ขายออนไลน์ 3.3 นี้ ราคาต่ำสุดเพียง 4,246 บาท ที่ Shopee เท่านั้น

“ซีพี ออลล์” ผู้บริหารร้านเซเว่น อีเลฟเว่น  เซเว่น เดลิเวอรี่ และผู้ถือหุ้นใหญ่ บริษัท ซีพี แอ็กซ์ตร้า จำกัด (มหาชน) เตรียมออกหุ้นกู้เสนอขายแก่ประชาชนเป็นการทั่วไป จำนวน 3 ชุด ช่วงอายุ 5-10 ปี อัตราดอกเบี้ยระหว่าง [3.45-4.05]% ต่อปี โดยหุ้นกู้ที่เสนอขายครั้งนี้ได้รับการจัดอันดับความน่าเชื่อถือที่ระดับ “A+” จากทริสเรทติ้ง ซึ่งคาดว่าจะเสนอขายในระหว่างวันที่ 22 และ 25-26 มีนาคม 2567 ผ่านสถาบันการเงินชั้นนำ 9 แห่ง รวมถึงขายผ่านแอปพลิเคชั่น TrueMoney Wallet พร้อมเตือนนักลงทุนให้ระมัดระวังมิจฉาชีพหลอกลงทุน

นายเกรียงชัย บุญโพธิ์อภิชาติ Chief Financial Officer บริษัท ซีพี ออลล์ จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า “ซีพี ออลล์” เตรียมพร้อมที่จะเสนอขายหุ้นกู้ไม่ด้อยสิทธิ ไม่มีประกัน และมีผู้แทนผู้ถือหุ้นกู้ จำนวน 3 ชุด ประกอบด้วย หุ้นกู้ชุดที่ 1 อายุ 5 ปี อัตราดอกเบี้ย [3.45-3.50]% ต่อปี หุ้นกู้ชุดที่ 2 อายุ 8 ปี 1 เดือน 16 วัน อัตราดอกเบี้ย [3.60-3.84]% ต่อปี และหุ้นกู้ชุดที่ 3 อายุ 10 ปี อัตราดอกเบี้ย [3.85-4.05]% ต่อปี โดยจะแจ้งอัตราดอกเบี้ยที่แน่นอนอีกครั้ง ทั้งนี้ บริษัทฯ จะเสนอขายหุ้นกู้ดังกล่าวให้แก่ประชาชนเป็นการทั่วไป คาดว่าจะเสนอขายในระหว่างวันที่ 22 และ 25-26 มีนาคม 2567  ผ่านสถาบันการเงินชั้นนำ 9 แห่ง ที่ได้รับการแต่งตั้งเป็นผู้จัดการการจัดจำหน่ายหุ้นกู้ ได้แก่  ธนาคารกรุงเทพ ธนาคารกรุงศรีอยุธยา ธนาคารกรุงไทย ธนาคารกสิกรไทย ธนาคารไทยพาณิชย์ ธนาคารซีไอเอ็มบี ไทย ธนาคารทหารไทยธนชาต ธนาคารยูโอบี และบริษัทหลักทรัพย์เกียรตินาคินภัทร รวมทั้งเสนอขายผ่านแอปพลิเคชั่น TrueMoney Wallet และขอเน้นย้ำ ให้ผู้ลงทุนระวังมิจฉาชีพที่แอบอ้างชื่อบริษัทฯ หลอกลงทุน นำเสนอผลตอบแทนที่สูงเกินจริง โดยเฉพาะช่องทางโซเชียลมีเดียต่างๆ เช่น Facebook และแอปพลิเคชั่น Line เป็นต้น ขอให้นักลงทุนพิจารณาผลตอบแทนที่เป็นไปได้ หรือติดต่อสอบถามผ่านสถาบันการเงินทั้ง 9 รายที่เป็นผู้จัดการการจัดจำหน่ายก่อนตัดสินใจลงทุน

หุ้นกู้ บมจ.ซีพี ออลล์ ที่จะเสนอขายในครั้งนี้ ได้รับการจัดอันดับความน่าเชื่อถือจากบริษัท ทริสเรทติ้ง จำกัด เมื่อวันที่ 14 กุมภาพันธ์ 2567 ที่ระดับ “A+” แนวโน้ม “บวก” (Positive) สะท้อนถึงผลการดำเนินงานและสถานะการเงินที่แข็งแกร่งของ “ซีพี ออลล์” ผู้นำธุรกิจค้าปลีกที่สามารถสร้างกระแสเงินสดจากการดำเนินงาน การมีเครือข่ายสาขาที่ครอบคลุมทั่วประเทศ และมีธุรกิจสนับสนุนที่เข้มแข็ง รวมถึงแพลตฟอร์มออนไลน์ที่ประสบความสำเร็จ

“ซีพี ออลล์” เป็นที่รู้จักของประชาชนในวงกว้างด้วยแบรนด์  “เซเว่น อีเลฟเว่น” ผู้ให้บริการความสะดวกกับทุกชุมชน โดยบริษัทฯ ยังคงกลยุทธ์การเป็นจุดหมายปลายทางของอาหารและเครื่องดื่ม (Food & Drink Destination) เพื่อให้ลูกค้าได้มีโอกาสเข้าถึงสินค้ากลุ่มอาหารและเครื่องดื่ม ภายใต้สโลแกน “หิวเมื่อไหร่ก็แวะมา” และ “หิวเมื่อไหร่ก็สั่งเลย” โดยมีแผนงานที่จะพัฒนาช่องทางการจำหน่ายสินค้าและบริการ แบบ O2O เชื่อมโยงช่องทางออนไลน์และออฟไลน์แบบไร้รอยต่อ ผ่านบริการ 7-Delivery ส่งตรงถึงบ้าน นอกจากนี้ ยังมีแนวทางการขยายสาขาและสร้าง “เสน่ห์ร้าน” ให้สอดคล้องกับพฤติกรรมและความต้องการของลูกค้าในแต่ละพื้นที่ เพื่อสร้างประสบการณ์ที่เหนือความคาดหมายให้กับลูกค้า (Beyond Customer Experience) โดยมุ่งกระจายตัวให้เข้าถึงทุกชุมชน  ทั้งนี้ ณ สิ้นปี 2566 มีจำนวนร้านสาขารวม 14,545 สาขาทั่วประเทศ และยังคงมีแผนงานการเปิดร้านสาขาใหม่อย่างต่อเนื่อง

ด้วยชื่อเสียงของ “เซเว่น อีเลฟเว่น” ทำให้การขยายธุรกิจไปยังประเทศกัมพูชา และสาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชน (สปป.) ลาว ได้รับการชื่นชมและตอบรับเป็นอย่างดีจากลูกค้าในต่างประเทศ โดยบริษัทมีแผนที่จะเปิดสาขาเพิ่มเติมตามศักยภาพของแต่ละประเทศ สำหรับผลการดำเนินงานของบริษัทฯ ในปี 2566 ที่ผ่านมา  บริษัทฯ มีรายได้รวม 921,187 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 8% และกำไรสุทธิ 18,482 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 39% จากปีก่อน แสดงให้เห็นถึงการฟื้นตัวอย่างชัดเจน ขณะที่บริษัทฯ ยังคงดำเนินตามกลยุทธ์ของบริษัทฯ ภายใต้สโลแกน “สะดวกครบ จบที่เดียว (All Convenience)” ทั้งในเรื่องของสินค้าอาหารและเครื่องดื่ม รวมถึงการเป็นศูนย์บริการด้านสุขภาพและความงามของชุมชน ซึ่งสอดรับกับการบริโภคภายในประเทศที่ฟื้นตัว รวมถึงจำนวนนักท่องเที่ยวทั้งไทยและต่างประเทศที่กลับมา และมีกิจกรรมทางเศรษฐกิจต่างๆ เพิ่มมากขึ้น

ในขณะเดียวกัน บริษัทฯ ยังได้รับเลือกให้เป็นสมาชิก FTSE4Good Index ติดต่อกันเป็นปีที่ 6, เป็นสมาชิก DJSI ในกลุ่มดัชนี DJSI Emerging Markets ต่อเนื่องเป็นปีที่ 7, กลุ่มดัชนี DJSI World ต่อเนื่องเป็นปีที่ 6 อีกทั้งได้รับการจัดอันดับด้านการกำกับดูแลกิจการจาก IOD ในระดับดีเลิศ ต่อเนื่องเป็นปีที่ 4 สะท้อนถึงศักยภาพของ “ซีพี ออลล์”  ที่สามารถสร้างผลตอบแทนอย่างยั่งยืน เป็นธุรกิจที่มีผลิตภัณฑ์และกระบวนการผลิตที่ดีต่อสิ่งแวดล้อมและสังคม และเป็นธุรกิจที่มีความรับผิดชอบต่อสังคม

สถาบันการเงินผู้จัดจำหน่ายหุ้นกู้ให้ความเห็นว่า “มั่นใจว่า หุ้นกู้ “ซีพี ออลล์” จะได้รับการตอบรับจากผู้ลงทุนเป็นอย่างดีเหมือนทุกครั้งที่ผ่านมา ด้วยอันดับความน่าเชื่อถือระดับ “A+” และความแข็งแกร่งในฐานะผู้นำในธุรกิจค้าปลีก รวมถึงผลประกอบการที่ดี และยังมีแผนการเติบโตอย่างต่อเนื่องทั้งในและต่างประเทศ ดังนั้น การเสนอขายหุ้นกู้ของ “ซีพี ออลล์” ในครั้งนี้จึงเป็นอีกหนึ่งทางเลือกที่น่าสนใจสำหรับผู้ลงทุน”

ปัจจุบัน บริษัทฯ อยู่ระหว่างการยื่นแบบแสดงรายการข้อมูลและร่างหนังสือชี้ชวนต่อสำนักงาน ก.ล.ต. ซึ่งยังไม่มีผลใช้บังคับ สำหรับผู้ลงทุนที่สนใจจองซื้อหุ้นกู้ บมจ.ซีพี ออลล์ สามารถติดต่อผู้จัดการการจัดจำหน่ายหุ้นกู้ทั้ง 9 แห่งได้ ดังต่อไปนี้

 

นายชลัช รัตนบุญนิธิ ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการ ธนาคารเพื่อการส่งออกและนำเข้าแห่งประเทศไทย (EXIM BANK) พร้อมด้วยผู้บริหารและพนักงาน EXIM BANK เข้าร่วมงาน “แบ่งฝัน & ปันรัก...ทำดีเพื่อเพื่อนมนุษย์” จัดโดยมูลนิธิเพื่อการฟื้นฟูพัฒนาเด็กและครอบครัว (ฟอร์เด็ก) ในโอกาสมูลนิธิเปิดดำเนินงานครบรอบ 26 ปี และ EXIM BANK เป็นผู้สนับสนุนหลักของมูลนิธิ โดยผู้บริหารและพนักงาน EXIM BANK บริจาคเงินโดยตัดบัญชีเงินเดือนอย่างต่อเนื่องตั้งแต่ปี 2542 และในโอกาสนี้ EXIM BANK ได้ร่วมกิจกรรมและสนับสนุนค่าอาหารและอุปกรณ์การศึกษาให้แก่เด็กและครอบครัวผู้ยากไร้ พร้อมมอบทุนการศึกษาระดับอาชีวศึกษาจำนวน 5 ทุน ภายใต้โครงการ EXIM เพื่อโอกาสในการประกอบอาชีพ รวมเป็นเงินทั้งสิ้น 230,000 บาท โดยมี ดร.อัมพร วัฒนวงศ์ ผู้ก่อตั้งและประธานกรรมการ มูลนิธิฟอร์เด็ก ให้การต้อนรับ ณ ศูนย์พัฒนาเด็กเล็กชุมชนวัดมหาวงษ์ มูลนิธิฟอร์เด็ก 6 จังหวัดสมุทรปราการ เมื่อวันที่ 25 กุมภาพันธ์ 2567

ระบบ Workday ที่ขับเคลื่อนด้วยขุมพลัง AI และ ML ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพให้กับธุรกิจโรงแรม ร้านอาหารและไลฟ์สไตล์ในเครือของไมเนอร์ฯ ทั่วโลก

ช่วยลดปัญหาแรงงานลาออกเพื่อศึกษาต่อ เผยหลักสูตรยืดหยุ่น เรียนจบเร็ว พร้อมมีทุนการศึกษาจากภาคเอกชน

บริษัท ไบเออร์สด๊อรฟ จำกัด บริษัทชั้นนำ ผู้ผลิตแบรนด์ดูแลผิวพรรณระดับโลกอย่างนีเวียและยูเซอริน ได้รับการยกย่องอย่างทรงเกียรติในระดับ Triple A โดย CDP เป็นปีที่สองติดต่อกัน แสดงให้เห็นถึงแนวทางการปฏิบัติอันดีเยี่ยมในการจัดการกับผลกระทบด้านสิ่งแวดล้อมตลอดทั้งห่วงโซ่คุณค่าของไบเออร์สด๊อรฟ โดยบริษัทจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์เยอรมนี (DAX) และเป็นหนึ่งในสิบบริษัทที่ได้รับการจัดอันดับสูงสุดในปี 2566 จากบริษัททั่วโลกมากกว่า 21,000 แห่งที่สมัครเข้ารับการพิจารณา

นายวินเซนต์ วอร์เนอรี่ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ไบเออร์สด๊อรฟ จำกัด กล่าวว่า “เราภูมิใจที่ได้รับการจัดอันดับสูงสุดโดย CDP อีกครั้ง สิ่งนี้เป็นอีกบทพิสูจน์ให้เห็นถึงความมุ่งมั่นของเราในการปรับปรุงแนวปฏิบัติด้านสิ่งแวดล้อมของกลุ่มผลิตภัณฑ์ของเราทั้งหมด รวมถึงการลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนในธุรกิจโดยรวม ทั้งยังเป็นเครื่องยืนยันถึงความมุ่งมั่นขององค์กรที่ต้องการผลักดันให้อุตสาหกรรมด้านดูแลผิวพรรณเกิดการเปลี่ยนแปลงเพื่อความยั่งยืนอย่างแท้จริง ขณะเดียวกันยังช่วยให้ผู้บริโภคของเรารู้สึกดีที่ได้ใช้ผลิตภัณฑ์ที่มีคุณภาพและเห็นผลอย่างแท้จริง”

ในแต่ละปี CDP (เดิมชื่อ Carbon Disclosure Project) ซึ่งเป็นองค์กรไม่แสวงผลกำไร จะทำการประเมินข้อมูลที่เปิดเผยด้านสิ่งแวดล้อมของบริษัทต่าง ๆ ตามเกณฑ์ที่ตั้งไว้อย่างเคร่งครัด เช่น การบริหารความเสี่ยงด้านสิ่งแวดล้อม ความสมบูรณ์ของข้อมูลที่จัดส่ง หรือคำมั่นสัญญาสู่เป้าหมายที่แสดงถึงความมุ่งมั่นอย่างแรงกล้า โดย นายฌ็อง ฟรังซัวส์ ปาสคาล รองกรรมการผู้จัดการด้านความยั่งยืน บริษัท ไบเออร์สด๊อรฟ จำกัด กล่าวว่า “CARE BEYOND SKIN  คือวาระด้านความยั่งยืน และความมุ่งมั่นด้านสิ่งแวดล้อมของไบเออร์สด๊อรฟ ที่สร้างขึ้นบนหลักของวิทยาศาสตร์ เช่น เป้าหมายด้านสภาพอากาศของเราได้รับการตรวจสอบโดยโครงการริเริ่มเป้าหมายตามหลักวิทยาศาสตร์ (the Science Based Targets) และมุ่งไปที่การลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ให้ได้ 30% อย่างครบถ้วนทั้ง scope 1-3 ต่อไปถึงปี 2568 ที่เป็นพันธกิจหลักของอุตสาหกรรมด้านการดูแลผิวพรรณ”

นางสาวสเตฟานี แบร์โรล รองประธานกรรมการอาวุโส ภูมิภาคอาเซียน บริษัท ไบเออร์สด๊อรฟ กล่าวเสริมว่า “โรงงานผลิตของ ไบเออร์สด๊อรฟ ในประเทศไทย ได้ยึดแนวทางเดียวกันในกระบวนการผลิตที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมเพื่อช่วยลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก ความสำเร็จที่เห็นเป็นรูปธรรมจนถึงปัจจุบัน รวมตั้งแต่การปรับปรุงการกำจัดของเสีย การฝังกลบขยะนับเป็นศูนย์ตั้งแต่ปี 2559 ตลอดจนการใช้นวัตกรรมในการผลิตที่ช่วยลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนได้ถึง 43% อีกด้วย ปัจจุบันการใช้ไฟฟ้า 100% ได้มาจากแหล่งพลังงานทางเลือก ผลิตภัณฑ์ดูแลและทำความสะอาดผิวพรรณเลือกใช้พลาสติกที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม หรือมีส่วนผสมที่ย่อยสลายเองได้ และยังได้มีการพัฒนาบรรจุภัณฑ์รักษ์โลกขึ้นเพื่อนำมาใช้งานอีกด้วย นับจากปี 2564 เป็นต้นมา ผลิตภัณฑ์นีเวียทั้งหมดปราศจากไมโครพลาสติกหรือเม็ดพลาสติกแบบ 100% เช่นเดียวกันกับผลิตภัณฑ์ นีเวีย ซัน ที่พัฒนาสารกันแดดให้ไม่เป็นอันตรายต่อปะการัง เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม และไม่ผสมสารออกซีเบนโซน (Oxybenzone) (เบนโซฟีนอล-3 Benzophenone, BP-3) อ็อกทิโนเซต (Octinoxate (เอทิลเฮกซิล เมทอกซีซินนาเมต (Ethylhexyl methoxycinnamate) 4-เมทิลเบนซีลิด คัมพอร์ (4-Methylbenzylid Camphor-4MBC) และบูทิลพาราเบน (Butylparaben) ซึ่งล้วนเป็นสารที่ก่ออันตรายต่อแนวปะการังทั้งสิ้น ไบเออร์สด๊อรฟให้คำมั่นที่จะเดินหน้าอย่างต่อเนื่องในการวิจัยและพัฒนาเพื่อให้ผลิตภัณฑ์ดูแลผิวพรรณเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมยิ่ง ๆ ขึ้นไป”

ความสำเร็จที่แข็งแกร่งในทั้งสามมิติของ CDP

ในปี 2566 ไบเออร์สด๊อรฟ บรรลุความสำเร็จอีกขั้นบนเส้นทางของการดูแลสภาพภูมิอากาศด้วยการเปิดศูนย์การผลิตแห่งใหม่ขึ้นที่เมืองไลพ์ซิช ประเทศเยอรมนี ที่โรงงานแห่งนี้เป็นไปตามมาตรฐานสูงสุดด้านสิ่งแวดล้อมและความยั่งยืน ดำเนินงานโดยใช้ไฟฟ้าพลังงานทดแทนและไบโอแก๊สสำหรับการกำเนิดความร้อน ในอนาคต ไบเออร์สด๊อรฟ วางแผนที่จะพัฒนาโรงงานแห่งนี้ให้เป็นไซต์งาน “Energy+” ที่สร้างพลังงานที่ยั่งยืนได้มากกว่าที่ใช้ไปกับการปฏิบัติงาน

เพื่อปกป้องผืนป่าซึ่งมีความสำคัญต่อการช่วยบรรเทาภาวะการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ และเป็นแหล่งของความหลากหลายทางชีวภาพตามธรรมชาติ ไบเออร์สด๊อรฟได้ตอกย้ำให้เห็นถึงความมุ่งมั่นที่ต้องการสนับสนุนเกษตรกรรายย่อยให้ปลูกปาล์มน้ำมันในวิถีที่ยั่งยืนให้มากขึ้น ไบเออร์สด๊อรฟจึงได้ร่วมมือกับพันธมิตรที่เคียงข้างกันมาอย่างยาวนาน อย่างองค์กร WWF ประเทศเยอรมนี ในการขยายโครงการในเขตพื้นที่กะลิมันตันตะวันตกของประเทศอินโดนีเซีย ที่ตั้งเป้ารองรับสมาชิกกลุ่มเกษตรกรจำนวน 200 รายที่เป็นไปตามการรับรองมาตรฐานน้ำมันปาล์มอย่างยั่งยืน (the international Roundtable on Sustainable Palm Oil (RSPO)) ภายในปี 2569

อีกประการที่ขาดไม่ได้คือ น้ำ บริษัทได้ให้ความสำคัญเกี่ยวกับ น้ำ เพราะบริษัทที่ทำกิจการด้านการดูแลผิวพรรณนั้น น้ำเป็นส่วนประกอบพื้นฐานสำหรับผลิตภัณฑ์ต่าง ๆ  ดังนั้นน้ำจึงมีบทบาทสำคัญในกระบวนการผลิตและช่วงเวลาที่ใช้ผลิตภัณฑ์ด้วย ไบเออร์สด๊อรฟ และองค์กร WWF ประเทศเยอรมนี ทำงานร่วมกันอย่างต่อเนื่องด้านการจัดการทรัพยากรน้ำอย่างยั่งยืน ที่รวมถึงการวางแผนและการจัดการทรัพยากรน้ำอย่างรับผิดชอบผ่านกระบวนการที่รวมผู้มีส่วนได้ส่วนเสียที่เกี่ยวข้องในโรงงานผลิตและการดำเนินงานตามพื้นที่กักเก็บน้ำ โดยส่วนหนึ่งของความร่วมมือเชิงกลยุทธ์กับองค์กร WWF ประเทศเยอรมนี คือไบเออร์สด๊อรฟได้ดำเนินการวิเคราะห์ความเสี่ยงด้านน้ำแบบครบวงจร และจะนำเป้าหมายด้านน้ำระยะยาวตามบริบทที่ตั้งไว้ตลอดทั้งห่วงโซ่อุปทานมาปฏิบัติจริงในไม่ช้า

 

ครองผู้นำตลาดที่ยั่งยืนด้วยพอร์ตสินเชื่อรวม 444,644 ล้านบาท

X

Right Click

No right click