ปัจจุบัน ประเทศสิงคโปร์ติดอันดับหนึ่งของทวีปเอเชียในดัชนี Digital Transformation Index ของ Economist Intelligence Unit หน่วยวิเคราะห์และวิจัยเศรษฐกิจของกลุ่ม Tech Economist แต่ยังคงเดินหน้าผลักดันการ เปลี่ยนถ่ายเทคโนโลยีสู่ยุคดิจิทัลอย่างไม่หยุดยั้ง ไม่ใช่เป็นแค่การนำเทคโนโลยีใหม่ๆ เข้ามาใช้ แต่ยังรวมไปถึงการสร้างสภาพแวดล้อมโดยรวมที่ทำให้องค์กรธุรกิจสามารถนำนวัตกรรมที่มีอยู่ไปสร้างการเปลี่ยนแปลง เพื่อให้เกิดผลลัพธ์เชิงบวกกับตัวองค์กรอีกด้วย
ภายใต้วิสัยทัศน์ในการเป็นรัฐอัจฉริยะ หรือ Smart Nation ที่ขับเคลื่อนด้วยนวัตกรรมดิจิทัล เอสเอ็มอีถูกยกให้เป็นหัวใจหลักของเศรษฐกิจสิงคโปร์ เอปสันจึงมุ่งที่จะสนับสนุนธุรกิจท้องถิ่นของประเทศ ด้วยเทคโนโลยีที่สามารถ ตอบโจทย์การพัฒนาองค์กรได้อย่างดีเยี่ยม เพื่อการเติบโตอย่างยั่งยืนของทุกธุรกิจ
นายอันโดะ มูเนะโนริ กรรมการผู้จัดการ เอปสัน ภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ กล่าวในงาน B2B Ignite ว่า “ความก้าวหน้าทางดิจิทัลซึ่งถูกขับเคลื่อนด้วยนวัตกรรมใหม่ๆ จะสามารถเปลี่ยนแปลงรูปแบบการใช้ชีวิตการทำงาน และความบันเทิงของคนทุกคนอยู่ตลอดเวลา ในขณะเดียวกันก็จะผลักดันให้ธุรกิจต่างๆ เกิดการขยายตัวและยกระดับศักยภาพการแข่งขันในตลาดให้สูงขึ้น นโยบายสร้างรัฐอัจฉริยะของรัฐบาลสิงคโปร์ทำให้เกิดระบบนิเวศที่ยอดเยี่ยม เพื่อเปิดโอกาสให้ธุรกิจต่างๆ ได้เติบโตและแข็งแกร่งขึ้นเรื่อยๆ และสามารถเดินหน้าการเปลี่ยนถ่ายเทคโนโลยีให้เข้าสู่ระบบดิจิทัล ซึ่งเอปสันพร้อมที่จะผลักดันธุรกิจต่างๆ ให้ก้าวสู่การเป็นธุรกิจที่ยั่งยืนและเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมมากยิ่งขึ้น”
B2B Ignite คืองานแสดงนวัตกรรมเพื่อช่วยลดผลกระทบด้านสิ่งแวดล้อมขององค์กรธุรกิจ ที่จะสาธิตให้เห็นถึงวิธี การใช้เทคโนโลยีเพื่อความยั่งยืน เพื่อให้บรรลุเป้าหมายทางธุรกิจและได้ผลิตผลตามความต้องการของเอสเอ็มอีของสิงคโปร์ การที่เอปสันเดินหน้าขยายและสร้างความแข็งแกร่งให้กับไลน์ผลิตภัณฑ์เพื่อองค์กรธุรกิจในตลาดสิงคโปร์ สะท้อนให้เห็นถึงความเชื่อมั่นของบริษัทฯ ในนโยบายรัฐอัจฉริยะและการเติบโตอย่างยั่งยืนในอนาคตของประเทศ
นอกจากนี้ เอปสันยังได้กำหนดวิสัยทัศน์ด้านสิ่งแวดล้อมปี 2050 ซึ่งสอดคล้องกับเป้าหมายเพื่อการพัฒนาอย่างยั่งยืนของสหประชาชาติ ซึ่งแสดงถึงความมุ่งมั่นที่จะเป็นแกนหลักในการเปลี่ยนแปลงโลกให้ดีขึ้น ด้วยการทำให้เทคโนโลยีหลักของเอปสันเปี่ยมด้วยประสิทธิภาพ ปลอดภัยต่อสิ่งแวดล้อม เพื่อนำไปสู่การสร้างนวัตกรรมที่ช่วยให้โลกใบนี้เป็นสถานที่ที่น่าอยู่ยิ่งขึ้น”
“เอปสันยังได้พัฒนาคุณสมบัติของผลิตภัณฑ์ในด้านต่างๆ และโซลูชั่นทางธุรกิจของบริษัทฯ ที่จะส่งผลต่อสิ่งแวดล้อม เพื่อให้แน่ใจว่าสามารถช่วยลดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมในทุกตำแหน่งของห่วงโซ่คุณค่า รวมถึงการนำเสนอผลิตภัณฑ์และบริการที่ช่วยสร้างมูลค่าทางด้านธุรกิจ ด้านเศรษฐศาสตร์ และสิ่งแวดล้อมให้ธุรกิจในสิงคโปร์” นายอันโดะ กล่าว
หนึ่งในนวัตกรรมเพื่อความยั่งยืนที่เอปสันนำเสนอ ที่ไม่เพียงแต่มอบมูลค่าทางด้านธุรกิจต่อเอสเอ็มอีของสิงคโปร์ แต่ยังมีส่วนช่วยลดปริมาณก๊าซคาร์บอนอีกด้วย นั่นคือกลุ่มผลิตภัณฑ์อิงค์เจ็ทพรินเตอร์ Epson WorkForce ที่ถูกออกแบบมาโดยคำนึงถึงเรื่องการใช้พลังงานอย่างมีประสิทธิภาพ1 และช่วยองค์กรลดปริมาณของเสียด้วยการใช้ชิ้นส่วนอุปกรณ์สิ้นเปลืองให้น้อยที่สุด2 ซึ่งพรินเตอร์รุ่นดังกล่าวยังสามารถใช้งานง่ายและสะดวกต่อการบำรุง รักษา ไม่ส่งผลกระทบต่อความเร็วและประสิทธิภาพในการทำงานภายในองค์กรด้วย
พรินเตอร์ดิจิทัลสำหรับสิ่งทอคืออีกหนึ่งนวัตกรรมของเอปสันที่ถูกพัฒนาขึ้นเพื่อลดการใช้น้ำและไฟฟ้า ด้วยการ พิมพ์ดิจิทัลรายละเอียดต่างๆ ลงบนสิ่งทอโดยตรง แทนที่จะใช้วิธีการกดแท่นพิมพ์แบบดั้งเดิม
นอกจากนี้ เอปสันกำลังอยู่ในขั้นตอนการปฏิวัติอนาคตของกระดาษด้วยการสร้าง “PaperLab” ขึ้นที่ประเทศญี่ปุ่น ซึ่งนับว่าเป็นระบบการผลิตกระดาษอัตโนมัติเครื่องแรกของโลก โดยทำให้กระดาษที่ใช้แล้วกลับมาเป็นกระดาษใหม่อีกครั้ง ซึ่งผ่านกระบวนการแยกเส้นใย สานรวมตัวกัน และการสร้างขึ้นใหม่ ซึ่งกระบวนการทั้งหมดนี้ทำได้โดยไม่ต้องใช้น้ำ ดังนั้นธุรกิจจึงสามารถลดการซื้อกระดาษใหม่ และลดปริมาณก๊าซคาร์บอนได้ในระยะยาว
“ธุรกิจเอสเอ็มอีต้องยอมรับความจริงที่ว่า ไม่ว่าธุรกิจจะเล็กหรือใหญ่ก็ต่างมีบทบาทสำคัญในการช่วยลดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมในสังคม ซึ่งนวัตกรรมของเอปสันสามารถช่วยเอสเอ็มอีให้ดำเนินธุรกิจได้อย่างยั่งยืน ทั้งยังช่วยลดการใช้ไฟฟ้า ประหยัดพลังงาน และช่วยลดการปล่อยของเสียและคาร์บอนฟุตพรินต์ได้อีกด้วย” นายอันโดะ กล่าว