เซเว่น อีเลฟเว่น ปลุกโอกาสสินค้าเด็ด SME ถึงมือผู้บริโภค จัดแคมเปญ “เปิดวาร์ปความอร่อยขนมไทยจาก SME” เชิญชวนคนไทย-คนต่างชาติร่วมสนับสนุน ส่งเสริมขนมไทยฝีมือ SME ชูคอนเซ็ปต์ “อร่อย-หาทานง่าย-หลากหลาย-สะดวก” ยกทัพขนมไทยกว่า 80 รายการอาทิ ทับทิมกรอบกะทิสด กล้วยปิ้งน้ำตาลมะพร้าว ชุดรวมขนมทองมงคล สู่ร้านเซเว่น อีเลฟเว่น 14,000 สาขาทั่วประเทศ พร้อมการส่งเสริมการตลาด ณ จุดขาย ถึง 23 มี.ค.นี้ หวังช่วย SME ไทยเติบโตอย่างแข็งแกร่ง หนุนขนมไทยของ SME ขึ้นแท่น Soft Power

นายยุทธศักดิ์ ภูมิสุรกุล ประธานเจ้าหน้าที่บริหารบริษัท ซีพี ออลล์ จำกัด (มหาชน) ผู้บริหารเซเว่นอีเลฟเว่น และเซเว่น เดลิเวอรี่ กล่าวว่า การสนับสนุนการเติบโตของ SME ไทยอย่างยั่งยืน ถือเป็นหนึ่งในพันธกิจที่บริษัทให้ความสำคัญอย่างต่อเนื่องภายใต้นโยบาย “SME โตไกลไปด้วยกัน” โดยในปีนี้ได้ต่อยอดโดยนำกลุ่มสินค้าขนมไทยฝีมือ SME มาจัดแคมเปญ “เปิดวาร์ปความอร่อยขนมไทยจาก SME” เพื่อสร้างการรับรู้ถึงศักยภาพของผู้ประกอบการ SME ไทยและขนมไทยในวงกว้าง ที่พร้อมก้าวสู่การเป็น Soft Power ไทย

“เราเลือกนำกลุ่มสินค้าขนมไทยมาจัดแคมเปญต่อเนื่อง เพราะเรามองว่า ขนมไทย เป็นขนมที่มีเอกลักษณ์โดดเด่นเฉพาะตัว มีความหลากหลาย และมีรสชาติอร่อยไม่แพ้ชาติใดในโลก แต่ด้วยสินค้าขนมไทยในปัจจุบัน หาทานได้ยาก ทำให้คนรุ่นใหม่และชาวต่างชาติมีโอกาสเข้าถึงขนมไทยได้ไม่มากนัก เซเว่น อีเลฟเว่น ในฐานะผู้ที่สนับสนุน SME ขนมไทยมาโดยตลอด ต้องการช่วยแก้ไขปัญหาดังกล่าว สร้างความตระหนักว่าสินค้าขนมไทยฝีมือ SME สามารถหาทานได้ง่าย พร้อมทั้งส่งเสริมโอกาสให้ SME ขนมไทยเข้าสู่ตลาดโมเดิร์นเทรด และเติบโตอย่างยั่งยืน เข้าถึงมือผู้บริโภคทั้งชาวไทยและชาวต่างชาติ” นายยุทธศักดิ์ กล่าว

ทั้งนี้ แคมเปญ “เปิดวาร์ปความอร่อยขนมไทยจาก SME” ได้รวบรวมสินค้าขนมไทยจาก SME กว่า 80 รายการ มาร่วมแคมเปญ ถ่ายทอดจุดเด่นของขนมไทยที่วางจำหน่ายในร้านเซเว่น อีเลฟเว่น ในคอนเซ็ปต์ 1.อร่อย คงรสชาติความอร่อยอันเป็นเอกลักษณ์ของขนมไทยแท้ไว้ได้อย่างครบถ้วน 2.หาทานง่าย มีวางจำหน่ายในทุกสาขาทั่วประเทศกว่า 14,000 สาขา หรือสั่งซื้อผ่านเซเว่น เดลิเวอรี่ 3.หลากหลาย มีประเภทสินค้าขนมไทยที่เป็นที่นิยมมากมาย อาทิ ทับทิมกรอบกะทิสด กล้วยปิ้งน้ำตาลมะพร้าว ชุดรวมขนมทองมงคล  รวมถึงสินค้าที่หาทานได้ยาก อาทิ ตะโก้สามสหาย ถั่วทองกวนและเผือกกวน 4.สะดวก มาพร้อมกับแพ็กเก็จจิ้งสวยงามทันสมัย ที่ทางเซเว่น อีเลฟเว่น ร่วมพัฒนามากับผู้ประกอบการ ส่งผลให้แพ็กเก็จจิ้งของสินค้าแต่ละประเภทสะดวกต่อการรับประทานในปริมาณที่เหมาะสม

นายยุทธศักดิ์ กล่าวอีกว่า สำหรับรูปแบบการดำเนินการ จะให้ความสำคัญกับการสนับสนุนการตัดสินใจซื้อ ณ จุดขาย อาทิ การติดตั้งสื่อสนับสนุน พร้อมข้อความสั้นๆ ชวนอุดหนุนขนมไทย ที่บริเวณชั้นวางสินค้าภายในร้านเซเว่น อีเลฟเว่น และรายการส่งเสริมการขาย เพื่อช่วยขับเคลื่อน SME ด้านช่องทางขาย ช่วยทำให้ยอดขายของ SME เพิ่มขึ้น เพื่อสร้างรายได้กลับสู่ชุมชน ตามปณิธานของบริษัท “Giving and Sharing” โดยระยะเวลาของแคมเปญนี้เริ่มตั้งแต่ 24 ก.พ. 2567 ถึงวันที่ 23 มี.ค.2567

“พฤติกรรมของผู้บริโภคในร้านสะดวกซื้อจำนวนมาก ยังคงเป็นการตัดสินใจซื้อ ณ จุดขาย การจัดกิจกรรมการตลาด ณ จุดขาย อย่างการติดตั้งสื่อสนับสนุน สร้างความตระหนักถึงรสชาติ ความอร่อย สร้างความสนใจในตัวผลิตภัณฑ์ จึงมีอิทธิพลต่อการตัดสินใจซื้อของผู้บริโภคเป็นอย่างมาก เชื่อมั่นว่าแคมเปญครั้งนี้ จะช่วยยกระดับให้สินค้าขนมไทยฝีมือ SME กลายเป็น Soft Power ที่สร้างความประทับใจให้แก่ทั้งชาวไทยและชาวต่างชาติ” นายยุทธศักดิ์ กล่าว

ที่ผ่านมา เซเว่น อีเลฟเว่น ภายใต้บริษัท ซีพี ออลล์ จำกัด (มหาชน) ถือเป็นหนึ่งในองค์กรที่ให้ความสำคัญกับการสนับสนุน SME ภายใต้นโยบาย “SME โตไกลไปด้วยกัน” พร้อมทั้งเดินหน้า กลยุทธ์ 3 ให้ ประกอบด้วย 1.ให้ช่องทางขาย 2.ให้ความรู้ และ 3.ให้การเชื่อมโยงเครือข่าย ช่วยเหลือ SME อย่างต่อเนื่อง โดยศูนย์ 7-Eleven สนับสนุน SME เป็นแกนหลัก ช่วยให้ผู้ประกอบการ SME เข้าถึงแหล่งข้อมูล ความรู้ งานวิจัย ตลอดจนเป็นสื่อกลางในการเชื่อมโยงเครือข่ายพันธมิตรทั้งภาครัฐและเอกชนในการสร้างการเติบโตให้ SME ไทยเปี่ยมศักยภาพเติบโตในเวทีการค้าโลกได้อย่างแข็งแกร่งและยั่งยืน

สำหรับ SME ผู้ประกอบการ ที่สนใจสามารถนัดหมายขอเข้ารับคำปรึกษากับทางศูนย์ 7-Eleven สนับสนุน ได้ผ่าน 2 ช่องทางหลัก ได้แก่ 1.ผ่านช่องทาง Call Center เบอร์ 02-826-7750 ทุกวันจันทร์-ศุกร์ เวลา 8.30-17.00 น. หรือEmail : This email address is being protected from spambots. You need JavaScript enabled to view it. และ 2.ผ่านทาง www.7smesupportcenter.com ตลอด 24 ชั่วโมง

เพื่อลุ้นเป็น 1 ใน 10 สุดยอดเยาวชน เข้าแคมป์ฯ ที่ LFC International Academy ประเทศอังกฤษ

นางวรางคณา วงศ์ข้าหลวง รองกรรมการผู้จัดการ ธนาคารเพื่อการส่งออกและนำเข้าแห่งประเทศไทย (EXIM BANK) เข้าเยี่ยมคารวะ ดร.บุนเหลือ สินไซวอระวง ผู้ว่าการธนาคารแห่ง สปป.ลาว (BOL) และนางสาวมรกต ศรีสวัสดิ์ เอกอัครราชทูต ณ เวียงจันทน์ เพื่อแลกเปลี่ยนข้อมูลเศรษฐกิจ การค้า การลงทุน พร้อมทั้งหารือแนวทางความร่วมมือในการสนับสนุนผู้ประกอบการไทย-สปป.ลาว ณ BOL สำนักงานใหญ่ และสถานเอกอัครราชทูต ณ เวียงจันทน์ พร้อมกันนี้ ได้พบปะและแสดงความยินดีกับนายวงสกุล ยิ่งยง ผู้อำนวยการ รัฐวิสาหกิจไฟฟ้าลาว (EDL) ในโอกาสเข้ารับตำแหน่งใหม่ ณ EDL สำนักงานใหญ่ สปป.ลาว เมื่อเร็ว ๆ นี้ ทั้งนี้ เศรษฐกิจ สปป.ลาว อยู่ระหว่างฟื้นตัวในอัตราราว 2-3% ในช่วงปี 2564-2566 ภายหลังสถานการณ์โควิด-19 คลี่คลาย โดยได้รับแรงหนุนจากการท่องเที่ยว ขณะเดียวกัน รถไฟจีน-สปป.ลาว ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพของภาคการขนส่งและโลจิสติกส์ของประเทศ มีส่วนช่วยสนับสนุนการส่งออก โดยเฉพาะสินค้าเกษตรและดึงดูดการลงทุนของภาคการผลิต

บมจ. อลิอันซ์ อยุธยา ประกันภัย ประกาศความสำเร็จ ผลการดำเนินธุรกิจปี 2566 ยอดเยี่ยม สร้างเบี้ยประกันภัยรับรวมทะลุ 1 หมื่นล้านบาท เติบโตสูง 6% เหนือค่าเฉลี่ยตลาดประกันภัยในประเทศไทย ลุยเดินหน้าเติบโตต่อ ด้วยกลยุทธ์เสริมแกร่งช่องทางขาย มุ่งพัฒนาผลิตภัณฑ์ สร้างประสบการณ์เหนือระดับให้กับลูกค้า พร้อมพัฒนาทีมงานสู่ความเป็นมืออาชีพทุกด้าน รักษาตำแหน่งองค์กรที่น่าทำงานด้วยมากที่สุด  

มร.ลาร์ส ไฮบุทสกี้ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการใหญ่ บมจ.อลิอันซ์ อยุธยา ประกันภัย กล่าวว่า ด้วยความแข็งแกร่งของแบรนด์อลิอันซ์ ที่ได้รับการจัดอันดับจากอินเตอร์แบรนด์ ให้เป็นแบรนด์ประกันภัยอันดับหนึ่งของโลก ทำให้เราได้รับความไว้วางใจจากลูกค้าทั่วโลกรวมถึงประเทศไทยให้เราเป็นผู้ดูแลและบริหารความเสี่ยงเพื่อสร้างความมั่นคงแก่ชีวิตและทรัพย์สิน ผลักดันให้เกิดการเติบโตของธุรกิจอลิอันซ์อย่างต่อเนื่อง สำหรับ อลิอันซ์ อยุธยา ประกันภัย ในปีที่ผ่านมา บริษัททำผลงานได้อย่างยอดเยี่ยม สร้างสถิติใหม่ในการเติบโตถึง 6% เมื่อเทียบกับปีก่อนหน้า มีมูลค่าเบี้ยประกันภัยรับรวมอยู่ที่กว่า 1 หมื่นล้านบาท โดยผลิตภัณฑ์ประกันสุขภาพเติบโต 14% เบี้ยประกันมูลค่า 3.2 พันล้านบาท ประกันรถยนต์เติบโต 3% เบี้ยประกันมูลค่า 3.3 พันล้านบาท และประกันวินาศภัยและทรัพย์สินอื่นๆเติบโต 5% เบี้ยประกันมูลค่า 3.5 พันล้านบาท นอกจากนั้น ปี 2023 ที่ผ่านมา ยังเป็นปีที่บริษัทมีกำไรจากการดำเนินงานสูงกว่า 500 ล้านบาท ความสำเร็จเหล่านี้เป็นผลมาจากการดำเนินงานที่มีประสิทธิภาพสูง การริเริ่มนวัตกรรมและโครงการใหม่ ที่ประสบความสำเร็จช่วยสนับสนุนการเติบโตเป็นอย่างมาก อาทิ ผลิตภัณฑ์คุ้มครองสุขภาพที่สามารถเข้าถึงลูกค้าทุกเพศทุกวัยได้ดียิ่งขึ้น การพัฒนาด้านเทคโนโลยีให้บริการลูกค้าบนแพลตฟอร์มออนไลน์ และการเข้าซื้อกิจการ เอ็ทน่า ประกันสุขภาพ

สำหรับทิศทางการดำเนินธุรกิจขับเคลื่อนการเติบโตในปี 2567 อลิอันซ์ อยุธยา ประกันภัย ยังคงเดินหน้าด้วยกลยุทธ์ 3 เสาหลัก ดังต่อไปนี้

  • ช่องทางขายตอบโจทย์ลูกค้าทุกกลุ่ม ด้วยโซลูชั่นด้านการประกันภัยที่ครบวงจร ตอบโจทย์ลูกค้าได้ครบทุกกลุ่ม ไม่ว่าจะเป็นลูกค้ารายย่อยหรือบุคคล (Retail) ด้วยผลิตภัณฑ์ประกันคุ้มครองสุขภาพ คุ้มครองทรัพย์สิน บ้าน รถยนต์ และวินาศภัยต่างๆ ลูกค้าผู้ประกอบการเอสเอ็มอี (SME) ด้วยผลิตภัณฑ์คุ้มครองการดำเนินธุรกิจ ทั้งทรัพย์สินในการประกอบอาชีพ หรือแม้แต่คุ้มครองการหยุดชะงักของรายได้หากเกิดภัยใดใด และล่าสุดที่ถือเป็นตลาดใหญ่ที่อลิอันซ์ เดินหน้ามุ่งเน้นในปีนี้ คือ ลูกค้ากลุ่มธุรกิจใหญ่ (Commercial) ที่เป็นตลาดที่อลิอันซ์มีความเชี่ยวชาญมาอย่างยาวนาน ควบคู่กับความแข็งแกร่งในสถานะการเงินที่สามารถให้ความมั่นคงดูแลความเสี่ยงในธุรกิจกลุ่มนี้ได้เป็นอย่างดี อาทิ กลุ่มรับเหมาก่อสร้าง โครงการสาธารณูปโภคระดับชาติ ประกันภัยทางทะเล ประกันภัยความรับผิดบุคคลภายนอก เป็นต้น
  • สร้างแพลตฟอร์มธุรกิจที่ส่งมอบประสบการณ์ที่เหนือกว่าแก่ลูกค้า ด้วยการสร้างแพลทฟอร์มดิจิทัลที่ทันสมัยให้ลูกค้าได้เข้าถึงการบริการได้อย่างรวดเร็ว ฉับไว ใช้งานง่าย และเหนือความคาดหมายของลูกค้า ซึ่งจากการวัดผลตลอดปีที่ผ่านมา อลิอันซ์ อยุธยา ประกันภัยได้คะแนน NPS Score สูงกว่าค่าเฉลี่ยของบริษัทประกันภัยในประเทศไทย และได้คะแนนความพึงพอใจจากเสียงของลูกค้าที่ใช้บริการ อยู่ที่ 8 คะแนนจาก 5 ซึ่งถือว่าสูงมาก พิสูจน์ถึงความสำเร็จของกลยุทธ์นี้ ที่เราจะยังคงเดินหน้าต่อยอดสร้างความประทับใจให้กับลูกค้าอย่างต่อเนื่อง
  • สร้างองค์กรแห่งความเป็นเลิศ ทั้งในด้านการพัฒนาความเป็นมืออาชีพของพนักงาน และการสร้างการมีส่วนร่วมและความผูกพันกับองค์กร ซึ่งเป็นสิ่งที่กลุ่มอลิอันซ์ให้ความสำคัญมาก โดยเรามีกิจกรรมที่สร้างความผูกพันให้กับพนักงานทุกรุ่นของเรา อาทิ Staff Party กิจกรรมตามโอกาสพิเศษต่างๆ พร้อมสวัสดิการที่ช่วยสร้างความสุขให้พนักงานทั้งกายและใจ สิ่งเหล่านี้ ทำให้อลิอันซ์เป็นองค์กรที่น่าทำงานด้วยมากที่สุดในเอเชีย 3 ปีซ้อน จัดอันดับโดย HR Asia

“สำหรับปี 2567 นี้ เรามั่นใจว่าจะเป็นปีที่ยอดเยี่ยมต่อเนื่องสำหรับธุรกิจของเรา ด้วยแบรนด์ที่แข็งแกร่งในฐานะผู้เชี่ยวชาญในธุรกิจประกันภัยระดับโลก ประกอบกับกับโซลูชั่นที่ครบวงจรตอบโจทย์ลูกค้าได้อย่างครบครัน และทีมงานคุณภาพสูง จะขับเคลื่อนธุรกิจของเราให้เติบโตได้อย่างงดงาม โดยตั้งเป้าเบี้ยรับรวมแตะ 1.2 หมื่นล้าน ในสิ้นปีนี้” มร.ลาร์ส ไฮบุทสกี้ กล่าวทิ้งท้าย

เผยโรคยอดฮิตของผู้หญิงทุกช่วงวัย ชวนผู้หญิงทุกเจนดีไซน์ชีวิตสวยสุดสตรองให้พร้อมรันทุกวงการ!

ประกาศรุกคืบตลาดความงามหวังเคลมเบอร์ 1 ทุกหมวดสินค้า พร้อมขนทัพนวัตกรรมใหม่ร่วมงาน Cosmoprof CBE ASEAN Bangkok 2024

ในงานประชุมระดับโลกด้านเทคโนโลยีไร้สาย โมบายล์ เวิลด์ คองเกรส (MWC)  บาร์เซโลนา 2024 หัวเว่ยประสบความสำเร็จในการจัดงานประชุมเกี่ยวกับบทบาทของเทคโนโลยีดิจิทัลในภาคอุตสาหกรรมและการเปลี่ยนผ่านของเทคโนโลยีอัจฉริยะ หรือ “Huawei Industrial Digital and Intelligent Transformation Summit” ภายใต้แนวคิด “เร่งการเปลี่ยนผ่านทางด้านอุตสาหกรรมไปสู่ความอัจฉริยะ ด้วยความเป็นผู้นำโครงสร้างพื้นฐานทางด้านดิจิทัล” โดยหัวเว่ยได้ต้อนรับทั้งลูกค้าระดับโลก พาร์ทเนอร์ รวมถึงผู้นำในอุตสาหกรรมต่าง ๆ เพื่อร่วมกันค้นหา แบ่งปันนวัตกรรม รวมถึงแนวทางปฏิบัติด้านการเปลี่ยนผ่านให้ธุรกิจทั้งในอุตสาหกรรมขนาดกลางและขนาดเล็ก (SMEs) ได้ก้าวไปสู่ยุคดิจิทัลและความเป็นอัจฉริยะอย่างแท้จริง นอกจากนี้ หัวเว่ยยังได้ทำการเปิดตัวโซลูชันด้านการเปลี่ยนผ่านด้านดิจิทัลอัจฉริยะจำนวน 10 โซลูชันอย่างเป็นทางการรวมถึงเปิดตัวซีรีส์ผลิตภัณฑ์เรือธงใหม่หลากหลายกลุ่มเพื่อตอบโจทย์ที่หลากหลายของลูกค้า ที่กำลังอยู่ในระหว่างขั้นตอนการเปลี่ยนผ่านของภาคอุตสาหกรรมทางดิจิทัล และมีความต้องการที่แตกต่างกันไป

นายหลี่ เผิง รองประธานอาวุโสฝ่ายองค์กร และประธานฝ่ายขายและบริการด้านเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสารของหัวเว่ย ได้กล่าวว่า “ตั้งแต่การเปลี่ยนผ่านจากยุคของข้อมูลข่าวสารมาสู่ยุคดิจิทัล ทุกการเปลี่ยนผ่านล้วนนำความเป็นไปได้ต่าง ๆ มากมายมาด้วยเสมอ และวันนี้เรากำลังก้าวเข้าสู่โลกแห่งความอัจฉริยะ ซึ่งการสร้างอนาคตแห่งความอัจฉริยะขึ้นมาด้วยตัวเอง ก็อาจจะเป็นวิธีที่เราจะคาดการณ์อนาคตได้อย่างแม่นยำที่สุด โดยหัวเว่ยจะเดินหน้าทุ่มเทการทำงานของเราเป็นเท่าตัว เพื่อส่งมอบผลิตภัณฑ์ในกลุ่มโครงสร้างพื้นฐานทางด้านดิจิทัลและโซลูชันต่าง ๆ เพื่อช่วยเร่งกระบวนการการเปลี่ยนผ่านอัจฉริยะให้กับอุตสาหกรรมทั้งหลาย ทั้งนี้ เราจะทำงานอย่างหนักในฐานะพาร์ทเนอร์ที่ทุกคนสามารถไว้วางใจได้ในเส้นทางการเปลี่ยนผ่านครั้งนี้”

การเปลี่ยนผ่านสู่เทคโนโลยีดิจิทัลในระดับอุตสาหกรรมคือก้าวสำคัญสู่โลกอัจฉริยะ

“เพื่อเป็นการเปิดรับโลกอัจฉริยะแห่งอนาคต หัวเว่ยเชื่อว่าหนึ่งในขั้นตอนสำคัญคือการเดินหน้าเข้าสู่โลกดิจิทัลในระดับอุตสาหกรรม และเมื่อกระบวนการการเปลี่ยนผ่านนี้เข้าสู่ช่วงหัวเลี้ยวหัวต่อ เราจะต้องมีการจัดการกับข้อมูล ไม่ว่าจะเป็นในขั้นตอนการ “คำนวณ ส่งต่อ และจัดเก็บ” อย่างเป็นระบบ รวมทั้งมีการจัดการข้อมูลซึ่งมีที่มาจากสถานการณ์อันหลากหลาย เข้าสู่ฐานข้อมูลบนเทคโนโลยีคลาวด์อย่างเป็นระบบ และเข้าถึงลูกค้าในกลุ่มอุตสาหกรรมพื้นฐานและอุตสาหกรรมหลัก ๆ ให้มากขึ้น เพื่อการสนับสนุนให้กลุ่มลูกค้ากลุ่มนี้เดินหน้าสู่การเปลี่ยนผ่านทางดิจิทัลและมุ่งสู่โลกอัจฉริยะได้อย่างราบรื่น" นายลีโอ เฉิน ประธานฝ่ายขาย สำหรับภาคองค์กร ของหัวเว่ยกล่าว

นายลีโอ เฉิน กล่าวเสริมว่า “เราอาจจะอธิบายผลของกระบวนการเปลี่ยนผ่านทางดิจิทัลเพื่อไปสู่โลกอัจฉริยะได้ด้วยคำศัพท์ทางฟิสิกส์ที่ว่า การเปลี่ยนแปลงสถานะ (Phase transition) ซึ่งหมายความว่าการเปลี่ยนผ่านนี้จะไม่เพียงแต่นำมาซึ่งการเติบโตที่เพิ่มขึ้นเท่านั้น แต่ยังหมายถึงพลวัตรของภาคเศรษฐกิจที่พลิกโฉมโหม่  เพราะเมื่อเราก้าวเข้าสู่โลกที่มีประสิทธิภาพและผลิตภาพสูงแล้ว เราสามารถมอบคุณภาพชีวิตที่ดีกว่าให้แก่ผู้คนได้ทุกคน ทั้งนี้ หัวเว่ยมุ่งมั่นที่จะทำงานร่วมกับทุกฝ่ายเพื่อเร่งกระบวนการเปลี่ยนผ่านทางดิจิทัลในทุกภาคอุตสาหกรรมเพื่อก้าวไปสู่โลกแห่งอัจฉริยะ”

หัวเว่ยเปิดตัวโซลูชันเรือธงเพื่อช่วยในการเปลี่ยนผ่านทางด้านดิจิทัลอัจฉริยะจำนวน 10 โซลูชัน และผลิตภัณฑ์ใหม่ที่หลากหลายสำหรับภาคอุตสาหกรรม

หัวเว่ยทำงานร่วมกับลูกค้าและพาร์ทเนอร์รายต่าง ๆ เพื่อเก็บรวบรวมแนวทางการเปลี่ยนผ่านทางดิจิทัลที่ประสบความสำเร็จ และเพื่อค้นหาแนวทางการเปลี่ยนผ่านอัจฉริยะใหม่ ๆ อยู่เสมอ โดยในปี พ.ศ. 2566 หัวเว่ยได้ทำการเปิดตัวสถาปัตยกรรมอัจฉริยะสำหรับการเปลี่ยนผ่านทางดิจิทัล เพื่อให้ลูกค้าในกลุ่มอุตสาหกรรมได้ใช้เป็นแหล่งอ้างอิงในการดำเนินกระบวนการเปลี่ยนผ่านของตนเอง

ทั้งนี้ หัวเว่ยให้ความสำคัญกับผลิตภัณฑ์ในกลุ่มเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร รวมถึงได้สร้างอีโคซิสเต็มระบบเปิด เพื่อให้เป็นจุดศุนย์รวมของพาร์ทเนอร์และเหล่านักพัฒนา ในการสร้างโครงสร้างพื้นฐานอัจฉริยะทางด้านดิจิทัลให้ประสบความสำเร็จ

โดยหัวเว่ยเชื่อว่าลูกค้าแต่ละรายมีความต้องการที่ต่างกัน และเราจำเป็นที่จะต้องส่งมอบโซลูชันที่ออกแบบมาสำหรับแต่ละสถานการณ์การใช้งานให้เหมาะสม เพื่อช่วยให้ลูกค้าสามารถทำการเปลี่ยนผ่านทางด้านดิจิทัลอย่างอัจฉริยะได้สำเร็จลุล่วง

สำหรับลูกค้าอุตสาหกรรมขนาดใหญ่ที่มีความจำเป็นต้องใช้บริการที่มีความหลากหลายและซับซ้อน ทางหัวเว่ยได้มีการเปิดตัวระบบดิจิทัลอัจฉริยะในระดับอุตสาหกรรม 10 รูปแบบ ซึ่งมาภายใต้ชื่อต่าง ๆ ได้แก่ National Cloud Solution 2.0, Smart City, Smart Classroom 3.0, Medical Technology Digitalization, Digital CORE, Intelligent Factory, Smart Airport Fully Connected Fiber Network, Perimeter Security with Fiber Sensing, Smart Railway Perimeter Detection, ITS 2.0, Intelligent Power Distribution (IDS), Oil and Gas Pipeline Safety Management Solutions นอกจากนี้ ยังมีการเปิดตัวผลิตภัณฑ์อีกหลากหลายกลุ่ม เช่น Campus Digital Platform, Multilayer Ransomware Protection (MRP) 2.0 และ Perimeter Protection Site เป็นต้น

เพื่อเป็นการตอบโจทย์ความต้องการของกลุ่มลูกค้าทางธุรกิจขนาดเล็กและขนาดกลางที่อาจจะมีความต้องการใช้งานที่ไม่ซับซ้อนมากนัก หัวเว่ยได้เดินหน้าร่วมมือกับพาร์ทเนอร์ในการสร้างโซลูชันระบบเปิดที่ใช้ทรัพยากรน้อย (lightweight) แต่มีการออกแบบมาสำหรับสถานการณ์นั้น ๆ โดยเฉพาะ ด้วยการใช้โซลูชันเหล่านี้ช่วยลดต้นทุน สร้างความแตกต่างให้กับผู้ประกอบการทั้งในแง่ของการให้บริการและการเป็นผู้นำในอุตสาหกรรม โดยกลุ่มโซลูชันใหม่นี้จะช่วยให้ธุรกิจสามารถเดินหน้าเปลี่ยนผ่านทางดิจิทัลอย่างอัจฉริยะได้อย่างราบรื่น ด้วยโซลูชันที่ออกแบบมาสำหรับสถานการณ์รูปแบบเฉพาะกว่า 30 สถานการณ์ ซึ่งเป็นการร่วมพัฒนากับพาร์ทเนอร์ของเรา สำหรับกลุ่มลูกค้าขนาดเล็กที่มีความต้องการใช้งานในระดับพื้นฐาน หัวเว่ยได้ทำการเปิดตัว HUAWEI eKit สำหรับลูกค้ากลุ่มนี้ในปีพ.ศ. 2566 โดยผลิตภัณฑ์ดังกล่าวได้รับการออกแบบมาให้มีคุณสมบัติใช้งานง่าย ตั้งแต่ขั้นตอนการซื้อขาย ติดตั้ง บำรุงรักษา รวมไปถึงการเรียนรู้การใช้งาน โดยภายในงาน MWC ปีนี้ แบรนด์ HUAWEI eKit ได้เปิดตัวผลิตภัณฑ์ใหม่สำหรับการใช้งานในออฟฟิศสำหรับกลุ่มธุรกิจเอสเอ็มอี โรงแรมราคาประหยัด โรงเรียนประถมและมัธยม ห้างสรรพสินค้า คลินิก โรงพยาบาล บริษัทอสังหาริมทรัพย์ รวมถึงร้านอาหารต่างๆ เป็นต้น

นอกจากนี้ หัวเว่ย ยังคงยึดมั่นในพันธกิจที่จะเดินหน้าสร้างนวัตกรรมและผลิตภัณฑ์ทางด้านเทคโนโลยีสารสนเทศชั้นนำ เพื่อตอบโจทย์ความต้องการของลูกค้าที่เปลี่ยนแปลงไปอยู่เสมอ โดยหัวเว่ยได้ทำการเปิดตัวผลิตภัณฑ์เรือธงในกลุ่มข้อมูลสื่อสาร เครือข่ายออพติคัล การจัดเก็บข้อมูล รวมทั้งระบบปฏิบัติการและการบำรุงรักษาแบบครบวงจรที่ใช้ทรัพยากรน้อยอีกด้วย

นายเดวิด ฉี รองประธานฝ่ายการตลาดเทคโนโลยีและสารสนเทศ และฝ่ายขายโซลูชันเพื่อธุรกิจของหัวเว่ย กล่าวว่า “หัวเว่ย เข้าใจดีว่าลูกค้าแต่ละรายล้วนมีความต้องการและความท้าทายในการดำเนินธุรกิจที่แตกต่างกัน และในช่วงเวลาที่การเปลี่ยนผ่านทางดิจิทัลไปสู่ความเป็นอัจฉริยะนี้กำลังเดินไปข้างหน้า หัวเว่ยจะมุ่งมั่นพัฒนาผลิตภัณฑ์และโซลูชันที่ออกแบบมาจากสถานการณ์การใช้งานจริง พร้อมเทคโนโลยีที่ล้ำสมัย มีความเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม และตอบโจทย์ความต้องการของลูกค้าได้จริง”

หัวเว่ย เดินหน้าทำงานร่วมกับพาร์ทเนอร์ เพื่อสร้างอนาคตที่สดใสให้กับโลกอัจฉริยะ

อีโคซิสเต็มที่มีความยั่งยืนและทำงานได้อย่างเต็มประสิทธิภาพ ถือเป็นส่วนสำคัญในการเปลี่ยนผ่านสำหรับภาคอุตสาหกรรมอัจฉริยะ โดยช่วงปลายปี พ.ศ. 2566 หัวเว่ยมีพาร์ทเนอร์ที่อยู่ในตลาดระดับองค์กรทั่วโลกกว่า 40,000 ราย ที่จะเข้ามาช่วยให้ลูกค้าของเราเดินหน้าไปสู่ความสำเร็จทางธุรกิจได้

นายเออร์เนสต์ จาง ประธานฝ่ายพาร์ทเนอร์สากล ธุรกิจและการกระจายสินค้า และฝ่ายขายสำหรับองค์กรของหัวเว่ยได้ กล่าวว่า “หัวเว่ยจะยังคงเดินหน้าทำงานร่วมกับพาร์ทเนอร์และยึดตามหลักแนวคิดของการ ‘เชื่อมโยงกันด้วยการแบ่งปันผลประโยชน์ บนรากฐานของความซื่อสัตย์ และปฏิบัติตามกฎเกณฑ์โดยไม่มีข้อยกเว้น’ เราจะเดินหน้าส่งเสริมนโยบายสำหรับพาร์ทเนอร์ของเราในเรื่องการพัฒนาไปข้างหน้าอย่างเต็มที่ เพื่อสร้างพันธมิตรที่แน่นแฟ้น เกื้อกูลผลประโยชน์แก่กัน และก้าวไปสู่ช่วงเวลาแห่งความสำเร็จด้วยกัน”

งานโมบายล์ เวิลด์ คองเกรส (MWC) ครั้งนี้จัดขึ้นระหว่างวันที่ 26 - 29 กุมภาพันธ์ ณ เมืองบาร์เซโลนา ประเทศสเปน โดยหัวเว่ยเข้าร่วมงานในปีนี้ภายใต้แนวคิด “เร่งการเปลี่ยนผ่านทางด้านอุตสาหกรรมไปสู่ความอัจฉริยะด้วยความเป็นผู้นำทางด้านโครงสร้างพื้นฐานทางด้านดิจิทัล” ("Leading Digital and Intelligent Infrastructure, Accelerating Industrial Intelligence") และมีการจัดแสดงทัพผลิตภัณฑ์และโซลูชันเรือธงใหม่ล่าสุด ที่บูธ 1H50 ใน Fira Gran Via Hall 1 โดยสามารถดูรายละเอียดข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ Huawei Enterprise at MWC 2024| Accelerate Industrial Intelligence | Huawei Enterprise

นายอาภากร ปานเลิศ ผู้ช่วยเลขาธิการ สายกำกับผลิตภัณฑ์ประกันภัย สำนักงานคณะกรรมการกำกับและส่งเสริมการประกอบธุรกิจประกันภัย เปิดเผยว่า สำนักงานคณะกรรมการกำกับและส่งเสริมการประกอบธุรกิจประกันภัย (สำนักงาน คปภ.) โดยสายกำกับผลิตภัณฑ์ประกันภัยได้จัดประชุมคณะที่ปรึกษาทางการแพทย์ของสำนักงานคณะกรรมการกำกับและส่งเสริมการประกอบธุรกิจประกันภัย ครั้งที่ 1/2567 ผ่านสื่ออิเล็กทรอนิกส์ โดยคณะที่ปรึกษาทางการแพทย์ฯ ได้ทำหน้าที่ให้ข้อคิดเห็นและข้อเสนอแนะในประเด็นการตีความเงื่อนไขและข้อตกลงคุ้มครองของสัญญาประกันภัย ในส่วนที่มีความเกี่ยวข้องกับหลักเกณฑ์ทางการแพทย์ อันจะช่วยให้การดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องกับหลักเกณฑ์ทางการแพทย์ของสำนักงาน คปภ. เป็นไปด้วยความรอบคอบ เหมาะสม เป็นธรรม และให้ความคุ้มครองสิทธิประโยชน์กับผู้เอาประกันภัย อาทิ การพิจารณาให้ข้อคิดเห็นในการกำหนดเงื่อนไขและความคุ้มครองของผลิตภัณฑ์ประกันภัยรูปแบบใหม่ การปรับปรุงผลประโยชน์ความคุ้มครองสำหรับผู้ประสบภัยจากรถ การพิจารณาเรื่องร้องเรียนเกี่ยวกับการจ่ายค่าสินไหมทดแทนสำหรับผลิตภัณฑ์ประกันภัยสุขภาพ โรคร้ายแรง อุบัติเหตุ เพื่อให้มีความเหมาะสม และให้สอดคล้องกับสถานการณ์ในปัจจุบัน

สำหรับการประชุมในครั้งนี้ คณะที่ปรึกษาทางการแพทย์ฯ ได้ให้ข้อคิดเห็นและข้อเสนอแนะในเรื่องการพัฒนากรมธรรม์ประกันภัยคุ้มครองการเสียชีวิตจากอุบัติเหตุ และคุ้มครองค่ารักษาพยาบาลจากโรคมะเร็งส่วนบุคคล (สำหรับผู้ที่เคยป่วยเป็นโรคมะเร็งมาก่อนการทำประกันภัย และอยู่ในภาวะโรคสงบแล้ว) ซึ่งเป็นกรมธรรม์ประกันภัยที่มีการพัฒนาเพื่อให้กลุ่มเป้าหมาย ซึ่งเป็นผู้ที่เคยป่วยด้วยโรคมะเร็งมาก่อนการทำประกันภัย แต่ปัจจุบันได้รับการรักษาพยาบาลหายแล้วหรืออยู่ในภาวะโรคสงบแล้ว สามารถเข้าสู่ระบบการประกันภัยสุขภาพภาคสมัครใจได้โดยสำนักงาน คปภ. จะนำข้อคิดเห็นและข้อเสนอแนะจากคณะที่ปรึกษาทางการแพทย์ฯ ไปปรับปรุงเงื่อนไข และข้อตกลงคุ้มครอง รวมทั้งใบคำขอเอาประกันภัย เพื่อให้เหมาะสมเกิดความชัดเจน และเป็นแบบประกันภัยสุขภาพ
ที่สามารถรองรับกลุ่มเป้าหมายดังกล่าวต่อไป

ทั้งนี้ สำนักงาน คปภ. หวังเป็นอย่างยิ่งว่า การพัฒนาผลิตภัณฑ์ประกันภัยให้ความคุ้มครองโรคมะเร็งสำหรับผู้ที่เคยป่วยเป็นโรคมะเร็งมาก่อนการทำประกันภัย และอยู่ในภาวะโรคสงบแล้ว จะเป็นส่วนช่วยให้ประชาชนสามารถเข้าถึงระบบการประกันภัยสุขภาพภาคสมัครใจได้อย่างทั่วถึงและทำให้ระบบประกันภัยสุขภาพเติบโตอย่างยั่งยืน

หัวเว่ย คอนซูมเมอร์ บิสสิเนส กรุ๊ป (ประเทศไทย) ร่วมจับมือ ช้อปปี้ อีคอมเมิร์ซเบอร์ 1[1] ครองใจนักช้อปชาวไทย ส่งโปรโมชั่นเปิดดีลลดใหญ่ รับมหกรรมเทศกาลช้อปปิ้งออนไลน์ครั้งแรกของปีในแคมเปญ Shopee 3.3 ลดใหญ่ต้นปี ส่งมอบส่วนลดเกินต้าน ลดสูงสุดกว่า 47% เมื่อสั่งซื้อสินค้าผ่านร้านค้า Huawei Official Store บน Shopee ตั้งแต่วันที่ 3 - 5 มีนาคม 2567 มาดูกันเลยดีกว่าว่ามีอะไรน่าช้อปบ้าง

ไอเทมแรก เริ่มด้วย HUAWEI Band 8 แก็ดแจ็ดเอาใจสายสุขภาพและออกกำลังกาย ที่มาพร้อมเทคโนโลยีสุดล้ำ โดดเด่นด้วยดีไซน์แบบ Ultra-Thin พร้อมฟีเจอร์ติดตามการนอนหลับทางวิทยาศาสตร์ และใช้งานได้อย่างยาวนานไม่มีสะดุดด้วยฟีเจอร์ชาร์จไว โดยสามารถใช้งานได้ทั้งบนแอนดรอย์และ iOS มาในราคาพิเศษเพียง 1,299 บาท จากปกติ 1,899 บาท

HUAWEI MatePad 11.5" แท็บเล็ตดีไซน์สวย ขอบบาง เบา วัสดุทนทานแบบ Unibody พร้อมรองรับการเชื่อมต่อกับคีย์บอร์ดและปากกา HUAWEI M-Pencil (รุ่นที่ 2)  และ หน้าจอคมชัด 120 Hz HUAWEI FullView Display มอบประสบการณ์ที่ไหลลื่นสะดวกสบายทั้งทำงานและเอนเตอร์เทนเมนต์ได้ทุกที่ทุกเวลา พิเศษรุ่น WiFi 6+128GB ราคาเพียง 8,990 บาท จากปกติ 9,990 บาท

HUAWEI WATCH GT 4 รุ่น Light Gold Edition ขนาด 41 มม. โดดเด่นด้วยตัวเรือนสแตนเลสสตีลสีทอง ผสานเข้ากับสายมิลานสีทองที่ขึ้นชื่อเรื่องงานฝีมืออันประณีตได้อย่างลงตัว มอบความหรูหราสะดุดทุกสายตา พร้อมหน้าปัดนาฬิกาอีกกว่า 25,000 แบบ รวมถึงมีโหมดออกกำลังกายกว่า 100 โหมด  ฟีเจอร์วัดความเครียดและ SpO2 อัตโนมัติ ที่จะทำงานทันที่เมื่อสวมใส่ รองรับการเชื่อมต่อได้ทั้ง iOS และ Android พร้อมแบตเตอร์รี่ยาวนานถึง 7 วัน มาในราคาพิเศษเพียง 5,990 บาท จากปกติ 8,490 บาท

เป็นยังไงกันบ้างกับ 3 แก็ดเจ็ตสุดฮิตต้นปี บอกเลยว่าสายแก็ตเจ็ตเลิฟเวอร์ห้ามพลาด เป็นเจ้าของแก็ตเจ็ตในราคาสุดคุ้มกับแคมเปญ Shopee 3.3 ลดใหญ่ต้นปี ที่พร้อมส่งต่อความคุ้มค่าแบบยิ่งใหญ่ด้วย ส่วนลดสูงสุด 47%[2] และยังมีโค้ดลดเพิ่ม 1,000 บาท[3] และโค้ดส่งฟรีขั้นต่ำ 0 บาท[4] ครอบคลุมผลิตภัณฑ์ยอดฮิต อาทิ สมาร์ทโฟน หูฟังไร้สาย แท็บเล็ต และผลิตภัณฑ์คุณภาพจากหัวเว่ยอีกมากมาย ร่วมถึงช่วงลดหนักจัดเต็ม กับสินค้า Flash Sale ในวันที่ 3 มีนาคม 2567 เวลา 00:00 น.

และเพื่อรับประสบการณ์ความคุ้มค่าสูงสุดในการช้อป ก่อนการชำระเงินลูกค้าสามารถกดเก็บโค้ดของ HUAWEI ได้ที่หน้าร้าน และโค้ดส่วนลดของช้อปปี้จากหน้าแคมเปญ ไม่ว่าจะเป็นโค้ดส่วนลด โค้ดส่งฟรี หรือโค้ดรับ Shopee Coins คืน นอกจากนี้ลูกค้ายังสามารถใช้ Shopee Coins เป็นส่วนลดเพิ่มเติม โดย 1 Shopee Coin จะมีมูลค่าเท่ากับ 1 บาท พร้อมเพลิดเพลินกับสิทธิประโยชน์มากมายเมื่อชำระผ่าน ShopeePay

เตรียมช้อป แก็ดเจ็ตฮิตจาก HUAWEI พร้อมดีลลดใหญ่ใน Shopee 3.3 ลดใหญ่ต้นปี ตั้งแต่วันที่ 3 - 5 มีนาคม 2567 เพื่อไม่ให้พลาดโปรโมชั่นลดใหญ่ อย่าลืมกดติดตามข่าวสารและโปรโมชันดีๆ จาก HUAWEI บน Shopee Mall ได้ที่ https://shopee.co.th/huawei_official_store


[1] อ้างอิงจากรายงาน Ecommerce in Southeast Asia 2023 ของ Momentum Works

[2] อ่านเงื่อนไขเพิ่มเติมในหน้าร้านค้า

[3] อ่านเงื่อนไขเพิ่มเติมในหน้าร้านค้า

[4] อ่านเงื่อนไขเพิ่มเติมในหน้าร้านค้า

สิ่งแวดล้อม คือพื้นฐานของทุกชีวิต การใส่ใจสิ่งแวดล้อม โดยเฉพาะในยุคปัจจุบันมีความสำคัญเป็นอย่างยิ่ง บริษัท ทิพยประกันภัย จำกัด (มหาชน) จึงได้น้อมนำศาสตร์พระราชา “จากนภา ผ่านภูผา สู่มหานที” และแนวคิด ‘ESG’ ในมิติด้านสิ่งแวดล้อม มาเป็นแนวทางในการจัดโครงการทิพยสืบสาน รักษา ต่อยอด นวัตกรรมศาสตร์พระราชา ครั้งที่ 37 โดยนำคณะครู-อาจารย์ ผู้บริหารองค์กรภาครัฐและเอกชน ร่วมถอดบทเรียนการดูแลสิ่งแวดล้อมแบบองค์รวม พร้อมทำกิจกรรมรักษ์สิ่งแวดล้อม ณ โครงการอนุรักษ์พันธุกรรมพืชอันเนื่องมาจากพระราชดำริฯ สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ จังหวัดลำปาง เพื่อเป็นการดูแลสิ่งแวดล้อม และหนุนให้สังคมไทยเติบโตได้อย่างยั่งยืน

บริษัท ทิพยประกันภัย จำกัด (มหาชน) ร่วมกับ องค์กรพันธมิตร ได้แก่ ศูนย์คุณธรรม (องค์การมหาชน) สำนักงานบริหารและพัฒนาองค์ความรู้ (OKMD) กองทุนพัฒนาสื่อปลอดภัยและสร้างสรรค์ มูลนิธิธรรมดี สมาคมนักเรียนเก่า AFS ประเทศไทย คุรุสภา และกระทรวงศึกษาธิการ จัดโครงการทิพยสืบสาน รักษา ต่อยอด นวัตกรรมศาสตร์พระราชา เป็นประจำทุกเดือนมาอย่างต่อเนื่องตั้งแต่ปี พ.ศ. 2561 เพื่อส่งเสริมให้เยาวชน ครู-อาจารย์ และประชาชนทุกภาคส่วนได้เข้าใจ เข้าถึงศาสตร์ของพระราชา และเศรษฐกิจพอเพียง ซึ่งเป็นพื้นฐานในการนำพาประเทศไปสู่การพัฒนาอย่างมั่นคง มั่งคั่ง และยั่งยืนในอนาคต

สำหรับแนวพระราชดำริ “จากนภา ผ่านภูผา สู่มหานที” นั้น หมายถึง องค์ความรู้ด้านการพัฒนาของพระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร ที่ทรงมองทุกอย่างแบบองค์รวม ทรงรู้ว่าทุกสิ่งนั้นถูกเชื่อมโยง และส่งผลต่อการเป็นวัฏจักร การดูแลรักษาสิ่งแวดล้อมต้องให้ความสำคัญกับทุกองค์ประกอบ ตั้งแต่ฝนจากท้องฟ้าที่เป็นต้นกำเนิดของน้ำ ตกลงมาสู่ป่าเขาและผืนดิน ไหลไปสู่แม่น้ำลำคลองและท้องทะเล หล่อเลี้ยงทุกชีวิตในชุมชน ดังนั้น การบริหารจัดการสิ่งแวดล้อมให้เกิดความยั่งยืน จึงไม่สามารถมองข้ามสิ่งใดสิ่งหนึ่งได้

นางวิชชุดา ไตรธรรม ที่ปรึกษากรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท ทิพยประกันภัย จำกัด (มหาชน) ได้กล่าวถึงการจัดกิจกรรมในครั้งนี้ว่า “บริษัท ทิพยประกันภัย จำกัด (มหาชน) มีความมุ่งมั่นที่จะดำเนินธุรกิจไปพร้อมกับการดูแลสังคมให้มีความมั่นคง และยั่งยืนตามหลักปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียง ควบคู่ไปกับแนวคิด ESG ซึ่งการจัดกิจกรรมในครั้งที่ 37 นี้ จะเป็นการตอบโจทย์ความยั่งยืนในมิติด้านสิ่งแวดล้อม ที่เป็นรากฐานให้กับทุกชีวิตในสังคม โดยจะเป็นการเดินตามรอยในหลวงรัชกาลที่ 9 ที่พระองค์ได้ทรงใช้หลักในการบูรณาการภาพรวมมาบริหารจัดการเรื่องสิ่งแวดล้อม ที่ให้ความสำคัญตั้งแต่บนฟ้า ยอดเขา ที่ราบ มาสู่ทะเล การวางแผนการใช้น้ำอย่างเป็นระบบและรู้คุณค่า จึงจะทำให้เกิดความอุดมสมบูรณ์ได้อย่างยั่งยืน”

เพื่อเป็นการร่วมอนุรักษ์ผืนป่าและสิ่งแวดล้อม ผู้เข้าร่วมโครงการฯ ได้ร่วมกันทำกิจกรรมบวชป่า และกิจกรรมปลูกป่า ณ ป่าชุมชนบ้านสาแพะ เพื่อเป็นกุศโลบายห้ามไม่ให้คนมาตัดไม้ทำลายป่า และเพื่อคงความอุดมสมบูรณ์ของป่าธรรมชาติไว้ อีกทั้งยังช่วยให้แหล่งน้ำไม่เหือดแห้ง และที่สำคัญคือ เป็นการสร้างสำนึกให้แก่ชุมชนในการมีส่วนร่วมดูแลสภาพสิ่งแวดล้อม และยังได้เรียนรู้แนวคิดเรื่องการบริหารจัดการทรัพยากรน้ำรูปแบบต่าง ๆ ตามแนวพระราชดำริในพื้นที่บ้านสาแพะใต้อีกด้วย เช่น “สระพวง” หนึ่งในตัวช่วยสำคัญสำหรับการบริหารจัดการน้ำบนพื้นที่สูง ที่ช่วยในเรื่องการกักเก็บน้ำไว้ใช้ในยามแห้งแล้ง โดยมีกระบวนการเริ่มจากการขุดสระแม่ หรือสระขนาดใหญ่บนพื้นที่สูงสำหรับกักเก็บน้ำ จากนั้นเชื่อมต่อการส่งน้ำลงมายังสระลูกสระหลานในพื้นที่ที่ต่ำกว่า เพื่อใช้สำหรับทำการเกษตร

โครงการฯ ครั้งที่ 37 นี้ นับเป็นครั้งแรกที่ผู้เข้าร่วมโครงการฯ ได้มีโอกาสศึกษาดูงานตัวอย่างการน้อมนำศาสตร์พระราชามาประยุกต์ใช้ในเชิงปฏิบัติจริง โดยองค์กรเอกชนขนาดใหญ่ ณ ศูนย์เรียนรู้การฟื้นฟูเหมืองปูนซีเมนต์ไทย, บริษัท ปูนซิเมนต์ไทย จำกัด (มหาชน) จังหวัดลำปาง ที่ใช้ศาสตร์พระราชา และหลักปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียงมาช่วยสร้างความยั่งยืนให้กับองค์กร

ในโครงการยังมีกิจกรรม Workshop และการบรรยาย โดยวิทยากรผู้เชี่ยวชาญ อาทิ “9 ตามรอยนวัตกรรมของพ่อ ศาสตร์พระราชาสู่การพัฒนาที่ยั่งยืนระดับสากล” ที่เป็นการถอดบทเรียนนวัตกรรมศาสตร์พระราชา พร้อมสอดแทรกคุณธรรม 5 ประการ คือ พอเพียง วินัย สุจริต จิตอาสา และกตัญญู และ “The King’s Journey Learn English an Example of an Invention” โดยอาจารย์อดุลย์ ดาราธรรม นายกสมาคมนักเรียนเก่า AFS ประเทศไทย พร้อมทั้งการบรรยายเรื่อง “คุณธรรมในยุคดิจิทัล” โดย รศ.นพ.สุริยเดว ทรีปาตี ผู้อำนวยการศูนย์คุณธรรม และ “ถอดรหัสพระอัจฉริยะภาพในหลวงรัชกาลที่ 9” โดย ดร.ดนัย จันทร์เจ้าฉาย ประธานมูลนิธิธรรมดี ซึ่งเป็นการเตรียมพร้อมเพื่อก้าวสู่เป้าหมายการพัฒนาอย่างยั่งยืนตามนโยบาย UNSDG ภายในปี 2030

X

Right Click

No right click