December 19, 2025

บริษัท เชาท์ ทูเกทเตอร์ จำกัด (Shout Together Company Limited) หรือ “SHOUT!” แพลตฟอร์ม การตลาดและสร้างยอดขายผ่านอินฟลูเอนเซอร์ครบวงจรและมีประสิทธิภาพสูงสุด เปิดตัวฟีเจอร์ใหม่ “Influencer Platform Designed for Brands & Agencies” ช่วยแบรนด์และเอเจนซี่ วางแผนแคมเปญ เลือกอินฟลูฯ ที่ตรงกลุ่ม เป้าหมาย คุมงบฯ ได้ ผ่านการเข้าถึงข้อมูลเชิงลึกของอินฟลู ฯ (Insight Data) กว่า 10,000 ราย ได้อย่างรวดเร็วใน 7 ขั้นตอน ที่ช่วยให้ประหยัดต้นทุนได้อีกกว่า 60% และประหยัดเวลากว่า 95% โดยระบบนี้เตรียมเปิดให้ทดลอง ใช้บริการฟรี ตั้งแต่วันนี้ถึง 31 ธันวาคม โดยตั้งเป้ารายได้ 100 ล้านบาทในปี 2024

 

นายจิรพัฒน์ บุณยะเวชชีวิน Co-founder และ CEO ผู้บริหาร บริษัท เชาท์ ทูเกทเตอร์ จำกัด (Shout Together Company Limited) เปิดเผยว่า “Influencer Marketing หรือ KOL หนึ่งในกลยุทธ์การทำการตลาดที่ ทุกแบรนด์เลือกใช้อย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ เพราะตลาดพิสูจน์แล้วว่า ไม่ว่าจะเป็นสินค้าหรือบริการประเภทไหน Influencer และ KOL ที่ตรงกลุ่มเป้าหมายก็สามารถรองรับ การโปรโมท สื่อสาร รีวิวให้กับแบรนด์นั้นๆ ได้เป็นอย่างดี แต่ด้วยข้อจำกัดด้านเทคโนโลยี งบประมาณที่ควบคุมได้ยาก จากการทำงานด้วยระบบ Manual จึงทำให้การทำ Affiliate Marketing หรือ Live Commerce ให้กับลูกค้าธุรกิจไม่สามารถทำได้อย่างเต็มรูปแบบ เช่น ได้อินฟลูฯ ที่ไม่ตอบโจทย์ ไม่ตรงกลุ่มเป้าหมาย ใช้เวลาในการประสาน/จัดหาอินฟลูฯ ค่อนข้างนาน และงบประมาณที่สูงกว่า การจ้างอินฟลูฯ โดยตรง”

“แต่ทั้งนี้ ปัจจุบันเทคโนโลยีต่างๆ ไม่ว่าจะเป็น Data หรือ Automated Platform สามารถทำให้การทำ Influencer Campaign ต่างๆ สามารถทำได้สะดวก รวดเร็วและตอบโจทย์ธุรกิจได้แม่นยำขึ้น ทั้งจากการใช้ Data ต่างๆ มาคัดเลือกอินฟลูฯ ที่ตรงโจทย์ในราคาที่เหมาะสม สามารถจัดการแคมเปญ ตรวจสอบสถานะการทำงาน อินฟลูฯ อัตโนมัติ และวัดผลยอดขายได้อย่างเป็นระบบ มีรีพอร์ทที่สวยงามพร้อมใช้งานในการประเมินผลลัพธ์”

SHOUT! ในฐานะแพลตฟอร์มการตลาดและสร้างยอดขายผ่านอินฟลูเอนเซอร์ครบวงจรและมีประสิทธิภาพ สูงสุด ผ่านการเชื่อมต่อ “นักการตลาดกับอินฟลูเอนเซอร์” ให้มาเจอกัน จึงมาพร้อมฟีเจอร์ใหม่! “Influencer Platform Designed for Brands & Agencies” แพลตฟอร์มที่ช่วยให้แบรนด์และเอเจนซี่ (Brand & Agency)

สามารถสร้างหรือวางแผนแคมเปญ เลือกอินฟลูฯ ที่ตอบโจทย์แคมเปญและตรงกลุ่มเป้าหมาย ตลอดจนตรวจงาน แคมเปญและวัดผลยอดขายได้อย่างมีประสิทธิภาพ ผ่านการเข้าถึงข้อมูลเชิงลึกของอินฟลูฯ (Insight Data) กว่า 10,000 ราย ได้อย่างรวดเร็วใน 7 ขั้นตอน ที่ช่วยให้ประหยัดต้นทุนได้อีกกว่า 60% โดยระบบนี้เตรียมเปิดให้ทดลอง ใช้บริการฟรี ตั้งแต่วันนี้ถึง 31 ธันวาคม 2567

 

โดยแพลตฟอร์มดังกล่าวยังมาพร้อมประสิทธิภาพที่ช่วยให้แบรนด์และเอเจนซี่ ลดระยะเวลาการทำงานได้ถึง 95% ด้วย 7 ขั้นตอนง่ายๆ ที่สามารถทำได้ในแพลตฟอร์มเดียว ดังนี้

1. สร้างบัญชีผู้ใช้งานนักการตลาด และเข้าสู่ระบบ

2. สร้างแคมเปญ และเลือก Social Media และ Scope งานที่ต้องการทำแคมเปญ เช่น Instagram Reels, Facebook Photo Album, YouTube Tie-in, X (Twitter) Album Post / TikTok Video เป็นต้น

3. ระบุสินค้า/บริการที่ต้องการโปรโมท พร้อมช่องทางการขาย และ ค่าตอบแทนที่ต้องการให้อินฟลูฯ

4. เลือกอินฟลูฯ ที่ต้องการด้วย Insight Data พร้อม Estimate Campaign Result โดยสามารถเลือกใช้ ฟิลเตอร์ Metrics ต่างๆ ได้ รวมถึงราคา สามารถเจรจาต่อรองราคา (Negotiate) ราคาอินฟลูฯได้ ฯลฯ

5. ระบุ Brief รายละเอียดการทำงาน และ Timeline ระยะเวลาทำแคมเปญ

6. เริ่มต้นแคมเปญ จัดการ ตรวจงานอินฟลูฯ ผ่านแพลตฟอร์ม

7. ตรวจสอบผลลัพธ์ด้วยข้อมูลเชิงลึกด้านการตลาดและยอดขาย

 

ทางด้าน นายพาพฤทธิ์ กาญจน์เกียรติกุล Co-founder บริษัท PinPung จำกัด ได้กล่าวถึงการร่วมทุน กับ SHOUT! ว่า “ปัจจุบันทาง PinPung เริ่มเห็นความต้องการของการใช้ Affiliate Marketing และ Live Commerce มากขึ้น ซึ่งการทำ Affiliate และ Live Commerce ไม่สามารถใช้การทำ Influencer Marketing แบบเดิมได้ และด้วย ประสบการณ์กว่า 9 ปี ในการเป็น Influencer Agency อันดับต้นๆ ของประเทศไทย ดูแลแบรนด์ชั้นนำมากมาย อาทิ Unilever, Dyson, Grab, Hersheys, Pepsi, Diageo, Osotspa เป็นต้น ที่ให้บริการด้าน Influencer Marketing Campaign ครบวงจร ทั้งยังมีเครือข่าย Influencer และ KOL ที่มีชื่อเสียงระดับประเทศ ทาง PinPung มองว่า SHOUT! เข้ามาช่วยตอบโจทย์สามารถนำเทคโนโลยีเข้ามาช่วยในการสนับสนุนโดย

1. การหาอินฟลูฯ จำนวนมากเพื่อเข้าร่วมใน Campaign Affiliate และช่วยต่อรองเรื่องการแบ่งรายได้

2. การวัดผล Content Performance และการดูยอดขายแบบ Real-time ทั้งแคมเปญ

3. การจ่ายเงินค่าคอมมิชชันให้กับทางอินฟลูฯ ที่ทำคอนเท้นต์ใน Social Media Platform ต่างๆ ไปยัง E-commerce Platform ที่แตกต่างกัน โดยสามารถทำผ่าน Platform SHOUT! ได้ทันที

และการที่ทาง PinPung ลงทุนร่วมกับ SHOUT! สามารถเพิ่มและขยายขอบเขตการให้บริการ Affiliate Marketing & Live Commerce ได้โดยไม่ต้องเสี่ยงการขาดทุนจากการให้บริการกับลูกค้า และยังสามารถรองรับ ความต้องการในการทำ Affiliate Marketing ที่กำลังมาแรงอย่างต่อเนื่องให้กับกลุ่ม Corporate Brand ต่างๆ (Incoming Disruption) รวมถึงการเป็น Synergy Partner ระหว่าง CVC กับ Startup ที่จะสามารถช่วยผลักดันตลาด อินฟลูเอนเซอด้วยการแชร์ข้อมูลของอินฟลูฯ จัดการแคมเปญ ช่วยลดต้นทุน และเพิ่มขอบเขตการให้บริการและ สร้างนวัตกรรมได้”

โดยในปี 2024 นี้ SHOUT! เตรียมบุกตลาด Influencer แบบไม่เน้นกำไร เพื่อให้เข้าถึงทุกแบรนด์/ เอเจนซี่ในไทย รองรับการทำ Affiliate Marketing & Live Commerce ที่กำลังเป็นที่นิยม รวมถึงต้อนรับการเข้ามา ลงทะเบียนเป็น Influencer กับ SHOUT! ครอบคลุมทุกสาย พร้อมกระจายงานทุกแบรนด์ทุกอินฟลูฯ อย่างทั่วถึง โดยตั้งเป้ารายได้ที่ 100 ล้านบาท

นายจิรพัฒน์ ยังกล่าวเสริมว่า “ในอนาคตเตรียมเปิดโครงการ SHOUT!’s Partnership Program เพื่อ ร่วมมือกันระหว่าง Digital Agency และ Influencer Agency ต่างๆ เพื่อการประสานงาน เพิ่ม Synergy Value ซึ่งกันและกัน เพิ่มผลลัพธ์ทางธุรกิจได้มากขึ้น โดยลดต้นทุนด้วยกันได้อย่างมาก ตลอดจนขยายความร่วมมือ กับพาร์ทเนอร์ E-Commerce, Marketplace Platform, Social Commerce เพื่อเข้าถึงข้อมูลยอดขายได้อย่าง มีประสิทธิภาพและเรียลไทม์มากขึ้น รวมไปถึงในด้าน Influencer และ Content Creator ที่เตรียมขยายพาร์ทเนอร์ กับเครือข่ายต่างๆ เพื่อผลักดันการรับงานการร่วมมือกัน ระหว่างแบรนด์ เอเจนซี่ อินฟลูฯ ที่มีประสิทธิภาพสูงสุด ครบวงจรผ่าน แพลตฟอร์ม SHOUT!”

“SHOUT! ตอบโจทย์ในการคัดเลือกอินฟลูฯ ที่ใช่ จัดการแคมเปญอย่างมีประสิทธิภาพ สำหรับแบรนด์และ เอเจนซี่แล้วนั้น ในภาพใหญ่ SHOUT! เองเป็นหนึ่งในผู้ร่วมขับเคลื่อนให้การใช้งบการตลาดนั้นมีประสิทธิภาพสูงสุด ในการสร้างกำไร เพิ่มยอดขาย เข้าถึงกลุ่มลูกค้า ด้วยทรัพยากรที่น้อยลง และอาศัยเทคโนโลยี AI และ Data เข้ามา ช่วยเพิ่มมากขึ้น ใช้งบการตลาดถูกคน ถูกที่ ถูกเวลา ลดต้นทุนทางการเงิน และต้นทุนทางเวลาด้วยเทคโนโลยี และแพลตฟอร์ม ครบจบในที่เดียว ”

คุณณฐาภพ ธรรมชาติ Assistant Vice President บริษัท เจ อีลิท จำกัด และนางสาวอุษณีย์ เลาหะวรนันท์ ผู้บริหารสูงสุด สายงานสื่อสารการตลาดและธุรกิจ MAAI BY KTC บริษัท บัตรกรุงไทย จำกัด (มหาชน) ร่วมมอบสิทธิพิเศษ ให้ลูกค้าสามารถโอนคะแนนสะสมระหว่าง J POINT และ MAAI Point ได้แล้ว พร้อมส่งแคมเปญต้อนรับวันสงกรานต์ ที่ทำให้การโอนคะแนนพิเศษยิ่งขึ้นโดยรับคะแนน J POINT เพิ่มขึ้น 20% เพื่อส่งมอบประสบการณ์สุดพิเศษแก่ลูกค้า โดยเป็นการนำจุดแข็งด้านสิทธิประโยชน์ในการแลกคะแนนสะสม ทั้ง J POINT และ MAAI BY KTC (มาย บาย เคทีซี) มารวมกัน เพื่อนำเสนอทางเลือกที่แตกต่าง ในการขยายสิทธิประโยชน์ที่ตรงใจที่สุดให้กับสมาชิก J POINT และ MAAI BY KTC มากกว่าที่เป็นมา

J POINT ระบบสะสมคะแนนในกลุ่มเจมาร์ท กรุ๊ป เป็น Loyalty Program Platform ทำหน้าที่บริหารความสัมพันธ์กับลูกค้า ช่วยทำความรู้จักและเข้าใจลูกค้ามากขึ้นในทุกมิติ ผ่านการมอบสิทธิพิเศษต่างๆ J POINT เป็นรูปแบบการสะสมคะแนนแบบดิจิทัล โดยมีระบบการทำงานผ่าน LINE Official Account บนแอปพลิเคชัน LINE โดยลูกค้าจะได้รับคะแนนสะสมจากทุกยอดการใช้จ่ายในการซื้อสินค้าหรือบริการ และยังสามารถนำคะแนนสะสมกลับมาแลกเป็นส่วนลด รวมทั้งดีลสิทธิพิเศษต่างๆ จากทุกบริษัทในกลุ่มเจมาร์ท กรุ๊ป ที่เป็น Group of Retail และ Group of Financial รวมถึงพันธมิตรทางธุรกิจต่างๆ

MAAI BY KTC (มาย บาย เคทีซี) ผู้ให้บริการด้านดิจิทัล ลอยัลตี้ แพลตฟอร์ม (Digital Loyalty Platform) แบบครบวงจรในการบริหารจัดการคะแนนสะสมและสิทธิประโยชน์ด้านไลฟ์สไตล์ สามารถตอบโจทย์ทุกธุรกิจที่มีความต้องการที่แตกต่างกัน

สำหรับการโอนคะแนนสะสม J POINT ทุก ๆ 100 คะแนน สามารถโอนเป็นคะแนนสะสม MAAI Point ได้เท่ากับ 65 คะแนน และสามารถโอนคะแนนสะสม MAAI Point ทุก ๆ 100 คะแนน เพื่อเป็นคะแนน J POINT ได้เท่ากับ 65 คะแนน พิเศษสำหรับสมาชิกที่โอนคะแนนจาก MAAI Point เป็นคะแนน J POINT รับเพิ่ม 20% จากปกติ 65 คะแนน เป็น 80 คะแนน ตั้งแต่วันที่ 4 เมษายน - 31 พฤษภาคม 2567 ผ่าน LINE Official J POINT และ Application MAAI BY KTC

สำหรับท่านที่ยังไม่ได้เป็นสมาชิก J POINT สามารถสมัครสมาชิกง่ายๆ ผ่าน LINE Official @Jpoint พร้อมสะสมคะแนนจากทุกยอดการใช้จ่ายจากร้านค้าในเครือ เจมาร์ท และพันธมิตร เพื่อแลกรับสิทธิพิเศษต่างๆ มากมายตอบโจทย์ครบทุกไลฟ์สไตล์การใช้ชีวิต กิน ดื่ม เที่ยว บันเทิง เรียนรู้ สุขภาพ/ความงาม ไอทีแก็ดเจ็ต และอำนวยความสะดวกสบายที่คัดสรรมาให้ลูกค้าคนพิเศษที่เป็นสมาชิก J POINT และสามารถติดตามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่

 นักเศรษฐศาสตร์คาดการณ์ว่าในปีพ.ศ. 2567 นักท่องเที่ยวกำลังมองหาการท่องเที่ยวระดับพรีเมียม ที่ผนวกรวมทริปเดินทางเชิงธุรกิจ (Business) และการพักผ่อน (Leisure) เพื่อต่อยอดการเข้าพักในกลุ่มธุรกิจโรงแรมที่ยาวนานขึ้น พร้อมทั้งเฟ้นหาอาหารและเครื่องดื่ม (F&B) ระดับพรีเมียม ตอบโจทย์แนวโน้มเพื่อฟื้นฟูภาคการท่องเที่ยวของไทย

เทรนด์การท่องเที่ยวเชิงวัฒนธรรมโดยเฉพาะวัฒนธรรมท้องถิ่น คือ สิ่งที่น่าจับตามอง อ้างอิงจากข้อมูลของ Skyscanner นักท่องเที่ยวจำนวนมากให้ความสำคัญกับการท่องเที่ยวเชิงวัฒนธรรม โดยเฉพาะวัฒนธรรมท้องถิ่น การมีส่วนร่วมกับชุมชนท้องถิ่น เข้าเยี่ยมชมสถานที่ที่ได้รับแรงบันดาลใจจากรายการโทรทัศน์ และการลิ้มลองรสชาติอาหารท้องถิ่นแท้ๆ คือ ปัจจัยสำคัญที่นักท่องเที่ยวมองหานอกเหนือจากการเที่ยวชมสถานที่ท่องเที่ยวยอดนิยมทั่วไป นอกจากนี้ ทาง Skift ยังแชร์ข้อมูลเพิ่มเติมว่านักท่องเที่ยวชาวจีนให้ความสนใจกับการท่องเที่ยวที่ยกระดับหรือสร้างประสบการณ์ที่แปลกใหม่ โดยให้ความสำคัญของโปรแกรมการท่องเที่ยวเชิงลึกที่มีคุณภาพ โดยมีเวลาดื่มด่ำในวัฒนธรรมและสถานที่ สามารถใช้เวลาในการท่องเที่ยวแต่ละจุดยาวนานมากขึ้น เมื่อเปรียบเทียบกับจำนวนสถานที่หรือร้านต่างๆ ที่ต้องแวะชมหรือเช็คอินในปริมาณมากๆ หลายๆจุด การให้ความสำคัญกับการท่องเที่ยวเชิงวัฒนธรรมสอดคล้องกับวิสัยทัศน์ของนายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรี ในการส่งเสริมวัฒนธรรมอันเป็นเอกลักษณ์ของประเทศผ่านซอฟต์พาวเวอร์ ซึ่งรวมถึงการยกระดับเทศกาลมหาสงกรานต์ตลอดเดือนเมษายนนี้สู่สายตาโลก

เทรนด์การท่องเที่ยวแบบ "BLEISURE" คือ เทรนด์ที่กำลังมาแรง โดยเป็นการผสมผสานระหว่างทริปเดินทางเชิงธุรกิจ (Business) และการพักผ่อน (Leisure) หรือที่เรียกว่า เนื่องจากผู้คนจำนวนมากขึ้นหันมาใช้ชีวิตแบบดิจิทัล โนแมด และหลายๆ บริษัทจำนวนก็เปิดโอกาสให้ทำงานจากที่ไหนก็ได้ ทำให้นักท่องเที่ยวโดยเฉพาะคนรุ่น Gen Z กำลังได้รับการจับตามองส่งผลให้เกิดการจองห้องพักในรูปแบบของลองเสต์ หรือการเข้าพักที่ยาวนานขึ้น เพื่อสัมผัสและสนุกสนานกับการท่องเที่ยวที่มีความหมายมากขึ้น โดยเฉพาะอย่างยิ่งการยกระดับไลฟ์สไตล์และการลิ้มลองอาหารและเครื่องดื่ม (F&B) โดยเฉพาะอย่างยิ่งในช่วงเวลาแฮปปี้ อาวร์หรือช่วงเวลาหลังเลิกงาน

คุณมาริสา สุโกศล หนุนภักดี นายกสมาคมโรงแรมไทย (ทีเอชเอ) กล่าวว่า “ขณะที่ประเทศไทยยังคงเดินหน้าเปิดประตูต้อนรับนักท่องเที่ยว โดยโปรโมทและดึงดูดให้นักท่องเที่ยวมาใช้จ่ายที่ไทยเพิ่มมากขึ้น ประเทศไทยจำเป็นต้องปรับตัวเพื่อเข้าใจความต้องการใหม่ๆ ของผู้บริโภค เราสังเกตเห็นว่านักท่องเที่ยวที่พักอยู่ในประเทศไทยเป็นระยะเวลานานขึ้น โดยยกระดับประสบการณ์การรับประทานอาหารและวัฒนธรรมของอาหารไทยสู่การรับประทานอาหารในระดับพรีเมี่ยม มองหาตัวเลือกด้านอาหารและเครื่องดื่มที่มีคุณภาพสูงขึ้น ไม่ใช่การดื่มแบบหักโหม ทำให้เราจำเป็นต้องรักษามาตราฐานด้านอาหารและเครื่องดื่ม (F&B) ของเราอย่างต่อเนื่องเพื่อดึงดูดนักเดินทางที่กำลังมองหาคุณภาพการใช้ชีวิตในระดีบพรีเมียม

ดร.ญาณี เลยวานิชเจริญ เลขาสมาคมธุรกิจร้านอาหารกลางคืน กล่าวว่า “เราเห็นว่าผู้บริโภครุ่นใหม่ กำลังเปลี่ยนพฤติกรรมการบริโภคเนื่องจากมีรายได้ที่เพิ่มขึ้น ตัวอย่างเช่น การดื่มไวน์มากขึ้นซึ่งเหมาะสำหรับการดื่มร่วมกันในสังคมและจับคู่กับอาหาร เราเชื่อว่าประเทศไทยสามารถเดินหน้าโปรโมทด้านสถานบันเทิงยามค่ำคืนที่มีชีวิตชีวาเพื่อมอบประสบการณ์ที่หลากหลายและมีคุณภาพให้กับนักท่องเที่ยวในขณะที่พวกเขาใช้เวลาในการพักผ่อนได้ยาวนานที่ประเทศไทยมากขึ้น”

เทรนด์การท้องเที่ยวอันดับ 3 คือ “เที่ยวแบบพรีเมียม” โดยความต้องการของนักท่องเที่ยวมีความหลากหลายและซับซ้อนมากขึ้น โดยให้ความสำคัญกับการซื้อสินค้าคุณภาพสูงในระดับพรีเมียม รวมถึงเครื่องดื่มไวน์และสุราจากต่างประเทศ ตามรายงานการวิจัยฉบับใหม่โดย Oxford Economics ซึ่งเปิดตัวในประเทศไทยเมื่อเดือนที่แล้ว

โดยอ้างอิงจากรายงานที่ชื่อว่า "International Wine and Spirits in ASEAN: The Economic Contribution of the International Wine and Spirits Value Chain in Thailand and Vietnam" จัดทำโดย Oxford Economics และได้รับมอบหมายจาก Asia Pacific International Spirits and Wine Alliance (APISWA) เพื่อประเมินผลกระทบทางเศรษฐกิจของการขายและจัดจำหน่ายไวน์และสุราต่างประเทศในสองประเทศเศรษฐกิจสำคัญของเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ได้แก่ ไทยและเวียดนาม

LINE SHOPPING ผู้ให้บริการโซเชียลคอมเมิร์ซของไทย ประกาศผลผู้ชนะจาก LINE SHOPPING INCUBATOR 2024 เวทีเฟ้นหาสุดยอดผู้พัฒนาไทยที่พร้อมสร้างสรรค์และพัฒนาโซลูชั่นสำหรับแพลตฟอร์มโซเชียลคอมเมิร์ซของไทย ภายใต้ธีม “Reshaping a new paradigm for social commerce growth” โดยกิจกรรมครั้งนี้ได้รับการตอบรับอย่างคึกคักจากเหล่าผู้พัฒนาไทยมากมายทั่วประเทศที่มาร่วมประชันกันด้วยไอเดียอันหลากหลาย จนเกิดเป็นโซลูชั่นใหม่ที่ตอบโจทย์การช้อปปิ้งออนไลน์อย่างเข้าใจคนไทย โดยมี คุณวีระ เกษตรสิน รองประธานเจ้าหน้าที่ฝ่ายผลิตภัณฑ์ และคุณจิรัฏฐ์ วรรธนกรินธ์ ผู้จัดการฝ่ายการเติบโตและกลยุทธ์ธุรกิจอีคอมเมิร์ซ ร่วมเป็นคณะกรรมการ

คุณจิรัฏฐ์ วรรธนกรินธ์ ผู้จัดการฝ่ายการเติบโตและกลยุทธ์ธุรกิจอีคอมเมิร์ซ เปิดเผยว่า กิจกรรม LINE SHOPPING INCUBATOR 2024 เป็นการจัดขึ้นครั้งแรกในประเทศไทย และได้รับความสนใจจากเหล่าผู้พัฒนามากมาย ทั้งผู้ศึกษาและบุคคลทั่วไป โดยมีผู้พัฒนาสมัครเข้าร่วมกิจกรรมกันอย่างคึกคัก และมีผู้ที่ผ่านการคัดเลือกเข้าสู่การแข่งขันรอบสุดท้ายในวัน Demo Day ที่ผ่านมารวมทั้งสิ้นจำนวน 8 ทีม ซึ่งผลการแข่งขันมี ดังนี้

· รางวัลชนะเลิศอันดับ 1: ทีม AOIJAI กับโซลูชั่นที่ช่วยดูแลคนขายตั้งแต่ต้นจนจบการขายบน LINE SHOPPING ด้วยการนำเครื่องมือ LINE SHOPPING API และ Generative AI มาใช้ในการบริหารสินค้า จัดการราคา รวมทั้งประเมินประสิทธิภาพการขาย ไปจนถึงสร้างกลยุทธ์การตลาดและแคมเปญแบบอัตโนมัติจากข้อมูลลูกค้า

· รางวัลรองชนะเลิศอันดับที่ 1: ทีม Admax แอดมิน AI ผู้ช่วยซัพพอร์ตที่ดูแลอย่างเข้าใจพร้อมดูแลช่วยเหลือในการตอบคำถามลูกค้า และการสร้างคำสั่งซื้อ เพื่อนำไปสู่การเพิ่มยอดขาย

· รางวัลรองชนะเลิศอันดับที่ 2: ทีม Evolve by Deva แนะนำสินค้าอย่างรู้ใจคนซื้อ เข้าถึงและมัดใจลูกค้าได้มากกว่าเคยด้วยการแนะนำสินค้าที่ปรับให้เหมาะสมกับจุดเด่นของแต่ละร้านค้า พร้อมสนับสนุนการขายผ่านโซเชียลมีเดีย

 

คุณจตวัฒน์ เซี่ย ตัวแทนทีม AOIJAI ผู้ชนะเลิศการแข่งขันอันดับ 1 กล่าวถึงความรู้สึกในการเข้าร่วมกิจกรรมครั้งนี้ว่า “ดีใจมากที่ได้รับรางวัลชนะเลิศ เนื่องจากตลอดระยะเวลากว่า 3 เดือนที่ผ่านมา ทีมของเราทุ่มเททั้งเวลาและความคิดมากมาย เพื่อสร้างโซลูชั่นสำหรับช่วยเหลือพ่อค้าแม่ค้าคนไทยให้ครอบคลุมทุกด้านตั้งแต่ต้นจนจบการขาย โดยมีจุดเริ่มต้นมาจาก การมองเห็นว่าปัจจุบันมีเทคโนโลยีการตลาดเพื่อลูกค้าอยู่มาก แต่ในฐานะที่เรารู้จักกับคนขายของใน LINE SHOPPING ทำให้เข้าใจหัวอกคนขาย และเลือกตีโจทย์ด้วยมุมนี้ว่าจะมีโซลูชั่นอะไรที่ช่วยเหลือผู้ขายได้บ้าง จนออกมาเป็นโซลูชั่นดังกล่าว”

นอกจากนี้ ผู้เข้าร่วมการแข่งขันยังได้ประสบการณ์ที่เปิดกว้าง ผ่านการพบปะและแลกเปลี่ยนองค์ความรู้จากเพื่อนผู้เข้าแข่งขัน รวมทั้งยังได้ใกล้ชิดกับเมนเทอร์ผู้เชี่ยวชาญทั้งฝั่งธุรกิจและผู้พัฒนาจาก LINE ประเทศไทยตลอดการทำงาน ตั้งแต่การให้คำปรึกษา คิดค้น และลงมือทำ ซึ่งถือเป็นประสบการณ์สุดพิเศษที่หาได้เฉพาะงานนี้เท่านั้น

“เวที LINE SHOPPING INCUBATOR 2024 เกิดขึ้นจากความมุ่งมั่นของ LINE SHOPPING ที่ให้ความสำคัญกับการพัฒนาประสบการณ์การใช้งานแพลตฟอร์มโซเชียลคอมเมิร์ซ โดยดึงเอาความเชี่ยวชาญด้านการออกแบบเครื่องมือที่ตรงกับพฤติกรรมการซื้อ-ขายอันเป็นเอกลักษณ์ของคนไทยอย่างการแชทพูดคุย มาผสานเข้ากับจุดแข็งของผู้พัฒนาไทยทั้งหน้าเก่าและหน้าใหม่ที่เข้าใจพฤติกรรมและความต้องการของผู้ใช้คนไทยเป็นอย่างดี จนเกิดเป็นกิจกรรมที่ให้ความสำคัญกับผุ้พัฒนา และเปิดโอกาสกว้างให้คนกลุ่มนี้ได้มีพื้นที่แสดงศักยภาพและสร้างสรรค์นวัตกรรมใหม่ ๆ นำไปสู่การสร้างเครือข่ายผู้พัฒนาไทยที่แข็งแกร่ง ช่วยเพิ่มพูนและเติมเต็มทักษะความรู้ซึ่งกันและกันอย่างไม่มีที่สิ้นสุด พร้อมได้รับการต่อยอดและผลักดันโซลูชั่นออกสู่ตลาดจริง เพื่อตอบโจทย์เทรนด์การช้อปปิ้งออนไลน์ยุคใหม่ และยกระดับประสบการณ์การใช้งานที่ดีกว่าเดิมให้คนไทยทุกคน และในปีต่อไป เราหวังว่าจะได้เห็นคนรุ่นใหม่มาร่วมแสดงศักยภาพการพัฒนาโซเชียลคอมเมิร์ซไปได้อีกขึ้น เพื่อตอบโจทย์พฤติกรรมการซื้อ-ขายของคนไทยในอนาคต” คุณจิรัฏฐ์ กล่าวทิ้งท้าย

ไทยน้ำทิพย์ ผู้นำอุตสาหกรรมเครื่องดื่มในประเทศไทย ร่วมกับ มหาวิทยาลัยบูรพา (คณะวิศวกรรมศาสตร์) ลงนามบันทึกความเข้าใจพัฒนาหลักสูตรการเรียนรู้ร่วมกัน เปิดโอกาสให้นิสิตมหาวิทยาลัยบูรพาศึกษาดูงานและปฏิบัติงานในโรงงานผลิตของไทยน้ำทิพย์ ที่มีการดำเนินการและได้การรับรองมาตรฐานระดับโลก พร้อมทั้งพัฒนาหลักสูตรอบรมระยะสั้นตามความต้องการพัฒนาบุคลากรของไทยน้ำทิพย์ เพิ่มทักษะความรู้เฉพาะทางด้านวิศวกรรม และสามารถเก็บหน่วยกิตในการศึกษาต่อเพื่อได้รับปริญญาตรีจากมหาวิทยาลัยบูรพาต่อไป สอดคล้องกับความมุ่งมั่นของไทยน้ำทิพย์ที่ดำเนินธุรกิจบนพื้นฐานความยั่งยืน ซึ่งรวมถึงการมอบโอกาสในการพัฒนาและเติบโตของพนักงานควบคู่ไปกับการเติบโตของธุรกิจ และส่งเสริมการยกระดับบุคลากรของไทยให้มีความรู้ ความสามารถ สามารถแข่งขันได้ในระดับสากล

คุณชาญวิทย์ ชรินธร ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการอาวุโส-ซัพพลายเชน บริษัท ไทยน้ำทิพย์ คอร์ปอเรชั่น จำกัด กล่าวว่า “ไทยน้ำทิพย์ มีโรงงาน 5 แห่ง ที่ทำหน้าที่ผลิตเครื่องดื่มแบรนด์ระดับโลกและเป็นจุดเริ่มต้นของการส่งมอบความสุขและความสดชื่นให้กับผู้บริโภคในประเทศไทย เรามีความมุ่งมั่นในการดำเนินธุรกิจบนพื้นฐานความรับผิดชอบต่อสังคมอย่างยั่งยืน จึงเป็นที่มาของความร่วมมือทางวิชาการในครั้งนี้ เพราะการยกระดับมาตรฐานการทำงานและสร้างบุคลากรที่มีคุณภาพ นอกจากจะส่งเสริมให้การดำเนินธุรกิจก้าวหน้าทัดเทียมนานาชาติแล้ว ยังเป็นสิ่งสำคัญในการพัฒนาทรัพยากร

บุคคลของไทยต่อไปในอนาคต การร่วมมือกันระหว่างไทยน้ำทิพย์และมหาวิทยาลัยบูรพา จะนำมาซึ่งประโยชน์ในการแลกเปลี่ยนความรู้ ความเชี่ยวชาญ และโอกาสในการศึกษาจากการลงมือทำงานในธุรกิจที่มีมาตรฐานการผลิตระดับโลก ไทยน้ำทิพย์ มีความยินดีและภูมิใจที่เป็นส่วนหนึ่งในการร่วมพัฒนานิสิตให้มีความรู้ ความสามารถ และพร้อมเป็นกำลังสำคัญในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจและสังคมไทยต่อไป”

ผู้ช่วยศาสตราจารย์ณยศ คุรุกิจโกศล คณบดีคณะวิศวกรรมศาสตร์ มหาวิทยาลัยบูรพา กล่าวว่า “การบูรณาการความเชี่ยวชาญระหว่างสถาบันอุดมศึกษาและภาคเอกชน จะช่วยยกระดับมาตรฐานการพัฒนานิสิตให้มีความรู้และทักษะรอบด้าน ทั้งความรู้ในเชิงวิชาการและประสบการณ์จากผู้เชี่ยวชาญจริง ความร่วมมือทางวิชาการในครั้งนี้ จะช่วยผลักดันการพัฒนานิสิตให้มีความพร้อมสำหรับการทำงานในอนาคต ต่อยอดความรู้ผ่านการศึกษาดูงานและฝึกประสบการณ์จริงในโรงงานผลิตของไทยน้ำทิพย์ในรูปแบบสหกิจศึกษา และร่วมกันศึกษากระบวนการผลิตหรือกระบวนการอื่นที่เกี่ยวข้อง ให้เกิดการต่อยอดการทำวิจัยและการพัฒนานวัตกรรม สำหรับนิสิตและบุคลากรของมหาวิทยาลัยบูรพาและบุคลากรของไทยน้ำทิพย์ เรารู้สึกยินดีเป็นอย่างยิ่งที่ได้มีส่วนร่วมในการแลกเปลี่ยนประสบการณ์ความเชี่ยวชาญในครั้งนี้ ซึ่งเป็นโอกาสสำคัญในการผนึกกำลังเพื่อผลักดันการพัฒนาทรัพยากรบุคคลของประเทศ และยังช่วยส่งเสริมการพัฒนานวัตกรรมของอุตสาหกรรมเครื่องดื่มในไทยอีกด้วย”

พิธีลงนามบันทึกความเข้าใจระหว่าง บริษัท ไทยน้ำทิพย์ คอร์ปอเรชั่น จำกัด กับ มหาวิทยาลัยบูรพา จัดขึ้นเมื่อเร็ว ๆ นี้ ที่ไทยน้ำทิพย์ โรงงานรังสิต โดยมี คุณชาญวิทย์ ชรินธร ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการอาวุโส-ซัพพลายเชน บริษัท ไทยน้ำทิพย์ คอร์ปอเรชั่น จำกัด และ ผู้ช่วยศาสตราจารย์ณยศ คุรุกิจโกศล คณบดีคณะวิศวกรรมศาสตร์ มหาวิทยาลัยบูรพา ร่วมลงนาม

KKP Research โดยกลุ่มธุรกิจการเงินเกียรตินาคินภัทร ประเมินว่าการเข้ามาของ EV จากการเปลี่ยนแปลงทางเทคโนโลยีในอุตสาหกรรมยานยนต์ ไม่ใช่สาเหตุเดียวของการเปลี่ยนแปลงที่จะกระทบต่ออุตสาหกรรมยานยนต์ไทย แต่สาเหตุที่สำคัญกว่า คือ การรุกคืบในการชิงส่วนแบ่งตลาดรถยนต์ของผู้ประกอบการจากประเทศจีนที่มีกำลังการผลิตส่วนเกิน และมีความสามารถในการแข่งขันด้านราคา ซึ่งผลักดันให้ยานยนต์จีนมีบทบาทเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วในเวทีโลก โดย EV เป็นเพียงหนึ่งในจุดเปลี่ยนที่เร่งแนวโน้มดังกล่าว การก้าวขึ้นมาเป็นผู้นำตลาดของอุตสาหกรรมรถยนต์จีนจะสร้างแรงกระเพื่อมมายังเศรษฐกิจและยานยนต์ไทยมากขึ้น

โดยผลกระทบต่อตลาดรถยนต์จะไม่ได้จำกัดอยู่เพียงแค่กลุ่มรถยนต์นั่งส่วนบุคคลที่ได้รับผลกระทบโดยตรงจาก EV แต่จะขยายวงกว้างไปยังตลาดรถ “ปิกอัพ” ซึ่งเป็นหัวใจหลักของธุรกิจยานยนต์ไทยและตลาดส่งออกของไทยอีกด้วย

EV เป็นเพียงจุดเริ่มต้น ปิกอัพไทยเสี่ยงถูกชิงตลาดเช่นกัน

เมื่อพิจารณาโครงสร้างการส่งออกรถยนต์ของจีนไปทั่วโลกจะพบว่า จีนส่งออกทั้ง EV และรถยนต์สันดาปภายใน (ICE) โดย EV คิดเป็นสัดส่วนเพียงประมาณ 30% ของการส่งออกรถยนต์ทั้งหมดจากจีนเท่านั้น ในขณะที่อีก 70% ที่เหลือเป็นรถยนต์สันดาปภายในที่มีการส่งออก “ปิกอัพ” รวมอยู่ด้วย ซึ่งคาดว่าในอนาคตจะเป็นคู่แข่งโดยตรงในตลาดส่งออกปิกอัพสำคัญของยานยนต์ไทย โดยเริ่มที่จะเห็นสัญญาณชัดเจนขึ้นในตลาดออสเตรเลียในปี 2023 ที่ปิกอัพของจีนสามารถแย่งส่วนแบ่งตลาดได้มากถึง 8% ของยอดขายกลุ่มรถยนต์เชิงพาณิชย์ทั้งหมดของออสเตรเลียภายในเวลาเพียง 2-3 ปี ดังนั้น ผลกระทบต่อการส่งออกปิกอัพไทยจึงมีแนวโน้มเกิดขึ้นได้เร็วแม้ยังไม่มีการเปิดตัวปิกอัพ EV

ครั้งนี้ไม่เหมือน 1980s…การลงทุนจีนอาจไม่ช่วยต่อยอดยานยนต์ไทย

การเข้ามาของทุนจีนในปัจจุบันเป็นไปเพื่อใช้กำลังการผลิตส่วนเกินในจีนมาเจาะตลาดภายในประเทศมากกว่าการมาใช้ไทยเป็นฐานการผลิตเพื่อการส่งออกแบบญี่ปุ่นในช่วงทศวรรษ 1980s โดยยอดขายรถยนต์ในประเทศจีนมีแนวโน้มที่จะชะลอตัวลงตามภาวะเศรษฐกิจที่ยังไม่มีสัญญาณฟื้นตัว ซึ่งจะกดดันให้มีกำลังการผลิตส่วนเกินเพิ่มมากขึ้น ตลาดส่งออกจึงเป็นทางออกที่สำคัญสำหรับยานยนต์จีนในการระบายสต็อกรถยนต์ อย่างไรก็ตาม จีนไม่สามารถส่งออกรถยนต์ไปทั่วโลกได้ง่ายนัก ท่ามกลางการแบ่งขั้วมหาอำนาจระหว่างจีนและสหรัฐอเมริกาที่ส่งผลให้มีการกีดกันสินค้าจากจีนรุนแรงมากขึ้น อีกทั้งยุโรปยังมีแนวโน้มที่จะเพิ่มภาษีการนำเข้ารถยนต์จีนมากขึ้นเพื่อปกป้องอุตสาหกรรมยานยนต์ของยุโรป ส่งผลให้ภูมิภาคอาเซียนกลายเป็นเป้าหมายหลักถัดไปสำหรับการระบายรถยนต์จีน โดยเฉพาะประเทศไทยที่มีมาตรการให้เงินสนับสนุนการซื้อ EV และยังยกเว้นภาษีนำเข้ารถยนต์จีนผ่านสิทธิประโยชน์ทางภาษีจาก China-ASEAN FTA ซึ่งไทยเป็นเพียงไม่กี่ประเทศที่เปิดให้นำเข้ารถไฟฟ้า นอกจากนี้การลงทุนของจีนอาจสร้างความน่ากังวลต่ออุตสาหกรรมยานยนต์ไทยมากขึ้นด้วยปัจจัยภายใต้ภาวะอุปสงค์และอุปทานตลาดรถยนต์ของไทยที่ปรับแย่ลง ได้แก่

(1) ตลาดรถยนต์ในประเทศของไทยได้ผ่านจุดสูงสุดและเริ่มเข้าสู่ภาวะชะลอตัวนับตั้งแต่ปี 2018 ซึ่งส่งผลให้ยอดขายรถยนต์ภายในประเทศจะเปลี่ยนเป็นทิศทางขาลงต่อเนื่อง และในอนาคตมีแนวโน้มไม่สามารถรองรับ EV จีนที่จะทะลักเข้า

มาในตลาดและที่กำลังจะมีการผลิตภายในประเทศได้ทั้งหมด ทางออกที่สำคัญ คือ ความสามารถในการส่งออก EV จากไทยไปยังประเทศอื่นที่จะช่วยพยุงอุตสาหกรรมยานยนต์ไทยต่อไปได้

(2) อย่างไรก็ตาม ไทยต้องแข่งกับจีนโดยตรงในตลาดส่งออกรถยนต์ในต่างประเทศ จากการที่ผู้ประกอบการจีนมีการส่งออกและเข้าไปลงทุนในอุตสาหกรรมยานยนต์ในประเทศต่าง ๆ โดยตรง จะกดดันให้ส่วนแบ่งตลาดการส่งออกรถยนต์ของไทยมีขนาดเล็กลง ทำให้โอกาสสำหรับไทยในการเป็นผู้นำส่งออกรถยนต์ EV มีความท้าทายมากขึ้น

(3) มูลค่าเพิ่มภายในประเทศ (domestic value add) ที่ไทยจะได้รับจากการผลิตรถยนต์ EV 1 คัน ต่ำกว่าการผลิตรถยนต์ ICE อย่างมาก จากการที่ต้องพึ่งพาการนำเข้าชิ้นส่วนสำคัญจากต่างประเทศ ในขณะที่ในกลุ่มสินค้าเดิมที่ไทยสามารถผลิตได้มีแนวโน้มต้องลดราคาเพื่อแข่งกับผู้ประกอบการจีน เพราะบริษัทจีนสามารถนำเข้าโดยตรงจากจีนด้วยต้นทุนที่ถูกกว่าไทยมาก ทำให้ถึงแม้จะมีการตั้งโรงงานผลิตรถยนต์ EV ในไทย แต่ประโยชน์ที่ไทยจะได้รับจากการผลิตรถยนต์จะน้อยกว่าในอดีต

วิกฤตยานยนต์...สายเกินแก้แล้วหรือยัง?

การเปลี่ยนผ่านของตลาดรถยนต์ทั่วโลกยังคงมีความไม่แน่นอนสูง นั่นอาจจะหมายถึงโอกาสสำหรับไทยในการปรับตัวต่อการเปลี่ยนแปลง โดยยอดขายรถยนต์ไฟฟ้า (Battery Electric Vehicle: BEV) เริ่มชะลอตัวลงทั่วโลก แต่ยอดขายรถยนต์ไฮบริด (Hybrid Vehicles) กลับขยายตัวได้มากขึ้น สาเหตุหลักมาจากข้อจำกัดหลายด้านทั้งความขัดแย้งทางภูมิรัฐศาสตร์ และความไม่แน่นอนของเทคโนโลยี ทำให้ยังไม่สามารถชี้ชัดได้ว่าใครจะเป็นผู้นำตลาดรถยนต์ยุคใหม่ที่แท้จริง และอาจช่วยยืดเวลาสำหรับรถยนต์สันดาปภายในได้อีกระยะหนึ่ง นอกจากนี้ มีความเป็นไปได้สูงว่าค่ายรถจีนจะเข้ามาลงทุนในไทยต่อเนื่องเพื่อดันไทยเป็นหนึ่งในฐานการส่งออกหากการกีดกันสินค้าจากสหรัฐอเมริกาและประเทศตะวันตกรุนแรงมากขึ้น ซึ่งถือเป็นโอกาสที่อาจเอื้อให้เกิดการโอนถ่ายความรู้เทคโนโลยีให้กับไทยได้

อย่างไรก็ตาม นโยบายสนับสนุน EV ในปัจจุบันเอื้อต่อการเน้นการนำเข้าชิ้นส่วนเข้ามาประกอบภายในประเทศมากกว่า ซึ่งจะส่งผลให้มูลค่าเพิ่มที่ไทยได้รับจากการผลิต EV ลดลงมากกว่าครึ่งเมื่อเทียบกับการผลิตรถยนต์สันดาปภายใน ภาครัฐจึงควรให้ความสำคัญกับการพัฒนาศักยภาพด้านเทคโนโลยีของผู้ประกอบการไทยอย่างเร่งด่วน ซึ่งเป็นรากฐานที่สำคัญที่สุดในการแข่งขันของอุตสาหกรรมยานยนต์ในปัจจุบันและอนาคตหากต้องการที่จะรักษาความเป็นผู้นำในภาคยานยนต์ไว้ และอาจจำเป็นต้องมีการทบทวนมาตรการด้านการให้เงินอุดหนุน EV เพื่อลดการบิดเบือนโครงสร้างและราคาในตลาดรถยนต์ รวมถึงการเพิ่มความเข้มงวดในการกำหนดและตรวจวัดสัดส่วนการใช้วัตถุดิบภายในประเทศ (Local content ratio) เพื่อซื้อเวลาให้ภาคยานยนต์ในระยะสั้น และเพื่อสนับสนุนอุตสาหกรรมชิ้นส่วนยานยนต์ไทยให้ยังคงได้รับประโยชน์และมีเวลาปรับตัวรับมือกับการเปลี่ยนแปลงนี้ได้ในระยะยาว

โรงงานรถยนต์และชิ้นส่วนเสี่ยงปิดตัวสูงหากปล่อยตามกลไกตลาด

สถานการณ์ปัจจุบันมีโอกาสสูงที่จะนำไปสู่การปิดโรงงานผลิตรถยนต์ของบางรายที่ไม่สามารถอยู่รอดได้ในสมรภูมิใหม่หากภาครัฐปล่อยไปตามกลไกการแข่งขันในปัจจุบัน ค่ายรถยนต์ญี่ปุ่นหลายค่ายได้เสียส่วนแบ่งตลาดในไทยให้กับ EV จีนมากกว่า 10% ภายในระยะเวลา 1 ปีที่ผ่านมา ส่งผลให้สต็อกรถยนต์ ICE เพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว และกำลังการผลิตรถยนต์ ICE เริ่มปรับลดลง แต่โดยรวมยังไม่สามารถลดกำลังการผลิตได้มากนักจากข้อจำกัดเรื่องต้นทุนคงที่ (Fixed cost) ซึ่งมีขนาดใหญ่ ซึ่งส่งผลให้เกิดการแข่งขันด้านราคาเพื่อระบายสินค้าและกดดันอัตรากำไรของบริษัทยานยนต์ในประเทศ อย่างไรก็ดี ค่ายรถยนต์บางรายอาจไม่สามารถสู้การตัดราคาขายแข่งได้และมีแนวโน้มขาดทุน ซึ่งมีความเสี่ยงมากขึ้นที่จะเกิดการปิดตัวของโรงงานผลิตรถยนต์บางแห่ง คล้ายกับสถานการณ์ที่ค่ายรถญี่ปุ่นต้องเผชิญในประเทศจีน ซึ่งหากมีบริษัทจำเป็นต้องปิดตัวก็จะส่งผลเพิ่มเติมต่อการจ้างงานและเศรษฐกิจไทยในวงกว้างมากขึ้น

 

[]

เคทีซีพร้อมสนับสนุนการแข่งขันกีฬาโอลิมปิก เกมส์ ปารีส 2024 จับมือวีซ่าและ ดีแคทลอน มอบสิทธิพิเศษแก่สมาชิกที่ใช้จ่ายผ่านบัตรเครดิตเคทีซี วีซ่าทุกประเภทตามที่กำหนด รับของที่ระลึกจากวีซ่าได้ที่ดีแคทลอนทุกสาขา (ตามเงื่อนไขที่กำหนด)

นางสาวสิรีรัตน์ คอวนิช ผู้บริหารสูงสุดฝ่ายการตลาดบัตรเครดิต “เคทีซี” หรือ บริษัท บัตรกรุงไทย จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า เพื่อเป็นการสนับสนุนให้สมาชิกรักสุขภาพ และหันมาสนใจการออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ นอกจากนี้ เคทีซี ยังมีการจัดกิจกรรมเพื่อสมาชิกอย่างต่อเนื่องผ่านเฟสบุ๊ก กลุ่ม “KTC SPORTS ตัวจริงเรื่องกีฬา” เพื่อกระชับความสัมพันธ์กับสมาชิกที่ชื่นชอบการออกกำลังกายและยังมีกิจกรรมที่น่าสนใจตลอดทั้งปี โดยในช่วงการจัดการแข่งขันกีฬาโอลิมปิก เกมส์ ปารีส 2024 (Olympic Paris 2024) ที่มีกำหนดจัดขึ้นระหว่างวันที่ 26 กรกฎาคม 2567 – วันที่ 11 สิงหาคม 2567 เคทีซีจึงได้ร่วมกับพันธมิตรประกอบด้วย วีซ่า ผู้นำด้านการให้บริการการชำระเงินดิจิทัลระดับโลก และผู้สนับสนุนอย่างเป็นทางการมหกรรมกีฬาโอลิมปิก และบริษัท ดีแคทลอน (ประเทศไทย) จำกัด มอบสิทธิพิเศษสำหรับสมาชิกตัวจริงเรื่องกีฬา เมื่อใช้จ่ายผ่านบัตรเครดิตเคทีซี วีซ่าทุกประเภท และซื้อสินค้าผ่านดีแคทลอนตามยอดที่กำหนดระหว่างวันที่ 1 มีนาคม 2567 ถึง วันที่ 31 พฤษภาคม 2567 เฉพาะหน้าร้านดีแคทลอนทุกสาขา รับของที่ระลึกสุดพิเศษจากดีแคทลอน ดังนี้

· ยอดใช้จ่ายต่อเซลส์สลิปครบ 1,500 บาท รับผ้าขนหนูไมโครไฟเบอร์ 1 ผืน มูลค่า 70 บาท (จำกัด 1 สิทธิ์ / เซลส์สลิป)

· ยอดใช้จ่ายต่อเซลส์สลิปครบ 3,000 บาท รับกระเป๋าอเนกประสงค์คิปสตา (KLPSTA) ขนาด 35 ลิตร 1 ใบ มูลค่า 300 บาท (จำกัด 1 สิทธิ์ / เซลส์สลิป)

นางสาวนพร อิงคตานุวัฒน์ ผู้อำนวยการอาวุโสฝ่ายการตลาด ประจำวีซ่า ประเทศไทย กล่าวว่า วีซ่าในฐานะผู้สนับสนุนกีฬาโอลิมปิกอย่างเป็นทางการตั้งแต่ปี 2529 รู้สึกยินดีเป็นอย่างยิ่งที่ได้จับมือกับพันธมิตรทั้งเคทีซี และดีแคทลอนในการมอบสิทธิพิเศษให้แก่ผู้ถือบัตรเครดิตเคทีซี วีซ่า และหวังเป็นอย่างยิ่งว่าการเป็นผู้สนับสนุนการจัดการแข่งขันกีฬาโอลิมปิก เกมส์ ปารีส 2024 จะทำให้ประชาชนคนไทยใกล้ชิดกับกีฬาโอลิมปิกมากขึ้นและยังตอกย้ำความแข็งแกร่งของวีซ่าในฐานะผู้นำธุรกิจบัตรชำระเงินระดับโลก

นางสาวศันสนีย์ ทรงเกียรติธนา ผู้อำนวยการฝ่ายการตลาด บริษัท ดีแคทลอน (ประเทศไทย) จำกัด กล่าวว่า ดีแคทลอนผู้จำหน่ายผลิตภัณฑ์และอุปกรณ์กีฬาจากฝรั่งเศสมีสาขาทั่วโลกรวมทั้งประเทศไทย ได้เป็นหนึ่งในผู้สนับสนุนหลักการจัดการแข่งขันกีฬาโอลิมปิก เกมส์ ปารีส 2024 (Olympic Games Paris 2024) ขอส่งแรงใจให้กับนักกีฬาไทยที่เดินทางไปเข้าร่วมการแข่งขันกีฬาโอลิมปิกที่กรุงปารีส ประเทศฝรั่งเศส และหวังเป็นอย่างยิ่งว่าความร่วมมือในครั้งนี้จะส่งต่อคุณค่าของการเล่นกีฬาและส่งเสริมให้คนไทยสนุกกับการออกกำลังกาย โดยดีแคทลอน (ประเทศไทย) ให้คนไทยเล่นกีฬาและหากีฬาที่ใช่ของตัวเองได้ที่ ดีแคทลอนสโตร์ 24 สาขาทั่วประเทศ

ผู้สนใจสามารถสอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ KTC PHONE 02 123 5000 หรือดูรายละเอียดเพิ่มเติมที่ https://www.ktc.co.th/promotion/sports/outdoor-equipment/visa-paris2024 สำหรับผู้ที่ต้องการสมัครสมาชิกบัตรเครดิตเคทีซี สามารถคลิกดูรายละเอียดได้ที่ลิงค์ https://ktc.today/apply-card หรือติดต่อศูนย์บริการสมาชิก “เคทีซี ทัช” ทุกสาขาทั่วประเทศ 

หมายเหตุ : บัตรเครดิตใช้เท่าที่จำเป็นและชำระคืนได้ตามกำหนดจะได้ไม่เสียดอกเบี้ย 16% ต่อปี

PTG ประกาศร่วมมือ SSC IT Group เดินหน้าใช้ประโยชน์บนเทคโนโลยีจาก Dataiku เพื่อยกระดับกลยุทธ์การวิเคราะห์ข้อมูล สำหรับองค์กร โดยความร่วมมือครั้งนี้จะช่วยให้ PTG สามารถวิเคราะห์ข้อมูลเชิงลึกจากแหล่งข้อมูลต่างๆ ได้อย่างมีประสิทธิภาพ และรองรับการนำ AI มาใช้เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการดำเนินงาน พัฒนาสินค้าและบริการ ซึ่งจะนำพาบริษัทเข้าสู่ยุคใหม่ด้วยกลยุทธ์ที่เน้นข้อมูลเป็นศูนย์กลาง และ จะสามารถเข้าใจลูกค้าและตอบสนองความต้องการของลูกค้าได้ดียิ่งขึ้น

นายสัทธา สุภาพ ผู้อำนวยการ ฝ่าย Business Intelligence บริษัท พีทีจีเอ็นเนอยีจํากัด (มหาชน) กล่าวเน้นย้ำถึงความสำคัญของเทคโนโลยีที่ทุกคนเข้าถึงได้ว่า "เรามุ่งหวังว่าทุกคน ไม่ว่าจะมีพื้นฐานด้านเทคนิคมากหรือน้อย ล้วนมีศักยภาพในการค้นหาคุณค่าจากข้อมูลและมีส่วนร่วมในการขับเคลื่อนการเติบโตขององค์กร Dataiku มีจุดเด่นเรื่องการทำงานด้านวิเคราะห์ข้อมูลร่วมกัน ซึ่งจะช่วยให้ผู้เชี่ยวชาญด้านข้อมูลและผู้เชี่ยวชาญด้านเฉพาะทางสามารถทำงานร่วมกันได้อย่างมีประสิทธิภาพ อีกทั้งยังนำ AI ไปบูรณาการกับการทำงานประจำวันได้ง่ายขึ้น นอกจากนี้ แพลตฟอร์ม Dataiku ยังมีระบบ MLOps และ Governance ซึ่งช่วยสร้างกลยุทธ์ที่น่าเชื่อถือและอธิบายได้ง่ายขึ้น"

 

ในภาพ: นายสัทธา สุภาพ ผู้อำนวยการ ฝ่าย Business Intelligence บริษัท พีทีจีเอ็นเนอยี จํากัด (มหาชน)

วันนี้ PTG กำลังดำเนินการโครงการ Customer Data Integration (CDI) ซึ่งจะนำมาใช้ในการสร้างแบบจำลองเชิงพยากรณ์ (predictive modeling) เข้ากับระบบสมาชิกที่มีสมาชิกกว่า 20 ล้านคน เพื่อมาคำนวณมูลค่าที่ลูกค้าแต่ละรายใช้จ่ายไปกับสินค้าหรือบริการของธุรกิจ (customer lifetime value) และเสริมสร้างการตลาดแบบเฉพาะบุคคล (marketing personalization) เป็นการเพิ่มประสิทธิภาพและลดต้นทุนการทำตลาดไปด้วยกัน ซึ่งด้วยความสำเร็จนี้ PTG มุ่งมั่นทีจะเดินหน้ายกระดับกลยุทธ์ การสร้างระบบ วิเคราะห์ข้อมูล สู่ enterprise AI อย่างต่อเนื่องโดยการนำเทคโนโลยี AI บนแพลตฟอร์ม Dataiku มาใช้ในการพัฒนาโซลูชันต่างๆ ไปสู่ภาคธุรกิจนอกเหนือจากธุรกิจน้ำมันเพื่อสร้างความยั่งยืนให้กับธุรกิจ

ความสำเร็จในการนำเทคโนโลยีการวิเคราะห์มาใช้ของ PTG และ Dataiku โดย SSC IT Group ครั้งนี้ ไม่เพียงแต่สามารถเอาชนะความท้าทายเดิมๆ ในการพัฒนาโครงการทางด้านวิทยาศาสตร์ข้อมูลเท่านั้น แต่ยังแสดงให้เห็นถึงศักยภาพของการสร้างสรรค์นวัตกรรมร่วมกัน ความสำเร็จนี้ตอกย้ำถึงความสำคัญของการพิสูจน์เทคโนโลยี (proof of technology) ภายใต้สภาพแวดล้อมทางธุรกิจที่รวดเร็วในปัจจุบัน ซึ่งโซลูชันของการนำ Dataiku มาใช้จะช่วยประหยัดเวลาในการสร้าง Model ซึ่งจะมีความสำคัญต่อการรักษาความได้เปรียบในการแข่งขันของกลุ่มธุรกิจต่างๆ ภายใต้เครือ PTG จะสามารถใช้ประโยชน์จากการวิเคราะห์ข้อมูลขนาดมหาศาลจากระบบนี้ ซึ่งจะช่วยเพิ่มรายได้ให้กับบริษัทนั้นได้อย่างมีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น

ทั้งนี้เพื่อขับเคลื่อนธุรกิจด้วยการตัดสินใจทางธุรกิจที่มีประสิทธิภาพ PTG มุ่งมั่นที่จะคว้าและหาโอกาสใหม่ ๆ โดยอาศัยพลัง AI ซึ่งเปรียบเหมือนการสร้างสรรค์และคิดค้นสิ่งใหม่ ๆ วิสัยทัศน์ของ PTG คือการปฏิวัติความสัมพันธ์ระหว่างธุรกิจกับลูกค้า โดยมอบประสบการณ์ที่เหนือระดับ สร้างความประทับใจและสายสัมพันธ์ที่ยั่งยืนให้กับลูกค้า ความมุ่งมั่นด้านนวัตกรรมและความเป็นเลิศ นี่คือสิ่งที่ทำให้ PTG เป็นผู้นำโดดเด่น ไม่เพียงแค่ในภาคพลังงานเท่านั้น แต่ยังรวมไปถึงอุตสาหกรรมอื่น ๆ อีกด้วย

SSC IT Group ในฐานะคู่ค้าและเป็นผู้เชี่ยวชาญ Dataiku ซึ่งเป็นหนึ่งในแพลตฟอร์ม AI ระดับโลกที่เป็นที่ยอมรับอย่างกว้างขวางว่าสามารถนำมาใช้ในการสนับสนุนภาคธุรกิจได้เป็นอย่างดี เนื่องจาก Dataiku เป็นเครื่องมือที่มีความทันสมัยในด้านการนำข้อมูลองค์กรมาวิเคราะห์เชิงลึก (Advance analytics) โดยใช้เทคโนโลยี AI/ML ที่ใช้งานง่ายและมีความยืดหยุ่นสูงที่สุดในกลุ่ม Solutions ที่เกี่ยวกับ Data Science Platform โดยในปัจจุบันมีบริษัททั่วโลกให้ความไว้วางใจใช้ Dataiku เพื่อสนับสนุนการตัดสินใจทางธุรกิจที่สำคัญขององค์กรในทุกภาคธุรกิจ อาทิ ธุรกิจค้าปลีก ธุรกิจพลังงาน ธุรกิจการเงินการธนาคาร เป็นต้น โดย Dataiku มุ่งเน้นพัฒนารับการเปลี่ยนแปลงของการดำเนินธุรกิจของลูกค้าอย่างต่อเนื่อง ไม่ว่าจะเป็นทางด้านการคาดการณ์ยอดขายในอนาคต หรือ ระบบการวิเคราะห์ข้อมูลโดยคำนึงถึงพฤติกรรมลูกค้าในปัจจุบันและรวมถึงสามารถแนะนำข้อเสนอที่เหมาะสมในอนาคตให้กับลูกค้า ทั้งนี้ Dataiku ยังได้มุ่งมั่นพัฒนาแพลตฟอร์มสำหรับองค์กรธุรกิจที่จะนำ AI และ Generative AI มาขับเคลื่อนธุรกิจให้มีความคล่องตัว รวมถึงมีความพร้อมรองรับการแข่งขันทางธุรกิจ โดยย้ำเน้นถึงความง่ายและความสะดวกในการทำงานร่วมกันภายในองค์กร ตั้งแต่วิศวกรข้อมูล (Data Engineer), นักวิเคราะห์ข้อมูล (Data

Analyst) ไปจนถึงนักวิทยาศาสตร์ข้อมูล (Data Scientist) และอีกทั้งผู้ใช้ข้อมูลในเชิงธุรกิจ (Business User / Citizen Data Science) อีกด้วย

ศูนย์พันธุวิศวกรรมและเทคโนโลยีชีวภาพแห่งชาติ (ไบโอเทค) สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) เปิดตัว DAPBot (แดปบอท) แพลตฟอร์มสนับสนุนการจำแนกศัตรูพืชและการเข้าถึงชีวภัณฑ์เกษตร ในรูปแบบ Line Official เพื่อให้เข้าถึงการใช้งานโดยง่ายของเกษตรกร

เป็นแพลตฟอร์มที่เชื่อมต่อระหว่าง 3 หัวใจหลัก (เกษตรกร นักวิชาการ และผู้ผลิตชีวภัณฑ์) เป็นผู้ช่วยส่วนตัวเกษตรกรในไลน์ เพียงแค่กดเพิ่มเพื่อน โดย DAPBot จะให้บริการตรวจวินิจฉัยความผิดปกติของพืช ทั้งปัญหาโรคและแมลงศัตรูพืชต่าง ๆ พร้อมรวบรวมกลุ่มผู้ผลิตชีวภัณฑ์ที่มีคุณภาพและมาตรฐานจากทั่วประเทศ รวมถึงยังให้บริการตรวจวัดสภาพอากาศเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการใช้งานชีวภัณฑ์ นอกจากนี้ยังเป็นระบบที่เผยแพร่ความรู้และแจ้งเตือนการระบาดของศัตรูพืช ช่วยให้เกษตรกรสามารถวินิจฉัยปัญหาในแปลงเกษตรได้อย่างตรงจุด เพิ่มประสิทธิภาพการผลิตและลดใช้สารเคมี เสริมสร้างความเข้มแข็งการใช้ชีวภัณฑ์ในประเทศอย่างยั่งยืน ยกระดับภาคเกษตรไทยเป็นเกษตรปลอดภัยตามนโยบาย BCG

 

ดร.อลงกรณ์ อำนวยกาญจนสิน หัวหน้าทีมวิจัยเทคโนโลยีการควบคุมทางชีวภาพ ไบโอเทค สวทช. ผู้พัฒนาระบบ DAPBot กล่าวว่า จากการถอดบทเรียนการทำงานของทางห้องปฏิบัติการและออกเผยแพร่ในแปลงทดสอบร่วมกับเกษตรกรในหลายพื้นที่ทั่วประเทศไทย ทำให้ทีมวิจัยเราพบว่า ปัญหาหลักหนึ่งคือ เกษตรกรเข้าถึงเชื้อชีวภัณฑ์ที่มีคุณภาพได้จำกัดมาก ไม่ว่าจะเป็นแหล่งที่ซื้อ ซื้อที่ไหน ซื้อออนไลน์ได้ไหม หรือพอซื้อแล้วกลับได้ชีวภัณฑ์ปลอมเป็นน้ำผสมสี นำไปใช้แล้วไม่ได้ผล ทำให้มุมมองต่อการใช้ชีวภัณฑ์ติดลบ ไม่ใช้แล้ว กลับไปใช้สารเคมีดังเดิมดีกว่า และอีกหนึ่งปัญหาหลักคือ เกษตรกรมักมีความเข้าใจผิดค่อนข้างมากว่า สิ่งผิดปกติที่เกิดขึ้นเกิดจากแมลง แท้จริงแล้วเกิดจากเชื้อรา จึงใช้ยาไม่ถูกโรคเสียที เพิ่มการใช้สารเคมีมากขึ้นหรือใช้ชีวภัณฑ์ไม่ได้ผลอย่างที่ต้องการ เหตุผลเหล่านี้คือที่มาหลักในการพัฒนา DAPBot ขึ้นมา

DAPBot เป็นแพลตฟอร์มที่รวบรวมชีวภัณฑ์ในประเทศไทยไว้ โดยเฉพาะชีวพันธุ์ที่มีคุณภาพและได้มาตรฐานจากผู้ประกอบการไทย คือได้รับการถ่ายทอดเทคโนโลยีจาก สวทช. และได้รับการขึ้นทะเบียนกับกรมวิชาการเกษตร โดย DAPBot จะเป็นตัวช่วยส่วนตัวของเกษตรกรในการตอบคำถามความผิดปกติของพืช ไม่ว่าจะเป็นเรื่องโรคพืชแมลง เรื่องปุ๋ย เรื่องสภาพอากาศ เรื่องน้ำ แล้วยังมีการรวบรวมแอปพลิเคชัน ที่ช่วยตอบคำถามเรื่องสภาพอากาศ เพราะการจะใช้ชีวภัณฑ์ให้มีประสิทธิภาพสูงสุด หนึ่งจะต้องมีคุณภาพ สองใช้ให้ถูกโรคถูกแมลง และสามต้องตรวจสอบสภาพอากาศก่อนใช้งาน เช่น ถ้าใช้ก่อนฝนตกหนัก ชีวภัณฑ์จะหายไปหมดไม่ได้คุณภาพ หรือถ้าจะใช้วันนี้อากาศร้อนมากแต่พรุ่งนี้ฝนตก ให้รอใช้พรุ่งนี้ดีกว่า เป็นต้น

ด้าน น.ส.เชษฐ์ธิดา ศรีสุขสาม ผู้ช่วยวิจัยทีมวิจัยเทคโนโลยีการควบคุมทางชีวภาพ ไบโอเทค สวทช. กล่าวเสริมว่า ทีมวิจัยมุ่งมั่นให้ DAPBot เป็นระบบที่ให้ความช่วยเหลือเกษตรกรได้อย่างยั่งยืน เกิดการอัพสกิลด้วยตัวเอง เช่น เมื่อเจออาการแบบนี้ส่งมาถามในแชทได้ความรู้ที่ถูกต้อง เกษตรกรจะเริ่มจำได้ในคราวต่อไป และทางทีมมีแผนจะรวบรวมภาพที่เกษตรกรส่งมานำไปทำ AI Training เพื่อที่ว่าต่อไปเมื่อเกษตรกรสอบถามมาจะได้คำตอบเร็วขึ้น ไม่ต้องรอผู้เชี่ยวชาญตอบ และจากที่ต้องรอสองชั่วโมงจะเหลือแค่หนึ่งวินาที เป็นต้น นอกจากนี้ DAPBot ยังนับเป็นช่องทางให้ผู้ผลิตชีวภัณฑ์ที่มีคุณภาพของประเทศไทยได้มาเจอกันกับลูกค้าที่เป็นกลุ่มผู้ใช้งานโดยตรงคือเกษตรกร ซึ่งผู้ใช้งาน DAPBot จะไม่ได้จำกัดเพียงแค่เกษตรกรในกลุ่มเกษตรอินทรีย์และเกษตรปลอดภัยเท่านั้น แต่เกษตรทั่วไปที่อยากหันมาใช้ชีวภัณฑ์ในช่วงที่แมลงไม่ได้ระบาดมาก สามารถใช้ได้ หรือเกษตรกรตามบ้านที่ปลูกผักปลูกกุหลาบ ไม่อยากซื้อยามาฉีด อยากใช้ชีวภัณฑ์ก็ได้เช่นกัน โดย DAPBot นับเป็นตัวเชื่อมให้กลุ่มผู้ใช้งานและกลุ่มผู้ใหบริการชีวภัณฑ์ได้มาเจอกันนั่นเอง

ทั้งนี้ DAPBot จะมีแอดมินที่เป็นทีมวิจัยซึ่งมีความรู้เรื่องโรคและแมลงคอยดูแลตอบคำถามอยู่ และพร้อมส่งต่อคำถามให้ผู้เชี่ยวชาญที่เกี่ยวข้อง เช่น อาจารย์มหาวิทยาลัยหรือนักวิชาการเกษตร โดย DAPBot ตั้งใจทำถึง ทำมาก ด้วยความพยายามตอบทุก ๆ คำถามไม่เกิน 24 ชั่วโมง ผู้สนใจใช้งาน เพียงแค่แอดไลน์ @dapbot สามารถเริ่มใช้งานได้ทันที โดยทีมวิจัยคาดหวังว่าระบบนี้จะสามารถเป็นผู้ช่วยของเกษตรกรและเป็นประโยชน์สนับสนุนให้เกิดการใช้ชีวภัณฑ์เป็นวงกว้างและยั่งยืนต่อไป

สำหรับเกษตรกรและผู้ที่เกี่ยวข้องที่สนใจ สามารถสอบถามเพิ่มเติมได้ที่ ทีมวิจัยเทคโนโลยีการควบคุมทาง กลุ่มวิจัยเทคโนโลยีไบโอรีไฟเนอรีและชีวภัณฑ์ ไบโอเทค สวทช. โทร. 02-5646700 ต่อ 3378, 3364 อีเมล This email address is being protected from spambots. You need JavaScript enabled to view it. และช่องทางสื่อสังคมออนไลน์ต่าง ๆ Facebook Page: ชีวภัณฑ์ไบโอเทค เพื่อผักผลไม้ปลอดภัย Blockdit: ชีวภัณฑ์ไบโอเทค เพื่อผักผลไม้ปลอดภัย X (Twitter): Green Crop Defender @GCD_Squad และ TikTok: ชีวภัณฑ์ไบโอเทค

มัลแวร์ที่ขโมยข้อมูล และข้อมูลส่วนบุคคลเป็นภัยคุกคามสองอันดับแรกต่อธุรกิจ SMB ในปี 2023 ซึ่งคิดเป็นเกือบ 50% ของมัลแวร์ทั้งหมดที่ Sophos ตรวจพบในธุรกิจนี้ แรนซัมแวร์ยังคงเป็นภัยคุกคามที่ใหญ่ที่สุดสำหรับธุรกิจ SMB การโจมตีผ่านอีเมลธุรกิจมีจำนวนเพิ่มมากขึ้น พร้อมด้วยเทคนิคการหลอกลวง (Social Engineering) ที่ซับซ้อนยิ่งขึ้น

โซฟอส (Sophos) องค์กรด้านนวัตกรรม และการให้บริการความปลอดภัยไซเบอร์ เปิดรายงานสำรวจภัยคุกคามจากแรนซัมแวร์ ปี 2024 โดยรายงานในปีนี้มีรายละเอียดเกี่ยวกับ “Cybercrime on Main Street” และภัยคุกคามที่ใหญ่ที่สุดที่ธุรกิจขนาดเล็กและขนาดกลาง (SMBs*) กำลังเผชิญอยู่ ซึ่งตามรายงานในปี 2023 พบว่าการตรวจจับมัลแวร์เกือบ 50% สำหรับธุรกิจ SMB นั้นเกิดขึ้นในรูปแบบคีย์ล็อกเกอร์ สปายแวร์ และสตีลเลอร์ ซึ่งเป็นมัลแวร์ที่ผู้โจมตีใช้เพื่อขโมยข้อมูล และข้อมูลส่วนบุคคล โดยผู้โจมตีจะใช้ข้อมูลที่ขโมยมานี้เพื่อเข้าถึงจากระยะไกลโดยไม่ได้รับอนุญาต เพื่อขู่กรรโชกเหยื่อ ปล่อยแรนซัมแวร์ และอื่น ๆ อีกมากมาย

รายงานของโซฟอส ยังวิเคราะห์ Initial Access Brokers (IABs) ซึ่งเป็นอาชญากรที่เชี่ยวชาญในการเจาะเข้าสู่เครือข่ายคอมพิวเตอร์ ซึ่งรายงานพบว่า เหล่า IABs กำลังใช้ดาร์กเว็บ (Dark Web) เพื่อโฆษณาความสามารถ และการบริการของพวกเขาในการเจาะเข้าสู่เครือข่ายของธุรกิจ SMB โดยเฉพาะ หรือขายการเข้าถึง SMBs ที่พวกเขาได้เจาะระบบเรียบร้อยแล้ว

 

 Sophos X-Ops พบตัวอย่างการโพสต์โฆษณาในดาร์กเว็บที่สามารถเข้าถึงบริษัทบัญชีขนาดเล็กในสหรัฐฯ รวมถึงตัวอย่างเพิ่มเติมของโฆษณาในฟอรัมอาชญากรทางไซเบอร์ที่กำหนดเป้าหมายธุรกิจ SMB ตามกลุ่มอุตสาหกรรม และประเทศ จากรายงานภัยคุกคามของโซฟอส ประจำปี 2024

คริสโตเฟอร์ บัดด์ ผู้อำนวยการฝ่ายวิจัย Sophos X-Ops ของ โซฟอส กล่าวว่า “มูลค่าของ 'ข้อมูล' เป็นเหมือนเงินที่เพิ่มขึ้นแบบทวีคูณในหมู่อาชญากรไซเบอร์ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในธุรกิจ SMB ซึ่งมักใช้หนึ่งเซอร์วิส หรือแอปพลิเคชันต่อหนึ่งฟังก์ชันสำหรับการดำเนินการทั้งหมด ตัวอย่างเช่น สมมุติว่าผู้โจมตีใช้การขโมยข้อมูล (infostealer) บนเครือข่ายของเป้าหมายเพื่อขโมยข้อมูลประจำตัว และนำรหัสผ่านที่ได้ไปใช้เข้าถึงบริษัทซอฟต์แวร์บัญชี ผู้โจมตีสามารถเข้าถึงข้อมูลทางการเงินของบริษัทเป้าหมาย และส่งโอนเงินเข้าสู่บัญชีของตนเอง จึงเป็นเหตุผลว่าทำไมว่า 90% ของการโจมตีทางไซเบอร์ทั้งหมดในรายงานของโซฟอส ปี 2023 ถึงเกี่ยวข้องกับการขโมยข้อมูล หรือข้อมูลส่วนบุคคล ไม่ว่าจะผ่านการโจมตีด้วยแรนซัมแวร์ การขู่กรรโชกข้อมูล การเข้าถึงระยะไกลโดยไม่ได้รับอนุญาต หรือการขโมยข้อมูลทั่วไป”

แรนซัมแวร์ ยังคงเป็นภัยคุกคามทางไซเบอร์ที่ใหญ่ที่สุดสำหรับธุรกิจ SMB

แม้ว่าจำนวนการโจมตีด้วยแรนซัมแวร์ต่อธุรกิจ SMB นั้นค่อนข้างคงที่ แต่แรนซัมแวร์ยังคงเป็นภัยคุกคามทางไซเบอร์ที่ใหญ่ที่สุดสำหรับธุรกิจ SMB ที่ไม่ควรมองข้าม ตัวอย่างเคสของธุรกิจ SMB ที่จัดการโดยหน่วยงานการตรวจจับ และวิเคราะห์ภัยคุกคามของโซฟอส (Sophos Incident Response: IR) ที่ทำหน้าที่ช่วยเหลือองค์กรในขณะที่การโจมตีที่เกิดขึ้น พบว่า LockBit ถือเป็นแก๊งแรนซัมแวร์อันดับต้นๆ ที่สร้างความหายนะให้แก่ธุรกิจ ตามมาด้วย Akira และ BlackCat เป็นอันดับสองและสามตามลำดับ จากรายงานพบว่าธุรกิจ SMB ยังเผชิญกับการโจมตีจากแรนซัมแวร์รุ่นเก่า และที่ไม่ค่อยมีคนรู้จัก เช่น BitLocker และ Crytox อีกด้วย

จากรายงานยังพบอีกว่าผู้ใช้แรนซัมแวร์ยังคงเปลี่ยนเทคนิคใช้แรนซัมแวร์อย่างต่อเนื่อง ซึ่งรวมถึงจากการเข้ารหัสระยะไกล และกำหนดเป้าหมายไปที่ผู้ให้บริการการจัดการ (Managed Service Providers: MSP) โดยระหว่างปี 2022 ถึง 2023 จำนวนการโจมตีแรนซัมแวร์ที่เกี่ยวข้องกับการเข้ารหัสระยะไกล ในรูปแบบที่ผู้โจมตีใช้อุปกรณ์ที่ไม่มีการควบคุม ทำการเข้ารหัสไฟล์บนระบบอื่นๆ ในเครือข่ายเพิ่มขึ้นถึง 62%

นอกจากนี้ในปีที่ผ่านมา ทีมตรวจจับและตอบสนองต่อการโจมตีทางไซเบอร์ (Managed Detection and Response: MDR) ของ โซฟอส ได้เข้าไปจัดการดูแล 5 เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นกับธุรกิจขนาดเล็กโดยถูกโจมตีผ่านช่องโหว่ของ MSP ที่ใช้ซอฟต์แวร์การตรวจสอบ และการจัดการระยะไกล (Remote Monitoring and Management: RMM) มีการโจมตีโดยวิธีการหลอกลวง (Social Engineering) รวมทั้งทางอีเมลธุรกิจ (BEC) เพิ่มมากขึ้น

นอกจากแรนซัมแวร์แล้ว การโจมตีโดยการหลอกลวงผ่านทางอีเมลธุรกิจ (BEC) ถือเป็นการโจมตีที่สูงเป็นอันดับสองที่ Sophos IR รับมือในปี 2566 ตามรายงานของโซฟอส +การโจมตีแบบ BEC และการหลอกลวงต่างๆ มีความซับซ้อนเพิ่มมากขึ้น แทนที่จะส่งอีเมลพร้อมไฟล์แนบที่เป็นอันตราย ผู้โจมตีมีแนวโน้มที่จะมีปฎิสัมพันธ์กับเป้าหมายมากขึ้นโดยการส่งอีเมลสนทนาตอบกลับไปมา หรือแม้แต่โทรหาเหยื่อ ผู้โจมตีมีความพยายามที่จะหลบเลี่ยงการตรวจจับด้วยเครื่องมือป้องกันสแปมแบบดั้งเดิม โดยปัจจุบันผู้โจมตีกำลังทดลองใช้การโจมตีรูปแบบใหม่ ๆ ที่ประกอบด้วยเนื้อหาที่เป็นอันตราย การฝังรูปภาพที่มีโค้ดที่เป็นอันตราย หรือการส่งไฟล์แนบที่เป็นอันตรายใน OneNote หรือ archive formats ต่างๆ ยกตัวอย่างเหตุการณ์หนึ่งที่โซฟอสเข้าตรวจสอบ ผู้โจมตีได้ส่งเอกสาร PDF พร้อมภาพขนาดย่อของ “ใบแจ้งหนี้” ที่เบลอ และไม่สามารถอ่านได้ พร้อมปุ่มดาวน์โหลดโดยลิงก์ไปยังเว็บไซต์ที่เป็นอันตราย เป็นต้น

สำหรับรายละเอียดเชิงลึกเกี่ยวกับอาชญากรรมทางไซเบอร์ที่มุ่งเป้าไปยังธุรกิจ SMB เพิ่มเติม โปรดอ่านรายงานภัยคุกคามของโซฟอสปี 2024: Cybercrime on Main Street บนเว็บไซต์ Sophos.com

 

X

Right Click

No right click