประเทศไทยก้าวสู่สังคมผู้สูงอายุอย่างสมบูรณ์ในปี 2564 ร่วมกับ นางสาวกิติมา หัตถีรัตน์ (ซ้าย) ผู้ก่อตั้ง ดิวาลี เซ็นเตอร์ ศูนย์เวชศาสตร์ชะลอวัย แบบองค์รวม และครบวงจร มอบโปรโมชั่นให้กับสมาชิกบัตรเครดิตเคทีซีที่ซื้อแพ็คเกจสำหรับใช้บริการที่ดิวาลี เซ็นเตอร์ซึ่งเป็นศูนย์บริการดูแลสุขภาพสำหรับผู้สูงวัยที่ต้องการมีสุขภาพที่แข็งแรง นำเสนอบริการส่งเสริมสุขภาพแบบองค์รวมและครบวงจร บนพื้นที่ 3 ไร่ ตรงข้ามท่าอากาศยานดอนเมือง กรุงเทพฯ ปลอดภัยด้วยการออกแบบอาคารก่อสร้าง และอุปกรณ์ตามมาตรฐานสากล เพื่ออำนวยความสะดวกให้กับผู้สูงอายุ เน้นการดูแลเชิงป้องกัน โดยให้ความรู้เกี่ยวกับหลักโภชนาการ เพื่อหลีกเลี่ยงปัญหาจากโรคเรื้อรัง อาทิ เบาหวาน ความดันโลหิตสูง สมองเสื่อม กระดูกพรุน การทรงตัวและการเคลื่อนไหว โดยกิจกรรมจะถูกคัดสรรให้เหมาะกับแต่ละบุคคล โดยทีมแพทย์ด้านเวชศาสตร์ฟื้นฟูโดยตรง พยาบาล นักกายภาพ นักโภชนาการ และเจ้าหน้าที่ผู้ดูแลที่ได้รับการฝึกฝนอย่างดี ดิวาลีจึงเปรียบเสมือนสังคมใหม่ที่แรกในประเทศไทยที่มีการดูแลผู้สูงวัยแบบครบวงจร เพื่อปรับสภาพสมดุลทั้งทางร่างกายและจิตใจ โดยภายในแพ็คเกจจะประกอบด้วย

1) โปรแกรมการตรวจสุขภาพภูมิแพ้อาหารแฝง 222 ชนิด โดยอาจารย์พิมพ์ใจ นัยโกวิท และการแนะนำหลักโภชนาการโดย รศ. ดร. สิริชัย อดิศักดิ์วัฒนา

2) โปรแกรมตรวจสุขภาพประจำปี                  

3) หัตถการบำบัดเพื่อปรับโครงสร้างร่างกายให้สมดุล

4) วารีบำบัด

5) การออกกำลังกายและกิจกรรมสันทนาการ

6) ห้องพักที่ดิวาลี เซ็นเตอร์ พร้อมอาหารและผู้ดูแลส่วนบุคคล

7) ทริปท่องเที่ยวในประเทศ และ

8) ผลิตภัณฑ์ของดิวาลี ในราคารวม 200,000 บาท จากราคารวมปกติ 348,000 บาท ระหว่างวันที่ 1 มีนาคม 2562 – 30 เมษายน 2562

ผู้สนใจสามารถสอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ โทรศัพท์ 080 261 6163  KTC PHONE 02 123 5000 เว็บไซต์ www.ktc.co.th หรือสมัครบัตรเครดิตได้ที่ศูนย์บริการสมาชิก “เคทีซี ทัช” ทุกสาขาทั่วประเทศ หรือคลิกลิงค์เพื่อสมัครบัตรเครดิตได้ที่นี่: http://bit.ly/2skCwZ8

บราเดอร์ ดัน ‘ธีรวุธ ศุภพันธุ์ภิญโญ’ รับตำแหน่งกรรมการผู้จัดการ เสริมแกร่งทีมบริหาร วางกลยุทธ์ นำองค์กรสร้างการเติบโตท้าทายกระแสเศรษฐกิจด้วยคอนเซปต์ ‘Towards the next level’  พร้อมรับมือ ‘การเปลี่ยนแปลง’ จากปัจจุบันสู่อนาคตด้วยกลยุทธ์ 3C’s โดยในปีงบประมาณ 2561 (เม.ย. 61 – มี.ค. 62) บราเดอร์ คอมเมอร์เชี่ยล (ประเทศไทย) คาดว่าจะมีอัตราการเติบโตเพิ่มเป็น 7% ซึ่งสูงกว่า                  ที่คาดการณ์ไว้แต่เดิมที่ 5%

         

บราเดอร์ กับ 5 ปีของการ ‘เปลี่ยน’ เพื่อสร้างการเติบโตแบบสวนกระแส

นายโทโมยูกิ ฟูจิโมโตะ กรรมการผู้จัดการ บริษัท บราเดอร์ คอมเมอร์เชี่ยล (ประเทศไทย) จำกัด ได้อธิบายถึงหลักคิดเกี่ยวกับ ‘การเปลี่ยน’ เพื่อสร้างการเติบโต เราต้องปรับตัวและเปลี่ยนแปลงให้เหมาะสมกับบริบทเศรษฐกิจ ก่อนที่คนอื่นจะมาเปลี่ยนเราและลดทอนบทบาททางธุรกิจลง โดยนายโทโมยูกิ ฟูจิโมโตะ อธิบายถึง ‘การเปลี่ยน’ ในครั้งนี้ว่า “บราเดอร์พยายามปรับเปลี่ยนและพัฒนาองค์กรให้เติบโตอย่างต่อเนื่องในทุกกลุ่มธุรกิจ บริษัทฯ มุ่งหวังให้ลูกค้าเกิดความพึงพอใจในระดับสูงทั้งในส่วนของนวัตกรรมและคุณภาพผลิตภัณฑ์ และที่สำคัญอีกประการคือคุณภาพงานบริการหลังการขาย ซึ่งถือเป็นอีกหนึ่งหัวใจหลักของการดำเนินธุรกิจของบราเดอร์ที่ผ่านมา” ผลของการวางกลยุทธ์ที่มองไปข้างหน้าอย่างตีโจทย์แตกของ บราเดอร์ ทำให้ที่ผ่านมา บราเดอร์ คอมเมอร์เชี่ยล (ประเทศไทย) มีการเติบโตเฉลี่ยขึ้นทุกปี โดยนายโทโมยูกิ ฟูจิโมโตะ มองว่าปัจจัยความสำเร็จดังกล่าวเกิดขึ้นจากการนำปรัชญาการดำเนินธุรกิจที่ว่า ‘At Your Side’ มาประยุกต์ใช้กับการดำเนินธุรกิจ โดยให้ลูกค้าเป็นศูนย์กลางหลักของแต่ละแนวคิด และขยายแนวคิดดังกล่าวไปยังพันธมิตรทางธุรกิจและผู้ที่เกี่ยวข้องอย่างมีประสิทธิภาพ

 

บราเดอร์ คอมเมอร์เชี่ยล (ประเทศไทย) ไม่เคยหยุด ‘ทรานส์ฟอร์ม’

ตลอดกว่า 10 ปีที่ได้ร่วมงานกับบราเดอร์ นายธีรวุธ ศุภพันธุ์ภิญโญ ผู้อำนวยการฝ่ายขายและการตลาด บริษัท บราเดอร์ คอมเมอร์เชี่ยล (ประเทศไทย) จำกัด ได้ผลักดันให้บราเดอร์ก้าวสู่การเป็นแบรนด์ผู้นำในตลาด โดยได้นำประสบการณ์ที่ถูกสั่งสม มาพัฒนาทีมงานและวิธีการทำงานให้เหมาะสม และมีประสิทธิภาพ อีกทั้งยังได้นำกลยุทธ์การตลาดต่างๆ มาขับเคลื่อนบราเดอร์จากแบรนด์เล็กสู่หนึ่งในผู้นำแบรนด์เครื่องพิมพ์ที่คุ้นเคยและยอมรับของคนไทย ผมเชื่อว่าความสำเร็จที่เกิดขึ้นแล้วและกำลังจะเกิดขึ้นในอนาคต ‘ศักยภาพของทีมเวิร์ค’ คือหัวใจหลัก การกำหนดบทบาทที่ชัดเจนให้แต่ละฝ่าย การเปิดโอกาสให้เกิดการคิดนอกกรอบ ล้วนทำให้เราได้แนวทางการทำงานใหม่ๆ กล้าลองเพื่อได้สิ่งที่ต่าง และความต่างนี้เองที่ทำให้แบรนด์บราเดอร์โดดเด่นออกมาในมุมมองของกลุ่มเป้าหมาย และปัจจัยสุดท้ายคือพลังความร่วมมือจากพาร์ทเนอร์ที่ยิ่งทำให้การเติบโตของเราขยายตัวอย่างรวดเร็วยิ่งขึ้น ผมมองว่าที่ผ่านมาเราไม่เคยหยุด‘ทรานส์ฟอร์ม’  เกมการตลาด และไลฟ์สไตล์ผู้บริโภคที่เปลี่ยนเร็ว ทำให้เราต้องเตรียมรับมือให้เร็วยิ่งกว่าในแต่ละก้าวเสมอ”

 

2019 จุดเริ่มสูตรและส่วนผสมการบริหารงานของ ‘ธีรวุธ ศุภพันธุ์ภิญโญ’

“Transform for the Future ยังคงเป็นแนวทางในการบริหาร”

เพิ่มการวางรากฐานธุรกิจที่แข็งแกร่งด้วยคอนเซปต์ ‘Towards the next level’

นายธีรวุธ กรรมการผู้จัดการคนล่าสุดของบราเดอร์ คอมเมอร์เชี่ยล (ประเทศไทย) กล่าวถึงแนวทางในการดำเนินธุรกิจในปี 2019 - 2021 ว่า การเจริญเติบโตของบราเดอร์ในช่วงที่ผ่านมาคือบทพิสูจน์ให้เห็นถึงประสิทธิผลของพลังแห่งการ ‘ทรานส์ฟอร์ม ที่เราสร้างมาอย่างต่อเนื่อง โดยในช่วง 3 ปีที่ผ่านมา บริษัทฯ ได้ตั้งเป้าหมายที่จะทรานส์ฟอร์มใน 3 ส่วนหลัก ได้แก่ Business Transform, Operational Transform และ Talent Transform สำหรับปีนี้ นโยบายหลักของเราก็ยังคงมุ่งเน้นที่จะ “ทรานส์ฟอร์ม” อย่างต่อเนื่อง แต่จะเพิ่มรายละเอียดในแต่ละส่วน เพื่อตอกย้ำให้เห็นภาพชัดเจนและเป็นรูปธรรมยิ่งขึ้น โดยใช้กลยุทธ์ 3C’s เข้ามาเสริม และตลอด 3 ปีนับจากนี้ บราเดอร์ จะวางรากฐานที่มั่นคงในทุกมิติภายใต้คอนเซปต์ Towards to next level”

 

เจาะลึกกลยุทธ์ 3C’s ทางลัดสู่การเติบโตอย่างยั่งยืน

Customer หรือลูกค้า คือ C ตัวแรกที่ถูกให้ความสำคัญเป็นอันดับแรกๆ สำหรับบราเดอร์ลูกค้าต้องมาเป็นอันดับหนึ่งเสมอตามปรัชญาการดำเนินธุรกิจ ‘At Your Side’ ความซื่อสัตย์และจริงใจคือหลักปฏิบัติตลอดระยะเวลา 21 ปีที่ผ่านมาของการดำเนินธุรกิจในไทย ด้วยการเลือกสรรผลิตภัณฑ์ที่ดี มีคุณภาพและความหลากหลาย ศักยภาพในการตอบโจทย์ทุก Life Style ในราคาที่สมเหตุสมผล  การบริการหลังการขายด้วยศูนย์บริการคุณภาพ ที่พร้อมให้บริการกว่าร้อยสาขาที่กระจายอยู่ทั่วประเทศเพื่อสนองตอบความพึงพอใจสูงสุดของลูกค้า (Customer Satisfaction) ต่างคือรูปธรรมแห่งนิยามของ Customer หรือลูกค้านั่นเอง

 

Channel Partner หรือพันธมิตรด้านช่องทางการขาย ปัจจุบันบราเดอร์ทำธุรกิจโดยการขายสินค้าผ่าน Business Partner 100% ดังนั้นในปีนี้ บราเดอร์ จะเน้นการทำงานใกล้ชิดกับตัวแทนจำหน่ายมากขึ้น และจากภาพรวมตลาดที่เปลี่ยนแปลงไปอย่างรวดเร็วในปัจจุบัน ทำให้ Partner บางรายประสบปัญหาในการปรับตัว บราเดอร์จึงมุ่งเน้นในเรื่องของการเป็นที่ปรึกษาและให้คำแนะนำในการดำเนินธุรกิจ ไม่ว่าจะเป็นการขายในกลุ่มธุรกิจองค์กร, การขายแบบ Contractual Business หรือการทำ Online Business ที่กำลังขยายตัวอยู่ในปัจจุบันและมีแนวโน้มที่จะเติบโตขึ้นอย่างมากนับจากนี้ ดังนั้น การผนึกพลังและเสริมศักยภาพช่องทางขาย จึงเป็นอีกหนึ่งแนวทางเพื่อการเติบโตร่วมกันอย่างมั่นคง

 

Company หรือองค์กร คือจุดยุทธศาสตร์หลักที่ใช้ขับเคลื่อนกลยุทธ์สานต่อการเป็นผู้นำธุรกิจ บริษัทฯ ต้องปรับปรุงเและพัฒนาอย่างต่อเนื่อง โดยแยกออกเป็น 2 ส่วนหลักๆ คือ Process Improvement น้อยแต่มากขั้นตอนในการทำงานทั้งภายในและภายนอก โดยจะปรับปรุงและพัฒนาให้มีกระบวนการทำงานที่สั้นลง, มีความรวดเร็วและมีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น แต่ยังคงไว้ซึ่งความแม่นยำและถูกต้อง โดยนำเทคโนโลยีเข้ามาช่วย เพื่อความสะดวกสบายสำหรับลูกค้าและคู่ค้า People Development คนคือจุดยุทธศาสตร์แห่งการพัฒนา          บราเดอร์ให้ความสำคัญอย่างมากกับบุคลากรภายในองค์กร โดยมุ่งเน้นที่จะพัฒนาศักยภาพของบุคลากรในองค์กร ทั้งทางด้านความสามารถและจิตใจ พร้อมที่จะสนับสนุนให้คลื่นลูกใหม่ได้แสดงความสามารถอย่างเต็มที่ เพื่อต่อยอดความสำเร็จทางธุรกิจในฐานะผู้นำ

 

ทั้งนี้ นายธีรวุธ ศุภพันธุ์ภิญโญ ได้ร่วมงานกับ บราเดอร์ คอมเมอร์เชี่ยล (ประเทศไทย) มานานกว่า 10 ปี โดยปลายปี พ.ศ.2551 เข้ารับตำแหน่งผู้จัดการทั่วไปฝ่ายขายและการตลาด โดยได้สร้างผลงานเพื่อผลักดันการเติบโตให้แก่องค์กรด้วยการนำประสบการณ์การบริหารงานธุรกิจ IT ที่สั่งสมมา ประยุกต์ใช้ให้เกิดประสิทธิผล ด้วยการนำแบรนด์บราเดอร์ครองตำแหน่งผู้นำตลาดเครื่องพิมพ์เมืองไทยได้สำเร็จ และจากความสำเร็จดังกล่าวในปี พ.ศ. 2557 บราเดอร์จึงได้โปรโมทให้รับตำแหน่งผู้อำนวยการฝ่ายขายและการตลาด เพื่อวางกลยุทธ์ในภาพรวมอันถือเป็นการสร้างแรงกระเพื่อมครั้งใหญ่ให้แก่องค์กร ท่ามกลางกระแสที่หลายฝ่ายกังวลเรื่องเศรษฐกิจแต่บราเดอร์ กลับโชว์ผลงานครั้งสำคัญด้วยอัตราการเติบโตที่สูงกว่าตลาดรวมมาโดยตลอด ส่งผลให้บราเดอร์แต่งตั้งนายธีรวุธ ศุภพันธุ์ภิญโญเป็นกรรมการผู้จัดการคนล่าสุด โดยจะเข้ารับตำแหน่งอย่างเป็นทางการในวันที่ 1 เมษายน 2562

 

แชมป์ความพึงพอใจสูงสุดของลูกค้าในไทย บทพิสูจน์คุณภาพงานบริการของบราเดอร์

เตรียมต่อยอดบริการด้วยความล้ำหน้าด้าน IT รับไลฟ์สไตล์ผู้บริโภคยุค 4.0

การนำระบบและเทคโนโลยีอันทันสมัยเข้ามาใช้เพิ่มศักยภาพด้านงานบริการ เป็นอีกหนึ่งนโยบายหลักของบราเดอร์ ที่ใช้รองรับการเติบโตทางธุรกิจที่เพิ่มขึ้นในทุกๆ ปี เพื่อครองความเป็นผู้นำด้านงานบริการอย่างต่อเนื่อง “บราเดอร์ให้ความสำคัญกับการพัฒนาบุคลากรอย่างมาก เพราะเชื่อว่าการส่งมอบบริการที่ดีเยี่ยม ต้องมาจากพื้นฐานจิตใจและความคิดของผู้ให้บริการที่ได้รับการพัฒนาอย่างดียิ่ง  บราเดอร์จึงได้ลงทุนออกแบบและพัฒนาหลักสูตรอย่างต่อเนื่อง ภายใต้แนวคิด “The Power of Thinking” ซึ่งเป็นชุดของหลักสูตรอันประกอบด้วย Think Plus+ Program, Think BIG Program และ Think Smart Program” นายวรศักดิ์ ประดิษฐ์กุล ผู้จัดการทั่วไปฝ่ายบริการลูกค้า บริษัท บราเดอร์ คอมเมอร์เชี่ยล (ประเทศไทย) จำกัด กล่าวถึงภาพรวมแนวทางการพัฒนางานบริการ “ในปี 2562 บราเดอร์จะนำระบบ ‘Chatbot’ เข้ามาใช้ จะทำให้บราเดอร์ขยายขีดความสามารถในการพัฒนางานบริการได้ดีขึ้น โดยงานบริการพื้นฐานจะเป็นส่วนที่ Chatbot เข้ามาช่วย ในขณะที่ทีมบริการจะเข้ามาในขั้นที่ซับซ้อนยิ่งขึ้น บริษัทฯ สามารถนำกำลังคนไปพัฒนาด้าน Training Chatbot รวมทั้งคิดกลยุทธ์งานบริการอื่นๆ ได้อีกด้วย ซึ่งจะทำให้ทีมมีความเข้มแข็งในแบบ น้อยด้วยปริมาณแต่มากด้วยคุณภาพ ถือเป็นหัวใจหลักของการบริหารงานให้สอดรับกับโลกอนาคต”

  

สร้างแบรนด์ให้แข็งแกร่งยิ่งขึ้นด้วยการผสานงานบริการกับแนวคิดการคืนกลับสู่สังคม

การอุทิศองค์ความรู้ด้านงานบริการเพื่อคืนกลับสู่สังคมนั้น ในปีงบประมาณ 2562 บราเดอร์ ได้ร่วมลงนามความร่วมมือ (MoU) กับสมาพันธ์เอสเอ็มอีไทยจังหวัดสุโขทัยและสถาบันการอาชีวศึกษา 6 แห่งประกอบด้วย วิทยาลัยเทคนิคสุโขทัย วิทยาลัยอาชีวศึกษาสุโขทัย วิทยาลัยการอาชีพศรีสำโรง วิทยาลัยการอาชีพศรีสัชนาลัย วิทยาลัยเกษตรและเทคโนโลยีสุโขทัย และวิทยาลัยสารพัดช่างสุโขทัย จัดกิจกรรม The Academic Cooperation Program’ ซึ่งเป็นโครงการร่วมมือทางวิชาการในการฝึกอบรมทางเทคนิคในการซ่อมเครื่องพิมพ์เพื่อถ่ายทอดความรู้ เพิ่มพูนทักษะและประสบการณ์ในสายงานอาชีพ รวมทั้งการนำความรู้ไปใช้เพื่อบริการสังคมในพื้นที่ นอกจากนี้ บราเดอร์ยังได้ขยายโครงการไปในภาคใต้ที่ จ.สุราษฎร์ธานี อีก 2 แห่ง ประกอบด้วย วิทยาลัยเทคนิคสุราษฎร์ธานีและวิทยาลัยเทคนิคกาญจนดิษฐ์ พร้อมทั้งภาคตะวันออกเฉียงเหนือที่ จ.สุรินทร์ อีก 3 แห่ง ประกอบด้วย วิทยาลัยเทคนิคสุรินทร์, วิทยาลัยการอาชีพสังขะ และมหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลอีสาน วิทยาเขตสุรินทร์ จากความสำเร็จของโครงการทำให้ บราเดอร์ ประเทศไทย สามารถคว้ารางวัล Brother Global Charter Award ในสาขา Social Contribution จากโครงการดังกล่าวได้สำเร็จ

 

เพราะบราเดอร์เชื่อว่า...การมีสังคมที่มีสุขภาพดีย่อมเป็นที่มาพื้นฐานของการเติบโตทางธุรกิจที่ยั่งยืน

Brother Run & Share วิ่งฝันปันน้ำใจ เพื่อผู้ป่วยโรคมะเร็ง ที่ในปี 2562 ถูกจัดขึ้นเป็นปีที่ 5 เป็นกิจกรรมเพื่อ คืนกำไรของบริษัทฯ กลับสู่สังคมที่บราเดอร์ตั้งใจจัดขึ้นเพื่อนำรายได้จากการจัดงานทั้งหมดโดยไม่หักค่าใช้จ่ายใดๆ มอบให้แก่มูลนิธิรามาธิบดี กองทุนมะเร็งโลหิตวิทยาผู้ใหญ่ โรงพยาบาลรามาธิบดี เพื่อนำไปช่วยเหลือผู้ป่วยโรคมะเร็งที่ยากไร้ที่ไม่สามารถเข้าถึงการบริการทางการแพทย์ได้ โดยในปีนี้สามารถระดมยอดเงินบริจาคได้สูงถึง 1,564,190 บาท “บราเดอร์จะยังคงมุ่งมั่นและสานต่อการจัดกิจกรรมวิ่งเพื่อการกุศลดังกล่าว นอกจากนี้  ยังส่งเสริมเรื่องการพัฒนาศักยภาพของคนรุ่นใหม่ด้วยการส่งเสริมด้านการศึกษาและสร้างประสบการณ์จริงเพื่อเติมเต็มความพร้อมก่อนก้าวสู่โลกของการทำงาน” นายพรภัค อุไพศิลป์สถาพร ผู้จัดการทั่วไปฝ่ายการเงินและการบริหาร บริษัท บราเดอร์ คอมเมอร์เชี่ยล (ประเทศไทย) จำกัด กล่าว การสนับสนุนพนักงานจากกิจกรรมสันทนาการในกลุ่มเล็กๆ สู่การผนึกพลังที่ยิ่งใหญ่ขึ้น เพื่อคืนกลับสู่สังคม คือการเปิดโอกาสให้พนักงานได้เป็นผู้ริเริ่มคิดและทำโครงการที่สอดคล้องกับนโยบายขององค์กร คือหนึ่งกลยุทธ์ที่บราเดอร์นำมาใช้เพื่อสร้างความแข็งแกร่งของความเป็น ‘ทีมเวิร์ค’  “ที่บราเดอร์ เราคิดเสมอว่าเราคือบ้านหลังใหญ่หลังหนึ่งที่มีสมาชิกในครอบครัวที่มีความหลากหลาย และเราไม่เคยปิดกั้นความหลากหลายนั้นๆ แต่นำความหลากหลายที่มีมาทำให้ชัดเจนยิ่งขึ้นและเปิดอิสรภาพเพื่อให้แต่ละคนทำในสิ่งที่ตนเองชื่นชอบและมีความถนัด และนำสิ่งที่ได้มาเป็นพลังบวกเพื่อนำไปสร้างประโยชน์แก่สังคมต่อไป เรามีการตั้ง Staff Welfare Committee ขึ้น เพื่อพัฒนาโปรเจคที่หลากหลายที่เกี่ยวเนื่องกับสุขภาพ (Health Project) ที่ขยายจากภายในองค์กรสู่การเป็นกิจกรรมระหว่างองค์กร ซึ่งถือเป็นความสำเร็จที่น่าภาคภูมิใจ”

 

เกี่ยวกับ บราเดอร์ คอมเมอร์เชี่ยล (ประเทศไทย)

เป็นเวลากว่าศตวรรษ ที่บราเดอร์เป็นที่รู้จักในฐานะของแบรนด์ที่นำเสนอผลิตภัณฑ์ที่มีการพัฒนานวัตกรรมต่างๆ รวมถึงความพึงพอใจของลูกค้าตลอดมา จากจุดเริ่มต้นที่ประเทศญี่ปุ่น ในปี ค.ศ. 1908 วันนี้เรามีโรงงานการผลิตถึง 19 แห่ง และบริษัทสาขาสำนักงานตัวแทนการขาย 43 แห่ง ใน 41 ประเทศทั่วทุกภูมิภาค บริษัท บราเดอร์ คอมเมอร์เชี่ยล (ประเทศไทย) จำกัด หนึ่งในผู้นำนวัตกรรมผลิตภัณฑ์เครื่องพิมพ์ เครื่องพิมพ์ฉลาก สแกนเนอร์, เครื่องพิมพ์ผ้าระบบดิจิทัลและจักรเย็บผ้า สามารถตอบสนองความต้องการที่หลากหลายของลูกค้าได้อย่างต่อเนื่อง ภายใต้ปรัชญาการดำเนินธุรกิจ "At your side" บราเดอร์อยู่เคียงข้างคุณและจะเป็นองค์กรที่เป็นที่ยอมรับจากพันธมิตรต่างๆ อย่างยั่งยืน

 

ทั้งนี้ สามารถติดตามข่าวสารต่างๆ ของบราเดอร์ คอมเมอร์เชี่ยล (ประเทศไทย) ได้ที่ www.brother.co.th และ www.facebook.com/BrotherCommercialThailand

Page 2 of 2
X

Right Click

No right click