สัมผัสประสบการณ์การใช้งานยาวนานตลอดวันด้วยแบตเตอรี่ใหญ่และอึดที่สุด พร้อมขาย 21 มี.ค.นี้! ในราคาเพียง 6,499 บาท

เอาใจคอกีฬาระดับโลก โอลิมปิก เกมส์ ปารีส 2024 ไว้เอนจอยทุกการช้อปปิ้ง มั่นใจกระตุ้นยอดการใช้จ่ายช่วงซัมเมอร์

นายสุนทร จักษุกรรฐ์ กรรมการผู้จัดการ บริษัท ซีพีเอฟ เรสเทอรองท์ แอนด์ ฟู้ดเชน จำกัด เปิด เผยว่า "ธุรกิจห้าดาว" (Five Star) สานฝันผู้ประกอบการมีธุรกิจเป็นของตัวเอง มุ่งสร้างงานสร้างอาชีพและสร้างรายได้ที่มั่นคงให้กับผู้ประกอบการ มาตลอด 40 ปี ปัจจุบันมีแฟรนไชส์กว่า 5,000 รายในประเทศไทย และอีก 3,500 รายในต่างประเทศ ตั้งเป้าปี 2567 ขยายความสำเร็จเป็น 11,500 ราย ใน 10 ประเทศ โดยมุ่งเน้นการสานต่อความสำเร็จ สร้างเถ้าแก่ที่เข้มแข็งมีคุณภาพ ส่งต่ออาหารคุณภาพปลอดภัยสู่ผู้บริโภค โดยมีบริษัทฯ เป็น “เพื่อนแท้ทางธุรกิจ” ที่ช่วยสนับสนุนในทุกๆด้าน ช่วยสร้างโอกาสที่จับต้องได้ บนพื้นฐานความน่าเชื่อถือในการดำเนินธุรกิจของห้าดาวที่มีมาอย่างยาวนาน ด้วยกลยุทธ์ที่โดดเด่น ซึ่งสามารถตอบโจทย์ผู้ประกอบการเป็นเถ้าแก่ที่มีการเติบโตทางธุรกิจอย่างมั่นคง

“ตลอดการดำเนินงาน 40 ปี ธุรกิจห้าดาวมุ่งมั่นสร้างอาชีพ ให้ผู้ประกอบการมีโอกาสเติบโตบนเส้นทางธุรกิจไปด้วยกันอย่างมั่นคงและยั่งยืน จากระบบบริหารจัดการแบบครบวงจร ที่ช่วยให้ผู้ประกอบการสามารถเริ่มต้นธุรกิจได้อย่างมืออาชีพ โดยมีบริษัทฯ เป็นทีมหลังบ้านที่แข็งแกร่ง ด้วยการลงทุนที่ต่ำกว่าในอุตสาหกรรมใกล้เคียงกัน จึงลดความเสี่ยงของผู้ลงทุน ทำให้สามารถคืนทุนได้ในเวลาอันรวดเร็ว เป็นการสร้างอาชีพและรายได้ที่แน่นอน ช่วยสร้างงานให้กับคนในชุมชน เป็นส่วนสำคัญในการสร้างความมั่นคงทางอาหาร ส่งมอบอาหารปลอดภัยให้กับผู้บริโภค และมีส่วนร่วมขับเคลื่อนเศรษฐกิจไปด้วยกัน” นายสุนทร กล่าว

ธุรกิจห้าดาว เป็นธุรกิจจุดจำหน่ายอาหารในรูปแบบแฟรนไชส์สัญชาติไทย ดำเนินการภายใต้ บริษัท ซีพีเอฟเรสเทอรองท์ แอนด์ ฟู้ดเชน จำกัด บริษัทย่อยของ บริษัท เจริญโภคภัณฑ์อาหาร จำกัด (มหาชน) หรือซีพีเอฟ ปัจจุบันธุรกิจห้าดาวมีแฟรนไชส์จำหน่ายอาหารหลากหลาย ตั้งแต่ ซุ้มไก่ย่าง-ไก่ทอดห้าดาว กระทะเหล็ก Hi Pork เป็ดเจ้าสัว ข้าวมันไก่ไห่หนาน และ STAR COFFEE และยังคงเดินหน้าพัฒนารูปแบบร้านให้มีความเหมาะสมกับพื้นที่ และสอดคล้องกับความต้องการของผู้ประกอบการ ทั้งรูปแบบ Five Star Glass House และ Five Star Shop

นอกจากนี้ ยังสนับสนุนการทำ Food Delivery สอดคล้องกับความต้องการของผู้บริโภค โดยเฉพาะการใช้จ่ายผ่าน TrueMoney Wallet ที่ช่วยอำนวยความสะดวกแก่ลูกค้าในยุคของสังคมไร้เงินสด (Cashless Society) ที่สำคัญยังมีทีมงานเข้าตรวจสอบคุณภาพมาตรฐาน QSC และประเมินการรักษามาตรฐานของร้านอยู่เสมอ ตอกย้ำภาพลักษณ์การเป็นเจ้าของธุรกิจอาหารที่ผู้บริโภคเชื่อมั่นด้านคุณภาพ ความปลอดภัยของสินค้า และมีความเป็นเลิศในการบริการ

ร่วมเข้าแคมป์ฝึกทักษะฟุตบอลระดับโลกที่ LFC International Academy ประเทศอังกฤษ

พรอสเพค ดีเวลลอปเมนท์ (PD) ในเครือ บมจ.มั่นคงเคหะการ ผู้พัฒนาและบริหารโครงการคลังสินค้าและโรงงานให้เช่า โครงการบางกอกฟรีเทรดโซน (Bangkok Free Trade Zone: BFTZ) วางแผนเตรียมออกและเสนอขายหุ้นกู้ชนิดระบุชื่อผู้ถือ ไม่ด้อยสิทธิ ไม่มีประกัน และมีผู้แทนผู้ถือหุ้นกู้ ครั้งที่ 1/2567 เสนอขายต่อผู้ลงทุนสถาบัน และ/หรือ ผู้ลงทุนรายใหญ่ ระหว่างวันที่ 26-28 มีนาคม 2567 ครบกำหนดไถ่ถอนปี พ.ศ. 2569 อายุ 2 ปี อัตราดอกเบี้ยคงที่ 6.90% ต่อปี ชำระดอกเบี้ยทุก ๆ 3 เดือนตลอดอายุหุ้นกู้ มูลค่าที่ตราไว้หน่วยละ 1,000 บาท ราคาเสนอขายหน่วยละ 1,000 บาท เพื่อเป็นทุนหมุนเวียนสำหรับการดำเนินงานตามแผนธุรกิจ โดยหุ้นกู้นี้ อยู่ระหว่างยื่นร่างแบบแสดงรายการต่อสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์

นางสาวรัชนี มหัตเดชกุล กรรมการผู้จัดการ บริษัท พรอสเพค ดีเวลลอปเมนท์ จำกัด กล่าวว่า “ทิศทางของตลาดคลังสินค้าและโรงงานให้เช่ายังคงมีแนวโน้มเติบโตได้ดี ด้วยแรงหนุนจากนักลงทุนต่างชาติและการบริโภคภายในประเทศที่ค่อย ๆ ฟื้นตัว โดยเฉพาะโครงการบนทำเลยุทธศาสตร์อุตสาหกรรมและโลจิสติกส์ที่สำคัญของไทย เมื่อปีที่ผ่านมา บริษัทมีการขยายโครงการบางกอกฟรีเทรดโซน 7 ถ.บางนา-ตราด กม.10 ซึ่งปัจจุบันได้รับความสนใจจากผู้เช่าเซ็นสัญญาใช้พื้นที่ในโครงการเต็ม 100% การเสนอขายหุ้นกู้ในครั้งนี้ จึงมุ่งระดมทุนเพื่อใช้พัฒนาโครงการเพิ่มเติม ช่วยเสริมความแข็งแกร่งให้แก่บริษัท ที่มีรายได้หลักจากการเช่า การบริหารทรัพย์สินและขายทรัพย์สินเข้ากองทรัสต์ PROSPECT REIT พร้อมต่อยอดผลงานให้ดีต่อเนื่องในระยะยาว”

ทั้งนี้ บริษัทอยู่ระหว่างการทบทวนการจัดอันดับความน่าเชื่อถือ โดยปีที่ผ่านมา บริษัท ทริสเรทติ้ง จำกัด ได้จัดอันดับความน่าเชื่อถือขององค์กรที่ระดับ “BB+” แนวโน้มอันดับเครดิต “คงที่” เมื่อวันที่ 12 เมษายน 2566 ซึ่ง พรอสเพค ดีเวลลอปเมนท์ ถือเป็นเรือธงสำคัญของ บมจ.มั่นคงเคหะการ ที่สามารสร้างรายได้ประจำสม่ำเสมอจากค่าเช่า (Recurring Income) มีอัตราการเช่าเฉลี่ยรวมทุกโครงการสูงกว่า 90% ขับเคลื่อนให้ผลการดำเนินด้านการเงินในภาพรวมของบริษัทในเครือเติบโตอย่างมั่นคง

นักลงทุนที่สนใจจองซื้อหุ้นกู้ สามารถศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ www.sec.or.th หรือติดต่อผ่านสถาบันการเงินที่เป็นผู้จัดการการจัดจำหน่ายหุ้นกู้ในครั้งนี้ ได้แก่ บริษัทหลักทรัพย์ บลูเบลล์ จำกัด และ บริษัทหลักทรัพย์ ดาโอ (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน)

ใครเห็นการคาดการณ์อุณหภูมิในฤดูร้อนปีนี้แล้วใจร้อนรุ่มตามบ้าง เพราะฤดูร้อน (มาก) ของประเทศไทยไม่เคยเป็นที่สองรองใคร อิเกีย ประเทศไทย จึงขอร่วมต้อนรับฤดูร้อน (มาก) ด้วยการแบ่งปันเคล็ดลับการเลือกใช้เฟอร์นิเจอร์และของใช้ภายในบ้านให้เหมาะสมกับไลฟ์สไตล์ภายในบ้านช่วงฤดูร้อน จะเล่น จะพักผ่อน ก็ทำได้อย่างสบายตัว พร้อมแนะนำเครื่องนอนที่โดดเด่นด้วยคุณภาพครบครัน เย็นสบายทั้งร่างกายและจิตใจ และยังไม่กระทบเงินในกระเป๋า กับสินค้า Cooling  ที่จะช่วยให้การพักผ่อนและช่วงเวลานอนหลับของทุกคนสบายกว่าที่เคย นอนหลับอย่างเต็มอิ่มได้ทั้งคืนและตื่นมาอย่างสดชื่น แม้ในฤดูร้อนที่อุณหภูมิสูงและอากาศชื้น เพราะอิเกียเชื่อว่าคุณภาพชีวิตที่ดีเกิดจากการนอนที่มีคุณภาพ

เปิดหน้าต่าง เปลี่ยนสีผ้าม่าน เติมความสดใส ต้อนรับลมร้อน

เติมสีสันให้การอยู่บ้านช่วงฤดูร้อนไม่น่าเบื่ออีกต่อไป เพียงเลือกเปลี่ยนสีผ้าม่านเป็นสีโทนขาว สีครีม หรือสีโทนอ่อน อิเกียแนะนำผ้าม่านที่มีลักษณะผ้าแบบเบาหรือแบบโปร่งแสงเพื่อให้ห้องดูโปร่ง โล่ง สบายตา และระบายความร้อนได้ดีขึ้น แทนการใช้ผ้าม่านสีเข้มหรือผ้าที่มีลักษณะหนา ซึ่งเป็นตัวดูดแสงและกักเก็บความร้อนไว้ในบ้าน

ปรับการจัดวางเฟอร์นิเจอร์ใหม่ ไม่ให้ขวางทางลม

อิเกียชวนทุกคนให้ลองสังเกตทิศทางลมธรรมชาติที่พัดเข้าบ้าน ไม่ว่าจะผ่านทางหน้าต่างหรือประตู และลองจัดทิศทางการวางเฟอร์นิเจอร์หรือของตกแต่งบ้านต่าง ๆ ไม่ให้ขวางทิศทางลม อีกทั้งยังช่วยให้บ้านดูโปร่ง อากาศถ่ายเทสะดวก ลดความร้อนได้ดียิ่งขึ้น และในช่วงบ่ายที่มีแดดจัด สามารถเปิดหน้าต่างด้านทิศเหนือหรือทิศตะวันออกเพื่อรับลม และปิดหน้าต่างด้านที่โดนแสงแดดโดยตรงอย่างหน้าต่างด้านทิศใต้ ก็จะช่วยลดความร้อนภายในตัวบ้านได้

เปลี่ยนเครื่องนอน ปลอกหมอน

เพราะการนอนเป็นสิ่งสำคัญ อิเกียจึงได้ยกทัพสินค้าเครื่องนอนที่โดดเด่นด้วยการใช้ผ้าไลโอเซล (Lyocell) ผ้าทอจากเปลือกไม้ยูคาลิปตัส มีคุณสมบัติพิเศษระบายความร้อนและความชื้นอย่างดีเยี่ยม มาพร้อมสัมผัสนุ่มราวกับผ้าไหม ทำให้ทุกคนเย็นสบายไปกับการพักผ่อน ไม่ว่าอากาศจะร้อนแค่ไหน ทุกคนก็จะยังสามารถพักผ่อนได้อย่างสบายตัว มาในราคาสบายกระเป๋า ในแคมเปญ ยังมีสินค้าหลากหลายไม่ว่าจะเป็น KLUBBSPORRE/คลุบบ์สปอร์เร  หมอนเออร์โกโนมิก เหมาะสำหรับทั้งนอนตะแคงและนอนหงาย BLÅNEPETA/บรวนเนเพียตา ผ้านวมแบบเย็นที่ทำจากผ้าไลโอเซล (Lyocell) มี 3 ขนาดให้เลือก NATTJASMIN/นัตต์ยัสมิน ชุดผ้าปูเตียง ปลอกผ้านวมและปลอกหมอนทอจากผ้าไลโอเซล 60% และ ผ้าคอตตอน 40% ทอลายริ้ว (Sateen) สัมผัสนุ่ม หลับสบายตลอดคืน และ REXBEGONIA/เร็กเบโกเนีย แผ่นรองนอนกักความเย็นที่สามารถวางไว้ในตู้เย็นก่อนใช้งานหากต้องการความเย็นเป็นพิเศษ และสินค้าอื่นๆอีกมากมายให้ได้เลือกซื้อและวางใจได้ว่าการพักผ่อนในฤดูร้อนปีนี้ จะไม่ร้อนเหนอะหนะ ระคายตัวอีกต่อไป

พิเศษ เครื่องนอนCooling Range ลดสูงสุด 20% พร้อมเป็นตัวช่วยให้ทุกคนได้ผ่อนคลาย นอนหลับสบายเต็มที่ ไร้กังวลเรื่องความร้อน ระคายเคืองผิว กับการพักผ่อนที่บ้านช่วงฤดูร้อนที่กำลังจะมาถึงนี้ ตั้งแต่ 21 มี.ค. 67 – 21 เม.ย. 67ที่สโตร์  อิเกียและทางเว็บไซต์ IKEA.co.th/coolingrange

โรงพยาบาลเอกชล หรือ AHC ประกาศทิศทางธุรกิจปี 2567 ปรับโฉมใหม่ สร้างจุดแข็งเพิ่มโอกาสการแข่งขัน ยกระดับความเชี่ยวชาญทางการแพทย์ เตรียมพัฒนาบริการเฉพาะทาง เล็งจับมือพันธมิตรขยายฐานกลุ่มลูกค้า ตั้งเป้ารายได้โตไม่ต่ำกว่า 15% ด้านความร่วมมือ Id Hospital กระแสตอบรับดี รุกทำตลาด เจาะกลุ่มลูกค้าเป้าหมาย

นายสิริพจน์ มาโนช ประธานเจ้าหน้าที่บริหารฝ่ายยุทธศาสตร์องค์กร บริษัท โรงพยาบาลเอกชล จำกัด (มหาชน) หรือ AHC โรงพยาบาลเอกชนแห่งแรกใน จ.ชลบุรี ให้บริการสุขภาพทั้ง 4 ด้านครบวงจร ได้แก่ บริการตรวจรักษาโรค ฟื้นฟูสมรรถภาพ ป้องกันโรค และส่งเสริมสุขภาพ เปิดเผยว่า ทิศทางการดำเนินธุรกิจปี 2567 โรงพยาบาลวางกลยุทธ์สร้างจุดแข็งเพื่อเพิ่มโอกาสการแข่งขัน ยกระดับความเชี่ยวชาญการแพทย์ พัฒนาบริการเฉพาะทาง ครอบคลุมกลุ่มลูกค้าทุกเพศทุกวัย

ทั้งนี้ โรงพยาบาลจัดศูนย์ทางการแพทย์เฉพาะทาง เพื่อขยายศักยภาพการดูแลรักษากลุ่มแม่และเด็กแบบครบวงจร โดยมีการจัดให้มีหมอเด็ก (กุมารแพทย์) ที่ประจำการอยู่ที่โรงพยาบาลตลอด 24 ชั่วโมง รวมถึงจัดให้มีทีมแพทย์เฉพาะทางเพื่อรองรับการดูแล รักษา ผู้ป่วยกลุ่มโรคซับซ้อน เช่น โรคระบบประสาท โรคกระดูกและข้อ โรคหัวใจ โรคที่เกี่ยวกับระบบต่อมไร้ท่อ

ขณะที่ โรงพยาบาลเอกชล 2 มุ่งเน้นรับสิทธิประกันสังคม และสิทธิร่วมต่างๆ มีแผนจัดตั้งศูนย์เฉพาะทางมากขึ้นเช่นกัน เริ่มจากการเปิดให้บริการดูแลกลุ่มผู้ป่วยสูงอายุที่ต้องการการดูแลเป็นพิเศษ (Palliative Care) เพื่อขยายบริการให้สามารถรองรับการรักษาพยาบาล ได้อย่างครอบคลุมมากขึ้น

“จากการวิเคราะห์ข้อมูลผู้ป่วยของโรงพยาบาล พบว่ามีสัดส่วนผู้ใช้บริการกลุ่มผู้สูงอายุ และเด็ก รวมกันกว่า 65% ของจำนวนผู้ใช้บริการทั้งหมด โดยเฉพาะผู้สูงอายุที่ต้องการแพทย์ พยาบาล ดูแลเป็นพิเศษซึ่งมีแนวโน้มอัตราการใช้บริการเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง โรงพยาบาลจึงปรับกลยุทธ์เพื่อสร้างโอกาสและเตรียมพร้อมรับมือกับภาวะการแข่งขันที่จะรุนแรงขึ้นในอนาคต” นายสิริพจน์ กล่าว

สำหรับการปรับปรุงห้องผ่าตัด (OR) และห้องผู้ป่วยวิกฤต (ICU) ในช่วงที่ผ่านมา คาดว่าจะสามารถเปิดใช้บริการได้ภายในเดือนมีนาคมนี้ และหอพักผู้ป่วยชั้น 10 คาดว่าจะแล้วเสร็จประมาณช่วงกลางปี อีกทั้ง โรงพยาบาลมีแผนการลงทุนปรับปรุงด้านอื่นๆ เพิ่มเติม อาทิ เทคโนโลยีและนวัตกรรมทางการแพทย์ ห้องพักผู้ป่วยชั้นอื่นๆ สิ่งอำนวยความสะดวกต่างๆ โดยตั้งงบประมาณการลงทุนกว่า 100 ล้านบาทในปีนี้

นอกจากนี้ บริษัทอยู่ระหว่างการศึกษาความร่วมมือกับพันธ์มิตรระดับนานาชาติ ในการขยายศักยภาพบริการการแพทย์เฉพาะทาง ขยายโอกาสทางธุรกิจและกลุ่มลูกค้าใหม่ เพื่อยกระดับการดูแลรักษา คาดว่าจะเห็นความชัดเจนเร็วๆ นี้ ซึ่งจะช่วยเสริมให้ธุรกิจโรงพยาบาล มีผู้ใช้บริการที่หลากหลายมากขึ้น และช่วยสร้างฐานรายได้ให้เติบโตได้อย่างต่อเนื่องในระยะยาว

ด้านความร่วมมือกับ Id Hospital ประเทศเกาหลีใต้ ให้บริการด้านสุขภาพและความงามครบวงจร (Wellness & Plastic surgery) อยู่ระหว่างการเร่งพัฒนาพื้นที่เพื่อรองรับการให้คำปรึกษา ให้ความรู้และข้อมูลที่ถูกต้องช่วยในการตัดสินใจแก่ผู้สนใจในการทำศัลยกรรม เพื่อให้ได้รับความปลอดภัยสูงสุด นอกจากนี้ ยังวางแผนการตลาดสื่อสารกับกลุ่มเป้าหมายอาทิ คนวัยทำงาน นักศึกษา ผ่านช่องทางออฟไลน์และออนไลน์ สร้างการรับรู้เพิ่มขึ้นในวงกว้าง และคาดว่าจะเปิดให้บริการเต็มรูปแบบได้เร็วๆนี้ เชื่อว่าจะสามารถเพิ่มอัตราการใช้บริการในแผนกอื่นๆ เพิ่มขึ้นอีกด้วย

นายสิริพจน์ กล่าวต่อว่า โรงพยาบาลเอกชล มุ่งเน้นการให้บริการทางการแพทย์ที่มีคุณภาพได้มาตรฐาน จากแผนการดำเนินงานดังกล่าวเชื่อว่ารายได้ของบริษัทเติบโตอย่างต่อเนื่อง และสามารถเพิ่มอัตราการทำกำไรดีขึ้น โดยบริษัทตั้งเป้าหมายการเติบโตปี 2567 ไม่ต่ำกว่า 15%

เคทีซีร่วมกับเซโฟรา ตอบรับเทรนด์สมาชิกยุคปัจจุบันที่นิยมเลือกซื้อเครื่องสำอางจากร้านมัลติแบรนด์ (ร้านค้าที่ขายสินค้าหลายแบรนด์) จัดกิจกรรมแนะนำเทรนด์รวมถึงเปิดตัวนวัตกรรมการแต่งหน้ารับฤดูร้อนปี 2024 ที่งาน “เฮ้าส์ ออฟ เซโฟรา” (House of SEPHORA) สมาชิกบัตรเครดิตเคทีซีทุกประเภทแลกคะแนนรับส่วนลดหรือเครดิตเงินคืนสูงสุด 600 บาท ที่ร้านเซโฟราทุกสาขาและเซโฟราออนไลน์ ตั้งแต่วันที่ 1 กุมภาพันธ์ 2567 – 31 กรกฎาคม 2567

 

นายณัฐสิทธิ์ สุนทราณู ผู้บริหารสูงสุด ฝ่ายการตลาดบัตรเครดิต “เคทีซี” หรือ บริษัท บัตรกรุงไทย จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า เคทีซีได้จับมือกับเซโฟราตอกย้ำพฤติกรรมการใช้จ่ายของสมาชิกบัตรเครดิตที่ชื่นชอบการเลือกซื้อสินค้าเครื่องสำอางที่ร้านมัลติแบรนด์ (ร้านค้าที่ขายสินค้าหลายแบรนด์) เนื่องจากสมาชิกมีทางเลือกในการซื้อมากขึ้น จุดเด่นของร้านเซโฟราคือ มีผลิตภัณฑ์ความงามที่มาจากแบรนด์ดังชั้นนำที่มีเฉพาะที่เซโฟราเท่านั้น (Exclusive at SEPHORA) ครอบคลุมเมคอัพ สกินแคร์ และแฮร์แคร์ นอกจากนี้ สมาชิกเซโฟรา โกลด์ (SEPHORA Gold) ยังได้รับสิทธิพิเศษเข้าร่วมงานต่างๆ อาทิ กิจกรรม “เฮ้าส์ ออฟ เซโฟรา” (House of SEPHORA) ได้สอบถามข้อมูลของสินค้าแบรนด์ใหม่ๆ รวมถึงอัปเดตเทคนิคการแต่งหน้าจากแบรนด์ที่ชื่นชอบอย่างใกล้ชิด มีกิจกรรมเล่นเกมส์ และแลกรับของรางวัลต่างๆ สำหรับสมาชิกบัตรเครดิต เคทีซีทุกประเภทสามารถรับสิทธิพิเศษแลกคะแนนรับส่วนลดหรือเครดิตเงินคืนสูงสุด 600 บาท ที่ร้านเซโฟราทุกสาขาและ SEPHORA Online Thailand (www.sephora.co.th และ แอปพลิเคชัน SEPHORA ตั้งแต่วันที่ 1 กุมภาพันธ์ 2567 – 31 กรกฎาคม 2567

สอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมที่ KTC PHONE  02 123 5000 หรือที่เว็บไซต์ https://www.ktc.co.th/promotion/health-beauty/cosmetic/sephora-360 สมัครบัตรเครดิตได้ที่ศูนย์บริการสมาชิก เคทีซี ทัช ทุกสาขาทั่วประเทศ หรือคลิกลิงค์  https://ktc.today/apply-card  

หมายเหตุ : บัตรเครดิตใช้เท่าที่จำเป็นและชำระคืนได้เต็มจำนวนตามกำหนดจะได้ไม่เสียดอกเบี้ย 16% ต่อปี

นางวันเพ็ญ อรรชุนเดชะ รองกรรมการผู้จัดการ ธนาคารเพื่อการส่งออกและนำเข้าแห่งประเทศไทย (EXIM BANK) รับรางวัล State Owned Enterprise ESG Bond of the Year จากนางจินดารัตน์ วิริยะทวีกุล ที่ปรึกษาด้านหนี้สาธารณะ สำนักงานบริหารหนี้สาธารณะ ในพิธีมอบรางวัลตราสารหนี้ยอดเยี่ยมแห่งปี 2566 (ThaiBMA Best Bond Awards 2023) จัดโดยสมาคมตลาดตราสารหนี้ไทย (The Thai Bond Market Association : ThaiBMA) เพื่อยกย่องรัฐวิสาหกิจที่ออกตราสารหนี้ภายใต้กรอบการระดมทุนเพื่อสิ่งแวดล้อม สังคม และความยั่งยืน (Green, Social, Sustainable Financing Framework) ซึ่งเป็นที่ยอมรับและตอบสนองต่อความต้องการของผู้ลงทุน อันเป็นผลจากความสำเร็จของ EXIM BANK ในการเสนอขายพันธบัตรอนุรักษ์สิ่งแวดล้อมเพื่อ SMEs (SME Green Bond) อายุ 3 ปี มูลค่า 3,500 ล้านบาท เพื่อสนับสนุนสินเชื่อโครงการพลังงานสะอาดให้แก่ผู้ประกอบการกลุ่ม SMEs ในปี 2566 ต่อเนื่องจากการเสนอขาย Green Bond ครั้งแรกในปี 2565 จำนวน 2 ชุด มูลค่ารวม 5,000 ล้านบาท ณ โรงแรมสยามเคมปินสกี้ กรุงเทพฯ เมื่อเร็ว ๆ นี้

X

Right Click

No right click