December 05, 2025

มุ่งมั่นในการรักษาและพัฒนาคุณภาพข้าวหอมมะลิไทย จนเป็นที่ยอมรับในระดับสากล

นายพิชัย นริพทะพันธุ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ เปิดเผยภายหลังการประชุมร่วมกับภาครัฐและเอกชน ณ ห้องประชุมบุรฉัตรไชยากร กระทรวงพาณิชย์ ถึงแผนบริหารจัดการผลไม้ปี 2568 ตามข้อสั่งการของนายกรัฐมนตรี นางสาวแพทองธาร ชินวัตร ที่ให้เตรียมมาตรการรองรับปัญหาผลผลิต พร้อมส่งเสริมการบริโภคภายในประเทศและขยายตลาดส่งออก

นายพิชัย ระบุว่า ปีนี้เราคาดว่าผลผลิตจะเพิ่มขึ้น โดยเฉพาะทุเรียน ลำไย และมะม่วง จึงต้องเตรียมการล่วงหน้าเพื่อให้เกษตรกรขายได้ราคาดีที่สุด  โดยกระทรวงพาณิชย์เดินหน้าจัดทำ 7 มาตรการ 25 แผนงาน ครอบคลุมตั้งแต่การผลิต การตลาดในประเทศ การส่งออก ไปจนถึงการแปรรูปและอำนวยความสะดวกทางการค้า โดยตั้งเป้าหมาย ระบายผลไม้ 950,000 ตัน เพื่อรักษาเสถียรภาพด้านราคา

สำหรับ 7 มาตรการหลักในการบริหารจัดการผลไม้ปี 2568 ประกอบด้วย

  1. มาตรการสร้างความเชื่อมั่นผลผลิต โดยเร่งตรวจรับรองมาตรฐาน GAP ตั้งศูนย์ “Set Zero” เพื่อสร้างความมั่นใจในคุณภาพผลไม้ไทย พร้อมตั้ง War room ผลักดันการส่งออก และตั้งชุดเฉพาะกิจเจรจากับจีน
  2. มาตรการส่งเสริมตลาดในประเทศ เชื่อมโยงตลาดล่วงหน้า และกระจายสินค้านอกแหล่งผลิต สนับสนุนค่าบริหารจัดการผลไม้ รณรงค์บริโภคผลไม้และส่งเสริม GI (สิ่งบ่งชี้ทางภูมิศาสตร์) โหลดผลไม้ขึ้นเครื่องฟรี 20 กก. และจัด
    “บุฟเฟ่ต์ทุเรียน” เพื่อดึงดูดนักท่องเที่ยว
  3. มาตรการส่งเสริม การแปรรูปและปรับพื้นที่เกษตรให้เหมาะสม โดยเฉพาะผลไม้ที่อยู่ในช่วงกระจุกตัวสูง และมีการสนับสนุนการปลูกพืชสวนแทนพืชไร่
  4. มาตรการส่งเสริมตลาดต่างประเทศ จัดมหกรรมค้าชายแดนและจับคู่ธุรกิจ ส่งเสริมการขายในต่างประเทศและร่วมงานแสดงสินค้านานาชาติ
  5. มาตรการยกระดับสินค้าผลไม้ไทย ทำประชาสัมพันธ์เชิงรุก และใช้ประโยชน์จากข้อตกลงการค้าเสรี (FTA) เจรจาผ่อนปรนมาตรการทางการค้ากับประเทศคู่ค้า
  6. มาตรการแก้ไขอุปสรรคและอำนวยความสะดวกการค้า ผ่อนปรนการเคลื่อนย้ายแรงงาน และสนับสนุนการคัดแยก-ขนย้าย
  7. มาตรการกฎหมาย กำหนดให้แสดงราคารับซื้อ ณ จุดรับซื้อทุกวัน เวลา 08.00 น. เข้มงวดการป้องกันและปราบปรามการฉวยโอกาสทางการค้า

ซึ่งการประชุมครั้งนี้มีตัวแทนจากทุกภาคส่วนเข้าร่วม ทั้งผู้แทนเกษตรกร สมาคมผู้ค้าและส่งออกผลไม้ ห้างค้าปลีก-ค้าส่ง โลจิสติกส์ และสถาบันการเงิน เพื่อร่วมกันผลักดันมาตรการเชิงรุกก่อนที่ผลผลิตฤดูกาลใหม่จะออกสู่ตลาด

“กระทรวงพาณิชย์ทำงานร่วมกับกระทรวงเกษตรฯ กระทรวงคมนาคม กระทรวงการต่างประเทศ และทูตพาณิชย์ เพื่อให้เกษตรกรขายผลไม้ได้ราคาสูงสุด เราต้องใช้ตลาดนำ นวัตกรรมเสริม และเพิ่มรายได้ให้เกษตรกร” นายพิชัยกล่าว

โดยสำหรับปี 2568 คาดว่า ปริมาณผลผลิตผลไม้ 6.736 ล้านตัน เพิ่มขึ้น 0.858 ล้านตัน (+15%) ทุเรียน คาดปริมาณผลผลิต 1.76 ล้านตัน (+37%) มะม่วง 1.3 ล้านตัน (+10%) โดยกระทรวงพาณิชย์จะยังเร่งส่งเสริมการส่งออกผ่าน 8 แผนงาน 32 กิจกรรม โดยตั้งเป้าสร้างมูลค่าการค้าไม่ต่ำกว่า 10,000 ล้านบาท ผ่านกิจกรรมจับคู่ธุรกิจระหว่างผู้ส่งออกไทย 96 บริษัท กับผู้นำเข้า 63 บริษัท จาก 19 ประเทศ คิดเป็นมูลค่ากว่า 4,000 ล้านบาท เร่งขยายตลาดบนแพลตฟอร์มออนไลน์ผ่าน TopThai Store ในกว่า 10 แพลตฟอร์มทั่วเอเชีย และในงานแสดงสินค้าอาหาร THAIFEX-ANUGA ASIA 2025 ในเดือนพฤษภาคม ซึ่งรัฐบาลพร้อมเดินหน้าผลักดันให้ปี 2568 เป็น ปีทองของเกษตรกรให้ผลไม้ไทยขายได้ราคาดีทั้งในและต่างประเทศ

นอกจากนี้ ปัญหาการตรวจพบสาร BY2 ในทุเรียนส่งออกจีน กระทรวงเกษตรฯ ระบุว่า ได้จัดตั้ง “จันทบุรีโมเดล” เพื่อตรวจสอบคุณภาพทุเรียนตั้งแต่ต้นทาง พร้อมเตรียมหารือกับทูตจีนเพื่อเร่งแก้ไขปัญหาที่ด่านส่งออก เพื่อให้การส่งออกทุเรียนเป็นไปอย่างราบรื่น

กรมการค้าภายใน จับมือตลาดสดและตลาดกลาง 60 ตลาด 18 จังหวัด จัดกิจกรรม “พาณิชย์สืบสานเทศกาลตรุษจีน” นำสินค้าไหว้เจ้าจำหน่ายราคาพิเศษ เพื่อช่วยลดภาระค่าครองชีพให้กับพี่น้องประชาชนเชื้อสายจีน เผยสินค้าไฮไลต์อย่างไก่สด ไก่ต้มสุก ราคาทรงตัวเท่ากับปีก่อน

นายวิทยากร มณีเนตร อธิบดีกรมการค้าภายใน กระทรวงพาณิชย์ เปิดเผยภายหลังการเปิดกิจกรรม “การเชื่อมโยงการจำหน่ายสินค้า และกระตุ้นการบริโภคในช่วงเทศกาลตรุษจีน ปี 2568” ภายใต้ชื่อ “พาณิชย์สืบสานเทศกาลตรุษจีน” ที่ตลาดเวิลด์มาร์เก็ต เขตทวีวัฒนา กรุงเทพมหานคร โดยมีผู้บริหารสมาคมตลาดสดไทย และสมาคมการค้าตลาดกลางค้าส่งสินค้าเกษตรไทย เข้าร่วม ว่า ในช่วงเทศกาลตรุษจีนปีนี้ กรมได้ร่วมมือกับตลาดสด และตลาดกลางที่อยู่ในความส่งเสริม จัดกิจกรรมลดราคาจำหน่ายสินค้าตรุษจีน โดยการจัดโปรโมชันชุดไหว้เจ้า และเพิ่มทางเลือกให้กับประชาชนได้เลือกซื้อสินค้าไหว้เจ้าในราคาพิเศษ อาทิ ไก่สด ไก่ต้ม ผลไม้มงคล และขนมต่าง ๆ เพื่อดูแลพี่น้องประชาชนเชื้อสายจีน

สำหรับตลาดสดและตลาดกลางที่เข้าร่วมกิจกรรม “พาณิชย์สืบสานเทศกาลตรุษจีน” ปี 68 มีจำนวนรวมทั้งสิ้น 60 ตลาด 18 จังหวัด ประกอบด้วย ตลาดสด อาทิ ตลาดเวิลด์มาร์เก็ต มีนบุรี ยิ่งเจริญ ถนอมมิตร กรุงเทพมหานคร (กทม.) และตลาดบางใหญ่ เยสบางพลี ใหม่สำโรง ในพื้นที่ปริมณฑล ส่วนตลาดกลาง อาทิ ตลาดไท สี่มุมเมือง จ.ปทุมธานี ตลาดศรีเมือง จ.ราชบุรี ตลาดล้านเมือง จ.เชียงราย และตลาดเทิดไท จ.พิษณุโลก

นายวิทยากร กล่าวว่า กรมได้ตรวจเยี่ยมการจำหน่ายสินค้า ณ ร้านค้าภายในตลาดเวิลด์มาร์เก็ต พบว่า บรรยากาศเป็นไปด้วยความคึกคักกว่าปีก่อน มีพ่อค้าแม่ค้า นำสินค้าที่เกี่ยวกับตรุษจีน มาจำหน่ายเป็นจำนวนมาก และประชาชนให้ความสนใจเข้ามาเลือกซื้อสินค้า โดยสินค้าที่ได้รับความนิยมอย่างไก่สด ราคาอยู่ที่ 80-85 บ./กิโลกรัม (กก.) และไก่ต้มสุก ราคาอยู่ที่ 125-130 บ./กก. ส่วนใหญ่ราคาใกล้เคียงกับปีที่ผ่านมา ไม่มีการปรับขึ้นราคาแต่อย่างใด เนื่องจากผู้ค้าอยากขายเพื่อสร้างรายได้

“ขอให้พี่น้องประชาชนมั่นใจ สินค้าในช่วงตรุษจีนปีนี้ มีเพียงพอ ไม่ขาด และไม่แพง ซึ่งกรมจะเข้าไปดูแลอย่างใกล้ชิด ตามนโยบายของนายพิชัย นริพทะพันธุ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ ที่ได้ให้ความสำคัญและเน้นย้ำไว้ และขอขอบคุณตลาด และทุกภาคส่วนที่เกี่ยวข้อง ที่ได้ร่วมมือกันจำหน่ายสินค้า เพื่อดูแลพี่น้องประชาชน และขอเชิญชวนพี่น้องประชาชนชาวไทยเชื้อสายจีน ร่วมเฉลิมฉลอง ร่วมสร้างบรรยากาศแห่งความสุข เพิ่มความเป็นสิริมงคลในเทศกาลตรุษจีน และขอส่งคำอวยพรขอให้ปี 2568 นี้ เป็นปีที่เปี่ยมไปด้วยความสุข ความเจริญรุ่งเรือง และความมั่งคั่งตลอดปี” นายวิทยากรกล่าว

อย่างไรก็ตาม กรมจะติดตามดูแลสถานการณ์ราคาและปริมาณสินค้าอย่างใกล้ชิดต่อไป จนกว่าจะจบเทศกาล  หากประชาชนพบเห็นการจำหน่ายสินค้าที่เป็นการเอาเปรียบผู้บริโภค ฉวยโอกาสขึ้นราคาสินค้าเกินความเหมาะสม สามารถร้องเรียนได้ที่สายด่วนกรมการค้าภายใน 1569

นายภูมิธรรม เวชยชัย รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ เป็นประธานในงานประกาศผลและพิธีมอบรางวัลการประกวดข้าวหอมมะลิของประเทศไทย ประจำปี 2566 (ครั้งที่ 41) และรางวัลการประกวดข้าวสารคุณภาพดีเด่นแห่งประเทศไทยประจำปี พ.ศ. 2566 ซึ่งจัดโดยกรมการค้าภายใน กระทรวงพาณิชย์ ในวันนี้ (24 เมษายน 2567) ที่ห้องบุรฉัตรไชยากร กระทรวงพาณิชย์ เพื่อเฟ้นหาและอนุรักษ์ข้าวหอมมะลิคุณภาพชั้นเลิศไทย ส่งเสริมการเพาะปลูกข้าวหอมมะลิคุณภาพดี และสร้างต้นแบบเกษตรกร ตอบสนองความต้องการของผู้บริโภคที่นิยมข่าวคุณภาพสูงเป็นหลัก และยังมีการเชื่อมโยงการตลาดให้เกษตรกรผู้ชนะการประกวดเพิ่มมูลค่า สร้างรายได้ ขยายช่องทางการจำหน่ายให้กับเกษตรกรและสถาบันเกษตรกรอย่างยั่งยืน

นายภูมิธรรม กล่าวว่า ข้าว เป็นพืชเศรษฐกิจหลักของไทย เกี่ยวข้องกับพี่น้องเกษตรกร

กว่า 4.7 ล้านครัวเรือน และประชาชนในประเทศส่วนใหญ่บริโภคข้าวเป็นอาหารหลัก สะท้อนถึงความมั่นคงทางอาหารและเศรษฐกิจของประเทศ รวมถึงเกี่ยวข้องกับพี่น้องเกษตรกรจำนวนมาก รัฐบาลโดยกระทรวงพาณิชย์เล็งเห็นถึงความสำคัญของพี่น้องเกษตรกรไทยที่เปรียบเสมือนเป็นกระดูกสันหลังของชาติ ดำเนินนโยบาย พัฒนา สนับสนุน และส่งเสริมชาวนา ภายใต้หลักการ “ตลาดนำ นวัตกรรมเสริม เพิ่มรายได้” เพื่อให้เกษตรกรมีรายได้ที่เพิ่มขึ้น

นายภูมิธรรมเน้นย้ำว่า ข้าวหอมมะลิถือเป็นข้าวในตลาดข้าวพรีเมียมที่มีชื่อเสียงด้วยอัตลักษณ์เฉพาะตัว  มีเม็ดยาวเรียวสวย สีมันวาว หุงแล้วมีกลิ่นหอมคล้ายกลิ่นใบเตย รสสัมผัสนิ่มนวล จึงได้รับความนิยมจากผู้บริโภคมากที่สุดทั้งในประเทศไทยและต่างประเทศ แม้ราคาจะสูงกว่าข้าวชนิดอื่นแต่ยังคงเป็นที่ต้องการของตลาด เพื่อเป็นการรักษาคุณภาพอย่างต่อเนื่อง การยกระดับเชิงนโยบายทั้งด้านการผลิตและการควบคุมคุณภาพจึงเป็นสิ่งจำเป็น เพื่อสร้างความเชื่อมั่นให้แก่ผู้บริโภค และให้ประเทศไทยยังคงไว้ซึ่งแหล่งผลิตและส่งออกข้าวหอมมะลิชั้นเลิศของโลก ประเทศไทยเป็นผู้ผลิตข้าวสำคัญของโลก โดยในปี 2566 ไทยสามารถส่งออกข้าวได้สูงถึง 8.76 ล้านตัน นับได้ว่าสูงสุดในรอบ 5 ปีที่ผ่านมา คิดเป็นมูลค่ากว่า 178,135 ล้านบาท เพิ่มขึ้นกว่าปีที่ผ่านมาร้อยละ 28 โดยข้าวหอมมะลิยังคงรักษาระดับการส่งออกได้ดีแม้ราคาสูงกว่าคู่แข่ง โดยมีปริมาณส่งออกในปี 2566 อยู่ที่ 1.32 ล้านตัน เพิ่มขึ้นจากปี 2565 ร้อยละ 5.6 ตลาดส่งออกสำคัญ ได้แก่ สหรัฐอเมริกา จีน แคนาดา และฮ่องกง

“ตนเดือนเดินทางไปหลายประเทศได้รับความชื่นชมในข้าวไทย ไม่ว่าจะเป็นจีนในหลายมณฑล สหรัฐอเมริกา และอีกหลายประเทศ ทุกคนต่างชื่นชมถึงแม้ราคาจะสูงกว่าที่อื่น แต่ยังสัมผัสได้ในความพิเศษของข้าวหอมมะลิไทย ”นายภูมิธรรมกล่าว

นายวัฒนศักย์ เสือเอี่ยม อธิบดีกรมการค้าภายใน เปิดเผยเพิ่มเติมว่า การประกวดข้าวหอมมะลิของประเทศไทยวันนี้ แบ่งออกเป็น 2 ประเภท ได้แก่ ประเภทเกษตรกรรายบุคคล และประเภทสถาบันเกษตรกร ในครั้งนี้มีเกษตรกรผู้ปลูกข้าวหอมมะลิจาก 22 จังหวัด ในพื้นที่ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ และภาคเหนือ ส่งตัวอย่างข้าวเข้าประกวดจำนวนรวม 967 ตัวอย่าง และได้นำตัวอย่างข้าวขาวของผู้ที่สมัครเข้าร่วมประกวดฯ ตรวจสอบคุณภาพข้าวทางวิชาการ ทั้งเคมีและกายภาพ ส่งให้คณะกรรมการตัดสินการประกวดทั้งในระดับจังหวัดและระดับประเทศพิจารณาคัดเลือกจนได้ผู้ได้รับรางวัลรวมจำนวน 21 ราย แบ่งเป็น เกษตรกรรายบุคคล 18 ราย และสถาบันเกษตรกร 3 ราย เป็นโล่รางวัลเกียรติยศและใบประกาศเกียรติคุณ พร้อมเงินรางวัล รวมกว่า 625,000 บาท

โดยในวันนี้รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ได้มอบรางวัลแก่เกษตรกรและผู้ประกอบการโรงสี ผู้ผลิตข้าวสารคุณภาพ ผู้ชนะการประกวดข้าวสารคุณภาพดีเด่นแห่งประเทศไทยประจำปี พ.ศ.2566 รวม 11 รางวัล ในประเภทต่างๆ อาทิ ข้าวหอมมะลิ ข้าวหอมไทย และข้าวสารเหนียวเมล็ดยาว สำหรับรายชื่อผู้ชนะการประกวดข้าวหอมมะลิของประเทศไทย ประจำปี 2566 ประกอบด้วย

ประเภทเกษตรกรรายบุคคล : ได้แก่

รางวัลชนะเลิศ นายณรงค์  จันทรุ่ง จ.อุบลราชธานี

รางวัลรองชนะเลิศอันดับที่ 1 นางจันทร์สมสบบง จ.พะเยา

รางวัลรองชนะเลิศอันดับที่ 2 นายสุเรียนสังข์ลาย จ.สุรินทร์

ประเภทสถาบันเกษตรกร :  ได้แก่

รางวัลชนะเลิศ วิสาหกิจชุมชนข้าวหอมมะลิสงเปลือย ม.5 ต.เมืองทอง จ.ร้อยเอ็ด

รางวัลรองชนะเลิศอันดับที่ 1 สหกรณ์การเกษตรเพื่อการตลาดลูกค้า ธ.ก.ส. นครพนม จำกัด จ.นครพนม

รางวัลรองชนะเลิศอันดับที่ 2 ศูนย์ข้าวชุมชนข้าวปลอดสารพิษตำบลแม่อ้อ จ.เชียงราย

โดยภายในงานได้มีการ MOU ซื้อ-ขายข้าวเปลือกหอมมะลิล่วงหน้าในราคานำตลาด สูงกว่าราคาตลาด 500 บาท/ตัน จำนวน 6 คู่ กว่า 343.4 ตัน ด้วย เพื่อสร้างความมั่นใจว่าข้าวที่มีคุณภาพสูงมีตลาดรองรับ ทั้งนี้สำหรับผู้ที่สนใจสามารถติดตามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ เว็บไซต์กรมการค้าภายใน www.dit.go.th หรือ Line@ MR.DIT

ด้วยวาระแห่งการเฉลิมฉลองสู่การขึ้นปีใหม่ของชาวจีนทั่วโลก หรือคนไทยเชื้อสายจีน ถือเป็นหนึ่งในเทศกาลสำคัญและสืบทอดกันมาอย่างยาวนาน “ซินเจียยู่อี่ ซินนี้ฮวดไช้”

Page 1 of 2
X

Right Click

No right click