หากมีความจำเป็นที่จะต้องยก “ความเป็นเจ้าของ” ให้กับสมาชิกในครอบครัว หรือทายาทเท่านั้น แต่ต้องแยกส่วนของการบริหารจัดการให้กับทีมบริหารมืออาชีพ เพื่อดูแลองค์กรธุรกิจครอบครัว เรื่องนี้อาจยากทำใจ หรืออาจต้องมาประเมินว่า “จะได้หรือเสีย” มากกว่ากัน

ทั้งนี้ รศ.ดร.เอกชัย อภิศักดิ์กุล คณบดี คณะวิทยพัฒน์ มหาวิทยาลัยหอการค้าไทย และผู้ก่อตั้ง FAMZ บริษัทที่ปรึกษาธุรกิจครอบครัวชั้นนำของประเทศไทย ได้ให้ความเห็นกับการเปิดทางให้ทีมบริหารมืออาชีพเข้ามาบริหารองค์กรของธุรกิจครอบครัวว่า

“การที่ทีมบริหารมืออาชีพเข้ามาบริหารธุรกิจกลับจะยิ่งช่วยให้ธุรกิจครอบครัวมีความสามารถทางการแข่งขัน และมีศักยภาพได้ดี มีความเป็นมืออาชีพมากกว่า ทั้งนี้ เมื่ออ้างอิงจากผลการศึกษากรณีดังกล่าวจากทั่วโลกก็บ่งชี้ในทิศทางเดียวกันว่า ธุรกิจครอบครัวอาจมีผลประกอบการต่ำ หรือขาดความทะเยอทะยานได้ ทว่า หากบริหารโดยสมาชิกในครอบครัคนที่ไม่ใช่สมาชิกในครอบครัวจะสามารถผลักดันธุรกิจให้เติบโตอย่างรวดเร็วกว่า รวมถึงการสร้างนวัตกรรม การขยายตัวไปต่างประเทศ การกระจายธุรกิจก็จะทำได้ดีกว่า เนื่องจากมืออาชีพจะให้ความสำคัญกับความสามารถทางการแข่งขัน และการทำธุรกิจเป็นภารกิจอันดับต้นๆ ต่างจากสมาชิกในครอบครัว ซึ่งมักจะมุ่งโฟกัสที่ครอบครัว ชุมชนและการสร้างตำนานของธุรกิจครอบครัวกับโลกมากกว่า”

การบริหารธุรกิจอย่างมืออาชีพเป็นสิ่งสำคัญ แต่ไม่เพียงพอที่จะอยู่รอดได้ในระยะยาว สิ่งสำคัญที่สุดที่ต้องตระหนักคือต้องทำให้เป็นมืออาชีพทั้งธุรกิจและครอบครัวด้วยให้ความเห็นเพิ่มเติมว่า “ถ้าต้องการให้ธุรกิจมีความเป็นมืออาชีพจริงๆ ก็ควรต้องมีมืออาชีพมากๆ  ที่สำคัญ หากมองในระยะยาว การที่ธุรกิจครอบครัวดึงดูดคนที่มีความสามารถเข้ามา ตลอดจนการให้ขอบเขตและให้เวลาในการพิสูจน์ตนเองของผู้บริหาร โดยเฉพาะช่วงระยะเวลาที่ดำรงตำแหน่งซีอีโอนั้นจะต้องใช้เวลาหลายปี อย่างกรณีอ้างอิงจาก Fortune 500 ก็ใช้เวลาประมาณ 5 ปี ขณะที่ Harvard Business Review ระบุว่า ช่วงระยะเวลาในการดำรงตำแหน่งที่เหมาะสมของซีอีโอคือ 4.8 ปี หลังจากนั้น การทำงานจะเริ่มมีบางอย่างลดลง ซึ่งธุรกิจครอบครัวจะต้องตระหนักถึงเรื่องนี้ให้ดี อย่างไรก็ตาม มีข้อควรระวังสำหรับมืออาชีพที่ได้รับการสรรหาเข้ามาก็คือ จะต้องแสดงบทบาทของตนเองอย่างระมัดระวังในธุรกิจครอบครัว เนื่องจากอาจจะต้องเผชิญกับประเด็นความซับซ้อน หรืออ่อนไหวที่อาจต้องขับเคี่ยวกับสมาชิกในครอบครัว ทั้งที่อยู่ในและนอกบอร์ดบริหาร”

อย่างไรก็ตาม การที่มีมืออาชีพเข้ามาในธุรกิจเพิ่มขึ้น เจ้าของธุรกิจครอบครัวก็ยังสามารถกำกับ หรือดูแลธุรกิจในภาพรวมได้ นอกจากนี้  ยังมีผลงานวิจัยสนับสนุนอีกด้วยว่า ถ้าเจ้าของธุรกิจเข้ามาเป็นคณะกรรมการ เข้ามาร่วมตัดสินใจ ร่วมรับความเสี่ยง/รับภาระ ฯลฯ บริษัทก็จะมีอัตราการเติบโตที่ดีกว่าการปล่อยให้ผู้อื่นเข้ามามีส่วนตัดสินใจและบริหาร เนื่องจากมืออาชีพนั้นไม่ได้อยู่กับธุรกิจถาวรเหมือนเจ้าของธุรกิจ ดังนั้น หนึ่งในคำมั่นสัญญาที่สำคัญ คือ การที่เจ้าของธุรกิจเข้ามาร่วมกันแก้ไขปัญหา และกำหนดทิศทางของธุรกิจ”

ทั้งนี้ ความเป็นธุรกิจครอบครัวก่อนจะตัดสินใจเรื่องสำคัญทางธุรกิจ ครอบครัวมักจะหารือกันก่อนในที่ประชุมครอบครัว เช่น สภาครอบครัวหรือสภาธุรกิจ แล้วจึงจะนำเสนอคณะกรรมการบริษัทหรือที่ประชุมผู้ถือหุ้น ซึ่งปกติเสียงของครอบครัวมักจะดังเสมอในทุกๆ ประชุมของบริษัท

รศ.ดร.เอกชัยกล่าวในตอนท้ายว่า ในฐานะที่ FAMZ เป็นบริษัทที่ปรึกษาธุรกิจครอบครัว ผมมองว่า การบริหารธุรกิจอย่างมืออาชีพเป็นสิ่งสำคัญ แต่ไม่เพียงพอที่จะอยู่รอดได้ในระยะยาว สิ่งสำคัญที่สุดที่ต้องตระหนัก คือ ต้องทำให้ธุรกิจครอบครัวเป็นมืออาชีพทั้งในส่วนของ “ธุรกิจ” และ “ครอบครัว” ด้วย”

ข้อมูลเพิ่มเติม www.famz.co.th 

ปัญหาอมตะในธุรกิจครอบครัวเรื่องหนึ่ง คือ

การที่ทายาทคิดว่า ผู้ใหญ่ไม่รับฟังความเห็นต่างของตนเอง

เรื่องนี้เป็นปัญหาที่พบกันบ่อย และวิธีแก้ไขก็ต่างกันไป

เพราะแต่ละบ้านก็มีปัจจัยในการเกิดสถานการณ์นี้ที่แตกต่างกัน

ทั้งนี้ รองศาสตราจารย์ ดร.เอกชัย อภิศักดิ์กุล คณบดี คณะวิทยพัฒน์ มหาวิทยาลัยหอการค้าไทย ผู้ก่อตั้ง FAMZ  บริษัทที่ปรึกษาธุรกิจครอบครัว ให้ความเห็นว่า กับปัญหานี้ผมคิดว่า ข้อคิดจากบทความเรื่อง “เทคนิคการแสดงความไม่เห็นด้วยกับคนที่มีอำนาจเหนือกว่าเรา” เขียนโดย Amy Gallo และเผยแพร่ใน Harvard Business Review  ดูจะเป็นกลยุทธ์ที่ทำได้ง่าย และเหมาะกับปัญหานี้ นั่นคือ

ประการแรก ยอมรับความเสี่ยงว่า พูดไปแล้วอาจจะไม่เข้าหูผู้ใหญ่ ซึ่งทำให้คนส่วนใหญ่เลือกที่จะเงียบ แต่ถ้าเรื่องที่ต้องการพูดนั้นเป็นประโยชน์และเป็นข้อเท็จจริง แล้วเราไม่กล้าพูด

ครอบครัวหรือธุรกิจของเราก็จะมีความเสี่ยงอีกด้านหนึ่งที่เรียกว่า  “ความเสี่ยงของการไม่พูด” ทั้งนี้ จากประสบการณ์ทำงานให้ธุรกิจครอบครัวมานาน ผมพบว่า มีคนที่เสียใจกับเรื่องที่เคยพูดไปโดยไม่คิดบ้าง แต่คนส่วนใหญ่กลับเสียใจในเรื่องที่สมควรพูดแล้วไม่ได้พูดออกไปมากกว่า

ประการต่อมา คือ ก่อนแสดงความเห็นขัดแย้งให้สร้าง “ความรู้สึกที่ปลอดภัยและ (ผู้ฟัง) สามารถควบคุมได้” (Psychological Safety and Control) ให้กับพ่อแม่หรือผู้ใหญ่ก่อน เพราะคนที่มีอำนาจเหนือกว่า ปกติไม่ชอบการถูกท้าทาย โดยเฉพาะการท้าทายในที่สาธารณะ และจากคนที่เป็นทายาท ซึ่งเด็กๆ หรือทายาทเหล่านี้ครั้งหนึ่งเคยมองตนเองเป็น “ฮีโร่” ดังนั้น หากเลือกได้ควรเลือกพูดกันเป็นการส่วนตัว

ส่วนการเริ่มต้นสร้างความรู้สึกปลอดภัยและควบคุมได้ให้กับผู้ใหญ่ เทคนิคคือทำการขออนุญาตก่อน เช่น เราอยากแสดงความคิดเห็นขัดแย้งกับที่พ่อพูด อาจจะเริ่มต้นด้วยการพูดว่า “พ่อครับ ผมอยากขออนุญาตแสดงความเห็นในเรื่องนี้ได้มั้ยครับ”  แล้วรอการตอบรับ

ทั้งนี้ การได้รับคำขออนุญาตจากเด็กหรือทายาทจะเป็นการสร้างความรู้สึกปลอดภัยและควบคุมได้ให้กับผู้ใหญ่ ซึ่งจะช่วยลดความรู้สึกเสมือนการถูกท้าทาย ซึ่งจะส่งผลให้ปฏิกิริยาการต่อต้านลดลงไปด้วย

ส่วนความเห็นของพวกเราที่เป็นทายาทจะถูกต้อง มีเหตุมีผลเหมาะสมหรือไม่ก็ต้องเปิดใจกว้างยอมรับเช่นกัน สุดท้ายให้ระวังทั้งภาษาพูดและภาษากาย เพราะผู้ใหญ่ที่กำลังฟังเราอยู่มักจะเลือกฟังอย่างใดอย่างหนึ่ง

ข้อมูลเพิ่มเติม www.famz.co.th 

FAMZ ที่ปรึกษาธุรกิจครอบครัวชั้นนำของประเทศไทยแนะกลยุทธ์ 3Ps “Purpose – Principle – Planning” สร้าง “ดาวเหนือ” ของตนเอง เพื่อสร้างความยั่งยืนให้กับธุรกิจครอบครัว

รองศาสตราจารย์ ดร.เอกชัย อภิศักดิ์กุล คณบดี คณะวิทยพัฒน์ มหาวิทยาลัยหอการค้าไทย และผู้ก่อตั้ง FAMZ ที่ปรึกษาธุรกิจครอบครัวชั้นนำของประเทศไทย ได้แนะแนวทางกับธุรกิจครอบครัว เพื่อสร้าง “ดาวเหนือ” ว่า  การเดินหน้าเพื่อมุ่งสู่ “ดาวเหนือ” หรือ “เป้าหมายสูงสุด” ของธุรกิจครอบครัวนั้นสามารถปลดล็อกได้ด้วยขั้นตอนง่ายๆ  เพื่อสร้าง “ธรรมนูญครอบครัว” หรือ “เข็มทิศ” ต่อไปในอนาคตได้ ด้วยกลยุทธ์ 3Ps ซึ่งประกอบด้วย Purpose – Principle – Planning  (เจตนารมณ์ – หลักการ – การวางแผน)

ทั้งนี้ รองศาสตราจารย์  ดร.เอกชัย ได้กล่าวถึง “เข็มทิศกลยุทธ์ 3Ps”  เพิ่มเติมว่า

P ที่ 1 : Purpose ถือเป็นการประกาศ “เจตนารมณ์” ร่วมกันของธุรกิจครอบครัวนั้นๆ แม้การประกาศ“เจตนารมณ์” จะสกัดออกมาเหลือเพียง 2-3 บรรทัด เช่น ตัวอย่าง Purpose ของ “ตระกูลจิราธิวัฒน์” ซึ่งจะเรียกส่วนนี้ว่า “ปณิธานของคุณเตียง และคุณสัมฤทธิ์ จิราธิวัฒน์” ที่ต้องการสร้างธุรกิจครอบครัวให้เติบโตขึ้น เพื่อส่งต่อให้ทายาทรุ่นต่อๆ ไปในอนาคตได้

Purpose นี้มีส่วนที่เหนือกว่านั้น คือ การร่วมประชุมเช่นนี้ได้กลายเป็น “เวทีสำคัญ”ที่ทำให้สมาชิกครอบครัวได้พูดถึงความต้องการของตนเองออกมา เช่น

  • สมาชิกครอบครัวบางคนที่มีลูกก็อยากที่จะส่งต่อ “ความสำเร็จ” ของตนเองให้กับลูกๆ ฉะนั้น จึงต้องการทำธุรกิจให้มีความยั่งยืน
  • สมาชิกครอบครัวบางคนเน้นการทำงานให้มีความสุข และทั้งครอบครัว พนักงาน ตลอดจนซัพพลายเออร์ได้พัฒนาความสามารถและเติบโตไปพร้อมๆ กัน

P ที่ 2 : Principle เมื่อได้ “เจตนารมณ์” แล้วก็นำ “เจตนารมณ์” มาแตกเป็นหมวด เพื่อวาง “หลักการ” เป็นข้อๆ เช่น

  • เรื่องนี้ทำได้
  • เรื่องนี้อยากทำ
  • เรื่องนี้ยังต้องพัฒนา

#FAMZ

#ที่ปรึกษาธุรกิจครอบครัว #ธุรกิจครอบครัว #กงสี

#ธรรมนูญครอบคร้ว

P ที่ 3 : Planning “การวางแผน” ที่จะทำให้การเดินหน้าสู่ “ดาวเหนือ” มีความเป็นไปได้ในทางปฏิบัติ และถือเป็นขั้นตอนที่จะช่วยกำกับมิให้ออกนอกลู่นอกทาง หรือละเลย เนื่องจากมัวยุ่งกับภารกิจในชีวิตประจำวัน หรือโลกธุรกิจจนไม่มีเวลา ด้วยการวางแผนเป็นรายปีว่า ธุรกิจครอบครัวต้องการดำเนินการอะไรบ้าง  เช่น

  • ต้องการดำเนินกลยุทธ์ 1,2,3 …. ในขวบปีนั้นๆ
  • การเตรียมตัวเพื่อเดินหน้าสู่กระบวนการสืบทอดทายาททางธุรกิจ

ที่สำคัญ เมื่อดำเนินการมาถึงขั้นตอนที่ 3 แล้ว สำหรับการประชุมของสมาชิกครอบครัวทุกครั้งก็จะต้องนำแผนรายปีดังกล่าวเข้าที่ประชุมด้วยทุกครั้ง

รองศาสตราจารย์  ดร.เอกชัย ได้กล่าวเพิ่มเติมว่า “หากธุรกิจครอบครัวมีอาวุธ 3Ps ที่ว่าด้วย Purpose – Principle – Planning  (เจตนารมณ์ – หลักการ – การวางแผน) อย่างน้อยก็จะเสมือนมี “เข็มทิศ” ที่จะทำให้การสร้างธรรมนูญครอบครัวของตนเองสำเร็จได้ง่ายกว่าเดิม และไม่คิดท้อถอยจนไปไม่ถึง “ดาวเหนือ” ไปเสียก่อน”

  • เรียนรู้ความสำคัญของ Family Business Management เพื่อสานต่อ ‘ธุรกิจกงสี’ ที่ดีต่อทุกฝ่าย
  • แนะวิธีรับช่วงต่อ ‘ธุรกิจกงสี’ และแก้ Pain Point ด้วยวิชา Family Business Management

การบริหาร ‘ธุรกิจครอบครัว’ หรือที่คนไทยพูดกันติดปากว่า ‘ธุรกิจกงสี’ มักมีประเด็นปัญหาภายในที่คนในครอบครัวถกเถียงกันแล้วไม่รู้จะตัดสินใจอย่างไร หนำซ้ำบางเรื่องหาทางออกไม่ได้ บางเรื่องมีความขัดแย้งจนบานปลาย ส่วนหนึ่งนั่นเป็นเพราะขาดองค์ความรู้และความเข้าใจด้านการบริหารจัดการธุรกิจครอบครัวโดยเฉพาะ ซึ่งต้องมีความเข้าใจในชีวิตความเป็นอยู่และวัฒนธรรม รวมถึงจริยธรรม

สำหรับประเด็นที่มีความซับซ้อนเช่นนี้ รศ.ดร.เอกชัย อภิศักดิ์กุล คณบดี คณะวิทยพัฒน์ (Extension School) ผู้อำนวยการศูนย์ธุรกิจครอบครัว มหาวิทยาลัยหอการค้าไทย และเป็น ผู้ก่อตั้ง บริษัท แฟมซ์ จำกัด (FAMZ Co., Ltd.) ธุรกิจที่ปรึกษาด้านการบริหารธุรกิจครอบครัวชั้นนำของประเทศไทย ซึ่งก้าวย่างเข้าสู่ปีที่ 7 ของการดำเนินธุรกิจได้แบ่งปันมุมมอง พร้อมสะท้อนแง่มุมปัญหาและแนวทางแก้ไขของธุรกิจครอบครัวกับกองบรรณาธิการ MBA อย่างน่าสนใจ

ความสำคัญของศาสตร์ด้านการบริหารธุรกิจครอบครัว

เนื่องจากการบริหารธุรกิจของแต่ละครอบครัวมีอัตลักษณ์แตกต่างกัน อีกทั้งยังมีปัญหาเกี่ยวกับความสัมพันธ์เชิงซ้อน เช่น ความเกี่ยวข้องกับอารมณ์ ความรู้สึก ความสัมพันธ์ฉันท์เครือญาติ ความสัมพันธ์เชิงธุรกิจ ตลอดจนความเกี่ยวข้องกับผลประโยชน์ สิทธิประโยชน์ อำนาจการบริหาร ความสนใจส่วนบุคคล ฯลฯ ซึ่งยากจะบริหารให้บรรลุผลและลงตัว อีกทั้งไม่มีสูตรสำเร็จตายตัว เนื่องจากแต่ละครอบครัวก็มีมิติปัญหาที่แตกต่างกัน

ที่สำคัญ การบริหารธุรกิจ ก็มีความแตกต่างกับ การบริหารธุรกิจครอบครัวด้วย

จากผลการสำรวจภาพรวมของธุรกิจครอบครัวโดย FAMZ พบว่า ธุรกิจในประเทศไทยมากกว่า 80% เป็นธุรกิจครอบครัว ไม่ว่าจะเป็นธุรกิจขนาดเล็กหรือขนาดใหญ่ เช่น ซีพี ไทยเบฟ กลุ่มเซ็นทรัล แต่หากสำรวจเฉพาะบริษัทที่อยู่ในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยจะพบว่า มีธุรกิจครอบครัวอยู่ราว 70% ซึ่งมีผลประกอบการค่อนข้างดี

“สำหรับธุรกิจครอบครัวนั้นถ้าหากสามารถบริหารจัดการได้ดีก็จะเป็นผลดีหลายประการ ทั้งชื่อเสียง ความมั่งคั่ง และภายในครอบครัวเองก็มีความเข้มแข็ง ถ้าหากสามารถบริหารความขัดแย้ง และไม่ทะเลาะกัน”

ทั้งนี้ รศ.ดร.เอกชัยกล่าว และยกตัวอย่างหลายกรณีที่เป็นประเด็นปัญหาความละเอียดอ่อนต่างๆ อาทิ

กรณีแรก: หากผู้บริหารต้องการนำรายได้จากธุรกิจครอบครัวไปจับจ่ายใช้สอยส่วนตัว เช่น หากต้องการซื้อรถให้หลาน สามารถทำได้หรือไม่

เรื่องการใช้เงินเพื่อซื้อสิ่งของต่างๆ ให้สมาชิกในครอบครัว หากต้องการบริหารเพื่อความมั่งคั่ง รศ.ดร.เอกชัยระบุว่า ต้องจัดการหรือแก้ไขด้วยระบบ เพื่อเป็นการสร้างสภาพคล่อง โดยให้กลับไปกำหนดหลักการ หรือทบทวนหลักการก่อน อาทิ คนทำงานในตำแหน่งใดจะได้ใช้รถอะไร คนที่ไม่มีตำแหน่งงานสามารถใช้รถอะไรได้ และจะนำเงินจากส่วนไหนไปซื้อ จะจัดสรรผลประโยชน์อย่างไร ฯลฯ

กรณีที่สอง: ผู้บริหารหญิงที่รับหน้าที่แบกรับภาระ และ ทำงานเต็มที่อยู่คนเดียว แต่เมื่อมีลูกแล้วต้องการเปลี่ยนโหมด ขอทำงานน้อยลง เนื่องจากต้องการเวลาไปดูแลลูก แล้วธุรกิจครอบครัวควรจะทำอย่างไร

การให้ทายาท (Successor) เพียงคนเดียวบริหารงานของธุรกิจครอบครัวถือเป็นความเสี่ยงของบริษัท เพราะหากผู้ที่ทำหน้าที่หลักไม่อยู่ หรือไม่สามารถปฏิบัติภารกิจได้ก็จะส่งผลให้คนอื่นๆ จะไม่สามารถทำอะไรต่อได้ หรือต้องใช้เวลาเรียนรู้อีกพักใหญ่ สำหรับการมอบหมายความรับผิดชอบให้กับสมาชิกที่เป็นหญิงแบกรับภาระเพียงผู้เดียว แล้วเมื่อมีการสมรส มีบุตรในภายหลังก็อาจทำให้ความทุ่มเทที่มีต่อธุรกิจครอบครัวเป็นไปอย่างไม่เต็มที่นัก ดังนั้น “ความเป็นผู้หญิง” จึงทำให้ถูกมองได้ว่า ทำให้การบริหารภายในธุรกิจครอบครัวมีความเสี่ยงเพิ่มขึ้น

จากกรณีดังกล่าวจึงเกิดวัฒนธรรมและแนวคิดที่ต้องการให้ผู้ชายมาบริหารธุรกิจครอบครัวก่อนหากว่าสามารถเลือกได้ โดยต้องสร้างแรงจูงใจ สร้างทายาทธุรกิจหลายคน เช่น มีทายาทอันดับ 1, 2, 3 เพราะเมื่อใดที่สมาชิกครอบครัวที่เป็นหญิงแต่งงานไปก็มักจะไปช่วยกิจการของครอบครัวคู่สมรส แต่อย่างไรก็ตาม หากว่า บ้านใดเตรียมตัวก่อน หรือมีการเจรจาเพื่อทำข้อตกลงกันก่อน ปัญหาในธุรกิจครอบครัวก็จะน้อยลง

กรณีที่สาม: หากทายาทไม่มีต้องการสืบทอดหรือทำธุรกิจครอบครัวต่อ แบรนด์ธุรกิจครอบครัวที่มีอายุยาวนานก็จะต้องปิดตัวลงหรือไม่

โดยทั่วไป สมาชิกในครอบครัวก็ย่อมอยากจะให้คนในครอบครัว หรือเครือญาติเข้ามาบริหาร หรือสืบทอดกิจการ เนื่องจากมีความเชื่อถือและไว้วางใจกับสมาชิกในครอบครัว และสมาชิกร่วมสายโลหิตว่าเป็นคนบ้านเดียวกันเติบโตมาด้วยกัน เป็นคนกลุ่มเดียวกัน

อย่างไรก็ตาม ในโลกความจริงก็ไม่เป็นแบบนั้นเสียทีเดียว โดยเฉพาะธุรกิจครอบครัวที่มีขอบเขตธุรกิจมากมายที่ต้องบริหารอยู่แล้วก็อาจจำเป็นต้องเลือกว่า ธุรกิจใดหรือช่วงเวลาใดควรจะให้สมาชิกในครอบครัวดำเนินการ หรือบริหาร หรือควรที่จะจ้างมืออาชีพจากภายนอกเข้ามาบริหารธุรกิจครอบครัว

รศ.ดร.เอกชัยแสดงความคิดเห็นเพิ่มเติมว่า "การวางตัวผู้บริหารธุรกิจต่อไปนั้นจะเป็นใครก็ได้ เพียงแต่คนที่เป็นเจ้าของต้องมีความเข้าใจก่อนและวางระบบบริหารธุรกิจครอบครัวของตนเอง เพื่อทำให้การบริหารธุรกิจเป็นไปอย่างราบรื่น โดยส่วนตัว ผมอยากให้มี One Family, One Wisdom หรือ หนึ่งครอบครัว หนึ่งภูมิปัญญา” เพื่อให้ธุรกิจครอบครัวส่งต่อองค์ความรู้ ทักษะ ความเชี่ยวชาญเฉพาะจากรุ่นสู่รุ่น เติบโตไปกับ Soft Power ซึ่งเป็นนโยบายของภาครัฐ และจะช่วยส่งเสริมให้ธุรกิจครอบครัวอยู่ต่ออย่างยั่งยืนได้"

แน่นอนว่า การให้สมาชิกครอบครัวบริหารธุรกิจของครอบครัวย่อมเป็นทางเลือกที่ดี ดังนั้น ผู้บริหารจึงมีหน้าที่ที่จะต้องให้ความรู้แก่สมาชิกในครอบครัวอย่างต่อเนื่องก่อนที่จะมีการเปลี่ยนผ่าน เช่น ความรู้ด้านการตลาด ด้านการเงิน ฯลฯ รวมทั้งการดูแลใส่ใจ เพื่อสร้างความสัมพันธ์ที่ดีภายในครอบครัว

ทว่า หลังจากที่ธุรกิจเติบโต มีมาตรฐานมากขึ้น งานซับซ้อนยิ่งขึ้น แต่หากทายาทไม่สนใจรับช่วงต่อ เพราะไม่มีการพูดคุยกันให้ชัดเจน ไม่มีการเตรียมแผนการสืบทอดกิจการ การคัดเลือกทายาททางธุรกิจ ฯลฯ ดังนั้น ผู้นำธุรกิจครอบครัวก็อาจเลือกใช้วิธีจ้างมืออาชีพ ซึ่งเป็นผู้ที่มีความสามารถจากภายนอกเข้ามาบริหารงานแบบเต็มตัว ขณะเดียวกัน เจ้าของกิจการก็สามารถเปลี่ยนบทบาทของตนเองไปเป็น ‘ผู้ลงทุน’ คล้ายกับองค์กรที่มีบริษัทแม่คุมและถือหุ้นบริษัทลูกก็ได้

อย่างไรก็ตาม กรณีที่ยกมาเล่าสู่กันฟังนี้ ไม่สามารถใช้เป็นแนวทางแก้ปัญหาหรือยึดคำแนะนำดังกล่าวเป็นสูตรสำเร็จได้ เนื่องจากบริบทของแต่ละธุรกิจครอบครัวนั้นแตกต่างกัน ที่สำคัญ ยังต้องคำนึงถึงปัจจัยแวดล้อมตามสภาพความเป็นจริงและผู้มีส่วนได้ส่วนเสียร่วมด้วย

เปลี่ยนผ่านธุรกิจครอบครัว ด้วยชุดวิชาบริหารจัดการที่เป็นรากฐานความเข้าใจ

ในการสร้างรากฐานความเข้าใจ และเพื่อให้ธุรกิจครอบครัวเดินหน้าได้อย่างยั่งยืนนั้น จากคุณสมบัติสำคัญของการเป็นผู้ให้คำปรึกษาด้านธุรกิจครอบครัวมาอย่างยาวนานของ ศูนย์ธุรกิจครอบครัว มหาวิทยาลัยหอการค้าไทย และ บริษัท แฟมซ์ จำกัด ซึ่งมีความเข้าใจกับปัญหาของการบริหารธุรกิจครอบครัวอย่างหลากหลายแง่มุม อีกทั้งมีมุมมองปัญหาด้วยทัศนคติที่ดี มีหลักการเชิงวิชาการ พร้อมทั้งมีการศึกษา ตลอดจนงานวิจัยที่ FAMZ ศึกษามาอย่างยาวนาน เพื่อใช้ในการวางแผนและการบริหารจัดการธุรกิจครอบครัว ขณะเดียวกัน ก็เป็นการดำเนินการในสิ่งที่เป็นประโยชน์ต่อส่วนรวม ไม่สร้างความเดือดร้อนให้แก่ผู้อื่น เพื่อตอบโจทย์สังคมในยุคที่มีคนต่างเจเนอเรชันก้าวขึ้นมาสืบทอดหรือบริหารกิจการ ซึ่งมี Pain Point ที่คล้ายคลึงและต่างกันไป กอปรกับต้องปรับกลยุทธ์การดำเนินธุรกิจให้เข้ากับโลกดิจิทัล

ทั้งนี้ รศ.ดร.เอกชัยได้เปิดเผยเพิ่มเติมถึงการพัฒนาหลักสูตรปริญญาโทบริหารธุรกิจ (MBA) ว่า

กลุ่มวิชาการจัดการธุรกิจครอบครัว (Concentration in Family Business Management) ซึ่งพัฒนาโดย คณะวิทยพัฒน์ มหาวิทยาลัยหอการค้าไทย ในรูปแบบออนไลน์ 100% นั้นสอดคล้องกับความต้องการของธุรกิจครอบครัวยุคใหม่ เหมาะกับสมาชิกในครอบครัวรุ่นถัดไป ผู้สืบทอดกิจการ หรือผู้ประกอบการที่มุ่งรักษาและบริหารความมั่งคั่งให้กิจการของครอบครัวตัวเอง โดยผู้เรียนจะได้เรียนกลุ่มวิชาการจัดการธุรกิจครอบครัวที่มีคณาจารย์ออกแบบและใช้สอนมานานกว่า 15 ปี ทั้งยังเป็นผู้ให้คำปรึกษามาแล้วกว่า 500 ธุรกิจ อาทิ การบริหารความเสี่ยงสำหรับธุรกิจครอบครัว, การบริหารความขัดแย้ง, การบริหารนวัตกรรมในธุรกิจครอบครัว, กฎหมายและภาษีของธุรกิจครอบครัว, การวางแผนสืบทอดธุรกิจและการเปลี่ยนผ่านในธุรกิจครอบครัว, การบริหารความมั่งคั่ง ฯลฯ เพื่อใช้ปฏิบัติได้จริง”

ธุรกิจครอบครัว ยั่งยืนด้วย ESG

สำหรับแนวคิดเรื่อง ESG ที่มีพูดถึงกันมากในขณะนี้ รศ.ดร.เอกชัยเผยว่า "ผู้บริหารธุรกิจครอบครัวสามารถดำเนินการได้ควบคู่กันไประหว่าง “ธุรกิจ” และ ESG ได้ โดยเมื่อธุรกิจสามารถทำกำไรได้แล้วก็สามารถดำเนินการ เพื่อส่งเสริมแนวทางด้าน ESG ไปได้ด้วย โดยเริ่มจาก E (Environment สิ่งแวดล้อม) S (Social สังคม) แล้ว G (Governance ธรรมาภิบาล) ก็จะตามมา และถ้าอยากให้ระบบเป็นไปได้ยาวๆ ธุรกิจครอบครัวก็จำเป็นที่จะต้องมี ‘ระบบธรรมาภิบาลที่ดี’ เพื่อลดปัญหาความอยุติธรรม ความไม่เป็นมืออาชีพ พร้อมกันนี้ ก็ร่วมปลูกฝังให้รุ่นลูกรุ่นหลานเป็นผู้ให้ ผู้เสียสละ และดึงทายาทรุ่นใหม่ให้เข้าไปมีส่วนร่วมและสานต่อธุรกิจกันต่อไป และแนวทางการบริหารธุรกิจครอบครัวกับหลักการความยั่งยืนอย่าง ESG นั้นเป็นประเด็นที่ผู้ประกอบการ ไม่ว่าจะเป็นรายเล็กหรือใหญ่ก็ล้วนหลีกเลี่ยงไม่ได้"

ดูข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ www.famz.co.th 

 

  • เรียนรู้ความสำคัญของ Family Business Management เพื่อสานต่อ ‘ธุรกิจกงสี’ ที่ดีต่อทุกฝ่าย
  • แนะวิธีรับช่วงต่อ ‘ธุรกิจกงสี’ และแก้ Pain Point ด้วยวิชา Family Business Management

การบริหาร ‘ธุรกิจครอบครัว’ หรือที่คนไทยพูดกันติดปากว่า ‘ธุรกิจกงสี’ มักมีประเด็นปัญหาภายในที่คนในครอบครัวถกเถียงกันแล้วไม่รู้จะตัดสินใจอย่างไร หนำซ้ำบางเรื่องหาทางออกไม่ได้ บางเรื่องมีความขัดแย้งจนบานปลาย ส่วนหนึ่งนั่นเป็นเพราะขาดองค์ความรู้และความเข้าใจด้านการบริหารจัดการธุรกิจครอบครัวโดยเฉพาะ ซึ่งต้องมีความเข้าใจในชีวิตความเป็นอยู่และวัฒนธรรม รวมถึงจริยธรรม

สำหรับประเด็นที่มีความซับซ้อนเช่นนี้ รศ.ดร.เอกชัย อภิศักดิ์กุล คณบดี คณะวิทยพัฒน์ (Extension School) ผู้อำนวยการศูนย์ธุรกิจครอบครัว มหาวิทยาลัยหอการค้าไทย และเป็น ผู้ก่อตั้ง บริษัท แฟมซ์ จำกัด (FAMZ Co., Ltd.) ธุรกิจที่ปรึกษาด้านการบริหารธุรกิจครอบครัวชั้นนำของประเทศไทย ซึ่งก้าวย่างเข้าสู่ปีที่ 7 ของการดำเนินธุรกิจได้แบ่งปันมุมมอง พร้อมสะท้อนแง่มุมปัญหาและแนวทางแก้ไขของธุรกิจครอบครัวกับกองบรรณาธิการ MBA อย่างน่าสนใจ

ความสำคัญของศาสตร์ด้านการบริหารธุรกิจครอบครัว

เนื่องจากการบริหารธุรกิจของแต่ละครอบครัวมีอัตลักษณ์แตกต่างกัน อีกทั้งยังมีปัญหาเกี่ยวกับความสัมพันธ์เชิงซ้อน เช่น ความเกี่ยวข้องกับอารมณ์ ความรู้สึก ความสัมพันธ์ฉันท์เครือญาติ ความสัมพันธ์เชิงธุรกิจ ตลอดจนความเกี่ยวข้องกับผลประโยชน์ สิทธิประโยชน์ อำนาจการบริหาร ความสนใจส่วนบุคคล ฯลฯ ซึ่งยากจะบริหารให้บรรลุผลและลงตัว อีกทั้งไม่มีสูตรสำเร็จตายตัว เนื่องจากแต่ละครอบครัวก็มีมิติปัญหาที่แตกต่างกัน

ที่สำคัญ การบริหารธุรกิจ ก็มีความแตกต่างกับ การบริหารธุรกิจครอบครัวด้วย

จากผลการสำรวจภาพรวมของธุรกิจครอบครัวโดย FAMZ พบว่า ธุรกิจในประเทศไทยมากกว่า 80% เป็นธุรกิจครอบครัว ไม่ว่าจะเป็นธุรกิจขนาดเล็กหรือขนาดใหญ่ เช่น ซีพี ไทยเบฟ กลุ่มเซ็นทรัล แต่หากสำรวจเฉพาะบริษัทที่อยู่ในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยจะพบว่า มีธุรกิจครอบครัวอยู่ราว 70% ซึ่งมีผลประกอบการค่อนข้างดี

“สำหรับธุรกิจครอบครัวนั้นถ้าหากสามารถบริหารจัดการได้ดีก็จะเป็นผลดีหลายประการ ทั้งชื่อเสียง ความมั่งคั่ง และภายในครอบครัวเองก็มีความเข้มแข็ง ถ้าหากสามารถบริหารความขัดแย้ง และไม่ทะเลาะกัน”

ทั้งนี้ รศ.ดร.เอกชัยกล่าว และยกตัวอย่างหลายกรณีที่เป็นประเด็นปัญหาความละเอียดอ่อนต่างๆ อาทิ

กรณีแรก: หากผู้บริหารต้องการนำรายได้จากธุรกิจครอบครัวไปจับจ่ายใช้สอยส่วนตัว เช่น หากต้องการซื้อรถให้หลาน สามารถทำได้หรือไม่

เรื่องการใช้เงินเพื่อซื้อสิ่งของต่างๆ ให้สมาชิกในครอบครัว หากต้องการบริหารเพื่อความมั่งคั่ง รศ.ดร.เอกชัยระบุว่า ต้องจัดการหรือแก้ไขด้วยระบบ เพื่อเป็นการสร้างสภาพคล่อง โดยให้กลับไปกำหนดหลักการ หรือทบทวนหลักการก่อน อาทิ คนทำงานในตำแหน่งใดจะได้ใช้รถอะไร คนที่ไม่มีตำแหน่งงานสามารถใช้รถอะไรได้ และจะนำเงินจากส่วนไหนไปซื้อ จะจัดสรรผลประโยชน์อย่างไร ฯลฯ

กรณีที่สอง: ผู้บริหารหญิงที่รับหน้าที่แบกรับภาระ และ ทำงานเต็มที่อยู่คนเดียว แต่เมื่อมีลูกแล้วต้องการเปลี่ยนโหมด ขอทำงานน้อยลง เนื่องจากต้องการเวลาไปดูแลลูก แล้วธุรกิจครอบครัวควรจะทำอย่างไร

การให้ทายาท (Successor) เพียงคนเดียวบริหารงานของธุรกิจครอบครัวถือเป็นความเสี่ยงของบริษัท เพราะหากผู้ที่ทำหน้าที่หลักไม่อยู่ หรือไม่สามารถปฏิบัติภารกิจได้ก็จะส่งผลให้คนอื่นๆ จะไม่สามารถทำอะไรต่อได้ หรือต้องใช้เวลาเรียนรู้อีกพักใหญ่ สำหรับการมอบหมายความรับผิดชอบให้กับสมาชิกที่เป็นหญิงแบกรับภาระเพียงผู้เดียว แล้วเมื่อมีการสมรส มีบุตรในภายหลังก็อาจทำให้ความทุ่มเทที่มีต่อธุรกิจครอบครัวเป็นไปอย่างไม่เต็มที่นัก ดังนั้น “ความเป็นผู้หญิง” จึงทำให้ถูกมองได้ว่า ทำให้การบริหารภายในธุรกิจครอบครัวมีความเสี่ยงเพิ่มขึ้น

 

“จากกรณีดังกล่าวจึงเกิดวัฒนธรรมและแนวคิดที่ต้องการให้ผู้ชายมาบริหารธุรกิจครอบครัวก่อนหากว่าสามารถเลือกได้ โดยต้องสร้างแรงจูงใจ สร้างทายาทธุรกิจหลายคน เช่น มีทายาทอันดับ 1, 2, 3 เพราะเมื่อใดที่สมาชิกครอบครัวที่เป็นหญิงแต่งงานไปก็มักจะไปช่วยกิจการของครอบครัวคู่สมรส แต่อย่างไรก็ตาม หากว่า บ้านใดเตรียมตัวก่อน หรือมีการเจรจาเพื่อทำข้อตกลงกันก่อน ปัญหาในธุรกิจครอบครัวก็จะน้อยลง”

กรณีที่สาม: หากทายาทไม่มีต้องการสืบทอดหรือทำธุรกิจครอบครัวต่อ แบรนด์ธุรกิจครอบครัวที่มีอายุยาวนานก็จะต้องปิดตัวลงหรือไม่

โดยทั่วไป สมาชิกในครอบครัวก็ย่อมอยากจะให้คนในครอบครัว หรือเครือญาติเข้ามาบริหาร หรือสืบทอดกิจการ เนื่องจากมีความเชื่อถือและไว้วางใจกับสมาชิกในครอบครัว และสมาชิกร่วมสายโลหิตว่าเป็นคนบ้านเดียวกันเติบโตมาด้วยกัน เป็นคนกลุ่มเดียวกัน

อย่างไรก็ตาม ในโลกความจริงก็ไม่เป็นแบบนั้นเสียทีเดียว โดยเฉพาะธุรกิจครอบครัวที่มีขอบเขตธุรกิจมากมายที่ต้องบริหารอยู่แล้วก็อาจจำเป็นต้องเลือกว่า ธุรกิจใดหรือช่วงเวลาใดควรจะให้สมาชิกในครอบครัวดำเนินการ หรือบริหาร หรือควรที่จะจ้างมืออาชีพจากภายนอกเข้ามาบริหารธุรกิจครอบครัว

รศ.ดร.เอกชัยแสดงความคิดเห็นเพิ่มเติมว่า "การวางตัวผู้บริหารธุรกิจต่อไปนั้นจะเป็นใครก็ได้ เพียงแต่คนที่เป็นเจ้าของต้องมีความเข้าใจก่อนและวางระบบบริหารธุรกิจครอบครัวของตนเอง เพื่อทำให้การบริหารธุรกิจเป็นไปอย่างราบรื่น โดยส่วนตัว ผมอยากให้มี One Family, One Wisdom หรือ หนึ่งครอบครัว หนึ่งภูมิปัญญา” เพื่อให้ธุรกิจครอบครัวส่งต่อองค์ความรู้ ทักษะ ความเชี่ยวชาญเฉพาะจากรุ่นสู่รุ่น เติบโตไปกับ Soft Power ซึ่งเป็นนโยบายของภาครัฐ และจะช่วยส่งเสริมให้ธุรกิจครอบครัวอยู่ต่ออย่างยั่งยืนได้"

แน่นอนว่า การให้สมาชิกครอบครัวบริหารธุรกิจของครอบครัวย่อมเป็นทางเลือกที่ดี ดังนั้น ผู้บริหารจึงมีหน้าที่ที่จะต้องให้ความรู้แก่สมาชิกในครอบครัวอย่างต่อเนื่องก่อนที่จะมีการเปลี่ยนผ่าน เช่น ความรู้ด้านการตลาด ด้านการเงิน ฯลฯ รวมทั้งการดูแลใส่ใจ เพื่อสร้างความสัมพันธ์ที่ดีภายในครอบครัว

ทว่า หลังจากที่ธุรกิจเติบโต มีมาตรฐานมากขึ้น งานซับซ้อนยิ่งขึ้น แต่หากทายาทไม่สนใจรับช่วงต่อ เพราะไม่มีการพูดคุยกันให้ชัดเจน ไม่มีการเตรียมแผนการสืบทอดกิจการ การคัดเลือกทายาททางธุรกิจ ฯลฯ ดังนั้น ผู้นำธุรกิจครอบครัวก็อาจเลือกใช้วิธีจ้างมืออาชีพ ซึ่งเป็นผู้ที่มีความสามารถจากภายนอกเข้ามาบริหารงานแบบเต็มตัว ขณะเดียวกัน เจ้าของกิจการก็สามารถเปลี่ยนบทบาทของตนเองไปเป็น ‘ผู้ลงทุน’ คล้ายกับองค์กรที่มีบริษัทแม่คุมและถือหุ้นบริษัทลูกก็ได้

อย่างไรก็ตาม กรณีที่ยกมาเล่าสู่กันฟังนี้ ไม่สามารถใช้เป็นแนวทางแก้ปัญหาหรือยึดคำแนะนำดังกล่าวเป็นสูตรสำเร็จได้ เนื่องจากบริบทของแต่ละธุรกิจครอบครัวนั้นแตกต่างกัน ที่สำคัญ ยังต้องคำนึงถึงปัจจัยแวดล้อมตามสภาพความเป็นจริงและผู้มีส่วนได้ส่วนเสียร่วมด้วย

เปลี่ยนผ่านธุรกิจครอบครัว ด้วยชุดวิชาบริหารจัดการที่เป็นรากฐานความเข้าใจ

ในการสร้างรากฐานความเข้าใจ และเพื่อให้ธุรกิจครอบครัวเดินหน้าได้อย่างยั่งยืนนั้น จากคุณสมบัติสำคัญของการเป็นผู้ให้คำปรึกษาด้านธุรกิจครอบครัวมาอย่างยาวนานของ ศูนย์ธุรกิจครอบครัว มหาวิทยาลัยหอการค้าไทย และ บริษัท แฟมซ์ จำกัด ซึ่งมีความเข้าใจกับปัญหาของการบริหารธุรกิจครอบครัวอย่างหลากหลายแง่มุม อีกทั้งมีมุมมองปัญหาด้วยทัศนคติที่ดี มีหลักการเชิงวิชาการ พร้อมทั้งมีการศึกษา ตลอดจนงานวิจัยที่ FAMZ ศึกษามาอย่างยาวนาน เพื่อใช้ในการวางแผนและการบริหารจัดการธุรกิจครอบครัว ขณะเดียวกัน ก็เป็นการดำเนินการในสิ่งที่เป็นประโยชน์ต่อส่วนรวม ไม่สร้างความเดือดร้อนให้แก่ผู้อื่น เพื่อตอบโจทย์สังคมในยุคที่มีคนต่างเจเนอเรชันก้าวขึ้นมาสืบทอดหรือบริหารกิจการ ซึ่งมี Pain Point ที่คล้ายคลึงและต่างกันไป กอปรกับต้องปรับกลยุทธ์การดำเนินธุรกิจให้เข้ากับโลกดิจิทัล

ทั้งนี้ รศ.ดร.เอกชัยได้เปิดเผยเพิ่มเติมถึงการพัฒนาหลักสูตรปริญญาโทบริหารธุรกิจ (MBA) ว่า

กลุ่มวิชาการจัดการธุรกิจครอบครัว (Concentration in Family Business Management) ซึ่งพัฒนาโดย คณะวิทยพัฒน์ มหาวิทยาลัยหอการค้าไทย ในรูปแบบออนไลน์ 100% นั้นสอดคล้องกับความต้องการของธุรกิจครอบครัวยุคใหม่ เหมาะกับสมาชิกในครอบครัวรุ่นถัดไป ผู้สืบทอดกิจการ หรือผู้ประกอบการที่มุ่งรักษาและบริหารความมั่งคั่งให้กิจการของครอบครัวตัวเอง โดยผู้เรียนจะได้เรียนกลุ่มวิชาการจัดการธุรกิจครอบครัวที่มีคณาจารย์ออกแบบและใช้สอนมานานกว่า 15 ปี ทั้งยังเป็นผู้ให้คำปรึกษามาแล้วกว่า 500 ธุรกิจ อาทิ การบริหารความเสี่ยงสำหรับธุรกิจครอบครัว, การบริหารความขัดแย้ง, การบริหารนวัตกรรมในธุรกิจครอบครัว, กฎหมายและภาษีของธุรกิจครอบครัว, การวางแผนสืบทอดธุรกิจและการเปลี่ยนผ่านในธุรกิจครอบครัว, การบริหารความมั่งคั่ง ฯลฯ เพื่อใช้ปฏิบัติได้จริง”

ธุรกิจครอบครัว ยั่งยืนด้วย ESG

สำหรับแนวคิดเรื่อง ESG ที่มีพูดถึงกันมากในขณะนี้ รศ.ดร.เอกชัยเผยว่า "ผู้บริหารธุรกิจครอบครัวสามารถดำเนินการได้ควบคู่กันไประหว่าง “ธุรกิจ” และ ESG ได้ โดยเมื่อธุรกิจสามารถทำกำไรได้แล้วก็สามารถดำเนินการ เพื่อส่งเสริมแนวทางด้าน ESG ไปได้ด้วย โดยเริ่มจาก E (Environment สิ่งแวดล้อม) S (Social สังคม) แล้ว G (Governance ธรรมาภิบาล) ก็จะตามมา และถ้าอยากให้ระบบเป็นไปได้ยาวๆ ธุรกิจครอบครัวก็จำเป็นที่จะต้องมี ‘ระบบธรรมาภิบาลที่ดี’ เพื่อลดปัญหาความอยุติธรรม ความไม่เป็นมืออาชีพ พร้อมกันนี้ ก็ร่วมปลูกฝังให้รุ่นลูกรุ่นหลานเป็นผู้ให้ ผู้เสียสละ และดึงทายาทรุ่นใหม่ให้เข้าไปมีส่วนร่วมและสานต่อธุรกิจกันต่อไป และแนวทางการบริหารธุรกิจครอบครัวกับหลักการความยั่งยืนอย่าง ESG นั้นเป็นประเด็นที่ผู้ประกอบการ ไม่ว่าจะเป็นรายเล็กหรือใหญ่ก็ล้วนหลีกเลี่ยงไม่ได้"

ดูข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ www.famz.co.th 

 

Page 2 of 3
X

Right Click

No right click