December 05, 2025

หลังจากเริ่มให้บริการเมื่อต้นเดือนที่ผ่านมา อเมซ ซูเปอร์แอป (Amaze Super App) แอปช้อปปิ้งคอนเซ็ปต์ใหม่ที่เปลี่ยนทุกพอยท์ของคุณเป็นพลังช้อปจากเครือซีพี ได้ประกาศเปิดตัวอย่างเป็นทางการ พร้อมเผยความคืบหน้าล่าสุดและโปรโมชั่นสุดคุ้มที่ตอบโจทย์ทั้งผู้บริโภคและร้านค้าไทยยุคใหม่ โดยได้รับเสียงตอบรับในเชิงบวกจากผู้ใช้งานจริงถึงความสะดวกในการรวมพอยท์จากหลายแหล่ง ทั้งจากโปรแกรมสมาชิกในเครือซีพี อาทิ ALL POINT, My Lotus's, Makro PRO POINT และ True Point รวมถึงพอยท์จากบัตรเครดิตชั้นนำ ไม่ว่าจะเป็น KrungSri, FirstChoice, POINTX, UOB, BBL, GSB และ KBank เพื่อให้ผู้ใช้ อเมซ ซูเปอร์แอป สามารถรวมพอยท์ทั้งหมดไว้ในกระเป๋าพอยท์เดียว หมดกังวลเรื่องพอยท์กระจัดกระจายและหมดอายุ ทั้งยังสามารถสะสมและใช้พอยท์แทนเงินสดได้สะดวกและคุ้มค่ายิ่งขึ้นแบบไม่มีขั้นต่ำ

นายศุภชัย เจียรวนนท์ ประธานคณะผู้บริหาร เครือเจริญโภคภัณฑ์ เปิดเผยถึงการเปิดตัว Amaze Super App ว่า “Amaze เป็นยุทธศาสตร์สำคัญในการสร้างสิทธิประโยชน์ให้กับกลุ่มลูกค้า โดยนำเอาผู้ผลิตมาพบกับผู้บริโภคในเครือข่ายฐานลูกค้าของเครือเจริญโภคภัณฑ์ ซึ่งมีมากกว่า 100 ล้านผู้ใช้งานทั่วประเทศ นี่คือก้าวสำคัญของยุทธศาสตร์ ดิจิทัลทรานส์ฟอร์เมชัน ที่เรากำลังดำเนินการ”

“หัวใจสำคัญของ Amaze คือการมุ่งนำเอาประโยชน์สูงสุดกลับไปสู่ผู้บริโภคและสมาชิก ด้วยการใช้ข้อมูลที่ดี ถูกต้อง และแม่นยำ ทำให้เราสามารถเข้าใจความต้องการของผู้บริโภคได้อย่างลึกซึ้งยิ่งขึ้น และต่อยอดด้วยจุดแข็งของการเป็นบริษัทไทยที่มีความโดดเด่นด้านบริการหลังการขายและการรับประกันคุณภาพ เพื่อก้าวสู่การเป็นผู้ให้บริการระดับโลก” คุณศุภชัยกล่าว

นอกจากนี้ คุณศุภชัยยังกล่าวเพิ่มเติมว่า “Amaze คือก้าวแรกของการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ เรามุ่งมั่นที่จะพัฒนานวัตกรรมและเทคโนโลยีที่สร้างโดยคนไทย เพื่อยกระดับมาตรฐานการให้บริการในยุคดิจิทัล และผลักดันให้คุณภาพชีวิตของคนไทยดีขึ้นอย่างยั่งยืนในระยะยาว”

คุณธรินทร์ ธนียวัน ผู้อำนวยการบริหารกลุ่มด้านอีคอมเมิร์ซ บริษัท เครือเจริญโภคภัณฑ์ จำกัด เปิดเผยว่า Amaze Super App เป็นแพลตฟอร์ม Loyalt E-Commerce และเป็นก้าวสำคัญที่สะท้อนการพัฒนาโครงสร้างเศรษฐกิจดิจิทัลของประเทศไทยที่เครือซีพีตั้งใจวางรากฐานให้เกิดขึ้นอย่างยั่งยืน ด้วยการเชื่อมโยงแต้มสะสมจากหลายแหล่งให้กลายเป็นมูลค่าจริงในชีวิตประจำวัน ผ่านระบบที่ปลอดภัย โปร่งใส และขับเคลื่อนด้วยเทคโนโลยีที่พัฒนาโดยคนไทย

แนวทางการพัฒนาแพลตฟอร์มดิจิทัลในวันนี้ ต้องไม่หยุดเพียงแค่การค้าขายออนไลน์ แต่ต้องสร้างระบบนิเวศที่เอื้อต่อการใช้ประโยชน์จากข้อมูล (Data) อย่างมีประสิทธิภาพ เคารพสิทธิของผู้บริโภค และเปิดโอกาสให้แบรนด์ไทยสามารถเข้าถึงกลุ่มลูกค้าได้อย่างตรงจุด ในขณะเดียวกันก็วางพื้นฐานสำหรับการทำ Personalized Commerce และ Retail Media อย่างครบวงจรในอนาคต

ดร. สรินทิพย์ สถิตย์เสถียร กรรมการผู้จัดการ Amaze Super App บริษัท แอสเซนด์ คอมเมิร์ซ จำกัด กล่าวว่า “อเมซ ซูเปอร์แอป ไม่ได้เป็นแค่แอปที่รวมพอยท์จากหลายแหล่งมาไว้ในที่เดียว แต่คือจุดเริ่มต้นของการปฏิวัติโครงสร้างการใช้พอยท์ในประเทศไทย เรามองเห็นศักยภาพของพอยท์ที่คนไทยมีอยู่แต่ยังใช้งานได้ไม่เต็มประสิทธิภาพ จึงพัฒนา อเมซ ซูเปอร์แอป เพื่อให้ผู้บริโภคสามารถรวมพอยท์นำไปใช้จ่ายได้ง่าย คุ้มค่ากว่าเดิม และเกิดมูลค่าจริงในชีวิตประจำวัน

โอกาสนี้หน่วยธุรกิจในเครือเจริญโภคภัณฑ์ นำโดยนายมนัสส์ มานะวุฒิเวช ประธานคณะผู้บริหาร ด้านธุรกิจข้อมูลและลูกค้าองค์กร ทรู คอร์เปอร์เรชั้น เปิดเผยว่า “Amaze เป็นระบบ CRM ที่ตอบโจทย์ลูกค้ากว่า 40 ล้านบัญชีของทรูมากที่สุด ซึ่งตรงกับยุทธศาสตร์ของทรูที่มีเป้าหมายตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์ของคนไทย ซึ่งจะทำให้เกิดความสะดวกสบายของผู้บริโภค“

ด้านนายธนิศร์ เจียรวนนท์ ประธานคณะผู้บริหารกลุ่มสายงานการพาณิชย์สินค้า CP AXTRA เปิดเผยว่า “Amaze สามารถทำให้ลูกค้าของ CP AXTRA ใช้พอยท์ Earn และ Burn ง่ายขึ้นกว่าเดิม และยังช่วยให้สิทธิประโยชน์ของแต่ละกลุ่มธุรกิจเชื่อมต่อกันแบบไร้รอยต่อ”

เช่นเดียวกับนายณัฏฐ์วุฒิ อยู่ปราโมทย์ ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการ สำนัก Online Sales & Marketing CP ALL ระบุว่า “Amaze เป็นการยกระดับประสบการณ์ลูกค้าของ CP ALL ที่มีพฤติกรรมที่เปลี่ยนไปในแต่ละวัน ให้สามารถตอบโจทย์ได้ในทุกระดับ เปลี่ยนจาก Daily life Shopping สู่การเป็น Lifestyle Shopping มากขึ้น”

ขณะที่นางสาวอนรรฆวี ชูรัตน์ ผู้บริหารสูงสุด สายงานการตลาดกลาง บริษัท เจริญโภคภัณฑ์อาหาร จำกัด (มหาชน) เชื่อว่า ศักยภาพด้านการผลิตสินค้าอาหาร จะสามารถร่วมมือกับ Amaze ได้อย่างเต็มที่ โดยเฉพาะการจับจ่ายใช้สอยสินค้าอาหารของผู้บริโภคที่จะทำให้สะดวกสบายมากยิ่งข้น

สำหรับสิทธิประโยชน์สุดพิเศษสำหรับสมาชิก อเมซ ซูเปอร์แอป ที่จะยกระดับทุกประสบการณ์การช้อป เริ่มจากความสะดวกในการรวมพอยท์จากหลายแหล่งมาเป็น อเมซพอยท์ ได้ในแอปเดียว ใช้จ่ายแทนเงินสดได้ทั้งตะกร้าแบบไม่มีขั้นต่ำ พร้อมสินค้าที่มีให้เลือกมากมายกว่า 100,000 รายการ นอกจากนี้ ยังสามารถใช้พอยท์สั่งสินค้า 7-Eleven และ Lotus’s ได้ง่าย ๆ พร้อมบริการจัดส่งถึงมือภายใน 1–3 ชั่วโมง และยังได้รับโปรโมชั่นเดียวกับหน้าร้านอีกด้วย ไม่เพียงเท่านั้น ผู้บริโภคยังสามารถเลือกช้อปสินค้าแท้จากแบรนด์ดังได้ที่ อเมซมอลล์ โดยไม่ต้องกังวลเรื่องของปลอม พร้อมดีลสุดคุ้มมากมาย อีกทั้งทุกครั้งที่ช้อป ยังได้รับ อเมซพอยท์ สะสมไว้ใช้จ่ายในครั้งต่อไปแบบสบาย ๆ

พิเศษสุดจาก อเมซมอลล์ สำหรับช่วงเปิดตัว รับดีลและข้อเสนอเฉพาะสมาชิกเท่านั้น ได้แก่

● รับฟรีทันที 2,000 อเมซพอยท์ (มูลค่า 20 บาท) ใช้ซื้อสินค้าที่ 7-Eleven, Lotus's และสินค้าแบรนด์ดังในอเมซมอลล์ พร้อมรับคูปองส่วนลดและสิทธิพิเศษจากพาร์ทเนอร์ชั้นนำมากมาย ทั้ง 7-Eleven, Lotus's, Makro, TRUE, TRUE Money และแบรนด์ดังจากอเมซมอลล์ มูลค่ารวมสูงสุดถึง 10,000 บาท!

● โอนพอยท์บัตรเครดิตที่ร่วมรายการ มาเป็นอเมซพอยท์ครั้งแรก รับอเมซพอยท์เพิ่มสูงสุด 150,000 พอยท์ (มูลค่า 1,500 บาท) ต่อ 1 ธนาคาร ยิ่งถือบัตรเครดิตหลายธนาคาร ยิ่งได้รับสิทธิเยอะ

● ช้อปสินค้าดังกับดีลเด็ด ลดสูงสุดถึง 90% กับ Amaze Mall Day ทุกวันพุธ ทุบราคาเริ่มต้นแค่ 9 บาท แถมพอยท์คืน สูงสุด 15%

● สุดคุ้มสำหรับสายตุน - ทุกวันเสาร์ เหมาเซเว่น - รับพอยท์เพิ่ม 11 เท่า เมื่อช้อปอาหารพร้อมทาน เครื่องดื่ม และสินค้าที่เข้าร่วมจาก 7-Eleven ผ่านแอปอเมซ ขั้นต่ำ 300 บาท และใช้คูปองลดเพิ่ม 30 บาท

● ช้อปสินค้า Lotus's ผ่านแอปอเมซครั้งแรก รับทันที คูปองส่วนลด 20 บาท เมื่อซื้อครบ 99 บาท พร้อมรับพอยท์เพิ่ม 10 เท่า ไม่มีขั้นต่ำ

● สามารถดาวน์โหลดอเมซและสมัครสมาชิกได้แล้ววันนี้ ทั้งบนระบบ iOS และ Android เพียงค้นหา ‘Amaze Super App’

CIPHER Shopify Partner ประเทศไทย เตรียมเปลี่ยนเกมด้วยการนำ ‘Shopify’ แพลตฟอร์ม E-Commerce ชั้นนำระดับโลกที่ผู้ประกอบการทั่วโลกไว้วางใจ มาเป็นกุญแจสำคัญในการปลดล็อกศักยภาพของธุรกิจไทย ให้เติบโตแบบก้าวกระโดด ขยายฐานลูกค้าได้ไร้ขีดจำกัด พร้อมแข่งขันในเวทีระดับสากลได้อย่างมั่นใจ ด้วยโซลูชันที่ครบวงจรที่จะเปลี่ยนธุรกิจของคุณให้กลายเป็นความสำเร็จที่จับต้องได้ ถึงเวลาที่จะทำให้แบรนด์ของคุณโดดเด่นท่ามกลางคู่แข่ง และสร้างประสบการณ์การช้อปปิ้งที่ลูกค้าจะประทับใจ

Shopify เป็นแพลตฟอร์มที่ได้รับการยอมรับจากแบรนด์ชั้นนำทั่วโลก ด้วยระบบที่ใช้งานง่าย ปรับแต่งได้อิสระ มีเครื่องมือช่วยขับเคลื่อนยอดขาย ไม่ว่าจะเป็นระบบจัดการสินค้า การชำระเงินที่หลากหลาย และโซลูชันการตลาดอัจฉริยะที่ช่วยให้ผู้ประกอบการเข้าถึงลูกค้าได้ตรงเป้าหมายมากขึ้น นอกจากนี้ Shopify ยังรองรับการขายหลายช่องทาง (Omnichannel) ทั้งบนเว็บไซต์ โซเชียลมีเดีย และมาร์เก็ตเพลสระดับโลก ทำให้ธุรกิจของคุณสามารถขยายขอบเขตการเข้าถึงลูกค้าได้แบบไร้พรมแดน

CIPHER ในฐานะผู้นำด้านโซลูชันดิจิทัลสำหรับธุรกิจ E-Commerce ได้เล็งเห็นถึงศักยภาพของ Shopify จึงนำมาปรับใช้ให้เหมาะสมกับตลาดไทย ไม่เพียงแค่ให้บริการแพลตฟอร์มเพียงเท่านั้น แต่ยังมีทีมที่ปรึกษาผู้เชี่ยวชาญที่พร้อมช่วยเหลือผู้ประกอบการในทุกขั้นตอน ตั้งแต่การสร้างร้านค้า การออกแบบ UX/UI การเชื่อมต่อระบบชำระเงิน ไปจนถึงการใช้กลยุทธ์การตลาดดิจิทัลเพื่อเพิ่มยอดขายและสร้างความแตกต่างให้กับแบรนด์ไทย นอกจากนี้ CIPHER บริษัทรับพัฒนาเว็บไซต์ Shopify ยังมีบริการสนับสนุนหลังการขาย การอบรมการใช้งาน Shopify และการอัปเดตเทรนด์ E-Commerce ล่าสุด เพื่อให้ธุรกิจไทยสามารถใช้เทคโนโลยีได้อย่างมีประสิทธิภาพสูงสุด และเติบโตอย่างยั่งยืนในระยะยาว

 

การจับมือระหว่าง CIPHER และ Shopify ไม่ใช่แค่การนำแพลตฟอร์มมาปรับใช้ แต่คือการเปิดโอกาสใหม่ให้กับธุรกิจไทยทุกระดับ ไม่ว่าคุณจะเป็นผู้ค้ารายเล็กหรือแบรนด์ใหญ่ ก็สามารถใช้ Shopify เพื่อขยายธุรกิจสู่ตลาดโลกได้อย่างง่ายดาย ด้วยโครงสร้างที่ยืดหยุ่นและเครื่องมือที่ช่วยสนับสนุนการเติบโต Shopify ทำให้ผู้ประกอบการไทยสามารถแข่งขันในตลาดสากลได้โดยไม่ต้องมีความเชี่ยวชาญด้านเทคนิคมาก่อน

ถึงเวลาที่ธุรกิจไทยต้องก้าวสู่ระดับสากล ยกระดับธุรกิจออนไลน์ของคุณให้โดดเด่นด้วยบริการครบวงจรจาก CIPHER ผู้เชี่ยวชาญด้าน Shopify ที่พร้อมดูแลทุกขั้นตอนการพัฒนาร้านค้าออนไลน์ ตั้งแต่การตั้งค่าร้านค้าพื้นฐาน การออกแบบหน้าร้านที่สวยงามและใช้งานง่าย การปรับแต่งฟีเจอร์พิเศษตามความต้องการเฉพาะ ไปจนถึงการย้ายข้อมูลจากแพลตฟอร์มอื่น พร้อมการรับประกันผลงานและการสนับสนุนหลังการให้บริการ ไม่ว่าคุณจะเพิ่งเริ่มต้นหรือต้องการต่อยอดธุรกิจออนไลน์ สามารถติดต่อขอคำปรึกษาและข้อเสนอพิเศษได้ที่  https://www.cipher.co.th/

 

รายงานล่าสุดจาก IDC บริษัทวิจัยข้อมูลตลาด ซึ่งจัดทำตามคำสั่งของ 2C2P แพลตฟอร์มการชำระเงินระดับโลก และแอนทอม (Antom) คาดการณ์ว่าตลาดอีคอมเมิร์ซในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้จะเติบโตจนมีมูลค่าสูงถึง 11.21 ล้านล้านบาท (หรือราว 325,000 ล้านเหรียญสหรัฐ) ภายในปี 2571 โดยมีปัจจัยสนับสนุนจากการขยายตัวอย่างรวดเร็วของการชำระเงินดิจิทัลและการทำงานร่วมกันในระดับภูมิภาค ซึ่งจะเป็นการปลดล็อคเพิ่มโอกาสของธุรกิจการค้าข้ามพรมแดนให้มากขึ้นกว่าเดิม

รายงาน “How Southeast Asia Buys and Pays 2025” ในปีนี้ เป็นรายงาน IDC InfoBrief ฉบับที่ 4 นับตั้งแต่ปี 2564 จากผู้ตอบแบบสอบถาม 600 รายในตลาดเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ 6 ประเทศ ได้แก่ อินโดนีเซีย ฟิลิปปินส์ มาเลเซีย สิงคโปร์ ไทย และเวียดนาม โดยตรวจสอบภูมิทัศน์การชําระเงินดิจิทัลที่เปลี่ยนแปลงไปทั้งภาพรวมและในแต่ละตลาด ในฐานะที่เป็นพื้นที่เศรษฐกิจขนาดใหญ่อันดับที่ 5 ของโลก แนวโน้มการเติบโตที่โดดเด่นของภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ได้รับแรงขับเคลื่อนโดยภาคอีคอมเมิร์ซที่ขยายตัวอย่างรวดเร็ว โดยมีปัจจัยหนุนจากการใช้ระบบชำระเงินดิจิทัลที่เพิ่มขึ้น

รายงานฉบับนี้สำรวจภูมิทัศน์การชำระเงินดิจิทัลที่เปลี่ยนแปลงไปในภูมิภาค ข้อมูลเกี่ยวกับแนวโน้มการชำระเงินในแต่ละตลาด รวมถึงข้อมูลเชิงลึกว่าแนวโน้มต่างๆ เหล่านี้จะมีส่วนช่วยพัฒนากลยุทธ์ทางธุรกิจ และวางรากฐานสำหรับโอกาสการเติบโตของภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ในอนาคตได้อย่างไรบ้าง?

ประเด็นสำคัญจากรายงาน:  การทำความเข้าใจภาพรวมของภูมิทัศน์การชำระเงินดิจิทัลในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้อย่างครบถ้วน เป็นกุญแจสำคัญในการเข้าถึงเศรษฐกิจที่มีมูลค่าถึง 11.21 ล้านล้านบาท ทั้งนี้ การเพิ่มขีดความสามารถในการเข้าถึงตลาดท้องถิ่นจำเป็นต้องนำเสนอวิธีการชำระเงินที่สอดคล้องกับความต้องการของผู้บริโภค ซึ่งไม่เพียงแต่จะช่วยยกระดับประสบการณ์โดยรวมของผู้บริโภค แต่ยังเพิ่มแนวโน้มในการซื้อสินค้า (conversion rate) อีกด้วย

· การเติบโตของการชำระเงินดิจิทัลในอีคอมเมิร์ซ: คาดการณ์ว่าภายในปี 2571 การชำระเงินดิจิทัลจะมีสัดส่วนถึง 94% ของการชำระเงินทั้งหมดในตลาดอีคอมเมิร์ซในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ โดยการเติบโตที่สำคัญที่สุดจะเป็นช่องทางการชำระเงินภายในประเทศ (97.9%) และกระเป๋าเงินดิจิทัล (94.9%) ซึ่งมีบทบาทสำคัญในการขยายตัวของอีคอมเมิร์ซในภูมิภาคที่มีการใช้บัตรเครดิตน้อยกว่า

· การเพิ่มขึ้นของการชำระเงินแบบเรียลไทม์ (RTPs): การชำระเงินแบบเรียลไทม์จะเติบโตอย่างก้าวกระโดดในปี 2571 โดยคาดว่าจะมีมูลค่ามากกว่า 379.5 ล้านล้านบาท (หรือราว 11 ล้านล้านเหรียญสหรัฐ) ซึ่งเริ่มเห็นการเติบโตของ RTPs อย่างชัดเจนแล้วในสิงคโปร์ เช่น PayNow เป็นวิธีการชำระเงินที่ได้รับความนิยมสูงสุดเป็นอันดับสาม จากผลสำรวจผู้ค้าในปี 2567 การเติบโตของการชำระแบบเรียลไทม์ในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ได้รับแรงผลักดันจากโครงการริเริ่มของรัฐบาลที่มุ่งลดการพึ่งพาเงินสดและส่งเสริมวิธีการชำระเงินที่รวดเร็วและมีต้นทุนต่ำ ซึ่งตอบสนองความต้องการของทั้งผู้บริโภคและผู้ค้า

· กระเป๋าเงินดิจิทัลและช่องทางการชำระเงินภายในประเทศครองความนิยม: กระเป๋าเงินดิจิทัลและช่องทางการชำระเงินภายในประเทศเป็นที่นิยมในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ในปี 2566 กระเป๋าเงินดิจิทัลเป็นตัวเลือกที่ได้รับความนิยมสูงสุดในอินโดนีเซีย มาเลเซีย และเวียดนาม ขณะที่ช่องทางการชำระเงินภายในประเทศครองความนิยมในสิงคโปร์ และไทย แนวโน้มนี้ยังคงดำเนินต่อไปในปี 2567 โดยกระเป๋าเงินดิจิทัลเป็นวิธีการชำระเงินที่ได้รับการยอมรับเป็นอันดับสองจากผลสำรวจผู้ค้าในสิงคโปร์ และฟิลิปปินส์ และเป็นอันดับสามในอินโดนีเซียและไทย

นอกจากนี้ ยังมีโอกาสสำคัญอีกมากมายจากธุรกิจการค้าข้ามพรมแดนภายในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้

· โอกาสในตลาดของธุรกิจการค้าข้ามพรมแดน: คาดว่าธุรกิจการค้าข้ามพรมแดนภายในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้จะมีมูลค่าสูงถึง 5.04 แสนล้านบาท (หรือราว 14.6 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ) ภายในปี 2571 ซึ่งนับว่าเติบโตขึ้น 2.8 เท่าจากปี 2566 อีกสิ่งที่น่าสนใจคือมูลค่าเฉลี่ยของการทำธุรกรรมข้ามพรมแดนในตลาดเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ต่อผู้บริโภค 1 คนมักจะมีมูลค่าสูงกว่าการทำธุรกรรมภายในประเทศ ยกเว้นที่เวียดนามและอินโดนีเซีย สะท้อนให้เห็นถึงโอกาสทางธุรกิจที่สำคัญในภูมิภาคนี้

· การขับเคลื่อนธุรกิจการค้าข้ามพรมแดนด้วยโครงการ Regional Payment Connectivity (RPC): ธุรกิจการค้าข้ามพรมแดนได้รับการสนับสนุนเพิ่มเติมจากโครงการ RPC ซึ่งเป็นความร่วมมือระหว่างประเทศทั้ง 6 ประเทศในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ โดยมีเป้าหมายเพื่อเสริมสร้างและปรับปรุงระบบชำระเงินระหว่างประเทศให้มีความคล่องตัว มีประสิทธิภาพ และคุ้มต้นทุนยิ่งขึ้น

· ธุรกรรมข้ามพรมแดนให้ผลตอบแทนที่สูงขึ้น: จากการสำรวจพบว่า 62% ของผู้ค้าชาวเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ที่ทำธุรกิจการค้าข้ามพรมแดนสามารถทำรายได้จากธุรกรรมดังกล่าวสูงกว่าธุรกรรมภายในประเทศ โดยเฉลี่ย 21% ดังนั้น ผู้ค้าที่ต้องการขยายธุรกิจสามารถสร้างผลตอบแทนที่คุ้มค่าได้จากการมองหาตลาดในประเทศเพื่อนบ้าน

· ศักยภาพของการค้าภายในภูมิภาคที่ยังไม่ได้ใช้ประโยชน์อย่างเต็มที่: แม้ว่าการค้าภายในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้จะมีการเติบโตอย่างมีนัยสำคัญ แต่ก็ยังมีการใช้ประโยชน์น้อยกว่าที่ควรในแต่ละตลาด ดังนั้น เพื่อให้สามารถใช้ประโยชน์จากโอกาสเหล่านี้ได้อย่างเต็มที่ ผู้ค้าจำเป็นต้องทำความเข้าใจสภาพแวดล้อมทางธุรกิจที่แตกต่างกันในแต่ละประเทศ พร้อมทั้งใช้ข้อได้เปรียบร่วมกันให้เกิดประโยชน์สูงสุด ด้วยกลยุทธ์ที่เหมาะสม ธุรกิจสามารถปลดล็อกศักยภาพของการค้าภายในภูมิภาคและสร้างการเติบโตที่ยั่งยืนได้

แอกเนส ฉัว (Agnes Chua) กรรมการผู้จัดการฝ่ายพัฒนาธุรกิจและผลิตภัณฑ์ของ 2C2P กล่าวว่า "ภูมิทัศน์ของ อีคอมเมิร์ซในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้กำลังพัฒนาอย่างรวดเร็ว ผู้ค้าต่างตระหนักถึงโอกาสมหาศาลจากการเติบโตนี้ ซึ่งช่วยขับเคลื่อนรายได้จากอีคอมเมิร์ซ แต่ขณะเดียวกันก็ต้องเผชิญกับความซับซ้อนที่เพิ่มขึ้นในการดำเนินธุรกิจ เช่น การให้บริการแก่ผู้บริโภค การแก้ไขปัญหา การผสานระบบช่องทางชำระเงิน และปัญหาทางเทคโนโลยี 2C2P ช่วยให้ธุรกิจสามารถรับมือกับความท้าทายเหล่านี้ได้อย่างมั่นใจ โดยนำเสนอโซลูชันการชำระเงินที่ช่วยลดความซับซ้อนในการดำเนินงาน เพิ่มศักยภาพให้แก่ธุรกิจการค้าข้ามพรมแดน และขับเคลื่อนการเติบโตในเศรษฐกิจดิจิทัลของภูมิภาคนี้ที่กำลังขยายตัวอย่างรวดเร็ว เพื่อให้ผู้ค้าสามารถปลดล็อกโอกาสใหม่ๆ และเติบโตอย่างแข็งแกร่งในตลาดที่ไม่เคยหยุดนิ่ง”

แกรี่ หลิว ผู้จัดการทั่วไปของแอนทอม - แอนท์ อินเตอร์เนชั่นแนล กล่าวว่า "เอเชียตะวันออกเฉียงใต้กำลังก้าวขึ้นเป็นศูนย์กลางระดับโลกด้านดิจิทัลคอมเมิร์ซและนวัตกรรมอย่างรวดเร็ว ธุรกิจต่างๆ จำเป็นต้องอาศัยระบบธุรกรรมที่ราบรื่นและมีประสิทธิภาพในการขยายการเติบโตข้ามพรมแดน และเพื่อรักษาความสามารถในการแข่งขัน แอนทอมมองว่าระบบการชำระเงินไม่ได้เป็นเพียงโครงสร้างพื้นฐาน แต่เป็นตัวเร่งการเติบโตของธุรกิจ เราได้ทำงานร่วมกับ 2C2P และบริษัทอื่นๆ ในเครือข่ายของแอนท์ อินเตอร์เนชั่นแนล เพื่อส่งเสริมศักยภาพของผู้ค้าด้วยการมอบโซลูชันส์ด้านการชำระเงินดิจิทัลที่ครบวงจร ในขณะเดียวกัน ยังค้นหาโอกาสใหม่ๆ ด้านบริการระบบบัญชี การจัดหาเงินทุน และการบริหารการเงินระดับโลก เพื่อช่วยขับเคลื่อนธุรกิจให้เติบโต บริษัทของเรายังได้ประสานงานร่วมกับหน่วยงานกำกับดูแลระดับท้องถิ่นและพันธมิตรในอุตสาหกรรมต่างๆ อย่างใกล้ชิด เพื่อมุ่งปลดล็อกโอกาสใหม่ๆ สำหรับธุรกิจทุกขนาด ช่วยให้พวกเขาเติบโตท่ามกลางเศรษฐกิจดิจิทัลของเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ที่กำลังพัฒนาอย่างต่อเนื่อง"

ลาซาด้า ประเทศไทย เผยภาพรวมความสำเร็จ ตอกย้ำตำแหน่งแพลตฟอร์มอีคอมเมิร์ซที่ครองใจนักช้อปและผู้ขาย พร้อมชู 3 กลยุทธ์เสริมแกร่งอีโคซิสเต็ม มุ่งขยายฐานนักช้อปขาประจำในเซ็กเมนต์สินค้าพรีเมียม-แฟชัน-ความงาม เสริมแกร่งนวัตกรรมเพื่อสร้างการมีส่วนร่วม และขยายสิทธิประโยชน์และบริการเสริมสำหรับร้านค้า ตั้งเป้าสานต่อการเติบโตอย่างยั่งยืน หลังธุรกิจทั่วภูมิภาคมีผลกำไรเป็นบวกครั้งแรกในปีนี้

วาริสฐา เกียรติภิญโญชัย ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร ลาซาด้า ประเทศไทย กล่าวว่า “ตลอดระยะเวลากว่า 12 ปี ลาซาด้าได้ขับเคลื่อนนวัตกรรมและเศรษฐกิจในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ควบคู่ไปกับการพัฒนาธุรกิจอีคอมเมิร์ซที่แข็งแกร่ง สะท้อนได้จากสถานะ EBITDA จากการดำเนินธุรกิจใน 6 ประเทศของลาซาด้า กรุ๊ป ที่มีผลเป็นบวกเป็นครั้งแรกในเดือนกรกฎาคม 2567 ที่ผ่านมา ความสำเร็จดังกล่าวชี้ให้เห็นถึงการก้าวสู่ยุคใหม่ของอีคอมเมิร์ซ ซึ่งให้ความสำคัญกับประสิทธิภาพและความมั่นคงในการดำเนินธุรกิจ มากกว่าการบรรลุเป้าหมายในระยะสั้น เพื่อมุ่งสู่การเติบโตระยะยาวอย่างยั่งยืน”

อุตสาหกรรมอีคอมเมิร์ซไทยมีศักยภาพในการเติบโตอย่างต่อเนื่อง โดยในปี 2566 ไทยเป็นตลาดที่มีมูลค่าสูงเป็นอันดับที่ 2 ของเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ด้วยอัตราการเติบโต 20% เทียบกับปีก่อนหน้า ซึ่งสูงกว่าค่าเฉลี่ยของภูมิภาค ลาซาด้า ยังเดินหน้าลงทุนในประเทศไทยอย่างต่อเนื่อง โดยให้ความสำคัญกับกลยุทธ์ 3 ด้าน ได้แก่ การยกระดับประสบการณ์นักช้อป นวัตกรรมและเทคโนโลยี และการสนับสนุนผู้ประกอบการไทยให้เติบโตอย่างยั่งยืน

 ยกระดับประสบการณ์แบบเฉพาะบุคคล

เพื่อตอบรับการขยายตัวของกลุ่มนักช้อปหญิงและบทบาทที่เพิ่มขึ้นของผู้บริโภคกลุ่ม Gen Z ลาซาด้า เดินหน้ากลยุทธ์เพิ่มประสบการณ์การช้อปที่แตกต่าง ภายใต้แนวคิด “Customer-First” เน้นการตอบโจทย์ความต้องการเฉพาะบุคคลได้ดียิ่งขึ้น เพื่อเพิ่มอัตราการซื้อซ้ำและความเหนียวแน่นของนักช้อป โดยสร้างความแตกต่างในหมวดหมู่สินค้าพรีเมียม แฟชัน และความงาม ซึ่งเป็นจุดแข็งของแพลตฟอร์ม เห็นได้จากยอดขายรวมของ LazMall ในช่วงเมกะแคมเปญ ซึ่งก้าวกระโดดมากกว่า 7 เท่า เมื่อเทียบกับวันปกติ ในขณะที่ LazBEAUTY มีจำนวนสมาชิกในไทยกว่า 1 ล้านราย

ในโค้งสุดท้ายของปี 2567 ลาซาด้า จะเสริมความแข็งแกร่งของ LazMall ผ่านการขยายพันธมิตรแบรนด์เอ็กซ์คลูซีฟ และรุกเซ็กเมนต์สินค้าลักชูรี ผ่านหมวดสินค้า LazMall Premium Brand นอกจากนี้ ยังตอกย้ำ LazLOOK ในฐานะจุดหมายสินค้าแฟชัน ผ่านแคมเปญรายสัปดาห์ที่จะเข้ามาสร้างความตื่นเต้นและสีสันให้แก่นักช้อปอย่างต่อเนื่อง

 

ลงทุนด้านนวัตกรรมและเทคโนโลยี

ด้วยความมุ่งมั่นที่จะทำให้การช้อปเป็นเรื่องสะดวกและสนุกยิ่งขึ้น ลาซาด้า ยังนำเทคโนโลยี AI เข้ามาขับเคลื่อนการพัฒนานวัตกรรมและฟีเจอร์ต่าง ๆ โดยมี Gamification เป็นกลยุทธ์สำคัญในการสร้างการมีส่วนร่วมกับนักช้อป ที่ผ่านมา LazGame ได้รับผลตอบรับที่ดีเป็นอย่างมากในประเทศไทย โดยมีผู้เล่นเกมกว่า 1 ล้านคนต่อวัน ซึ่งนักช้อปกลุ่มนี้มีการใช้งานแอปพลิเคชันนานกว่าค่าเฉลี่ยของแพลตฟอร์มถึง 3 เท่า และราว 82% กลับมาใช้งานแอปพลิเคชันเป็นประจำทุกวัน

อีกหนึ่งฟีเจอร์ที่สะท้อนถึงความสำเร็จของการลงทุนด้านนวัตกรรมของลาซาด้า คือ ฟีเจอร์ “ถามผู้ใช้งานจริง (Ask the Buyer)” ซึ่งนำเทคโนโลยี AI มาช่วยตั้งคำถามเชิญชวนให้ผู้ซื้อรายก่อน ๆ มาร่วมรีวิวสินค้า เพื่อช่วยให้ผู้ซื้อรายใหม่ตัดสินใจได้ง่ายขึ้น โดยปัจจุบันมีการตอบคำถามจากผู้ซื้อจริงไปแล้วกว่า 1.5 ล้านครั้ง

 

ส่งเสริมและเพิ่มศักยภาพผู้ขายไทย

ด้วยพันธกิจในการสนับสนุนเอสเอ็มอีไทยให้เติบโตอย่างยั่งยืน ลาซาด้า ให้ความสำคัญกับการพัฒนาโซลูชันการตลาดเพื่อสนับสนุนผู้ขายให้สามารถดำเนินธุรกิจได้อย่างมืออาชีพ เช่น เครื่องมือที่ใช้เทคโนโลยี AI ช่วยปรับแต่งรูปภาพ เขียนคำอธิบายสินค้า และให้บริการลูกค้า โดยพบว่าสามารถเพิ่มอัตราการซื้อได้กว่า 30%  ลาซาด้า ยังนำเสนอโปรแกรมสิทธิประโยชน์ที่ออกแบบให้เหมาะสมกับร้านค้าในทุกกลุ่มและทุกก้าวของธุรกิจนอกจากนี้ ยังพัฒนาบริการเสริมที่จะช่วยให้ผู้ขายนำเสนอประสบการณ์ช้อปปิงออนไลน์ที่ผสานกับออฟไลน์ได้อย่างไร้รอยต่อ เช่น บริการติดตั้งเครื่องใช้ไฟฟ้าและเฟอร์นิเจอร์ การประกันสินค้าประเภทต่าง ๆ รวมถึงการนำสินค้าเก่ามาแลกสินค้าใหม่ในหมวดโทรศัพท์มือถือ เป็นต้น

ในขณะเดียวกัน ลาซาด้า ประเทศไทย ยังได้ผนึกความร่วมมือระยะยาวกับหน่วยงานภาครัฐ เพื่อส่งเสริมศักยภาพการดำเนินธุรกิจอีคอมเมิร์ซของผู้ประกอบการไทยและขับเคลื่อนเศรษฐกิจดิจิทัลของประเทศ อาทิ กระทรวงพาณิชย์ กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย และกรุงเทพมหานคร ผ่านโครงการต่าง ๆ อย่างต่อเนื่อง

สินค้าจีนทะลักเข้ามาตีตลาดในไทยเป็นประเด็นที่ถูกพูดถึงอย่างต่อเนื่องในสื่อ ซึ่งเริ่มเห็นสินค้าจีนหลากหลายประเภทหลั่งไหลเข้ามาในไทยมากขึ้นเรื่อย ๆ KKP Research ประเมินว่าแนวโน้มดังกล่าว ไม่เพียงแต่จะกระทบต่อผู้ประกอบธุรกิจที่ต้องแข่งขันกับจีนโดยตรงเท่านั้น แต่ยังจะกระทบเศรษฐกิจไทยในภาพรวม ทั้งรายได้ธุรกิจและแรงงาน การขาดดุลทางการค้า ซึ่งเป็นประเด็นที่ภาครัฐจำเป็นต้องพิจารณามาตรการในการช่วยดูแลผลกระทบอย่างเหมาะสม

จีนก้าวขึ้นเป็นมหาอำนาจในการผลิตสินค้าอุตสาหกรรมและกำลังรุกคืบเข้ามาไทย จีนก้าวขึ้นเป็นมหาอำนาจในภาคการผลิตโลกอย่างรวดเร็วนับตั้งแต่ประเทศจีนเข้าร่วมองค์กรการค้าโลก (World Trade Organization : WTO) ในปี 2001 อย่างไรก็ตามในช่วงวิกฤตโควิด มีหลายการเปลี่ยนแปลงที่เร่งให้สินค้าจากจีนสามารถส่งออกไปยังโลกและไทยได้เร็วมากขึ้น โดยแบ่งออกเป็นสองปัจจัยผลักจากจีน คือ (1) พัฒนาการการเติบโตที่รวดเร็วของแพลตฟอร์ม e-Commerce ในจีนโดยและธุรกรรมในประเทศจีนมีขนาดใหญ่กว่า 50% ของมูลค่าการซื้อขายทั้งโลก และยังขยายธุรกิจส่งออกโดยอาศัย e-Commerce ข้ามประเทศ (Cross-border e-Commerce) ซึ่งเติบโตขึ้นถึง 15% ในปี 2021 โดยประเทศไทยมีสัดส่วนจากการส่งสินค้าข้ามประเทศจากจีนขนาดประมาณ 24% ของมูลค่า e-Commerce ทั้งหมด (2) เศรษฐกิจภายในประเทศของจีนที่ชะลอตัวลงจากปัญหาในภาคอสังหาริมทรัพย์ ทำให้จีนต้องหันมาพึ่งพาภาคการส่งออกสินค้าอุตสาหกรรมเป็นแรงขับเคลื่อนหลักของเศรษฐกิจ

 อย่างไรก็ตาม KKP Research ประเมินว่ามี 4 ปัจจัยในไทยเอง ที่มีส่วนดึงดูดสินค้าจากจีนให้เร่งเข้ามามากกว่าในหลายประเทศ คือ

1) ประเทศไทยมีกฎระเบียบที่เอื้อต่อการนำเข้าสินค้าจากจีน ตัวอย่างเช่น การคิดอัตราภาษีจากสินค้าจีนในระดับต่ำ

2) การเปลี่ยนแปลงทางเทคโนโลยีที่จีนเป็นผู้นำ เช่น รถยนต์ไฟฟ้า

3) การเกิดขึ้นของ e-Commerce ในประเทศไทย โดยคนไทยมีความคุ้นเคยและนิยมซื้อสินค้าออนไลน์มากขึ้นเรื่อย ๆ โดยพิจารณาจากราคา ไม่ยึดติดกับแบรนด์

4) การให้ Free visa กับนักท่องเที่ยวจากจีน ทำให้ไม่มีการตรวจสอบการเข้าออกประเทศอย่างเข้มงวด เปิดช่องทางให้คนจีนเข้ามาทำการค้าทำธุรกิจในไทยได้โดยง่าย

ปัจจัยทั้งหมดส่งผลให้ไทยเป็นหนึ่งในเป้าหมายการส่งออกสินค้าจากจีน ไทยถือเป็นหนึ่งในประเทศที่มีการเร่งตัวของการขาดดุลการค้ากับจีนเร็วมากที่สุดเมื่อเทียบกับประเทศอื่น ๆ โดยเพิ่มขึ้นจาก 2.5% ของ GDP ในปี 2012 เป็น 7.5% ของ GDP ในปี 2022 หรือเพิ่มขึ้นกว่า 5 p.p. ซึ่งเกิดจากทั้งการนำเข้ามาเพื่อบริโภคในประเทศเอง และการนำเข้าเพื่อส่งออกสินค้าต่อไปยังต่างประเทศ

สินค้าที่ทะลักเข้าไทยมากที่สุด

KKP Research ประเมินว่าหากพิจารณาพัฒนาการของการค้าระหว่างไทยกับจีนในรายละเอียดอาจสามารถแบ่งได้เป็น 5 กลุ่มสินค้าสำคัญที่น่าสนใจ คือ

1) กลุ่มสินค้าอิเล็กทรอนิกส์ จะเป็นกลุ่มที่ส่งผลให้มีการขาดดุลมากที่สุด โดยสินค้าที่สำคัญที่ไทยนำเข้าจากจีนค่อนข้างมาก คือ สินค้าในกลุ่ม smartphone ซึ่งเป็นสินค้าที่สามารถซื้อขายได้ผ่าน e-Commerce Platform ทำให้เห็นภาพว่า e-Commerce มีบทบาทสำคัญเช่นกันในการส่งผ่านสินค้าจากจีนมายังไทยมากขึ้นในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา

2) สินค้าในกลุ่มเครื่องจักร เคยเป็นหนึ่งในประเภทสินค้าที่ไทยเกินดุลการค้ากับจีนจากสินค้าอย่าง Hard Disk Drive อย่างไรก็ดี ในภายหลังสินค้าเครื่องจักรจากจีนเริ่มเข้ามาในตลาดไทยมากขึ้น นำโดย Laptop และเครื่องใช้ไฟฟ้า

3) สินค้าในกลุ่มยานยนต์ สินค้าที่ขาดดุลกับจีนเป็นอันดับต้น ๆ ส่วนใหญ่เป็นชิ้นส่วนรถยนต์ ขณะที่สินค้าที่เกินดุลการค้ากับจีนเป็นสินค้ารถยนต์ที่ประกอบสำเร็จแล้ว โดยในปี 2022 เริ่มเห็นสัญญาณความเสี่ยงจากการที่ไทยเริ่มขาดดุลการค้ากับจีนในสินค้ารถยนต์ไฟฟ้า หรือ EV โดยมีการขาดดุลเพิ่มขึ้นแซงหน้าชิ้นส่วนยานยนต์ทุกประเภท

4) เหล็กกล้าและอะลูมิเนียม พบว่าเหล็กและอะลูมิเนียมขาดดุลการค้ามากขึ้นทุกปีกับจีน โดยมีสาเหตุจากกำลังการผลิตที่เกินอุปสงค์ภายในประเทศจีนที่ชะลอตัวลงตามภาวะเศรษฐกิจ สุดท้ายจึงต้องส่งออกเหล็กสำเร็จรูปเหล่านั้นมาที่ประเทศอื่น ๆ รวมถึงประเทศไทย

5) เคมีภัณฑ์และพลาสติก เปลี่ยนจากการเกินดุลการค้าเป็นขาดดุลการค้าในช่วงที่ผ่านมา โดยข้อมูลจากองค์กรพลังงานระหว่างประเทศ (IEA) ระบุว่าในปัจจุบันจีนมีการพัฒนาเพื่อรองรับการขยายตัวของเศรษฐกิจและภาคอุตสาหกรรม โดยมีกำลังผลิตรวมมากกว่ายุโรป ญี่ปุ่น และเกาหลีใต้รวมกันเสียอีก จีนจึงไม่จำเป็นต้องพึ่งพาการนำเข้าอีกต่อไป

 e-Commerce platform คลื่นยักษ์ลูกใหม่ที่เร่งการทะลักของสินค้าจีนมาไทย

KKP Research ประเมินว่าหนึ่งในปัจจัยเร่งการส่งสินค้าจีนมายังไทย คือ การเติบโตของ e-Commerce platform โดยข้อมูลชี้ว่ามูลค่า e-Commerce เติบโตเฉลี่ยถึงปีละ 10.5% ในช่วง 5 ปีที่ผ่านมา โดยการเติบโตเร่งขึ้นมากในช่วงโควิดส่งผลให้ในปี 2023 ตลาด e-Commerce มีมูลค่าโดยรวมอยู่ที่ราว 5.96 ล้านล้านบาท โดยสัดส่วนกว่า 50% เป็นธุรกิจประเภท Business-to-Consumer (B2C) คือการขายของออนไลน์จากธุรกิจไปยังผู้บริโภคโดยตรง ในด้านช่องทางการซื้อขายออนไลน์ที่ได้รับความนิยมมากที่สุดอันดับแรก คือ e-Marketplace

สาเหตุที่ทำให้ e-Commerce ในประเทศไทยเติบโตอย่างรวดเร็วและยังมีโอกาสเติบโตต่อไปได้สูงจากหลายปัจจัย ได้แก่

(1) การเข้าถึงอินเทอร์เน็ตที่อยู่ในระดับสูง โดยสัดส่วนประชากรที่เข้าถึงอินเทอร์เน็ตสูงถึง 88% จัดอยู่ในอันดับต้น ๆ ของโลก เทียบกับค่าเฉลี่ยโลกที่ 66%

(2) สัดส่วนการเข้าถึง smart phone สูงถึง 77.2% เทียบกับค่าเฉลี่ยโลกที่ 69%

(3) การเข้าถึงข่องทางการชำระเงินออนไลน์ (online payments) ที่หลากหลาย ช่วยสนับสนุนการค้าปลีกออนไลน์ให้มีความสะดวกในต้นทุนที่ต่ำ ติดอันดับต้น ๆ ของโลก ในระยะข้างหน้าการแข่งขันในสมรภูมิ e-Commerce กำลังจะเข้มข้นขึ้นอีก เมื่อ มี e-Marketplace platform เจ้าใหม่ที่เจาะตลาดไปแล้วถึง 51 ประเทศทั่วโลกและได้รุกก้าวเข้ามาบุกตลาดในประเทศไทยเมื่อไม่นานมานี้

 เศรษฐกิจไทยภายใต้แรงกดดันจากสินค้าจีน

ในกรณีของประเทศไทยการเติบโตของ e-Commerce มีแนวโน้มส่งผลกระทบทางลบต่อเศรษฐกิจไทยในระยะยาว โดยผลจะแตกต่างกันในแต่ละกลุ่มผู้เล่นในระบบเศรษฐกิจ 1) ผู้บริโภคมีแนวโน้มได้ประโยชน์ เพราะสามารถซื้อสินค้าได้ในราคาถูกลง 2) ผู้ผลิตในกลุ่มธุรกิจที่ได้ประโยชน์จากการใช้วัตถุดิบราคาถูก หรือธุรกิจที่โตไปพร้อมกับ e-Commerce 3) ผู้ผลิตในกลุ่มสินค้าเดียวกับสินค้าที่นำเข้าผ่าน e-Commerce มีแนวโน้มได้รับผลกระทบทางลบจากการเข้ามาทดแทนของสินค้าจีน ตัวอย่างเช่น สินค้าในกลุ่มเครื่องใช้ไฟฟ้า

เมื่อพิจารณาสินค้าในกลุ่มที่มีแนวโน้มส่งออกผ่านแพลตฟอร์ม e-Commerce มายังประเทศไทย กลุ่มสินค้าที่ไทยมีแนวโน้มขาดดุลกับจีนมากขึ้นและมีแนวโน้มเกี่ยวข้องกับ e-Commerce คือ คอมพิวเตอร์และอิเล็กทรอนิกส์ซึ่งมีมูลค่าเพิ่มมากถึง 8.8% ของภาคการผลิตไทย เครื่องใช้ไฟฟ้ามีมูลค่าเพิ่ม 3.5 % และอุตสาหกรรมสิ่งทอและเสื้อผ้ามีมูลค่าประมาณ 3 % โดยนับรวมเป็นมูลค่าเพิ่มในภาคการผลิตในกลุ่มที่มีความเสี่ยงนี้คิดเป็นประมาณ 18% ของ มูลค่าการผลิตทั้งหมดของประเทศ โดยเริ่มเห็นทิศทางการผลิตที่ชะลอลงแล้วในช่วงที่ผ่านมา นอกจากนี้การเข้ามาของ e-Commerce ยังมีแนวโน้มส่งผลกระทบต่อ ภาคบริการแบบเก่า คือ กลุ่มค้าปลีกมีโอกาสได้รับผลกระทบ ซึ่งคิดเป็นสัดส่วนใหญ่ถึงประมาณ 16% ของ GDP

KKP Research ประเมินว่าอาจมีผลกระทบสำคัญตามมาอีกอย่างน้อย 5 เรื่อง คือ 1) รายได้ของธุรกิจมีแนวโน้มถูกกระทบรุนแรงขึ้น โดยเฉพาะผู้ประกอบการขนาดเล็กที่ปรับตัวได้ยากกว่า 2) หนี้เสียมีแนวโน้มปรับตัวสูงขึ้น โดยในปัจจุบันเริ่มเห็นสัญญาณการเพิ่มขึ้นของหนี้เสียของธุรกิจในภาคอุตสาหกรรม ซึ่งมีแนวโน้มเป็นกลุ่มสินค้าเดียวกันกับสินค้าที่ไทยขาดดุลกับจีนมากขึ้น เช่น สิ่งทอและเสื้อผ้า เหล็ก 3) ดุลการค้ามีแนวโน้มพลิกเป็นขาดดุลในระยะยาวและกดดันค่าเงินบาทจากการนำเข้าสินค้าจีนทดแทนการผลิต 4) เงินเฟ้อไทยมีแนวโน้มอยู่ในระดับต่ำต่อเนื่อง จากสินค้าราคาถูกจากจีน 5) รัฐบาลไทยสูญเสียรายได้ภาษี จากการที่การชำระเงินให้กับการซื้อสินค้าออนไลน์บนแพลตฟอร์มข้ามชาติเหล่านี้ ถูกจ่ายตรงไปยังธุรกิจในต่างประเทศ

 ไทยควรรับมืออย่างไร ?

การเข้ามาบุกตลาดของสินค้าจีนอาจมีข้อดีทำให้ซื้อสินค้าในราคาถูกลง แต่ตามมาด้วยผลกระทบด้านลบต่อผู้ประกอบการไทย ทั้งนี้การออกมาตรการสกัดกั้นหรือตอบโต้สินค้าจากจีนอาจเป็นประเด็นที่ละเอียดอ่อนในทางการเมืองและความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ KKP Research ประเมินว่าภาครัฐไม่จำเป็นต้องกีดกันสินค้าจากจีนในวงกว้าง หากแต่ควรพิจารณาออกแบบมาตรการรับมือ ที่เหมาะสมกับสถานการณ์และหลักการในมิติดังต่อไปนี้

1) Fair competition: สินค้านำเข้าเป็นการนำเข้าที่เข้าข่ายผิดกฎหมาย มีการลักลอบ หรือใช้ช่องว่างทางกฎหมายต่าง ๆ เพื่อหลบเลี่ยงภาษี หรือเป็นการทุ่มตลาด ทำให้ผู้ประกอบการไทยเสียผลประโยชน์จากการแข่งขันที่ไม่เท่าเทียม

2) Quality and standards: สินค้านำเข้าเป็นการนำเข้าสินค้าที่ไม่ได้คุณภาพมาตรฐานตามที่กำหนดโดยมาตรฐานสินค้าและอาหารของหน่วยงานภาครัฐไทยหรือไม่?

3) Strategic industry: สินค้านำเข้าเป็นการนำเข้าที่มาแข่งขันกับการผลิตในประเทศในอุตสาหกรรมสำคัญที่มีความสำคัญเชิงยุทธศาสตร์สำหรับเศรษฐกิจไทย และการจ้างงานในภาพรวมหรือไม่?

ในกรณีที่สินค้ามีลักษณะที่ตรงตามเกณฑ์ต่าง ๆ ภาครัฐควรให้ความช่วยเหลือธุรกิจไทยในกรณีที่มีการแข่งขันที่ไม่เป็นธรรม หรือเป็นการช่วยให้อุตสาหกรรมที่มีความสำคัญกับเศรษฐกิจมีเวลาปรับตัวมากเพื่อรักษาผลประโยชน์สูงสุดต่อเศรษฐกิจ

อย่างไรก็ตาม ไม่ว่าจะเป็นมาตรการใดที่จะใช้ในการตั้งรับกับการแข่งขันในสมรภูมิสินค้าที่ดุเดือดมากขึ้นนี้ก็อาจเป็นเพียงการซื้อเวลาให้ผู้ประกอบการได้พอมีเวลาปรับตัว แต่สุดท้ายแล้วผู้ชนะในตลาดนี้จำเป็นต้องแข่งกันด้วยคุณภาพของสินค้า ประสิทธิภาพในการผลิต ความคุ้มค่า รวมไปถึงการบริการที่ตอบโจทย์และได้ความพึงพอใจจากผู้บริโภค นับเป็นโอกาสที่ดีที่ภาคการผลิตไทยจำเป็นต้องปรับเปลี่ยนรูปแบบการทำธุรกิจ พัฒนาประสิทธิภาพการผลิต สร้างนวัตกรรม สร้างแบรนด์ที่มีความแตกต่าง เพื่อสร้างมูลค่าเพิ่มที่สูงขึ้น โดยภาครัฐอาจต้องช่วยส่งเสริมด้วยการสนับสนุนการลงทุนในเทคโนโลยีและนวัตกรรม การพัฒนาปรับปรุงการผลิต รวมถึงการบุกเบิกตลาดใหม่

Page 1 of 3
X

Right Click

No right click