December 20, 2025

นางสาวสุภาภรณ์ อังศรีสุรพร ผู้จัดการฝ่ายบริหารโครงการอาวุโส อินฟอร์มา มาร์เก็ตส์ ประเทศไทย ผู้จัดงาน Food & Hospitality Thailand (FHT) เผยถึงความคืบหน้าในการเตรียมจัดงานฯ ปีนี้ว่า จากทั้งสัญญาณการท่องเที่ยวที่ดีต่อเนื่องตั้งแต่ต้นปี 67 และจำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติล่าสุดที่สูงเกิน 11.29 ล้านคนแล้ว โดยนักท่องเที่ยวจีนยังเป็นอันดับ 1 โดยมีจำนวนสูงถึง 1,920,039 คน ยังไม่รวมนักท่องเที่ยวจากจีนที่เข้ามาเที่ยวในช่วงเทศกาลสงกรานต์อีก 395,830 คน และคาดว่าจะบรรลุเป้าหมายของทั้งปีที่ ททท. กำหนดไว้ที่ 35 ล้านคน นอกจากนั้นยังได้รับการส่งเสริมจากนโยบายภาครัฐที่ต้องการดึงดูดนักท่องเที่ยวทั่วโลกจากการเป็นเจ้าภาพจัดงานสัมมนาและการประชุมระดับโลก การเพิ่มเที่ยวบินจากเส้นทางการบินระหว่างประเทศมาไทย รวมถึงการประกาศให้เป็น "Golden Year of Tourism" ในปี 2568 เพื่อเน้นย้ำกระแสการท่องเที่ยวอย่างต่อเนื่อง โดยได้เตรียมจัดอีเวนท์สำคัญระดับโลกและนำเสนอศิลปะ วัฒนธรรม อาหาร และแฟชั่น ฯลฯ สู่สายตาชาวโลก

ดังนั้น อินฟอร์มา มาร์เก็ตส์ ประเทศไทย จึงได้รวมมือกับพันธมิตรขยายขอบเขตการจัดงาน Food & Hospitality Thailand พร้อมยกระดับการจัดงานเป็น Thai Tourism & Hospitality Week ถือเป็นแรงสนับสนุนของภาพเอกชนที่จะช่วยสร้างความคึกคักและร่วมพัฒนาภาคธุรกิจท่องเที่ยวของไทยให้มีการเติบโตอย่างต่อเนื่อง จากแผนงานดังกล่าวที่ได้สื่อสารกับกลุ่มผู้ประกอบการด้านการท่องเที่ยวทั้งในและต่างประเทศ ส่งผลให้การจัดงานฯ ในปีนี้ได้รับความสนใจเป็นอย่างมาก โดยข่าวดีล่าสุดของการจัดงานครั้งนี้ คือ การได้รับความสนใจจาก 2 งานแสดงสินค้าใหญ่ Hotel & Shop Plus และ Hotelex จากประเทศจีนที่จะมาเข้าร่วมในการจัดงานครั้งนี้ด้วย

โดย Hotel & Shop Plus Thailand จะเป็นงานแสดงสินค้าชั้นนำสำหรับโรงแรม ร้านอาหาร ร้านค้าปลีก และพื้นที่เชิงพาณิชย์ ที่รวบรวมซัพพลายเออร์ชั้นนำที่นำเสนอผลิตภัณฑ์ครอบคลุมตั้งแต่การออกแบบภายนอกและภายใน ระบบโรงแรมอัจฉริยะ การตกแต่งและแสงสว่าง โดยครั้งนี้เป็นปีที่ 2 ของการร่วมจัดงาน ส่วน Hotelex Thailand นั้น เป็นงานที่นำเสนอโซลูชั่นของภาคธุรกิจโรงแรมและการจัดเลี้ยง อาทิ อุปกรณ์สำหรับงานจัดเลี้ยงและเครื่องใช้บนโต๊ะอาหาร โดย Hotelex Thailand นั้น เป็นการร่วมจัดงานครั้งแรกในประเทศไทย

ดังนั้น Thai Tourism & Hospitality Week จึงมีความยิ่งใหญ่และครบวงจรจากการผสานจุดเด่นของทั้ง 3 งาน เป็นการพัฒนาการจัดงานไปสู่การเป็นศูนย์กลางการสร้างเครือข่ายและการสำรวจเทรนด์ใหม่ๆ ของอุตสาหกรรมอาหารและการบริการ ทำให้อุตสาหกรรมท่องเที่ยวของไทยการเติบโตได้อย่างแข็งแรงและยั่งยืน พร้อมทั้งส่งเสริมให้ไทยเป็นจุดหมายปลายทางของการจัดงานด้านธุรกิจบริการและการท่องเที่ยวของภูมิภาคอีกด้วย

ในส่วนของงาน Food & Hospitality Thailand 2024 มีการจัดแบ่งโซนการจัดแสดงสินค้า 8 โซน ประกอบด้วย อาหารและเครื่องดื่ม (Food & Drinks) คาเฟ่และเบเกอรี่ (Café & Bakery) เครื่องใช้สำหรับธุรกิจบริหาร (Hospitality Style) เทคโนโลยีสำหรับธุรกิจบริการ (Hospitality Technology) อุปกรณ์สำหรับธุรกิจอาหาร (Foodservice Equipment) เครื่องดื่มแอลกอฮอล์ (Sips & Spirits) ร้านค้าปลีก (Shop & Retail) อุปกรณ์และเครื่องใช้สำหรับทำความสะอาด (Cleaning Supplies & Equipment) รวมถึงกิจกรรมการแข่งขัน และสัมมนาสำหรับคนในวงการเพื่ออัปเดทเทรนด์ใหม่ๆ และความรู้ เพื่อต่อยอดธุรกิจ

งาน Food & Hospitality Thailand 2024 เป็นงานแสดงสินค้าสำหรับธุรกิจโรงแรม ร้านอาหารและการบริการที่ครบวงจรที่สุดของภูมิภาค โดยงานจะจัดขึ้นระหว่างวันที่ 21-24 สิงหาคม 2567 ณ ฮอลล์ 1-4 ชั้น G ศูนย์การประชุมแห่งชาติสิริกิติ์ ข้อมูลรายละเอียดการจัดงานสามารถเข้าชมและติดตามได้ที่เว็บไซต์ www.fhtevent.com Facebook : Food & Hospitality Thailand

บริษัท รินไน (ประเทศไทย) จำกัด ผู้ผลิตเครื่องทำน้ำอุ่น เครื่องทำร้อน รวมถึงเครื่องใช้ในครัวเรือนและอุตสาหกรรมคุณภาพมาตรฐานระดับสากล เตรียมนำเสนอเครื่องดูดควัน นวัตกรรมและเทคโนโลยี พลาสม่า (Plasma) มาประยุกต์ใช้แบรนด์แรกของไทย ช่วยให้ขจัดกลิ่นควันจากการทำอาหาร แบคทีเรีย ไวรัส และฝุ่นระดับ PM2.5 ได้อย่างมีประสิทธิภาพ พร้อม G-Line series ซีรีส์ชุดครัวระดับไฮเอนด์ที่ผลิตและพัฒนาโดย รินไน ประเทศญี่ปุ่น ร่วมโชว์ในงานสถาปนิก’ 67 ครั้งที่ 36 ระหว่างวันที่ 30 เมษายน – 5 พฤษภาคม 2567 ณ ชาเลนเจอร์ ฮอลล์ 1-3 อิมแพ็ค เมืองทองธานี

รินไน (Rinnai) มุ่งมั่นในการนำเสนอนวัตกรรมใหม่ที่ช่วยให้ชีวิตมีความสะดวกมากขึ้น ซึ่งเครื่องดูดควัน นวัตกรรมและเทคโนโลยี พลาสม่า มีการออกแบบที่ทันสมัย สามารถขจัดได้ทั้งกลิ่นควันจากการทำอาหาร กำจัดเชื้อแบคทีเรียและไวรัส และฝุ่นระดับ PM2.5 ได้อย่างมีประสิทธิภาพ นอกจากนั้นยังมีการนำเสนอ G-Line series ซีรีส์ชุดครัวระดับไฮเอนด์ที่ผลิตและพัฒนาโดย รินไน ประเทศญี่ปุ่น ที่เน้นไลฟ์สไตล์ผู้ใช้งานและเสริมความแข็งแกร่งด้วยสีดำและการออกแบบอันประณีต จนเป็นซีรีส์ชุดครัวระดับไฮเอนด์ที่ขับเคลื่อนความรู้สึกและไลฟ์สไตล์สมัยใหม่ให้เหนือชั้นและน่าหลงใหล ซึ่งความหมายของ G คือ ตัวอักษรตัวแรกของคำหลายๆ คำที่มีความหมายสื่อถึงความยิ่งใหญ่และความประณีต อาทิ gland , great , Gold , Grace, Glamorous โดยใช้สีดำที่เป็นองค์ประกอบหลักเพื่อสะท้อนและสื่อถึงความแข็งแกร่ง พร้อมแสดงให้เห็นถึงการออกแบบที่ประณีต สำหรับความนิยมของ G-Line ในประเทศญี่ปุ่นนั้น ได้รับความนิยมเป็นอย่างมากจากบรรดาศิลปินและสไตล์ลิสที่มีชื่อเสียง

รินไน เป็นแบรนด์สินค้าจากประเทศญี่ปุ่น เป็นผู้ผลิตและจัดจำหน่ายเครื่องครัวประเภทเตาฝัง เครื่องดูดควัน เครื่องทำน้ำอุ่น-เครื่องทำน้ำร้อน ซึ่งมีกำลังการผลิตสูงและเปี่ยมไปด้วยคุณภาพเป็นลำดับต้นของไทยในราคาที่จับต้องได้ โดยในการผลิตมีการนำเทคโนโลยีที่ทันสมัยมาใช้ในการพัฒนาผลิตภัณฑ์ เพื่อมอบคุณภาพชีวิตที่ดีแก่ผู้ใช้งาน ซึ่ง รินไน เชื่อว่าทั้งหมดนี่ คือ การสร้างสิ่งความยั่งยืนให้แก่แบรนด์ นอกจากนั้น รินไน ยังเป็นแบรนด์ที่มีเครือข่ายทั่วโลก การพัฒนาแบรนด์และผลิตภัณฑ์นั้น มีการดำเนินการอย่างสอดคล้องกับความต้องการของผู้ใช้งานแต่ละภูมิภาค ภายใต้แนวคิด ‘Good for Person, Good for Region’

สำหรับผู้สนใจเครื่องดูดควัน นวัตกรรมและเทคโนโลยี พลาสม่า พร้อม G-Line series ซีรีส์ชุดครัวระดับไฮเอนด์จากประเทศญี่ปุ่น และผลิตภัณฑ์อื่นๆ จาก รินไน สามารถเยี่ยมชมได้ที่งานสถาปนิก’ 67 ที่บูธหมายเลข L106 ระหว่างวันที่ 30 เมษายน – 5 พฤษภาคม 2567 ณ ชาเลนเจอร์ ฮอลล์ 1-3 อิมแพ็ค เมืองทองธานี

สมาคมการการตลาดแห่งประเทศไทย (MAT) ประกาศแต่งตั้ง “บุรณิน รัตนสมบัติ” ดำรงตำแหน่งนายกสมาคมการตลาดแห่งประเทศไทยสมัยที่ 2 พร้อมเดินหน้าสานต่องานและภารกิจสำคัญ คือ "ยกระดับ" เป็น "Marketing Accelerator" ตัวเร่ง ผลักดัน และสนับสนุน พร้อมเป็นตัวสานความสัมพันธ์ทุกภาคส่วนที่เกี่ยวข้อง เพื่อการพัฒนาให้การตลาดเป็นยุทธศาสตร์สำคัญในการขับเคลื่อนประเทศ

ในงานประชุมใหญ่สามัญประจำปี 2567 ของสมาคมการตลาดแห่งประเทศไทยที่ผ่านมา ที่ประชุมมีมติเป็นเอกฉันท์ให้แต่งตั้ง “บุรณิน รัตนสมบัติ” ขึ้นดำรงตำแหน่งนายกสมาคมการตลาดแห่งประเทศไทยเป็นสมัยที่ 2 โดยมีวาระการบริหารงาน 2 ปี ระหว่างปี 2567 – 2569

ดร.บุรณิน รัตนสมบัติ นายกสมาคมการตลาดแห่งประเทศไทย กล่าวว่า ต้องขอบคุณและรู้สึกเป็นเกียรติอย่างยิ่งที่ได้รับความไว้วางใจให้ดำรงตำแหน่งนายกสมาคมการตลาดแห่งประเทศไทยอีกวาระ (บริหารงาน 2 ปี ระหว่าง 2567 - 2569) โดยจะทำหน้าที่ดังกล่าวอย่างเต็มความสามารถ หลังจากการระบาดของโควิด-19 ก่อให้เกิดกระแสการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ในโลกธุรกิจ ทั้งในแง่ของรูปแบบการทำการตลาด และ skillset ของบุคลากรในทุกภาคส่วน การมารับหน้าที่ 2 ปีที่ผ่านมาถือว่าท้าทายมาก ๆ เนื่องจากพฤติกรรม ความต้องการ และความคาดหวังของผู้บริโภคนั้นเปลี่ยนไปจากแต่ก่อนอย่างสิ้นเชิง การตลาดแบบเดิม ๆ อาจไม่นำไปสู่ผลสำเร็จที่ต้องการอีกต่อไป

“ท่ามกลางกระแสการเปลี่ยนแปลง การดำเนินธุรกิจในรูปแบบเก่า ๆ เริ่มล้มหายตายจากอย่างเห็นได้ชัด การแข่งขันรุนแรง มีในทุกรูปแบบมากขึ้น บทบาทของสมาคมการตลาดในยุคหน้า จึงไม่ใช่แค่มุมมองใหม่ ไม่ใช่การประดิษฐ์คำพูดสวย ๆ ทางการตลาดหรือ Buzz Word แต่ต้องเป็นแนวทางการปฏิบัติที่ทำได้จริง เห็นผลจริง ปรับตามสถานการณ์อย่างทันท่วงที และพร้อมแข่งขันได้ตลอดเวลา I will survive คือ คาถาที่ต้องท่องไว้ Create New Social Value สร้างฐานใหม่ และเศรษฐกิจใหม่ให้สังคม คือเป้าหมายของเรา”

ทั้งนี้จะเห็นได้จากงานในรอบปีที่ผ่านมา สมาคมฯ ได้ดำเนินการตามเป้าหมายที่ตั้งไว้ให้มีความพร้อมในทุกด้านที่พัฒนาส่งเสริมและยกระดับมาตรฐานของนักการตลาดไทยให้เท่าเทียมกับมาตรฐานโลก โดยการติดอาวุธด้านการตลาดให้กลุ่มธุรกิจทุกขนาดไม่ว่าขนาดใหญ่หรือเล็ก อีกทั้งยังร่วมมือกับภาครัฐ โดยสมาคมฯ ได้จัด 11 กิจกรรม 8 งานสัมมนา และล่าสุด กับงาน “World Marketing Forum ครั้งที่ 3” สุดยิ่งใหญ่ ที่สมาคมการตลาดแห่งประเทศไทย (Marketing Association of Thailand) เป็นเจ้าภาพร่วมกับสหพันธ์การตลาดแห่งเอเชีย (Asia Marketing Federation) โดยในงานมีวิทยากรชั้นนำ 5 ทวีป ฉายภาพ “จักรวาลการตลาดยุคใหม่” ให้แก่ผู้ฟังซึ่งเป็นเจ้าของกิจการและนักการตลาดจาก 15 ประเทศทั่วโลก โดยถ่ายทอดผ่านวิทยากรชั้นนำ 30 ท่าน ใน 20 เซสชั่น ซึ่งได้รับความสนใจจากนักธุรกิจและองค์กรชั้นนำทั้งภาคธุรกิจและภาครัฐ

 ด้านการสร้างรากฐานอันดีให้แก่ยุวชนนักการตลาด สมาคมการตลาดได้บ่มเพาะและเปิดโอกาสให้นักการตลาดรุ่นใหม่ได้พัฒนาตัวเองและมีส่วนร่วมในการแสดงความคิดเห็นผ่านกิจกรรมต่าง ๆ ของชมรมยุวสมาชิกสมาคมการตลาดแห่งประเทศไทย หรือ J-MAT ซึ่งปีที่ผ่านมามีจัดกิจกรรม 4 ครั้ง เมื่อรวมทุกกิจกรรมและงานสัมมนาของสมาคมการตลาด มีผู้เข้าร่วมตลอดทั้งปีกว่า 13,000 คน

ด้านสนันสนุนนักการตลาดไทย สมาคมการตลาดได้ประสานกับองค์กรทั้งในประเทศและระดับภูมิภาค ทำงานร่วมกับสมาพันธ์การตลาดแห่งเอเชียเพื่อเปิดโอกาสให้นักการตลาดไทยก้าวไปสู่เวทีโลก โดยในปี 2566 สมาคมฯ ได้นำพาองค์กรและนักการตลาดไทยไปชนะรางวัลในเวที Asia Marketing Excellence Award ในหมวด Marketing 3.0 และอีก 3 หมวดได้แก่ Asia’s Top Outstanding Women/ Youth/ Netizen Marketeer of the Year Award

และสำหรับการดำรงตำแหน่งนายกสมาคมการตลาดเป็นสมัยที่ 2 ( 2567-2569 ) ผมตั้งเป้าหมายที่จะ "ยกระดับ" บทบาทของสมาคมฯ จากที่เคยเป็นเพียง "Platform" หรือพื้นที่ให้แลกเปลี่ยนเรียนรู้เรื่องการตลาด ให้กลายเป็น "Marketing Accelerator" ที่จะผลักดันให้การตลาดเป็นยุทธศาสตร์สำคัญในการขับเคลื่อนประเทศ ไม่ใช่แค่นำเสนอมุมมองใหม่ ๆ เท่านั้น แต่ต้องสร้างแนวทางปฏิบัติที่ได้ผลจริงในอนาคตของโลกธุรกิจ จะสร้างความร่วมมือกับพันธมิตรทุกภาคส่วน องค์กรธุรกิจไม่ว่าจะขนาดใหญ่หรือเล็ก สมาคมวิชาชีพต่าง ๆ เครือข่ายการศึกษา และภาครัฐให้ก้าวไปข้างหน้าอย่างมั่นคงร่วมกัน เพื่อให้เกิดพลังในการสร้างโอกาสและยกระดับศักยภาพของนักการตลาดไทย สู่การมี National Branding ที่แข็งแกร่ง" ดร.บุรณิน กล่าว

นายสุวัชชัย วงษ์เจริญสิน ประธานกรรมการ นายภูวสิษฏ์ วงษ์เจริญสิน ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร พร้อมคณะกรรมการ บริษัท ซีพีแอล กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) หรือ CPL ผู้นำในอุตสาหกรรมฟอกหนังในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ เข้าร่วมการประชุมผู้ถือหุ้นประจำปี 2567 ซึ่งเป็นการจัดการประชุมในรูปแบบอิเล็กทรอนิกส์ (E-AGM) โดยที่ประชุมรับทราบผลการดำเนินงานปี 2566 รวมถึงพัฒนาการต่างๆ ของบริษัทฯ ที่ได้ขยายไปสู่ธุรกิจ BCG (Bio-Circular-Green Economy) และธุรกิจใหม่ๆ เพื่อสร้างการเติบโต ภายใต้การลงทุนของบริษัท ซีพีแอล เวนเจอร์ พลัส จำกัด ซึ่งเป็นบริษัทย่อยที่ CPL ถือหุ้นในสัดส่วน 99.97%

 บริษัท สิงห์ เอสเตท จำกัด (มหาชน) หรือ S โดยคุณปีติพงศ์ พึ่งบุญ ณ อยุธยา ประธานกรรมการ และคุณฐิติมา รุ่งขวัญศิริโรจน์ กรรมการและประธานเจ้าหน้าที่บริหาร พร้อมด้วยคณะกรรมการ จัดประชุมผู้ถือหุ้นประจำปี 2567 รายงานผลการดำเนินงานในปี 2566 พร้อมเผยแผนการดำเนินงานและกลยุทธ์ปี 2567 เพื่อมุ่งสู่เป้าหมายในการสร้าง New All-Time High ในด้านรายได้และกำไรในทุกพอร์ตธุรกิจอย่างต่อเนื่อง ผ่านปรัชญา “Go Beyond Dreams”

คุณฐิติมา รุ่งขวัญศิริโรจน์ กรรมการ และประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท สิงห์ เอสเตท จำกัด (มหาชน) เปิดเผยหลังการประชุมว่า ในปี 2566 ที่ผ่านมา สิงห์ เอสเตท กวาดรายได้รวมเติบโตขึ้นถึง 17% เป็นจำนวน 14,675 ล้านบาท คิดเป็นผลกำไร 240 ล้านบาท ด้วยปัจจัยดังกล่าวที่ประชุมจึงอนุมัติจ่ายปันผลในอัตราหุ้นละ 0.015 บาท โดยคิดเป็นอัตราการจ่ายปันผล 45.12% ของกำไรสุทธิหลังการปรับปรุงรายการ และมีกำหนดจ่ายเงินปันผลในวันที่ 15 พฤษภาคม 2567

 

 

 

โดยในช่วงไตรมาส 4 ของปี 2566 สิงห์ เอสเตท มีสัญญาณการเติบโตของธุรกิจที่ชัดเจน และต่อเนื่องมาจนถึงช่วงต้นปี 2567 จากผลตอบรับที่ดีจากตลาด ผนวกกับความสำเร็จจากการดำเนินการตามแผนพัฒนาที่สร้างไว้ในปี 2566 ทำให้ธุรกิจเติบโตอย่างแข็งแกร่ง ทำรายได้รวมสูงสุดในประวัติการณ์ ตามเป้าหมายพร้อม New All-Time High ที่ตั้งไว้ได้สำเร็จ

ทั้งนี้ ในปี 2567 สิงห์ เอสเตท ยังเดินหน้าเพิ่มศักยภาพในการสร้างผลกำไร ผ่านการขยายพอร์ตโฟลิโอ เพื่อยกประสิทธิภาพการสร้างรายได้และการทำกำไร ภายใต้ปรัชญา Go Beyond Dreams ที่ใช้ 3 แนวทางสนับสนุนในการขับเคลื่อนการเติบโตครั้งนี้ ได้แก่ 1) Go Expertise การสร้างซินเนอร์จีจากความชำนาญของทีมระหว่าง 4 กลุ่มธุรกิจ โดยดึงเอาจุดแข็งและความชำนาญที่แตกต่างและโดดเด่นของแต่ละธุรกิจเพื่อเกื้อหนุนกันและกัน 2) Go Elixir การผนึกกำลังกับพันธมิตรใหม่ เพื่อขยายโอกาสทางธุรกิจและการลงทุน 3) Go Exceed, Go Exist ความมุ่งมั่นในการพัฒนาอย่างยั่งยืน สู่การเป็นองค์กร Carbon Neutrality ของสิงห์ เอสเตท ในปี 2573 เพื่อสร้างความสมดุลของธุรกิจทั้งกับชุมชน สังคมและสิ่งแวดล้อม โดยมีกลยุทธ์สำคัญในแต่ละธุรกิจ ได้แก่

1. กลุ่มธุรกิจที่พักอาศัย ยังคงยึดหลักการ Best in Class พร้อมเปิดตัวโครงการที่พักอาศัยคุณภาพในปี 2567 มูลค่ารวม 10,000 ล้านบาท อาทิ โครงการแบรนด์สริน (S’RIN) แห่งที่สอง เพื่อต่อยอดกระแสตอบรับและความต้องการที่ดีของลูกค้า โดยคาดว่าจะพร้อมรับรู้รายได้ในช่วงปลายปี 2567 และโครงการเอ็กซ์คลูซีฟ เรสซิเดนท์ ภายใต้แบรนด์สมิทธ์ (SMYTH’S) เพื่อตอบรับ Real Demand ที่เติบโต ในกลุ่มที่พักอาศัยระดับบน ที่มีจำนวนยูนิตไม่มาก เน้นความเป็นส่วนตัว ทำเลใกล้เมืองและพื้นที่เมืองชั้นใน รวมถึงการเข้าซื้อที่ดินเพื่อพัฒนาโครงการใหม่ ๆ และการเปิดโอกาสเข้าร่วมลงทุนกับพันธมิตรทางธุรกิจเพื่อเร่งการเติบโตอย่างต่อเนื่อง

2. กลุ่มธุรกิจโรงแรมภายใต้การบริหารงานของ SHR มุ่งเน้นการลงทุนโรงแรมที่เป็นสินทรัพย์คุณภาพ เพื่อสร้างศักยภาพในการแข่งขันและการเติบโตของรายได้ในระยะยาว โดยยกระดับประสบการณ์ท่องเที่ยวและบริการให้กับลูกค้า เช่นการปรับปรุงห้องพัก ทั้งนี้ในไตรมาส 1 ปี 2567 ที่ผ่านมา ห้องพักที่ได้รับการปรับปรุงแล้ว สามารถ command ADR ได้สูงขึ้น 20 – 30% โดยในปี 2567 – 2568 จะเดินหน้าปรับปรุงโรงแรมศักยภาพในประเทศไทย และสหราชอาณาจักร ต่อเนื่องจากส่วนแรกที่ทำการปรับปรุงในปี 2566 รวมถึงการยกระดับและนำเสนอ Brand Concept ใหม่ให้ตอบโจทย์ความต้องการและเทรนด์การท่องเที่ยวในระดับสากล ในขณะที่การหมุนเวียนสินทรัพย์ (Asset Rotation) ยังเป็นปัจจัยหนึ่งในการเสริมความแข็งแกร่งด้านผลประกอบการ พร้อมมองหาโอกาสในการควบรวมกิจการเพื่อสร้างการเติบโตให้แก่พอร์ตโฟลิโอของบริษัทฯ

3. กลุ่มธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ และกลุ่มธุรกิจนิคมอุตสาหกรรมและโครงสร้างพื้นฐาน เน้นเจาะลูกค้ากลุ่มธุรกิจที่มีศักยภาพในการเติบโต และใช้ช่องทางการขายที่หลากหลายและเหมาะสมต่อแต่ละสภาวการณ์ ซึ่งจะช่วยผลักดันผลประกอบการธุรกิจอสังหาริมทรัพย์เพื่อการค้า และธุรกิจนิคมอุตสาหกรรมให้เติบโตต่อเนื่องได้

“จากแนวทางกลยุทธ์ดังกล่าว เชื่อมั่นได้ว่า สิงห์ เอสเตท จะขับเคลื่อนผลการดำเนินงานให้เติบโตขึ้น ผ่านการส่งมอบสินค้าและบริการที่เป็นเลิศ เพื่อส่งเสริมคุณภาพชีวิตของลูกค้าไปพร้อมกับพัฒนาธุรกิจอย่างยั่งยืน ภายใต้วิสัยทัศน์มุ่งมั่นสร้างคุณค่าและการเติบโตอย่างยั่งยืน (Entrusted And Value Enricher) และปรัชญา ‘Go Beyond Dreams’ โดยเชื่อมั่นที่จะบรรลุเป้าหมายรายได้รวมของบริษัทให้เติบโตขึ้นอย่างต่อเนื่อง และในปี 2567 ตั้งเป้ารายได้โต 20% อยู่ที่ 1.8 หมื่นล้านบาท ” คุณฐิติมา กล่าวเสริม

ดร. นริศ ชัยสูตร (ที่ 4 จากขวา) ประธานกรรมการบริษัท บริษัท ฟังก์ชั่น อินเตอร์เนชั่นแนล จำกัด (มหาชน) หรือ FTI พร้อมด้วยคณะกรรมการบริษัท ฯ เข้าร่วมการประชุมสามัญผู้ถือหุ้นประจำปี 2567 ในรูปแบบการประชุมผ่านสื่ออิเล็กทรอนิกส์ (e-AGM) โดยที่ประชุมผู้ถือหุ้น มีมติอนุมัติทุกวาระการประชุม รวมถึงวาระการพิจารณาการจ่ายปันผลเป็นเงินสดในอัตราหุ้นละ 0.04 บาทต่อหุ้น จากที่ได้มีการจ่ายเงินปันผลระหว่างกาลไปแล้วในอัตรา 0.03 บาทต่อหุ้น รวมเป็นการจ่ายเงินปันผลประจำปี 2566 ทั้งสิ้น 0.07 บาทต่อหุ้น โดยกำหนดรายชื่อผู้ถือหุ้นที่มีสิทธิได้รับเงินปันผล (Record Date) 12 มีนาคม 2567 และกำหนดจ่ายเงินปันผลในวันที่ 15 พฤษภาคม 2567

MI GROUP นำทัพโดยนายภวัต เรืองเดชวรชัย ประธานกรรมการและประธานเจ้าหน้าที่บริหาร และนางสาววรินทร์ ทินประภา ประธานเจ้าหน้าที่เพื่อการเติบโตองค์กร บริษัท มีเดีย อินเทลลิเจนซ์ กรุ๊ป จำกัด ตอกย้ำความสำคัญของ Data-Driven Insights และ Creativity ในการทำการตลาดยุค Marketing 6.0 ด้วย MI LEARNLAB ซึ่งเป็นหน่วยงานวิจัยและศึกษาเชิงลึกเกี่ยวกับสื่อและพฤติกรรมเชิงลึกของผู้บริโภค ภายใต้ MI GROUP

นางสาววรินทร์ ทินประภา ประธานเจ้าหน้าที่เพื่อการเติบโตองค์กร จาก MI GROUP กล่าวว่า “โจทย์การวางแผนด้านกลยุทธ์การสื่อสาร การตลาด และการหาไอเดียต่างๆ ไม่เคยหยุดนิ่ง และนักการตลาดต้องพบเจอกับความ ท้าทายในการต้องวางแผนแคมเปญล่วงหน้าอยู่เสมอ แต่สิ่งหนึ่งที่คงความสำคัญที่สุดไม่เคยเปลี่ยนคือ Consumer Insight ซึ่งทาง MI GROUP มีทีม MI LEARNLAB ในการทำวิเคราะห์ Data วิจัยเชิงลึกและทันสถานการณ์ ทำให้ล้วงลึก Consumer Insight คาดการณ์ Media Trend และมองภาพ Media Landscape ได้อย่างไม่พลาดเป้า ทำให้ทีม Communication Strategists สามารถนำ Data-Driven Insight มาปรับใช้กับ Creativity พัฒนากลยุทธแคมเปญและ ต่อยอดให้กับแบรนด์ต่างๆที่ให้ความไว้วางใจเราเป็น Trusted Advisor“

จึงส่งผลให้ MI GROUP ยกทีมตบเท้าเข้ารับรางวัลจากเวที MAAT Media Awards 2024 ประกาศความสำเร็จหลังคว้ารางวัลจากสมาคมมีเดียเอเยนซี่และธุรกิจสื่อแห่งประเทศไทย จากการส่งเข้าประกวด 26 ผลงาน โดยมีผลงาน ที่ผ่านเข้ารอบสุดท้าย (Finalists) ถึง 12 ผลงาน และสามารถคว้ารางวัล MAAT Awards ในสาขาต่างๆ ได้ถึง 4 ผลงาน ได้แก่

- Twelve Plus Aura Brighten The Moments เข้าชิง Effectiveness Awards และคว้า Silver Award

- Oh My DOS! เข้าชิง Best Use of Social Awards และคว้า Silver Award

- Rabbit Chemical Fertilizer on Tiktok เข้าชิง Best Use of Social Awards และคว้า Bronze Award

- Sprinkle Redesign to Reduce เข้าชิง Best Media Strategy Awards และคว้า Bronze Award

 

นางสาววรินทร์ กล่าวถึงผลงานบางส่วนที่ชนะรางวัล ว่า

Twelve Plus เป็นผู้ท้าชิงตลาดโรลออนสำหรับผู้หญิงที่ตามหลัง 2 แบรนด์ยักษ์ใหญ่ ซึ่งครองส่วนแบ่งการใช้เงินในตลาดถึง 90% ในขณะที่ Twelve Plus ใช้งบประมาณเพียงแค่ 5% ของตลาด

ทาง MI GROUP จึงทำการสำรวจพฤติกรรมกลุ่มเป้าหมายและวิเคราะห์หาโอกาสเพื่อช่วงชิงส่วนแบ่งตลาด และค้นพบว่า ซีรีส์วาย หรือ Boys’ Love Series เป็นกระแสที่ได้รับความนิยมอย่างสูงในตลาดและมีหลายสินค้า ได้นำไปปรับใช้ในแผนการตลาดจนประสบความสำเร็จ

ซึ่งทีมงานได้วิจัยและศึกษาเชิงลึกเกี่ยวกับพฤติกรรมและความนิยมเชิงลึกเพิ่มเติม และได้ค้นพบว่า Girls’ Love Series หรือ ซีรีส์ Yuri กำลังเริ่มเป็นกระแส จากยอด Search หรือ Trend บน X ดังนั้น Twelve Plus จึงร่วมมือกับ Freen และ Becky จากซีรีส์ "ทฤษฎีสีชมพู" ซึ่งเป็นซีรีส์ Yuri เรื่องแรกในประเทศไทย ร่วมกันจัดทำกิจกรรมทางการตลาด เช่น จัดทำมิวสิควิดีโอ "Marry Me" และจัดงานพบปะแฟน ๆ

ผลลัพธ์จากแคมเปญนี้ช่วยทำให้ส่วนแบ่งทางการตลาดของ Twelve Plus สามารถแซงหน้าขึ้นมาเป็นอันดับ 2 ในตลาดโรลออนสำหรับผู้หญิง และมิวสิควิดีโอ "Marry Me" ก็ได้รับความนิยมสูง มีการเข้าชมมากกว่า 2 ล้านครั้งและยอด like สูงถึง 120,000 ครั้งในวันแรกของการเปิดตัว

สำหรับ DOS แบรนด์ผลิตภัณฑ์ถังเก็บน้ำที่เป็นผู้นำนวัตกรรมและผู้นำตลาด แบรนด์ต้องการให้ถังน้ำ DOS ถูกจดจำและเป็นแบรนด์แรกที่นึกถึงโดย End User หรือเจ้าของบ้าน และมุ่งให้เป็นหนึ่งในปัจจัยของการเลือกซื้อบ้านจัดสรร เพื่อสื่อสารถึงกลุ่มเป้าหมายว่าการที่น้ำสะอาดจะส่งถึงชีวิตที่ดี ภายใต้ Life in Harmony

ด้วยความร่วมมือกับ DOS ทาง MI GROUP วางกลยุทธเล็งกลุ่ม Modern Family ที่ใส่ใจในความสะอาดของน้ำ ที่ครอบคลุมตั้งแต่กลุ่มครอบครัวไปจนถึง New Gen ซึ่งมีพฤติกรรมที่แตกต่างทั้งการซื้อสินค้าและการเสพสื่อ ทีมได้ทำวิจัยทางด้านมีเดียเพื่อหาจุดร่วมของกลุ่มเป้าหมาย และมีการใช้ครอบครัวของบีม กวี ซึ่งมีฐานแฟนคลับใน Social Media ที่หลากหลาย และใช้มิวสิควิดีโอเพื่อนำไปสู่ Brand Love จากนั้นจึงใช้ Tiktok เพื่อจัด Dance Challenge ในรูปแบบที่คน New Gen เปิดรับ รวมไปถึงการ Collaborate กับ Influencers หลากหลายเพื่อที่จะสร้าง Brand Love ในทุก Platforms

Brand ได้การตอบรับเป็นอย่างดี ไม่ว่าจะเป็น MV ที่ได้รับ View ถึง 1M Views ใน 7 วันแรก รวมไปถึง Positive Comments ที่สื่อถึง Brand และ MV ในทุก Social Media นอกจากนั้นยังได้เลื่อนอันดับ Thailand Social Awards จากที่ 24 มาเป็นอันดับที่ 5 ในกลุ่ม Category ที่เป็นกลุ่มอุปกรณ์สร้างบ้าน จากที่มีการ Consistent Posting Content ในทุก platform ส่งผลให้เกิด Positive Brand Image และคนกลุ่มกว้างได้รู้จักแบรนด์ DOS มากยิ่งขึ้น

นายภวัต เรืองเดชวรชัย ประธานกรรมการและประธานเจ้าหน้าที่บริหารของ MI GROUP กล่าวว่า “ตนและทีมงานรู้สึกดีใจที่ได้รับรางวัลอันทรงเกียรติจากเวทีนี้เป็นครั้งที่ 4 แล้ว ซึ่งเป็นกำลังใจและเป็นสิ่งตอกย้ำถึงหัวใจหลักในการทำงานที่ทีม MI GROUP ยึดถือเป็น DNA ซึ่งก็คือการมุ่งหวังประสิทธิผลสูงสุดของการวางแผนสื่อและช่องทางการสื่อสารและยังสามารถคิดนอกกรอบได้ตามสถานการณ์อย่างทันท่วงที นั่นคือ หลักการ 3 A อันได้แก่ Aware การรู้ลึก รู้จริงถึงแก่นของสิ่งที่ทำ เช่นการมีทีม MI LEARNLAB ที่คอยศึกษาและวิเคราะห์ข้อมูล Adapt คือ การทำงานของทีมงานทุกแผนกจะมีความเป็น Partnership มีการปรับตัวรวดเร็วตลอดเวลา และ Agility ความปราดเปรียวในการทำงาน จับกระแสเทรนด์ที่เปลียนแปลงอย่างรวดเร็วแล้วนำมาพัฒนาต่อยอด สร้างกลยุทธ์ใหม่ๆ ได้อย่างรวดเร็ว

นายวิโรจน์ ธนาลงกรณ์ ประธานกรรมการ นายบุญชัย ปัณฑุรอัมพร ประธานคณะกรรมการบริหาร นางสาวดวงดาว มหะนาวานนท์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร และคณะกรรมการ บริษัท ซาบีน่า จำกัด (มหาชน) หรือ SABINA เข้าร่วมการประชุมผู้ถือหุ้นครั้งที่ 1/2567 โดยที่ประชุมรับทราบผลการดำเนินงานประจำปี 2567 ซึ่งบริษัทฯ มีรายได้สูงสุดเป็นประวัติการณ์ที่ระดับ 3,450.4 ล้านบาท มีกำไรสุทธิ 462.5 ล้านบาท พร้อมทั้ง มีมติอนุมัติการจ่ายเงินปันผลในอัตราหุ้นละ 1.33 บาท คิดเป็น 100% ของกำไรสุทธิ โดยมีการจ่ายปันผลระหว่างกาลไปแล้วในอัตรา 0.66 บาทต่อหุ้น คงเหลือการจ่ายปันผลอีก 0.67 บาทต่อหุ้น ที่มีกำหนดวันปิดสมุดทะเบียนผู้มีสิทธิรับเงินปันผล (Record Date) ในวันที่ 7 พฤษภาคม 2567 และกำหนดจ่ายเงินปันผลในวันที่ 17 พฤษภาคม 2567

AirAsia MOVE (ชื่อเดิมคือ AirAsia Superapp) ผู้ให้บริการด้านการท่องเที่ยวออนไลน์ชั้นนำในเครือ Capital A Berhad ก้าวสู่ความเป็นผู้นำแพลตฟอร์มให้บริการด้านการท่องเที่ยวครบวงจร (OTA) พร้อมเดินหน้ายกระดับการเดินทางทั่วอาเซียนให้สะดวกสบายเดินทางหากันได้ง่ายยิ่งขึ้นด้วย ‘Asean Explorer Pass’ แพ็กเกจใหม่ที่ไม่เหมือนใคร

Asean Explorer Pass หรือแพ็กบินฟินตะลุยอาเซียน ได้ประกาศเปิดตัวแล้วอย่างเป็นทางการ โดยนายยัง เบอร์ฮอร์มัด ดาโต๊ะ ซรี เตียง คิง ซิง รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการท่องเที่ยว ศิลปะ และวัฒนธรรมมาเลเซีย และดำรงตำแหน่งเป็น [ประธาน/รองประธาน] รัฐมนตรีท่องเที่ยวอาเซียน นายตัน ซรี นัซรี ราซัค ประธานสภาที่ปรึกษาธุรกิจอาเซียน ประเทศมาเลเซีย และนายโทนี เฟอร์นานเดส ประธานเจ้าหน้าที่บริหารแคปปิตอล เอ (Capital A) และ MOVE Digital รวมถึงมีนางนาเดีย โอมาร์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร AirAsia MOVE เข้าร่วมด้วย

Asean Explorer Pass แพ็กบินฟินตะลุยอาเซียน เป็นการสมัครสมาชิกแบบรายปี ซึ่งมีอายุ 1 ปีนับจากวันที่ซื้อ ซึ่งจะปลดล็อกการเดินทางระหว่างประเทศภายในภูมิภาคอาเซียน และเส้นทางภายในประเทศสำหรับผู้โดยสารต่างชาติ เพื่อส่งเสริมการท่องเที่ยวในอาเซียน ให้คุณได้เพลิดเพลินกับการแลกรับสิทธิ์ที่นั่งบนเที่ยวบินในภูมิภาคอาเซียน* (เที่ยวบินระหว่างประเทศและภายในประเทศ**) ที่ให้บริการโดยสายการบินแอร์เอเชีย พร้อมรับส่วนลดพิเศษสำหรับการจองโรงแรม และสัมผัสกับความสะดวกสบาย ที่ประหยัดกว่าด้วยส่วนลดพิเศษสำหรับบริการเรียกรถรับส่ง AirAsia Ride ตลอด 1 ปีเต็ม นับจากวันที่สมัครสมาชิก

เปิดให้จองแพ็กเกจได้ตั้งแต่วันนี้จนถึงวันที่ 30 เมษายน 2567 บนแอป AirAsia MOVE พร้อมรับข้อเสนอพิเศษเพียง 8,640 บาท/ปี หรือผ่อน เพียง 864 บาท ต่อเดือนเท่านั้น สามารถผ่อนชำระ 0% ได้สูงสุด 10 เดือน เมื่อชำระผ่านบัตร

เครดิตที่ร่วมรายการ คุ้มสุดๆ หลังจากวันที่ 30 เมษายน 2567 แพ็กบินฟินตะลุยอาเซียนจะจำหน่ายในราคา 9,599 บาท หรือผ่อนจ่าย 959.9 บาทต่อเดือน

 

นายโทนี เฟอร์นานเดส ประธานเจ้าหน้าที่บริหารแคปปิตอล เอ (Capital A) และ MOVE Digital กล่าวว่า “กว่าสองทศวรรษที่ผ่านมาธุรกิจด้านการบินของแคปปิตอล เอ หรือสายการบินแอร์เอเชีย ได้เดินหน้าเชื่อมโยงการเดินทางทั่วอาเซียนให้เข้าถึงได้ในราคาประหยัด โดยเฉพาะการเดินทางจากเมืองรองและเมืองเล็ก AirAsia MOVE ในฐานะผู้ให้บริการด้านการท่องเที่ยวออนไลน์แบบครบวงจร พร้อมต่อยอดการเดินทางในอาเซียน ด้วยการมอบประสบการณ์การเดินทางที่ราบรื่นและตอบโจทย์ทุกความต้องการของนักเดินทางได้เพียงปลายนิ้วสัมผัสในแพลตฟอร์มเดียว

วันนี้ เรารู้สึกยินดีเป็นอย่างยิ่งที่ได้เปิดตัวแพ็กเกจใหม่ที่ไม่เหมือนใครอย่าง Asean Explorer Pass แพ็กบินฟินตะลุยอาเซียนให้นักเดินทางจากทั่วทุกภูมิภาคได้สัมผัสประสบการณ์การเดินทางในอาเซียน โดยเฉพาะในแหล่งท่องเที่ยวอันน่าตื่นตาที่ยังมีน้อยคนรู้จัก นอกเหนือจากเมืองท่องเที่ยวที่เป็นที่นิยมอย่างบาหลี กรุงเทพ ภูเก็ต และเมืองหลักอื่นๆ เราเชื่อว่ายังมีสถานที่ท่องเที่ยวอีกมากที่รอให้คุณได้ไปสัมผัสด้วย Asean Explorer Pass แพ็กบินฟินตะลุยอาเซียนนี้

ในเดือนธันวาคม 2565 มีผู้ใช้บริการแพ็กเกจบินสนั่นรายปีแลกที่นั่งสุดคุ้มในภูมิภาคกว่า 80,000 ที่นั่ง เป็นการตอกย้ำความต้องการท่องเที่ยวในอาเซียน ซึ่งยังคงเป็นจุดหมายปลายทางยอดนิยม และยังเป็นศูนย์กลางในด้านการค้าและการลงทุนระหว่างประเทศที่เติบโตอย่างรวดเร็ว แคปปิตอล เอ (Capital A) มองเห็นความสำคัญของการเชื่อมโยงการเดินทางและบริการท่องเที่ยวทั้งหมด ไม่ว่าจะเป็นเส้นทางบิน การจองโรงแรม และบริการรถรับส่ง ให้สามารถเดินทางได้อย่างง่ายดาย เรารู้สึกยินดีอย่างยิ่งที่บริการของ AirAsia MOVE จะช่วยให้นักเดินทางได้สัมผัสกับความงดงามที่หลากหลายในภูมิภาคของเรา”

นัซรี ราซัค ประธานสภาที่ปรึกษาธุรกิจอาเซียน ประเทศมาเลเซียกล่าวว่า “ในฐานะตัวแทนของสภาที่ปรึกษาธุรกิจอาเซียน ผมขอแสดงความยินดีอย่างยิ่งกับความสำเร็จของ AirAsia และ AirAsia MOVE ในครั้งนี้ การเปิดตัวแพ็กเกจใหม่อย่าง Asean Explorer Pass แพ็กบินฟินตะลุยอาเซียน เป็นเครื่องยืนยันถึงจุดมุ่งหมายร่วมกันของเราในการเชื่อมต่ออาเซียนให้ไร้พรมแดน ด้วยการเชื่อมต่อผ่านเที่ยวบินและการสนับสนุนความหลากหลายของภูมิภาคซึ่งเป็นจุดแข็งของเรา ในปี 2566 มีนักท่องเที่ยวต่างชาติเดินทางเข้าอาเซียนกว่า 100 ล้านคน คิดเป็น 70% ของตัวเลขในช่วงก่อนโควิด เราเชื่อมั่นว่าความพยายามของ AirAsia MOVE จะช่วยกระตุ้นให้เศรษฐกิจของอาเซียนเติบโตยิ่งขึ้นจากรายได้การท่องเที่ยวอย่างแน่นอน”

ผู้ที่ซื้อตั๋วบินอินเตอร์จุใจทั่วอาเซียนรายปี Asean International Pass เมื่อเดือนมีนาคมที่ผ่านมาจะได้รับการอัพเกรด และขยายเวลาการแลกสิทธิ์เที่ยวบินจนถึง 6 พฤษภาคม 2567 และสามารถเดินทางได้จนถึง 20 พฤษภาคม 2568 โดยผู้ที่ถือตั๋วบินรายปีในขณะนี้จะสามารถเห็นการเปลี่ยนแปลงเหล่านี้โดยมีผลตั้งแต่วันที่ 7 พฤษภาคม 2567 เป็นต้นไป สำหรับผู้ถือตั๋วบินรายปีที่ต้องการแลกสิทธิ์เที่ยวบินปลายทางภายในประเทศอื่นที่ไม่ใช่ประเทศของตนเอง (ขึ้นอยู่กับสัญชาติในหนังสือเดินทาง) จะต้องเสียค่าธรรมเนียม SST เมื่อแปลงเป็น 'Asean Explorer Pass' อ่านคำถามที่พบบ่อยที่นี่เพื่อหาข้อมูลเพิ่มเติม

 

ที่ AirAsia MOVE ผู้ให้บริการด้านการท่องเที่ยวออนไลน์ ให้คุณสามารถจองเที่ยวบินจากสายการบินโลว์คอสต์ที่ดีที่สุดในโลกอย่างสายการบินแอร์เอเชียและสามารถจองเที่ยวบินจากอีกกว่า 700 สายการบินพันธมิตร พร้อมตัวเลือกโรงแรมกว่า 900,000 แห่งทั่วโลก และความสะดวกสบายด้วยบริการจองรถรับส่ง เปิดประสบการณ์ร้านอาหาร ซื้อบริการประกันภัย และบริการอื่นๆ อีกมากมาย พร้อมรับสิทธิประโยชน์สำหรับสมาชิกที่ไม่เหมือนใครจาก MOVE Rewards ครบจบในที่เดียว ยืนยันความเป็นแพลตฟอร์มด้านการท่องเที่ยวครบวงจรของ AirAsia MOVE ด้วยรางวัล 'Leading Online Travel Agency in Asia for 2023 หรือรางวัลผู้ให้บริการด้านการท่องเที่ยวชั้นนำของปี 2566' จาก World Travel Awards ตั้งแต่ครั้งแรกที่ได้รับการเสนอชื่อ

AirAsia MOVE พร้อมมอบบริการการเดินทางและบริการทางการเงินที่ราบรื่นผ่าน BigPay แพลตฟอร์มการชำระเงินในเครือ Capital A Berhad ที่จะช่วยให้นักเดินทางสามารถใช้จ่ายได้อย่างไม่มีสะดุด พร้อมยกระดับการเดินทางให้สะดวกสบายยิ่งกว่าที่เคยโดยทำให้การจัดการการเงินขณะเดินทางง่ายขึ้น ขจัดความยุ่งยากในการพกพาสกุลเงินจริง หรือจัดการกับค่าธรรมเนียมการทำธุรกรรมที่สูงเกินไป สัมผัสประสบการณ์การท่องเที่ยวและการเดินทางที่ราบรื่น ดาวน์โหลดแอป AirAsia MOVE ของคุณจาก Apple App Store, Google Play Store และ Huawei App Gallery.

บมจ. ไวส์ โลจิสติกส์ หรือ WICE ผู้ให้บริการโลจิสติกส์ระหว่างประเทศแบบครบวงจร จัดงานประชุมสามัญผู้ถือหุ้นประจำปี 2567 ผ่านสื่ออิเล็กทรอนิกส์ (E-AGM) โดยมีนายเอกพล พงศ์สถาพร ประธานกรรมการบริษัท ดร. อารยา คงสุนทร ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร และนายชูเดช คงสุนทร กรรมการผู้จัดการ ฝ่ายพัฒนาธุรกิจ พร้อมด้วยคณะกรรมการบริษัท ผู้บริหารระดับสูง เข้าร่วมประชุม

นายชูเดช คงสุนทร กรรมการผู้จัดการ ฝ่ายพัฒนาธุรกิจ บริษัท ไวส์ โลจิสติกส์ จำกัด (มหาชน) หรือ WICE เปิดเผยว่า ที่ประชุมสามัญผู้ถือหุ้นประจำปี 2567 รับทราบผลการดำเนินงานประจำปี 2566 โดยผู้ถือหุ้นมีมีมติอนุมัติจ่ายเงินปันผลงวดผลการดำเนินงานในปี 2566 เป็นเงินสดในอัตรา 0.24 บาทต่อหุ้น หรือคิดเป็น 153.83 ล้านบาท และคิดเป็น 51.18% ของกำไรสำหรับปี โดยจะกำหนดรายชื่อผู้มีสิทธิเข้าร่วมประชุม (Record date) พร้อมกำหนดขึ้นเครื่องหมาย XD วันที่ 5 มีนาคม 2567 และกำหนดจ่ายเงินปันผลให้แก่ผู้ถือหุ้นในวันที่ 13 พฤษภาคม 2567 เพื่อตอบแทนและสร้างความเชื่อมั่นให้แก่ผู้ถือหุ้น และพร้อมปักธงเพื่อก้าวสู่ผู้นำในการให้บริการโลจิกติกส์ครบวงจรที่มีเครือข่ายครอบคลุมทั้งภูมิภาคเอเชีย

สำหรับแผนธุรกิจปี 2567 ว่า บริษัทตั้งเป้าการเติบโตไม่น้อยกว่า 20% จากปีก่อน โดยมองว่าอัตราค่าระวางเรือและอากาศจะมีการปรับตัวขึ้น พร้อมกับปริมาณการขนส่งทั้งนำเข้าและส่งออกจะมีเพิ่มขึ้นเช่นเดียวกัน บริษัทเชื่อมั่นว่าเศรษฐกิจของประเทศคู่ค้าอย่างสหรัฐอเมริกาและประเทศจีนจะกลับมาฟื้นตัว จากนโยบายและแผนการกระตุ้นเศรษฐกิจ ทั้งภาคเอกชนและการบริโภคภายในประเทศ รวมถึงภาคการลงทุน จนส่งผลให้ภาพรวมของธุรกิจโลจิสติกส์ดีขึ้นไปด้วย นอกจากนี้บริษัทเน้นกลยุทธ์ wallet share และเครือข่ายโลจิสติกส์แบบครบวงจรที่จะช่วยเพิ่มฐานลูกค้า ตลอดจนการสร้างโซลูชั่นการบริการให้สามารถตอบโจทย์ความต้องการของลูกค้าควบคู่ไปด้วยกัน

ขณะที่บริษัทคาดว่าได้เริ่มรับรู้รายได้จากโครงการต่างๆ ที่เริ่มลงทุนไปในปีที่แล้ว เช่นโครงการ Green Logistics Hub ที่ร่วมมือกับพันธมิตร ในการพัฒนาพื้นที่เพื่อให้เป็นศูนย์กลางการบริหารจัดการโลจิสติกส์ ที่ให้ความสำคัญด้านสิ่งแวดล้อม รวมถึงโครงการการให้บริการขนส่งสินค้าแบบตู้ควบคุมอุณหภูมิ ซึ่งเริ่มให้บริการแบบเต็มกำลังตั้งแต่ช่วงปลายไตรมาส 2และบริษัทอยู่ระหว่างการเจรจากับลูกค้าเพิ่มอีกหลายราย การให้บริการขนส่งเชื้อเพลิงชีวมวลอัดแท่ง จากสปป.ลาวมายังท่าเรือแหลมฉบัง โดยจะเริ่มให้บริการ ภายในไตรมาส 2 นี้

บริษัทยังมีแผนที่จะขยายพื้นที่คลังสินค้าใหม่ เพื่อรับรองการเติบโตของลูกค้า โดยตั้งเป้าขยายพื้นที่อีก 20,000-30,000 ตารางเมตร ซึ่งจะทำให้บริษัทมีพื้นที่ให้บริการ ถึง 100,000 ตารางเมตร ทั้งนี้คาดว่าจะใช้งบสำหรับการลงทุนและขยายกิจการในโครงการต่างๆประมาณ 200-300 ล้านบาท

X

Right Click

No right click