ผมเคยเป็นมาแล้ว ทั้ง Investment Banker และ เจ้าของกิจการ เคยทั้งระดมทุนให้กิจการของคนอื่น และหาเงินก่อตั้ง ปลุกปั้น ประกอบการกิจการของตัวเอง ผมจึงเข้าใจและเห็นใจหัวอกของบรรดา Start Up ทั้งหลาย ไม่ใช่ความเข้าใจที่เกิดจากการอ่าน การพูดคุย หรือเก็งความจริง แต่เป็นความเข้าใจจากการลงมือปฏิบัติ ตรึกตรอง และเรียนรู้จากประสบการณ์จริง ตลอดจนหวนคิดตรึกตรองถึงบทเรียนเหล่านั้นอยู่เสมอผมรู้และเข้าใจดีว่า เจ้าของกิจการไทยต้องเผชิญกับความท้าทายหลายด้านหลายมุม ไหนจะเรื่องเงิน เรื่องคน เรื่องการจัดการ และเรื่องที่เราควบคุมไม่ได้ เช่น ภาวะเศรษฐกิจ การเมือง การเปลี่ยนแปลงของเทคโนโลยี หรือแม้กระทั่งดินฟ้าอากาศ สารพัดสารพัน
ที่สำคัญคือ องค์ความรู้ในสังคมไทย โดยเฉพาะความรู้ทางด้านการผลิตนั้น เป็นความรู้ที่ไปไม่ถึงแก่นแท้ เรายังขาดความรู้ในการสร้างเครื่องไม้เครื่องมือและเครื่องจักรที่จำเป็น ความรู้ทางด้านวัสดุสมัยใหม่และองค์ประกอบในการผลิตทั้งในเชิง Hardware และ Software ทำให้เมื่อจะลงมือ “สร้าง” อะไรเป็นของตัวเอง ที่คิดว่าจะไปแข่งขันกับใครเขาได้ในโลกนี้ มันแทบจะเป็นไปไม่ได้เลย หรือถ้าได้ก็จะมีต้นทุนสูง เพราะต้องพึ่งพาความรู้ (หรือที่เรียกในภาษาสมัยใหม่ว่า “เทคโนโลยี”) ของฝรั่ง ของญี่ปุ่น (และตอนนี้ก็ของจีนเพิ่มเข้าไปอีกราย) ทำให้ผู้ประกอบการของเรา ต้องมีสถานะเป็นเพียงนายหน้าหรือลูกไล่หรือผู้รับจ้าง และถูกกิจการที่เป็นเจ้าขององค์ความรู้เหล่านี้ บังคับให้ต้องวิ่งไล่กวด เพื่อหาซื้อหรือเช่าความรู้ใหม่ๆ ของเขา อยู่ตลอดเวลา เสมือนต้องกินน้ำใต้ศอกของกิจการเหล่านั้นอีกทอดหนึ่ง ซึ่งบางทีก็เหลือให้เรากินแต่เพียงเศษเนื้อเล็กๆ น้อยๆ จนทำให้ผลตอบแทนในเชิงการลงทุนและการเงินต่ำ เมื่อเทียบกับผลตอบแทนที่พวกเขา ในฐานะเจ้าของความรู้เหล่านั้น ได้รับไปในช่วงเวลาเดียวกัน
ทั้งๆ ที่เราก็ตั้งใจประกอบการ ลงทุน ลงแรง และลงเวลา ไม่น้อยกว่าพวกเขา และเราก็มีมหาวิทยาลัยชั้นนำ ที่พร่ำสอนความรู้ในการผลิตเหล่านี้มาเป็นเวลานานแสนนาน แต่ก็ไม่เห็นว่าจะสามารถผลิตบุคคลากรที่เข้าถึงความรู้ในระดับ “แก่นแท้” ซึ่งจะช่วยให้ “สร้าง” อะไรได้ด้วยตัวเอง ในจำนวนมากพอสักที
แต่วันนี้ผมจะขอพูดแต่เพียงความท้าทายเดียว คือเรื่องเงิน
เรื่องเงินมักเป็นเรื่องใหญ่ของผู้ริเริ่มทำกิจการ โดยเฉพาะในช่วงแรกของธุรกิจ ร้อยทั้งร้อย ต้อง “ทำกันไป ระดมทุนกันไป” Start-Ups ที่ต้องกลายเป็น Finish-Down ไปเสียกลางคัน ก็เพราะปัญหาเรื่องเงินนี้แหละ แน่นอน ในตอนแรกสุด พวกเราส่วนใหญ่ต้องใช้เงินเก็บ และระดมเอาจากพี่น้องเพื่อนฝูง หรือกู้ยืมมา ดีหน่อย ก็ได้โอกาสจากนักลงทุนมืออาชีพที่เขาถนัดและหากินทางนี้ เช่นพวกผู้ใหญ่ที่ชอบสนับสนุนเด็กรุ่นใหม่ หรือ Venture Capital หรือ Angel Fund ทั้งหลาย ภาษาทางการเงินสมัยใหม่มักเรียกการ Financing ช่วงนี้ว่า “Angel” หรือ “Pre-seed” Round
โดยสถิติของสหรัฐอเมริกานั้น บรรดา Start-Up ที่สามารถรอดมาจนตั้งตัวได้ ทั้ง Free Cash Flow เป็นบวก หรือไม่ก็สามารถระดมทุนโดยการออกหุ้นขายคนทั่วไป (IPO = Initial Public Offering) ได้ หรือไม่ก็ถูกกิจการขนาดใหญ่ที่ตั้งตัวได้แล้วซื้อหรือ Takeover ไปอยู่ในเครือข่าย ฯลฯ เหล่านี้จะใช้เวลาเฉลี่ยประมาณ 8-10 ปี
ใครผ่านช่วงนั้นได้ ถือว่ารอด ! ผมลอง Double Check บรรดา Venture Capital และ Investment Banker หลายคนดู ส่วนใหญ่จะให้ค่าเฉลี่ยราวๆ นี้ เช่นกัน ในระยะแรกของชีวิตกิจการนี้แหละ ที่ผู้ประกอบการจะต้องหมกมุ่นวุ่นวายอยู่กับการระดมทุนไม่รู้กี่รอบต่อกี่รอบ กว่าจะตั้งตัวได้ท่านผู้อ่านต้องเคยผ่านตากับคำว่า “First Round” “Second Round” หรือศัพท์แสงทางด้านการเงินสมัยใหม่อย่างแน่นอน ไม่ต้องงงครับ คำเหล่านี้มันเพียงแต่ใช้เรียกการระดมทุนแต่ละรอบ จากบรรดา Venture Capital หรือนักลงทุนที่เห็นดีเห็นงามกับธุรกิจของบรรดา Start-Ups เหล่านั้นในช่วงแรก ที่ยังไม่สามารถระดมทุนในตลาดทุนขนาดใหญ่ได้เท่านั้นเอง คิดดูเอาเถอะ ว่าผู้ประกอบการต้องหนักหนาสาหัสเพียงใด และต้องยอมสละหุ้นของตัวเอง ตัดขายที่ละก้อนๆ จนกว่าจะตั้งตัวได้ อาจเหลือไม่มากพอที่จะมีสิทธิมีเสียงแบบ “สิทธิขาด” ได้อีกต่อไป
ตัวอย่างมีให้เห็นเยอะแยะในเรื่องนี้ สตีฟ จอบส์ เองก็เคยถูกไล่ออกจาก Apple Inc. กิจการที่ตัวเองก่อตั้งกับมือมาแล้ว และรายล่าสุดคือ ทราวิส คาลานิก แห่ง UBER ที่ก็เพิ่งถูกริดรอนอำนาจในกิจการที่ตัวเองก่อตั้งมากับมือด้วยเช่นเดียวกัน
เหตุผลคือ จำนวนหุ้นของเขาที่เคยสามารถโหวตได้อย่างตามใจชอบ ถูก Dilute ลง เนื่องเพราะต้องตัดแบ่งให้กับ ผู้ลงทุนในการระดมทุนแต่ละรอบที่ผ่านมาปัญหานี้ เป็นปัญหาที่ผู้ประกอบการต้องประสบพบเจอเหมือนกันหมด คือต้องชั่งใจ ระหว่างการถูก Dilute และการเติบโตขององค์กร เพราะเมื่อองค์กรเติบโต มันต้องใช้เงินในการจ้างคน จ้างวิศวกร ซื้อ Hardware เช่าสถานที่ และขยายไปในพื้นที่อื่น ฯลฯ
ภาษาทางการเงิน เรียกปัญหานี้ว่า “Bootstrap Problem” นั่นเอง
ที่ผมพูดมานี้ เป็นวัฒนธรรมการ-ดำเนินธุรกิจสมัยใหม่ ที่บรรดา Start-Up ในระดับโลกต้องเผชิญ และวัฒนธรรมแบบนี้เริ่มถูกนำมาเผยแพร่ในเมืองไทยแล้ว แต่คนรุ่นผมมันกลางเก่ากลางใหม่ จึงอยากจะขอพูดปัญหาเฉพาะของไทย ที่เคยประสบพบมาให้ฟังด้วยว่า เมื่อไม่นานมานี้เอง วัฒนธรรมแบบ Venture Capital ยังคงล้มเหลวในเมืองไทยอยู่ สถาบันการเงินที่รัฐบาลก่อนๆ จงใจตั้งขึ้นมาสนับสนุนผู้ประกอบการหรือ Start-Ups ล้วนไม่ประสบผลสำเร็จเท่าที่ควร การนำเอา Commercial Banker มาบริหารกิจการเหล่านี้ ตลอดถึงกฎหมายต่างๆ ที่ยังเป็นอุปสรรค ทำให้พวกเขาไม่กล้าสนับสนุนทางการเงินกับผู้ประกอบการใหม่ๆ ในมาตรฐานที่ต้องใช้กระแสเงินสดเป็นเกณฑ์ หรือ “Cash Flow Financing” พวกเขายังอาศัยมาตรฐานเดิมคือ ต้องการสินทรัพย์ถาวรมาวางค้ำประกัน “Asset-Based Financing” (หรือจดจำนอง) ซึ่งยากที่บรรดา Start-Up จะมีได้
Cash Flow Financing อาจมีบ้าง แต่ก็ไม่เพียงพอกับการก่อร่างสร้างตัวให้เป็นปึกแผ่นได้จริงจัง มีแบบเล็กๆ น้อยๆ เช่น ที่ สสว. ทำสำเร็จอยู่บ้าง
ทำให้กิจการธุรกิจสมัยใหม่ ที่อาศัยหรือครอบครองสินทรัพย์ถาวร (ซึ่งจับต้องได้) น้อย ทว่าพึ่งพิงหรือดำเนินไปสู่การครอบครองความคิดสร้างสรรค์หรือนวัตกรรมหรือสิทธิบัตร (ซึ่งเป็นสินทรัพย์ที่จับต้องไม่ได้) ไม่สามารถตั้งตัวได้เท่าที่ควร ยิ่งกว่านั้น มันยังมีปัจจัยทางด้านวัฒนธรรมองค์กร หรือ Norm ของครอบครัว เป็นปัญหาซ้อนอยู่ อีกชั้นหนึ่งด้วย ผมเคยคุยกับคุณเฉลียว สุวรรณกิตติ หลายครั้งถึงเรื่องนี้ ก่อนท่านเสียชีวิต คนส่วนใหญ่อาจรู้จักคุณเฉลียวในฐานะผู้บริหารระดับสูงของเครือเจริญโภคภัณฑ์ (ซีพี) แต่จริงๆ แล้วคุณเฉลียวเป็น Venture Capitalist ยุคแรกของไทย คือผู้บริหารสูงสุดของบริษัทธนสถาปนา ที่ลงขันถือหุ้นโดยธนาคารพาณิชย์เกือบทุกธนาคารในประเทศไทยสมัยโน้น ซึ่งต้องการที่จะสนับสนุนทางการเงินให้กับผู้ประกอบการที่อาศัยความคิดสร้างสรรค์และนวัตกรรม (คือ Start-Up ในความหมายปัจจุบันนั่นเอง...ผมอยากให้ท่านผู้อ่านลองศึกษากรณี “ไข่ผง” ของ ดร.อาทิตย์ อุไรรัตน์ ดูก็ได้)
ผมถามคุณเฉลียวว่าทำไม “ธนสถาปนา” ถึงล้มเหลว และเราไม่สามารถลงหลักปักฐานวัฒนธรรมแบบ Venture Capital Financing ในสังคมไทยได้ คุณเฉลียวสรุปบทเรียนให้ผมฟังทุกครั้งเหมือนกันคือ “เพราะนักธุรกิจส่วนใหญ่ในเมืองไทย เป็นครอบครัวคนจีน และพวกเขาไม่ชอบที่จะให้คนอื่นเข้ามาถือหุ้นร่วมกันในกิจการ แม้รุ่นลูกจะเข้าใจว่า Venture Capital Funding เป็นสิ่งสำคัญและจำเป็น แต่พอไปถึงรุ่นพ่อ ก็มักจะมีปัญหาเสมอ” ผมไม่รู้ว่า Start-Up รุ่นปัจจุบัน สลัดความคิดแบบนี้ได้หรือยัง
เราคงต้อง Observe กันต่อไป
ICO จะแก้ปัญหาที่ว่ามานี้ได้ในทันที
ผมเพิ่งมาเห็นนวัตกรรมล่าสุดเมื่อเร็วๆ นี้ ที่จะสามารถแก้ปัญหาของผู้ประกอบการที่พูดมาทั้งหมดนี้ได้ นั่นคือ “ICO” (“Initial Coin Offering”) ซึ่งเกิดขึ้นมาคู่กับกิจการที่มีส่วนพัฒนาเทคโนโลยี Blockchain เพื่อนำไปประยุกต์ใช้กับอุตสาหกรรมต่างๆ อย่างหลากหลาย และกิจการที่ตั้งใจจะนำเทคโนโลยี Blockchain ไปใช้ในการให้บริการของตน มันคือกระบวนการระดมทุนโดยออก “เหรียญ” ขาย มันตั้งชื่อล้อกับ “IPO” แต่มันช่วยให้ผู้ประกอบการไม่ต้องตัดหุ้นของตัวเองออกขายเลย ทว่าก็ยังสามารถระดมทุนได้ โดยการออกเหรียญ (Token หรือ Utility Coin) ขายให้กับคนทั่วไปแทน “ICO” ก็คือ “IPO แนวใหม่” นั่นเอง พูดง่ายๆ ว่า “ICO” นี้ จะเข้ามาช่วยแก้ปัญหาทางการเงินในช่วงต้น (หรือ “Bootstrap Problem”) ให้กับ Start-Up และผู้ประกอบการได้เลย โดยกิจการผู้ออกเหรียญขายนี้ ต้องนำเหรียญไปขอจดทะเบียนซื้อขายในตลาดรอง (ที่ทำการซื้อขาย Crypto Currencies) เพื่อสร้างสภาพคล่องให้กับเหรียญ และเป็นหนทางที่ผู้ลงทุนหรือผู้จับจองเหรียญ สามารถนำเหรียญไปซื้อขายอีกทอดหนึ่งได้เหมือนกับหุ้นทุกประการ
ผมว่ามันเป็นพัฒนาการขั้นสูงของระบบทุนนิยมสมัยใหม่ ที่พวกเรานอกจากต้องจับตาอย่างใกล้ชิดแล้ว ยังต้องหาทางเอามันมาใช้ให้เกิดประโยชน์กับธุรกิจและภาครัฐในบ้านเราด้วยคือภาครัฐเอง ก็สามารถใช้ประโยชน์จาก ICO ได้เช่นเดียวกัน ในการระดมทุนโครงการต่างๆ ของรัฐบาลหรือรัฐวิสาหกิจ เช่น เราสามารถดีไซน์ให้เหรียญ ที่จะออกขายโดยรัฐบาลไทย ให้กับนักลงทุนนั้น สามารถนำไปแลกใช้บริการต่างๆ ในประเทศไทยได้ นอกไปจากการนำเหรียญนั้นไปจดทะเบียนซื้อขายในตลาดรอง อีกทางหนึ่ง เพื่อให้นักลงทุนที่จับจองเหรียญไปในเบื้องต้น สามารถนำไปขายต่อได้เหมือนหุ้นหรือพันธบัตร โดยการระดมทุนแนวนี้จะมีความเสี่ยงทางด้านอัตราแลกเปลี่ยนน้อยกว่าการกู้เงินตราต่างประเทศหรือการออกพันธบัตรขายในตลาดต่างประเทศตลาด ICO ในตอนนี้ไม่เล็กเลยเฉพาะในสหรัฐฯ เมื่อปีที่ผ่านจนถึงสิ้นเดือนตุลาที่ผ่านมา มีการระดมทุนแบบ “ICO” ไปแล้วถึง 175 ราย โดยมูลค่าทุนที่ระดมไปทั้งหมดประมาณ 2.7 พันล้านเหรียญสหรัฐฯ
แถมกิจการที่ออก “ICO” ขายนั้น ยังกระจายตัวอยู่ในอุตสาหกรรมต่างๆ อย่างน่าสนใจ เช่น Iconomi (เหรียญที่ออกขายชื่อ ICN) เป็นธุรกิจที่นำ Blockchain ไปใช้ในการบริหารสินทรัพย์ (Asset Management), Blockchain Capital (เหรียญชื่อ BCAP) เป็นกิจการ Venture Capital, Brave (เหรียญชื่อ BAT) เป็นเอเจนซี่โฆษณา, SALT (เหรียญชื่อเดียวกัน) เป็นธุรกิจให้กู้ยืมเงิน, Patientory (เหรียญชื่อ PTOY) เป็นธุรกิจ Healthcare เป็นต้นในเมืองไทยเอง ก็มีผู้ทำ ICO ประสบผลสำเร็จไปแล้ว คือ OMESE GO และได้ข่าวว่าจะมีรายอื่นตามมาในไม่ช้า
กระบวนการทำ ICO นั้นยุ่งยากน้อยกว่า IPO แยะ เพราะยังไม่มีกฎหมายมาควบคุม จึงไม่จำเป็นต้องยื่น Filing ต่างๆ กับสำนักงาน กลต. และยังสามารถระดมทุนในตลาดโลก คือเปิดให้นักลงทุนทั่วโลกเข้าจองซื้อกับเราได้โดยตรง ไม่ต้องผ่านผู้รับประกันการจัดจำหน่าย หรือโบรกเกอร์ ให้ต้องเสียค่าธรรมเนียมใดๆ ทั้งสิ้น แต่ผมได้ยินว่า มี Investment Bank บูติกบางราย เริ่มเข้าไปเป็นที่ปรึกษาให้กับการทำ ICO ใหญ่ๆ ในต่างประเทศบ้างแล้ว ดังนั้น จึงเป็นการง่ายเข้าไปอีกสำหรับผู้ประกอบการที่กำลังเริ่มธุรกิจ หรือแม้แต่พวกที่คิดจะเริ่มธุรกิจ และคิดจะระดมทุนโดยการออกเหรียญฯ ขาย (ICO) ก็สามารถแต่งตั้งให้ Investment Bank เหล่านั้น วางแผนการระดมทุนให้ ตั้งแต่การดีไซน์ลักษณะใช้งานของเหรียญฯ ให้มันสมเหตุสมผลและน่าสนใจ การจัดเตรียมซอฟต์แวร์ต่างๆ ในเครือข่าย และการนำเหรียญฯ ไปขอจดทะเบียนในตลาดสำคัญๆ ของโลก
ผมเชื่อว่า อีกไม่นาน สำนักงาน กลต. คงต้องเข้ามากำกับดูแล ICO อย่างแน่นอน เพราะเหรียญเหล่านี้ มันเข้าข่ายเป็น “หลักทรัพย์”
แต่ก็เป็นการยากที่จะห้ามกระบวนการนี้โดยเด็ดขาด เพราะมันเป็นตลาดโลก ดูอย่างรัฐบาลจีนที่ห้ามทำ ICO และยังสั่งแบนตลาดซื้อขาย Crypto Currencies ด้วยนั้น ก็ทำให้นักลงทุนจีน หันไปซื้อขายในตลาดนอกประเทศจีน หรือ Start-Up ที่ต้องการระดมทุน ก็ยังสามารถขายเหรียญให้กับนักลงทุนต่างชาติได้ การจะแบน Crypto Currencies (เช่น BITCOIN) เป็นเรื่องยากเสียแล้ว ยกเว้นว่า รัฐบาลทุกรัฐบาลจะต้องร่วมมือกัน และจะต้องปิดระบบอินเทอร์เน็ต (เพราะ บล็อกทุกบล็อกใน Blockchain มันถูกเก็บอยู่ในคอมพิวเตอร์ของสมาชิกเครือข่ายที่กระจายกันอยู่ทั่วโลก) ซึ่งต้องกระทบกับธุรกิจอื่นอย่างมโหฬาร การเข้ามาของกลต. หรือ SEC อาจจะดีก็ได้ เพราะจะช่วยยับยั้งไม่ให้พวกโกง หรือพวกแชร์ลูกโซ่ หรือพวกตีหัวเข้าบ้าน และพวกชอบลอกคราบ เข้ามาหากินในตลาด ICO นี้ หรือเข้ามาหากินได้ยากขึ้น ถึงกระนั้น ปัจจุบันก็มีตลาดซื้อขายแลกเปลี่ยนเหรียญ Crypto Currencies และเหรียญ Utility Coins ที่ได้รับการรับรองหรือได้รับใบอนุญาตจาก SEC แล้ว ในอนาคตเชื่อว่า ตลาดในระดับนี้คงเกิดขึ้นในหลายประเทศ รวมทั้งประเทศไทยด้วย
ด้วยความจำกัดของหน้ากระดาษ ผมจึงขอจบเรื่อง ICO ไว้เพียงเท่านี้ก่อน
เรื่อง : วิริญบิดร วัฒนา