December 13, 2025
×

Warning

JUser: :_load: Unable to load user with ID: 810

 ดิจิทัล เวนเจอร์ส บริษัทในเครือด้านการลงทุนและการค้นคว้านวัตกรรมการเงิน ของธนาคารไทยพาณิชย์ ประกาศเพิ่มงบลงทุนในหน่วยงานทุนองค์กร หรือ Corporate Venture Capital อีก 50 ล้านเหรียญสหรัฐฯ  ทำให้มีขนาดเงินลงทุนใหญ่ที่สุดในประเทศไทยรวมทั้งสิ้น 100 ล้านเหรียญสหรัฐฯ   

โดยดร. อารักษ์ สุธีวงศ์ รองผู้จัดการใหญ่อาวุโส Chief Financial Officer and Chief Strategy Officer ธนาคารไทยพาณิชย์ เปิดเผยว่า ตลอด 2 ปีที่ผ่านมา ธนาคารฯ ประสบความสำเร็จในด้านการลงทุน รวมทั้งการร่วมเป็นพันธมิตรเชิงกลยุทธ์กับเวนเจอร์แคปปิตอลและสตาร์ทอัพต่างๆ ทำให้ธนาคารฯ สามารถเพิ่มโอกาสในการเข้าถึงเทคโนโลยีชั้นสูง (Deep Technology) โดยในปัจจุบันธนาคารไทยพาณิชย์ได้มีเครือข่ายพันธมิตรกับสตาร์ทอัพ  ทั่วโลกกว่า 800 ราย และเวนเจอร์แคปปิตอลในต่างประเทศอีกกว่า 60 ราย จาก 29 ประเทศทั่วโลก ทำให้  ธนาคารฯ สามารถเข้าถึง และเรียนรู้นวัตกรรม เทคโนโลยีใหม่ๆ ที่เกิดจากกิจการที่ได้เข้าไปลงทุน อาทิ บล็อคเชน ควอนตัมคอมพิวเตอร์ เป็นต้น ซึ่งจะเป็นประโยชน์ต่อทั้งการทำงานขององค์กรธุรกิจและผู้บริโภคทั่วไป และจากความสำเร็จที่ผ่านมา ธนาคารไทยพาณิชย์จึงมีความมั่นใจที่จะเพิ่มเงินลงทุนอีก 50 ล้านเหรียญสหรัฐฯ หรือประมาณ 1,750 ล้านบาท รวมเป็นเงินลงทุนตั้งแต่แรกจนถึงปัจจุบัน 100 ล้านเหรียญสหรัฐฯ หรือกว่า 3,000 ล้านบาท

ดร.อารักษ์ เปิดเผยว่า เงินทุน 50 ล้านดอลลาร์สหรัฐก้อนแรก นั้นเปรียบเหมือนกับเงินที่ใช้กับการเรียนรู้ด้านการลงทุน ทั้งผ่านเวนเจอร์แคปปิตอล และการมองหาผลตอบแทนจากการลงทุนซึ่งวันนี้เริ่มเห็นศักยภาพการลงทุนในสตาร์ทอัพโดยตรง ดังนั้นเงินลงทุนที่เพิ่มขึ้นจะเน้นไปที่การลงทุนตรงกับสตาร์ทอัพที่น่าสนใจเพิ่มขึ้น แต่ยังคงรักษาเป้าหมายการมองหานวัตกรรมทางการเงินใหม่ๆ ให้กับองค์กรไว้อยู่ด้วย

ทางด้านพลภัทร อัครปรีดี กรรมการผู้จัดการ หน่วยงานทุนองค์กร บริษัท ดิจิทัล เวนเจอร์ส จำกัด กล่าวเสริมว่า ในการเพิ่มงบลงทุนในครั้งนี้ ดิจิทัล เวนเจอร์สจะมุ่งเฟ้นหาบริษัทสตาร์ทอัพและเวนเจอร์แคปปิตอลจากทั่วโลกที่มีนวัตกรรมและเทคโนโลยีชั้นสูง ซึ่งถือเป็นเทคโนโลยีหลักที่สามารถนำมาพัฒนาเป็นนวัตกรรมใหม่ๆ ที่สามารถตอบโจทย์ทางธุรกิจ และสามารถนำไปพัฒนาต่อยอดเป็นผลิตภัณฑ์หรือบริการต่างๆ ของธนาคาร เพื่อประโยชน์แก่ลูกค้าองค์กรและลูกค้าทั่วไปของธนาคาร

ดร. อารักษ์ เปิดเผยว่า นโยบายการลงทุนจะมุ่งเน้นในผลิตภัณฑ์และบริการ และเทคโนโลยีชั้นสูง อาทิ ปัญญาประดิษฐ์ (AI) บล็อกเชน ความปลอดภัยบนไซเบอร์ (Cybersecurity) กระบวนการวิเคราะห์ข้อมูล (Big Data / Data Analysis) และอื่นๆ ที่สามารถนำไปพัฒนาต่อยอดให้กับบริการต่างๆ ของธนาคาร  การเพิ่มเงินลงทุนเชิงกลยุทธ์ในครั้งนี้ นับเป็นก้าวสำคัญในการเพิ่มศักยภาพในการเฟ้นหาและเข้าถึงเทคโนโลยีใหม่ๆ ให้กับธนาคาร เพื่อสร้างสรรค์นวัตกรรมทางการเงินให้แก่ลูกค้าในอนาคตอันใกล้ นอกจากนี้กลยุทธ์นี้ยังสอดคล้องกับกลยุทธ์ Going Upside Down หรือตีลังกากลับหัว ที่จะทำให้ธนาคารมีศักยภาพด้านดิจิทัล และมีโมเดลการทำงานที่เหมาะสมกับความท้าทายของโลกดิจิทัลในอนาคต สามารถสร้างความแข็งแกร่งให้กับภาคการเงินการธนาคาร เศรษฐกิจในภาพรวม และการพัฒนาสังคมของประเทศไทยให้ก้าวทันโลกได้อย่างมีประสิทธิภาพ

 โดยในช่วง 2 ปีที่ผ่านมา ดิจิทัล เวนเจอร์ส ได้ลงทุนเชิงกลยุทธ์ทั้งในเทคสตาร์ทอัพโดยตรง และลงทุนในเวนเจอร์ส แคปปิตอล ได้แก่

  • Golden Gate Ventures หนึ่งในกองทุนสตาร์ทอัพชั้นนำที่ได้รับการยอมรับมากที่สุดของภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ เน้นการลงทุนในสตาร์ทอัพระยะเริ่มต้น (Early Stage)
  • Nyca Partners เวนเจอร์แคปปิตอลชั้นนำด้านฟินเทคของสหรัฐอเมริกา ที่ได้ชื่อว่าเป็นศูนย์รวม ความเชี่ยวชาญจากสองยักษ์ใหญ่แห่งโลกการเงินและเทคโนโลยีอย่างวอลล์สตรีทและซิลิคอนแวลลีย์
  • Dymon Asia Ventures เวนเจอร์แคปปิตอลชั้นนำของสิงคโปร์ มุ่งเน้นการลงทุนในสตาร์ทอัพกลุ่มฟินเทคที่ทำธุรกิจแบบ B2B
  • Arbor Ventures เวนเจอร์แคปปิคอลชั้นนำด้านฟินเทคของฮ่องกง ที่มีการลงทุนครอบคลุมทั้งในเอเชีย อเมริกาเหนือ ยุโรป และภูมิภาคตะวันออกกลาง
  • Ripple บริษัทผู้ให้บริการโซลูชั่นด้านการชำระเงินชั้นนำของโลกจากสหรัฐอเมริกา โดยธนาคารไทยพาณิชย์นับเป็นสถาบันการเงินไทยแห่งแรกที่ริเริ่มลงทุน ศึกษา และทดลองการโอนเงินระหว่างประเทศบนเทคโนโลยี Blockchain
  • Pulse iD สตาร์ทอัพด้านการบริการข้อมูลเพื่อระบุพิกัดซึ่งก่อตั้งขึ้นในฮ่องกง มีความเชี่ยวชาญในการพัฒนาโซลูชั่นเพื่อระบุตัวตนสำหรับใช้ในธุรกิจ เพื่อเสริมสร้างระบบความปลอดภัยทางการเงิน การระบุตัวตนลูกค้า และการสร้างความผูกพันกับลูกค้าให้เหนือระดับยิ่งขึ้น
  • PayKey สตาร์ทอัพจากอิสราเอล ผู้พัฒนาแพลตฟอร์มปฏิวัติการชำระเงินรูปแบบใหม่บนคีย์บอร์ด ของอุปกรณ์สื่อสารที่ช่วยให้ลูกค้าธนาคารสามารถโอนเงินผ่านโซเชียลเน็ตเวิร์คที่หลากหลาย โดยเชื่อมโยงเข้ากับแอพพลิเคชั่นโมบายแบงกิ้งของธนาคาร
  • IndoorAtlas ผู้พัฒนาเทคโนโลยีระบุพิกัดตำแหน่งพื้นที่ในร่มจากฟินแลนด์ ซึ่งดิจิทัล เวนเจอร์ส ได้ใช้เทคโนโลยีนี้ร่วมพัฒนาในแอพพลิเคชั่น Chatuchak Guide ที่เป็นหน้าร้านออนไลน์ให้กับร้านค้าในตลาดนัดจตุจักร ซึ่งเทคโนโลยีนี้ช่วยอำนวยความสะดวกในการนำทางให้ผู้ซื้อเดินหาร้านค้าได้แม่นยำและรับข้อเสนอพิเศษต่าง ๆ จากร้านค้าได้แบบเรียลไทม์
  • 1QBit ผู้พัฒนาซอฟต์แวร์ด้านเทคโนโลยีควอนตัมและควอนตัมคอมพิวเตอร์จากแคนาดา มีศักยภาพในการแก้ปัญหาทางธุรกิจที่มีความสำคัญสูง สามารถนำมาประยุกต์ใช้กับการบริหารจัดการพอร์ตการลงทุน การบริหารความเสี่ยงให้มีประสิทธิภาพ และการรักษาความปลอดภัย

ความนิยมใน Cryptocurrency ในช่วงปีที่ผ่านมาส่งผลให้ผู้ร้ายบนโลกไซเบอร์หาหนทางเข้ามาขอมีส่วนแบ่งแบบผิดๆ โดยบริษัทไซแมนเทค  ออกรายงานภัยคุกคามประจำปีฉบับล่าสุด (Internet Security Threat Report หรือ ISTR) ฉบับที่ 23 ซึ่งพบว่าเหล่าอาชญากรไซเบอร์ ได้พยายามผนวกความสามารถในการโจมตีแบบใหม่ที่เรียกว่า cryptojacking เข้ากับชุดการโจมตีของตน เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการหารายได้อย่างรวดเร็ว และเพื่อชดเชยกระแสการโจมตีแบบเรียกค่าไถ่ ที่ตลาดมีความผันผวนสูงและมีคู่แข่งมากจนเกินไป

การเพิ่มมูลค่าขึ้นอย่างรวดเร็วของสกุลเงินดิจิทัล ทำให้เหล่าอาชญากรพยายามสร้างรายได้โดยใช้เครื่องมือ cryptojacking ในการแย่งชิงทรัพยากรของคนอื่นมาใช้ในการขุดหาเหรียญดิจิทัล เพื่อตอบสนองต่อตลาดเงินดิจิทัลที่ร้อนแรง จากสถิติพบว่ามีการโจมตีโดยพยายามฝังตัวขุดเหรียญดิจิทัลในเครื่องคอมพิวเตอร์ปลายทางเพิ่มขึ้นกว่า 8,500 เปอร์เซ็นต์ในปี 2560 ซึ่งประเทศไทยจัดอยู่ในอันดับ 4 ของภูมิภาคเอเซียแฟซิฟิกและญี่ปุ่น (APJ) หรือคิดเป็นอันดับที่ 18  ของการโจมตีประเภทดังกล่าวทั่วโลก

วิธีการโจมตีที่เริ่มต้นได้แสนง่ายดาย เพียงแค่โค้ดไม่กี่บรรทัด อาชญากรไซเบอร์ก็พร้อมสำหรับการโจมตีแย่งชิงทรัพยากรในการประมวลผล เพื่อขุดเหรียญดิจิทัล ทั้งบนเครื่องทั่วไป กระทั่งบนระบบคลาวน์ (Cloud) ของผู้ใช้ตามบ้านทั่วไป จนถึงระดับองค์กรขนาดใหญ่ โดยการโจมตีดังกล่าว จะทำให้เครื่องคอมพิวเตอร์ประมวลผลได้ช้าลงเป็นอย่างมาก เพราะมีการเรียกใช้หน่วยประมวลผลกลาง หรือ การ์ดประมวลผลกราฟฟิคเป็นจำนวนมาก และต่อเนื่อง ทำให้ระบบแบตเตอร์รี่มีความร้อนสูง รวมไปถึงอาจทำให้อุปกรณ์เสียหาย จากการใช้งานอย่างหนักหน่วงตลอดเวลา และผลกระทบสำหรับองค์กรขนาดใหญ่ คือทำให้เครือข่ายองค์กรตกอยู่ในความเสี่ยงที่จะต้องปิดการทำงานลง รวมถึงการเรียกใช้ทรัพยากรบนระบบคลาวน์ก็จะทำให้ค่าใช้จ่ายขององค์กรพุ่งสูงขึ้นอย่างรวดเร็ว

รายงานของไซแมนเทคยังระบุภัยคุกคามออนไลน์อื่นที่ต้องติดตามประกอบด้วย การโจมตีอุปกรณ์IOT ที่เพิ่มขึ้นกว่า 600 เปอร์เซ็นต์ในปีที่ผ่านมา และไซแมนเทคตรวจพบการโจมตีของคนร้ายที่มุ่งเน้นฝังตัวในระบบของบริษัทผู้ผลิตโปรแกรม ที่อยู่ในห่วงโซ่อุปทานของเป้าหมายที่ต้องการโจมตี เพิ่มขึ้นสองเท่าในปีที่ผ่านมา และภัยคุกคามบนโลกของอุปกรณ์มือถือยังมียอดเติบโตขึ้นในทุกๆ ปี รวมไปถึงไวรัสสายพันธุ์ใหม่ๆ ที่เพิ่มขึ้นกว่า 54 เปอร์เซ็นต์

อีกด้านหนึ่งการที่เทคโนโลยี IoT มีการใช้งานเพิ่มขึ้น ก็กลายเป็นเป้าหมายของอาชญากรไซเบอร์เช่นกัน  ไซแมนเทคพบว่ามีการโจมตีอุปกรณ์ IoT เพิ่มขึ้นกว่า 600 เปอร์เซ็นต์ในช่วงปีที่ผ่านมา สาเหตุอาจเป็นเพราะว่าอุปกรณ์เหล่านี้มักมีพฤติกรรมเชื่อมต่ออินเตอร์เน็ตอยู่ตลอดเวลา ทำให้ตกเป็นเป้าโจมตีได้ง่าย และเหมาะสมกับการใช้เป็นฐานในการฟาร์มเพื่อขุดเหรียญดิจิทัลเป็นจำนวนมาก แม้แต่เครื่องคอมพิวเตอร์ Apple Macs ที่หลายๆ คนมองว่ามีความปลอดภัยสูงก็หนีไม่พ้น ตกเป็นเป้าหมายในการโจมตีเช่นเดียวกัน ทางไซแมนเทคตรวจพบการโจมตีประเภทดังกล่าวเพิ่มขึ้นกว่า 80 เปอร์เซ็นต์บนเครื่องตระกูล Mac OS ที่สำคัญคือด้วยเทคนิคที่ใช้การโจมตีด้วยการขุดเหรียญดิจิทัลผ่านเว็บบราวเซอร์ โดยการฝังโค้ดในหน้าเว็บไซต์ ที่คนมีความจำเป็นต้องเข้าบ่อยๆ หรืออยู่นานๆ เช่นเว็บสำหรับดูภาพยนตร์ เป็นต้น คนร้ายไม่จำเป็นต้องเขียนไวรัสให้ซับซ้อนเพื่อไปติดตั้งบนเครื่องเป้าหมายอีกต่อไป ไม่จำเป็นต้องรู้ว่าเป็นเครื่องวินโดว์, Mac หรือ Linux ด้วยซ้ำ เพื่อให้บรรลุเป้าหมายดังกล่าว

การโจมตีแบบเจาะจงเป้าหมายส่วนใหญ่ใช้เพียงวิธีเดียวในการแพร่เชื้อเข้าสู่ระบบ

การโจมตีจากกลุ่มทีมงานมืออาขีพแบบเจาะจงเป้าหมายได้เพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว โดยทางไซแมนเทคได้ตรวจพบกลุ่มเหล่านี้มากกว่า 140 กลุ่มแล้วในตอนนี้และกำลังเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ โดยในปีที่ผ่านมาเทคนิคหลักในการโจมตีของกลุ่มคนร้ายเหล่านี้ มักเริ่มต้นจากเทคนิค spear phishing ซึ่งเป็นเทคนิคที่เก่าแก่แต่ยังได้ผล เพื่อแพร่เชื้อเข้าสู่ระบบเป้าหมาย  และจากการที่กลุ่มคนร้ายนิยมใช้เทคนิคโจมตี ที่ผ่านการทดสอบมาแล้วเชื่อถือได้ ในการแทรกซึมเข้าสู่เป้าหมาย ทำให้การโจมตีที่ใช้งานช่องโหว่ประเภท zero-day ไม่เป็นที่นิยมอีกต่อไป โดยมีกลุ่มคนร้ายเพียง 27 เปอร์เซนต์เท่านั้น ที่ยังคงใช้งานการโจมตีแบบนี้อยู่

วงการอุตสาหกรรมความปลอดภัยได้เคยพูดคุยกันมานานแล้วว่า มีความเป็นไปได้ที่จะมีการโจมตีทางไซเบอร์ที่มุ่งเน้นทำลายล้างระบบ แต่ปัจจุบันได้ปรากฏการโจมตีจริงที่ได้ก้าวข้ามทฤษฎีดังกล่าวไปแล้ว โดยมีกลุ่มคนร้ายมากถึง 1 ใน 10 ที่เลือกสร้างไวรัสที่มุ่งเน้นทำลายล้างดังกล่าว

ไวรัสฝังตัวเพิ่มขึ้น 2 เท่า เน้นโจมตีบริษัทที่อยู่ในห่วงโซ่อุปทาน

ไซแมนเทคตรวจพบการโจมตีของคนร้าย ที่มุ่งเน้นฝังตัวในระบบของบริษัทผู้ผลิตโปรแกรม ที่อยู่ในห่วงโซ่อุปทานของเป้าหมายที่ต้องการโจมตี เพิ่มขึ้นสองเท่าในปีที่ผ่านมา  ซึ่งนั่นเทียบเท่ากับมีการโจมตีอย่างน้อย 1 ครั้งในทุกๆ เดือน เปรียบเทียบกับปีก่อนๆ ที่มีการโจมตีเพียง 4 ครั้งตลอดทั้งปี ดังตัวอย่างการโจมตีที่เป็นข่าวโด่งดังของไวรัส Petya  ซึ่งคนร้ายได้เริ่มจากการโจมตี ไปยังเครื่องแม่ข่ายที่ทำหน้าที่ในการอัพเดตระบบโปรแกรมบัญชี ของบริษัทผู้ผลิตโปรแกรมบัญชีในประเทศ Ukrain  ทำให้คนร้ายสามารถทะลุเข้าไปยังระบบเครือข่ายที่ถูกปกป้องไว้เป็นอย่างดีได้ โดยไวรัส Petya ได้ใช้เทคนิคที่หลากหลายในการแพร่กระจายตัวเอง ภายในเครือข่ายของเป้าหมาย เพื่อติดตั้ง payload ที่ใช้ในการโจมตีระบบ

 

ไวรัสบนอุปกรณ์มือถือ ยังคงเพิ่มจำนวนขึ้น

ภัยคุกคามบนโลกของอุปกรณ์มือถือยังมียอดเติบโตขึ้นในทุกๆ ปี รวมไปถึงไวรัสสายพันธุ์ใหม่ๆ ที่เพิ่มขึ้นกว่า 54 เปอร์เซ็นต์ โดยในช่วงปีที่ผ่านมา ไซแมนเทคได้บล็อกไวรัสเฉลี่ยมากถึง 24,000 โปรแกรมในแต่ละวัน และเนื่องจากยังคงมีผู้ใช้งานระบบปฏิบัติการเก่าอยู่เป็นจำนวนมาก ปัญหาต่างๆ ก็ยิ่งเลวร้ายลง ตัวอย่างเช่น บนระบบปฏิบัติการแอนดรอยด์ มีผู้ใช้งานเวอร์ชั่นหลักล่าสุดเพียง 20 เปอร์เซ็นต์ และมีเพียง 2.3 เปอร์เซ็นต์เท่านั้นที่มีการอัพเดตแพทช์ความปลอดภัยล่าสุด

ผู้ใช้งานอุปกรณ์มือถือยังมีความเสี่ยงด้านความเป็นส่วนตัวจากโปรแกรมประเภท Grayware โดยโปรแกรมประเภทนี้ไม่ได้เป็นไวรัสอย่างแท้จริงแต่ก็อาจทำให้เกิดปัญหาบางอย่าง หรือทำให้เกิดความน่ารำคาญ โดยทางไซแมนเทคพบว่ามีโปรแกรม Grayware มากถึง 63 เปอร์เซ็นที่แอบเก็บข้อมูลหมายเลขโทรศัพท์ของผู้ใช้งาน ซึ่งเมื่อดูจากสถิติแล้วพบว่า โปรแกรมประเภท Grayware เพิ่มมากถึงขึ้น 20 เปอร์เซ็นต์ในปีที่ผ่านมา  

อาชญากรไซเบอร์ มองไวรัสเรียกค่าไถ่เป็นสินค้าทำเงินระยะยาว

ก่อนหน้านี้ในปี 2559 ไวรัสเรียกค่าไถ่ทำกำไรให้เหล่าคนร้ายเป็นอย่างสูง ทำให้ตลาดไวรัสเรียกค่าไถ่นี้เริ่มมีคู่แข่งเข้ามาป็นจำนวนมาก ทำให้ในปีต่อมาพบว่าตลาดเริ่มมีการปรับตัว โดยค่าเฉลี่ยของค่าไถ่ได้ลดลงอยู่ที่ระดับ 522 ดอลล่าร์สหรัฐ นั่นเป็นสัญญาณได้อย่างหนึ่งว่า เหล่าอาชญากรได้มองไวรัสเรียกค่าไถ่เป็นสินค้าที่สามารถเป็นแหล่งทำเงินได้ในระยะยาว  ซึ่งในปี 2560 ที่ผ่านมา ประเทศไทยจัดอยู่ในอันดับที่ 9 ของอันดับเหยื่อไวรัสเรียกค่าไถ่ในภูมิภาคเอเซียแฟซิฟิกและญี่ปุ่น  เทียบกับอันดับที่ 12 ในปี 2559

ในปัจจุบันเหล่าอาชญากรไซเบอร์ส่วนใหญ่ เริ่มหันมาให้ความสนใจทางเลือกใหม่ในการขุดหาเหรียญดิจิทัล เนื่องจากมูลค่าของตลาดเหรียญดิจิทัลได้เพิ่มสูงขึ้นเป็นอย่างมาก  นอกจากนั้นในขณะที่จำนวนตระกูลสายพันธุ์หลักของไวรัสเรียกค่าไถ่เริ่มลดจำนวนลง แต่จำนวนไวรัสของสายพันธุ์ย่อยกลับเพิ่มจำนวนขึ้นถึง 46 เปอร์เซ็นต์ นั่นหมายความว่ากลุ่มอาชญากรไซเบอร์ที่ยังชื่นชอบไวรัสเรียกค่าไถ่ เริ่มมีการสร้างสรรค์ไวรัสใหม่ๆ น้อยลง แต่ยังคงมีการทำงานอยู่อย่างขยันขันแข็ง

 

แนวทางปฏิบัติเพื่อความปลอดภัยจากผู้เชี่ยวชาญ

เนื่องจากเหล่าคนร้ายมีการพัฒนาเทคนิคการโจมตีต่างๆ เพิ่มขึ้นเป็นจำนวนมาก ดังนั้นเราจึงต้องมีการปรับตัวเพื่อตอบสนองต่อภัยคุกคามใหม่ๆ เพื่อเป็นการป้องกันตัวเองและธุรกิจให้ปลอดภัย ทางไซแมนเทคแนะนำให้ทำสิ่งต่างๆ เหล่านี้

 คำแนะนำสำหรับภาคธุรกิจ:

  • เตรียมพร้อมข้อมูลอยู่ตลอดเวลา: ควรใช้งานระบบฐานข้อมูลภัยคุกคามอัจฉริยะ (advanced threat intelligence) เพื่อช่วยในการค้นหาตัวบ่งชี้การโจมตี (indicators of compromise) ที่อาจหลบซ่อนอยู่ในองค์กรของคุณ และสามารถตอบสนองต่อเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นได้อย่างรวดเร็ว
  • เตรียมแผนรับมือในภาวะวิกฤต: มีระบบสำหรับจัดการเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น โดยต้องมีกรอบการทำงานที่สั้นกระชับ, สามารถวัดผล และลงมือทำซ้ำได้, และสามารถนำบทเรียนที่เกิดขึ้นมาใช้ปรับใช้เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการป้องกันในอนาคตได้ และควรสมัครใช้บริการตอบสนองภัยคุกคาม (incident response) ของบริษัทผู้เชี่ยวชาญด้านความปลอดภัยไว้ล่วงหน้า เพื่อช่วยจัดการในกรณีที่เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นมีปัญหาในระดับวิกฤต
  • สร้างแนวป้องกันแบบหลายชั้น: แนวทางการสร้างแนวป้องกันแบบหลายชั้น สามารถช่วยลดปัญหาการโจมตีได้ตั้งแต่ระดับเครือข่ายและเกตเวย์, เครื่องแม่ข่ายจดหมายอิเล็คทรอนิค และเครื่องคอมพิวเตอร์ปลายทาง ตัวอย่างเช่น การเปิดใช้งานระบบยืนยันตัวตนแบบสองชั้น (two-factor authentication), ระบบตรวจจับและป้องกันภัยคุกคามทางเครือข่าย (intrusion detection หรือ intrusion prevention systems ),ระบบป้องกันช่องโหว่และไวรัสที่มาทางเว็บไซต์, และระบบรักษาความปลอดภัยทางเว็บ และเครือข่าย (web security gateway)
  • จัดอบรมความรู้เกี่ยวกับอันตรายจากจดหมายอิเล็กทรอนิกส์: ให้ความรู้กับพนักงานทุกคนเกี่ยวกับอันตรายต่างๆ เกี่ยวกับจดหมายอิเล็กทรอนิกส์ เช่น เทคนิคการโจมตีแบบ spear-phishing และการโจมตีทางจดหมายอิเล็กทรอนิกส์ในรูปแบบอื่นๆ รวมไปถึงขั้นตอนวิธีการแจ้งเหตุให้ทีมผู้ดูแลระบบรับทราบ เมื่อเกิดการโจมตีขึ้น
  • ตรวจสอบทรัพยากรระบบของคุณ: ตรวจสอบให้มั่นใจว่าทรัพยากร และเครือข่ายของคุณ อยู่ในสภาวะปกติ รวมไปถึงการสังเกตพฤติกรรมที่ผิดปกติในระบบต่างๆ และเทียบเคียงข้อมูลที่เกิดขึ้นกับฐานข้อมูลภัยคุกคามอัจฉริยะจากบรรดาผู้เชี่ยวชาญความปลอดภัย

สำหรับผู้ใช้ทั่วไป:

  • เปลี่ยนรหัสผ่านเริ่มต้นที่ตั้งมาโดยผู้ผลิตบนอุปกรณ์และบริการต่างๆ: ใช้รหัสผ่านที่แข็งแรงและไม่ซ้ำกัน สำหรับเครื่องคอมพิวเตอร์แต่ละเครื่อง, อุปกรณ์ IoT และรหัสเครือข่าย Wi-Fi อย่าใช้รหัสผ่านที่เป็นที่รู้จัก หรือที่คาดเดาได้ง่าย เช่น “123456” หรือ “password”
  • หมั่นอัพเดตระบบปฏิบัติการและโปรแกรมต่างๆ เป็นประจำ: โดยทั่วไปการอัพเดตโปรแกรม จะรวมไปถึงการแพทช์เพื่อแก้ไขช่องโหว่ต่างๆ ที่ทางผู้ผลิตได้รับรายงานเข้ามา ซึ่งช่องโหว่เหล่านี้อาจถูกใช้ในการโจมตีจากผู้ไม่ประสงค์ดี
  • ระมัดระวังจดหมายอิเล็กทรอนิกส์เป็นพิเศษ: เนื่องจากจดหมายอิเล็กทรอนิกส์เป็นหนึ่งในช่องทางการแพร่เชื้อที่สำคัญที่สุดช่องทางหนึ่ง ดังนั้นหากพบจดหมายที่ดูน่าสงสัยให้ลบทิ้งโดยทันที โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อจดหมายดังกล่าว มีไฟล์แนบ หรือมีลิงค์อยู่ภายใน และยิ่งต้องระวังเป็นพิเศษ หากไฟล์แนบดังกล่าวเป็นไฟล์ประเภท Microsoft Office ที่เขียนคำแนะนำให้เปิดใช้งาน Macro เพื่อดูเนื้อหาภายใน
  • ทำสำรองงานของคุณ: การทำสำรองข้อมูลเป็นประจำ เป็นวิธีที่มีประสิทธิภาพดีที่สุด เมื่อต้องเจอกับไวรัสเรียกค่าไถ่ คนร้ายสามารถเข้ารหัสไฟล์งานเพื่อเรียกค่าไถ่ ทำให้ไม่สามารถเข้าถึงข้อมูลที่ถูกเข้ารหัสไว้จนกว่าจะยอมเสียเงินเพื่อปลดล็อค แต่ถ้ามีชุดข้อมูลที่ทำสำรองไว้ ก็จะสามารถกู้คืนไฟล์ไปในจุดก่อนที่จะเกิดปัญหาได้ หลังจากทำการลบไวรัสออกไปแล้ว

 

 

 

 

ดิจิทัล เวนเจอร์ส  ประกาศเปิดโครงการ U.REKA จับมือกับคณะวิศวกรรมศาสตร์จากมหาวิทยาลัยชั้นนำ 7 แห่งของไทย ร่วมกับไมโครซอฟท์ และ KX สนับสนุนให้เกิดการวิจัยและพัฒนานวัตกรรมผ่านเทคโนโลยีชั้นสูง (Deep Technology) ตั้งแต่ต้นน้ำจนปลายน้ำ เป็นข่าวที่น่าตื่นเต้นสำหรับประเทศไทยซึ่งกำลังต้องการนวัตกรรมของตัวเองในการพัฒนาเศรษฐกิจของชาติ

อรพงศ์ เทียนเงิน  ประธานกรรมการบริหาร บริษัท ดิจิทัล เวนเจอร์ส จำกัด กล่าวว่ายุคนี้เป็นจุดเปลี่ยนครั้งใหญ่ของมนุษยชาติ นับเป็นช่วงต้นของการปฏิวัติดิจิทัลของโลก ซึ่งหากเราไม่สามารถก้าวให้ทันโลกที่เปลี่ยนแปลงไปก็จะได้รับผลกระทบอย่างแน่นอน และเป็นโจทย์ของทุกองค์กรที่ต้องเผชิญหน้าอย่างไรก็ตามเมื่อดูความสามารถในการแข่งขันด้านดิจิทัลของไทยแล้วยังอยู่ในระดับที่ต่ำ ยังขาดการเชื่อมโยงสถาบันการศึกษา หน่วยงานภาคธุรกิจและภาครัฐ ประกอบกับจากการทำงานของดิจิทัล เวนเจอร์สที่ผ่านมาพบว่าสตาร์ทอัพของไทยส่วนใหญ่ยังไม่มีเทคโนโลยีที่โดดเด่นเป็นของตัวเอง ซึ่งการจะพัฒนาต่อยอดเทคโนโลยีขั้นสูงเหล่านี้ต้องอาศัยความร่วมมือจากสถาบันการศึกษาโดยเฉพาะอย่างยิ่งในระดับมหาวิทยาลัย

เพื่อส่งเสริมระบบนิเวศสำหรับการวิจัยและพัฒนาด้าน Deep Technology จึงมีการริเริ่มโครงการ U.REKA ขึ้น โดยมุ่งหวังจะเป็นส่วนหนึ่งที่ช่วยเพิ่มขีดความสามารถในด้านการพัฒนานวัตกรรมให้กับประเทศในระยะยาวได้”

โครงการนี้ได้รับความร่วมมือจากคณะวิศวกรรมศาสตร์เริ่มดต้นด้วย 7 สถาบัน ประกอบด้วย จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ สถาบันเทคโนโลยีพระจอมเกล้าเจ้าคุณทหารลาดกระบัง มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีพระจอมเกล้าธนบุรี มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีพระจอมเกล้าพระนครเหนือ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ และมหาวิทยาลัยเชียงใหม่ รวมถึง The Knowledge Exchange (KX) และ ไมโครซอฟท์ ไทยแลนด์

U.REKA มุ่งเน้นให้กลุ่มอาจารย์ นักศึกษา นักวิจัย และผู้สนใจเทคโนโลยีชั้นสูง รวมกลุ่มกันเป็น Startup นำเสนอไอเดียจากการประยุกต์ใช้เทคโนโลยีชั้นสูง 6 ด้าน คือ Artificial Intelligence (AI), Blockchain, Clouds & Security, Big Data & Internet of Things,  VR & AR และ Quantum Computing ซึ่งสามารถนำมาพัฒนาเป็นนวัตกรรมใหม่ๆ ที่สามารถตอบโจทย์อุตสาหกรรมหลัก ซึ่งในระยะแรกมุ่งเน้นที่อุตสาหกรรมการค้าปลีก การท่องเที่ยว การเดินทาง และ บริการทางการเงิน เพื่อนำไปต่อยอดและพัฒนาให้เกิดเป็นผลิตภัณฑ์และบริการ และนำออกสู่ตลาดได้จริงในอนาคต

กลุ่ม Startup ที่ผ่านการคัดเลือกจะได้รับการสนับสนุนจากทุกฝ่ายตลอดระยะเวลาโครงการ โดยได้รับการสนับสนุนด้านเงินทุน รับคำปรึกษาจากผู้เชี่ยวชาญในสายการเงินจาก ดิจิทัล เวนเจอร์ส ได้รับการสนับสนุนด้านเทคโนโลยีซอฟต์แวร์ และผู้เชี่ยวชาญด้านเทคโนโลยีจากไมโครซอฟท์ ในส่วนของ The Knowledge Exchange (KX) สนับสนุนสถานที่ทำงานที่เอื้อต่อการพัฒนาและวิจัยของกลุ่ม Startup เพื่อร่วมสร้างระบบนิเวศทางนวัตกรรมที่ยั่งยืน ขณะเดียวกัน มหาวิทยาลัยต่างๆ จะสนับสนุนการให้องค์ความรู้และนวัตกรรมจากงานวิจัยพื้นฐานเพื่อมาใช้เป็นแนวทางในการต่อยอดและสร้างโอกาสทางการตลาด รวมถึงการสรรหานักวิจัยในสาขาที่เกี่ยวข้องกับเทคโนโลยีชั้นสูงเพื่อร่วมพัฒนานวัตกรรม

อรพงศ์หวังว่าโครงการนี้จะเป็นจุดเริ่มต้นในการพัฒนานวัตกรรมของประเทศให้เกิดขึ้นจริงในระยะยาว และผู้ร่วมทำโครงการนี้ก็ยินดีจะขยายความร่วมมือกับพันธมิตรอื่นที่มีเป้าหมายเดียวกันทั้งสถาบันการศึกษาภาคธุรกิจและหน่วยงานอื่นๆ เพื่อร่วมกันผลักดันให้เกิดประโยชน์สูงสุดต่อประเทศอย่างยั่งยืนต่อไป

โครงการ U.REKA เปิดรับสมัครกลุ่ม Startup เพื่อเข้าสู่กิจกรรม IDEATION BOOTCAMP ตั้งแต่วันนี้ - 15 พฤษภาคม 2561 ดูรายละเอียดการรับสมัครและดูข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ www.u-reka.co

บุญชัย โชควัฒนา ประธานกรรมการ บริษัท สหพัฒนพิบูล จำกัด (มหาชน)  คาดการณ์ว่าทิศทางเศรษฐกิจของประเทศไทยในปี 2561 จะมีแนวโน้มดีขึ้น อีกทั้งนโยบายต่างๆ ของรัฐบาลก็จะช่วยกระตุ้นการจับจ่ายของประชาชน อาทิ บัตรสวัสดิการแห่งรัฐ รวมทั้งสถานการณ์การซื้อสินค้าออนไลน์ที่ได้รับความนิยมมากขึ้น ทำให้สพัฒน์ตั้งเป้าหมายว่าปีนี้จะเติบโตจากปีที่ผ่านมา โดยคาดว่าจะมียอดขาย 34,240 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 9% และมีกำไรอยู่ที่ 2,000 ล้านบาท

 สำหรับกลยุทธ์การตลาดที่สหพัฒน์ให้ความสำคัญในปีนี้ คือ การจับมือกับคู่ค้า (Principal) ใหม่ ในด้านการจำหน่ายสินค้า อาทิ วินามิลค์ (VINAMILK) แบรนด์โยเกิร์ตอันดับ 1 จากเวียดนาม ที่มีจุดเด่นในเรื่องรสชาติ คุณภาพและมาตรฐานอียู ซึ่งได้มอบหมายให้สหพัฒน์เป็นผู้จัดจำหน่ายรายเดียวในประเทศไทยในทุกช่องทางตั้งแต่เดือนกุมภาพันธ์ 2561 พร้อมทั้งวางแผนที่จะขยายกำลังการผลิตโยเกิร์ต นมเปรี้ยว และนมข้นหวานในประเทศไทยในอนาคต, ดอร์โก้ (DORCO) แบรนด์มีดโกนยักษ์ใหญ่จากเกาหลีที่มีการเติบโตในตลาดต่างประเทศและส่งออกไปมากกว่า 150 ประเทศทั่วโลก และมี สินค้าใหม่จากคู่ค้า (Principal) เดิม อาทิ ริชเชส ผลิตภัณฑ์ประเภทนมเปรี้ยว โยเกิร์ต เยลลี่ ซึ่งปรับโฉมบรรจุภัณฑ์ใหม่ และคาดว่าจะออกวางตลาดในช่วงเดือนเมษายนปีนี้, ซื่อสัตย์ สึนามิ มิลค์ ซีฟู้ด บะหมี่แนวใหม่จากตระกูลซื่อสัตย์ ซิกเนเจอร์ที่มีจุดเด่นอยู่ที่น้ำซุปนม และน้ำมันเจียวที่ปลอดไขมันทรานส์, ผลิตภัณฑ์หมวด Oral Care จากไลอ้อน ได้แก่ ยาสีฟัน แปรงสีฟัน น้ำยาบ้วนปาก ภายใต้แบรนด์ KODOMO, SYSTEMA, SALZ, GOOD AGE, ZACT, WISE และซื่อสัตย์ ที่มุ่งเน้นสินค้าเพื่อเสริมสร้างสุขภาวะของผู้บริโภคครอบคลุมทุกช่วงวัย และครบถ้วนกับการดูแลสุขภาพช่องปาก เหงือก และฟัน ให้แข็งแรงและมีคุณภาพชีวิตที่ดี, ผ้าอนามัยเอลิส และทิชชู่เปียกเอลิแอล แบรนด์ใหม่ล่าสุดจากญี่ปุ่น ที่มุ่งเน้นคุณภาพและมาตรฐานการผลิตด้วยเทคโนโลยีระดับสูง และ มาม่าโอเค บะหมี่แห้งสไตล์เกาหลี โดยมีจุดเด่นที่รสชาติเผ็ดร้อน เส้นบะหมี่หนานุ่มแบบบะหมี่เกาหลีที่ได้รับความนิยมในกลุ่มวัยรุ่น

 อีก 2 กลยุทธ์ คือ การเสริมความสัมพันธ์กับ Strategic Partners อย่างเข้มแข็งผ่านโครงการคู่ค้าพันธมิตร โดยมีการตั้งเป้าหมายการขายรายเดือนร่วมกับร้านค้าอย่างต่อเนื่องและสม่ำเสมอ และ การเน้นการจำหน่ายสินค้าออนไลน์ โดยให้ความสำคัญกับช่องทาง B2B และ B2C ของบริษัทมากขึ้น และให้ความสำคัญกับการจำหน่ายสินค้าของบริษัทผ่านช่องทางออนไลน์ของคู่ค้า

บุญชัย กล่าวถึงผลการดำเนินงานของสหพัฒน์ในปี 2560 ว่าอยู่ในระดับที่น่าพอใจ มียอดขายอยู่ที่ 31,360 ล้านบาท เติบโตขึ้น 4% มีกำไร 1,444 ล้านบาท ซึ่งความสำเร็จที่เกิดขึ้นเป็นผลมาจากการที่สหพัฒน์  มีการบริหารระบบขนส่งสินค้าและคลังสินค้าที่มีประสิทธิภาพมากขึ้น ซึ่งช่วยลดค่าใช้จ่ายลงได้มาก ขณะเดียวกัน สินค้าหลายแบรนด์มีอัตราการเติบโตที่ดี อาทิ น้ำแร่มองต์เฟลอ น้ำตาลมิตรผล และผงซักฟอกเปา ซึ่งไลอ้อน (ประเทศไทย) ได้เปิดตัวโรงงานใหม่ Green Building ทำให้มีกำลังการผลิตเพิ่มขึ้นซึ่งส่งผลให้สหพัฒน์มีสินค้าจำหน่ายมากขึ้น นอกจากนี้ ยังมี การเปิดตัวสินค้าใหม่ ออกสู่ตลาด ได้แก่ กะทิพร้าวหอม, Project Beyond ซึ่งเป็นร้าน Multi-brand ที่ได้แบรนด์ชั้นนำจากอเมริกาอย่าง Under Armour มาเป็นไฮไลต์ ร่วมด้วยแบรนด์ดังอื่นๆ ได้แก่ Converse, Mizuno และ Crocs ซึ่งล้วนได้รับการตอบรับที่ดีมากจากผู้บริโภค, สินค้าในกลุ่ม Sea snack อาทิ แก้มกุ้งทอดกรอบปรุงรส รวมทั้งมาม่าโจ๊กต้มยำกุ้ง, มาม่าข้าวต้มหมูกระเทียมพริกไทย, มาม่ากะเพราแซ่บแห้ง, มาม่าคาโบนาร่า, โมรินางะ ลูกอมชิวชิวบอล (Chew Chew Ball) และ Under Armour Kids

 

            จากแผนกลยุทธ์ Get MORE with TMB ของธนาคารทหารไทย จำกัด (มหาชน) หรือ ทีเอ็มบี ที่ประกาศออกมา ในส่วนของการให้บริการลูกค้าเอสเอ็มอี เทียนทิพย์  นาราช ประธานเจ้าหน้าที่บริหารลูกค้าเอสเอ็มอี ทีเอ็มบี  ก็ออกมาประกาศกลยุทธ์การให้ความสำคัญกับลูกค้าเอสเอ็มอี ด้วยการทำความเข้าใจปัจจัยต่างๆ ของธุรกิจเอสเอ็มอีที่จะช่วยให้ธุรกิจเติบโต ทีเอ็มบีจึงเตรียมสร้างประสบการณ์ใหม่ในการใช้บริการที่ตรงกับรูปแบบการใช้ชีวิตในยุคดิจิทัลให้กับเอสเอ็มอี ใน 3 เรื่องได้แก่

  1. More Benefits - สิทธิประโยชน์ที่มากกว่า เพื่อต่อยอดธุรกิจ ด้วยการเปิดตัว TMB BIZ WOW รีวอร์ดโปรแกรมครั้งแรกเพื่อ SME ที่จะเปลี่ยนธุรกรรมการเงินเป็นสิทธิประโยชน์ที่เป็นประโยชน์ต่อเอสเอ็มอีให้ธุรกิจเติบโตและคล่องตัวขึ้น ด้วย ความรู้เพื่อต่อยอดธุรกิจ ที่ลูกค้าสามารถเลือกได้ตามความสนใจ เช่นคอร์สเวิร์คช้อป การสร้างสินค้าอย่างไรให้โดนใจลูกค้า การบริหารการลงทุนและภาษี ตัวช่วยเพื่อธุรกิจราบรื่น เพิ่มช่องทางการเก็บสินค้า ส่งของทันต้นทุนถูก มีรายชื่อให้บริการ พร้อมสามารถใช้คะแนนเป็นส่วนลดในการใช้บริการต่างๆ การตลาดเพื่อการเติบโตแบบก้าวกระโดด เพิ่มมูลค่าสินค้าด้วยบรรจุภัณฑ์ที่เหมาะสม แพลตฟอร์มทางการตลาดและองค์ความรู้สำหรับการทำการตลาดอย่างแม่นยำยิ่งขึ้น และ ไลฟ์สไตล์เหนือระดับแบบเจ้าของธุรกิจ ทั้งการพักผ่อนและเดินทางบริการที่พักและร้านอาหาร เช่นเดียวกับที่มีใน TMB WOW
  2. More Time – คล่องตัวและมีเวลามากขึ้น ด้วยโซลูชั่น TMB SME One Bank ใช้คู่กับ TMB BIZ TOUCH โมบายล์แอปพลิเคชันแรกที่ออกแบบมาเพื่อเอสเอ็มอีโดยเฉพาะ สามารถทำธุรกรรมได้ทุกที่ ทุกเวลา รับ โอน จ่าย ใช้วงเงิน OD อายัดเช็ค และโอนเงินไปต่างประเทศ 7 สกุลเงิน ได้บนมือถือ และล่าสุดได้เปิดตัวฟีเจอร์ใหม่ Online Loan Request ครั้งแรกที่เอสเอ็มอีสามารถคำนวณวงเงิน เปิดโอกาสให้เอสเอ็มอีเข้าถึงแหล่งเงินทุนได้เร็วและง่ายอย่างที่ไม่เคยมีมาก่อน
  3. More Possibilities ต่อยอดธุรกิจ SME ด้วยคำปรึกษาด้านธุรกิจและการเงิน ด้วย TMB BIZ Advisory บริการให้คำปรึกษาด้านการเงินจากผู้เชี่ยวชาญของทีเอ็มบี ด้วยระบบ VDO Conference ในห้องรับรองส่วนตัว ที่สาขาของทีเอ็มบี เริ่มต้นที่ 25 สาขา และจะขยายไปทุกสาขาทั่วประเทศในเร็วๆ นี้ และโครงการ LEAN Supply Chain by TMB เน้นเรื่องการเพิ่มประสิทธิภาพแบบครบวงจร ด้านการบริหารจัดการการผลิต ลดสินค้าคงคลัง เพิ่มผลผลิตในองค์กร และลดระยะเวลาในการทำงาน โดยมีบริษัทร่วมอบรมแล้วกว่า 1,200 ราย

          เทียนทิพย์ กล่าวเสริมว่า “ทีเอ็มบีเข้าใจดีว่าเอสเอ็มอียุคนี้ต้องเผชิญหน้ากับการแข่งขันรอบด้าน และจากสถิติเราพบว่าในช่วง 5 ปีที่ผ่านมา มีธุรกิจเกิดใหม่กว่า 70,000 รายต่อปี แต่มีเพียง 50% เท่านั้นที่ก้าวผ่านปีแรกไปได้ ทีเอ็มบีจึงสร้างสรรค์ตัวช่วยทางธุรกิจเพื่อให้ธุรกิจเอสเอ็มอี ต้องได้มากกว่าและโตได้มากกว่าเมื่ออยู่กับเรา เช่น เราทราบว่าเอสเอ็มอีทำธุรกรรมเฉลี่ยกว่า 80-100 ครั้งต่อเดือน หรือมากกว่ามนุษย์เงินเดือนถึง 4 เท่า แทนที่จะปล่อยให้สูญเปล่า ลูกค้าสามารถร่วมรีวอร์ดโปรแกรม TMB BIZ WOW ที่เปลี่ยนธุรกรรมเป็นรางวัลที่เป็นประโยชน์ต่อการเติบโตแบบยั่งยืนของ SME โดยเฉพาะ ทั้งนี้ เราภูมิใจที่เป็นธนาคารแรกที่เปิดกว้างด้านสิทธิประโยชน์เพื่อตอบโจทย์ความต้องการที่แท้จริงของลูกค้า เพื่อเติมเต็มในสิ่งเอสเอ็มอีขาดโดยที่ลูกค้าไม่ต้องร้องขอ ซึ่งเป็นเป้าหมายของเราเพื่อให้ทีเอ็มบีเป็นธนาคารที่ลูกค้าชื่นชอบและแนะนำมากที่สุดในประเทศไทย (The Most Advocated Bank in Thailand) ภายใน 5 ปีนับจากนี้”

     ในงาน“dtac Loop: The Shapes of Data” ที่จัดขึ้นโดยดีแทค มีการยกตัวอย่างการนำเทคโนโลยี Machine Learning, Big Data และอุปกรณ์เชื่อมต่ออินเทอร์เน็ต ต่อภาคธุรกิจและสังคม มานำเสนอเป็นตัวอย่างของการใช้เทคโนโลยีกับโลกธุรกิจและการทำงานภาคสังคม

 

 วิพล วรเสาหฤท กรรมการผู้จัดการใหญ่ บมจ.กรุงเทพประกันชีวิต มองปัจจัยที่ส่งผลต่อการวางแผนกลยุทธ์ในปี 2561 ของบริษัทว่า มีปัจจัยหลัก 6 ประการประกอบด้วย

1.ผลจากการที่ธนาคารกรุงเทพมีพันธมิตรด้านประกันชีวิตรายใหม่ที่จะเริ่มเร็วๆ นี้ ซึ่งอาจจะส่งผลกระทบต่อบริษัทไม่มากนัก

2.ความกดดันจากข้อกำหนดทางกฎเกณฑ์ เช่นการเปลี่ยนอัตรามรณะ ซึ่งจะส่งผลให้เบี้ยประกันชีวิตต่ำลง เป็นความท้าทายต่อทั้งอุตสาหกรรมประกันชีวิตในการดำเนินงาน รวมถึงการเตรียมพร้อมใช้มาตรฐานทางบัญชีใหม่ที่จะส่งผลต่อการออกแบบผลิตภัณฑ์ประกันชีวิต การตั้งสำรอง และการบันทึกบัญชีของบริษัทประกันชีวิต

3.เศรษฐกิจยังเติบโตไม่เต็มที่ อัตราดอกเบี้ยยังอยู่ในระดับต่ำ  โดยบริษัทเตรียมผลักดันผลิตภัณฑ์ระยะยาวเพิ่มมากขึ้น

4.การแข่งขันที่สูงมากในอุตสาหกรรมประกันชีวิต โดยจะเห็นทิศทางการเปิดขายแบบ Open Platform เพิ่มมากขึ้นในกลุ่มธนาคารพาณิชย์ รวมถึงเทคโนโลยีใหม่ๆ ที่เข้ามา ซึ่งอาจจะส่งผลให้บริษัทประกันชีวิตรายเล็กมีการควบรวมกันเพื่อสร้างความแข็งแกร่งมากขึ้น

5.กระแสเทคโนโลยีดิจิทัลที่เข้ามาในชีวิตประจำวันของผู้บริโภคและธุรกิจต่างๆ ที่เกิดขึ้นแล้ว

และ6. การเข้าสู่สังคมผู้สูงวัย ที่จะส่งผลในอนาคตทำให้จำนวนประชากรลดลง

โดยกรุงเทพประกันชีวิตวางแผนการดำเนินธุรกิจในปี 2561 ประกอบด้วย กลยุทธ์หลัก 5 ด้าน คือ

1.การเน้นพัฒนาคุณภาพตัวแทน ให้เป็นที่ปรึกษาทางการเงิน และแบ่งกลุ่มตัวแทนให้ตรงกับระดับความเข้าใจทางการเงินของลูกค้ามากขึ้น ช่องทางธนาคารจะมีการปรับปรุงผลิตภัณฑ์และวิธีการขายเพื่อสร้างความสามารถในการแข่งขัน ช่องทางอื่นๆ กำลังอยู่ระหว่างการเจราจาเพื่อหาช่องทางที่สามารถเข้าถึงผู้บริโภคได้จำนวนมาก  

2.การรับมือกับกระแสดิจิทัล โดยบริษัทจะปรับเข้าสู่โลกออนไลน์มากขึ้น เพื่อรักษาฐานลูกค้าที่มีพฤติกรรมที่เปลี่ยนไปใช้ช่องทางดังกล่าวเพิ่มมากขึ้น มีการพัฒนานวัตกรรม เปิดรับเทคโนโลยีใหม่ เตรียมความพร้อมและพัฒนาแพลตฟอร์ม เพื่อรองรับความต้องการของผู้บริโภคในยุคดิจิทัล พัฒนาผลิตภัณฑ์ผ่านช่องทางการขายประกันออนไลน์อย่างต่อเนื่อง เพื่อเพิ่มโอกาสทางธุรกิจให้เกิดขึ้น การพัฒนาระบบบริการลูกค้า และช่องทางออนไลน์อื่นๆ เช่น แอพพลิเคชั่นสำหรับลูกค้าและตัวแทน เพื่อเพิ่มความสะดวกสบายมากยิ่งขึ้น

3.การสร้างประสบการณ์ที่ดีให้กับลูกค้า ตั้งแต่ยังไม่เป็นลูกค้าของบริษัท โดยจะต้องสร้างประสบการณ์ที่ดีจนครบทุกกระบวนการ โดยยึดหลักการดำเนินงานให้ลูกค้าเป็นศูนย์กลางการเปลี่ยนแปลง มุ่งมั่นตอบสนองความต้องการของกลุ่มเป้าหมายที่แตกต่าง

4.ผลิตภัณฑ์ จะมีการปรับวิธีการคิด ให้สอดคล้องกับความเปลี่ยนแปลงทั้งทางด้านดิจิทัล กฎระเบียบใหม่ๆ และความต้องการของลูกค้า ปรับปรุงผลิตภัณฑ์เพื่อเจาะกลุ่มลูกค้าอย่างชัดเจนมาก การสร้างความแข็งแกร่งร่วมกับพันธมิตรในช่องทางต่าง ๆ รวมทั้งการให้ความรู้ด้านการวางแผนการเงินแก่ผู้บริโภค เพื่อตอกย้ำความเป็นผู้นำด้านการวางแผนการเงินอย่างรอบด้าน

5.ด้านบุคลากร บริษัทฯ ยังคงให้ความสำคัญกับการสร้างทีม และสร้างที่ปรึกษาการเงินที่มีคุณภาพ มีความเชี่ยวชาญ พร้อมพัฒนาตนเองให้ทำงานในแนวทางของนักวางแผนการเงิน และยังได้พัฒนาหลักสูตรการอบรมให้ความรู้ด้านต่างๆ เพื่อผลักดันศักยภาพบุคลากรให้เกิดประโยชน์สูงสุด  

กลยุทธ์ทั้งหมดนี้กำหนดขึ้นตามแนวคิดMake a Change เปลี่ยนเพื่อชีวิตที่แตกต่าง”  โดยบริษัทฯ เชื่อมั่นว่ากลยุทธ์ดังกล่าวจะช่วยให้บริษัทสามารถสร้างความเปลี่ยนแปลงใหม่ในตลาดปี 2561 ที่จะทำให้ กรุงเทพประกันชีวิต บรรลุเป้าหมายในการพัฒนาความยั่งยืนของบริษัท ไปพร้อมกับคุณภาพชีวิตที่ดีของประชาชนเพื่ออนาคตที่ดีกว่า

สำหรับผลการดำเนินงานในปี 2560 วิพลเปิดเผยว่าบริษัทมีการเติบโตอย่างต่อเนื่องในหลายด้านอาทิ เบี้ยประกันภัยใหม่จากแบบประกันหลักเติบโตร้อยละ 18 จากปีก่อนหน้า สามารถสร้างที่ปรึกษาทางการเงินเติบโตมากกว่า ร้อยละ 10 โดยปัจจุบันมีนักวางแผนทางากรเงินที่ได้รับคุณวุฒิ CFP® และ AFPT™ มากกว่า 100 คน และมีอัตราส่วนเงินกองทุนต่อสินทรัพย์เสี่ยง 252 เปอร์เซ็นต์

ภูริต ภิรมย์ภักดี ประธานกรรมการบริหาร Singha Ventures เปิดเผยว่า บริษัทแสวงหาโอกาสใหม่ๆในการขยายธุรกิจ ให้กว้างมากขึ้น สร้างความเจริญเติบโตในระยะยาวให้กับองค์กร เมื่อมองเทรนด์การลงทุนทั่วโลก พบว่าธุรกิจ “Start-ups” ถือเป็นหนึ่งใน New S-Curve หรือธุรกิจแห่งอนาคตที่น่าสนใจ เพราะสตาร์ทอัพมักมีแนวคิดที่แปลกใหม่ ตอบสนองการใช้ชีวิตในปัจจุบันได้เป็นอย่างดี ด้วยโมเดลทางธุรกิจแบบใหม่ที่แตกต่าง แต่เจาะตลาดใหญ่(Mass) ได้ ที่สำคัญสร้างการเจริญเติบโตได้อย่างรวดเร็ว กลายเป็นบริษัทขนาดใหญ่ในระยะเวลาอันสั้น

Singha Ventures มองเห็นโอกาสที่จะร่วมงานกับบรรดาสตาร์ทอัพดาวรุ่งเหล่านั้น ในฐานะพาร์ทเนอร์ และพร้อมจะเป็นกลไกสำคัญช่วยให้ความคิดดีๆดังกล่าวสามารถเกิดขึ้นจริง ต่อยอดเป็นโมเดลธุรกิจที่ผงาดและพลิกโลกได้เช่นเดียวกับธุรกิจสตาร์ทอัพชื่อก้องโลกหลายรายที่เกิดขึ้นก่อนหน้านี้

Singha Ventures ที่เป็นธุรกิจเงินร่วมลงทุน(Venture Capital Fund หรือ CVC)  จึงมีบทบาทในการเป็นผู้สนับสนุนการลงทุนในนวัตกรรมและผลิตภัณฑ์ของกลุ่มสตาร์ทอัพดาวรุ่งระดับโลก(World Start-up) เพื่อสร้างประโยชน์ร่วมกันในอนาคต

ทั้งนี้มีกลุ่มอุตสาหกรรมที่ Singha Ventures ให้ความสนใจเข้าไปลงทุน ประกอบด้วย 3 กลุ่มอุตสาหกรรมหลักทั้งในประเทศไทยและต่างประเทศ ได้แก่ 1.สินค้าอุปโภคบริโภค(Consumer products) ทั้งกลุ่มอาหารและเครื่องดื่ม ผลิตภัณฑ์เพื่อสุขภาพ เครื่องปรุงรส รวมไปถึงบรรจุภัณฑ์ต่างๆ 2.เทคโนโลยีในการจัดการห่วงโซ่การผลิต(Supply chain) ด้านการขนส่งและการจำหน่ายสินค้า เช่น การขนส่งถึงลูกค้าปลายทางโดยตรง(last mile) การขนส่งระหว่างภาคธุรกิจ(business to business solution : B2B) และการส่งสินค้าและบริการ e-commerce และ 3.ลงทุนในระบบหรือโปรแกรมต่างๆ เพื่อช่วยในการทำงานขององค์กร(Enterprise solutions) เช่น Software as a service (SaaS) Cloud computing ระบบการจ่ายเงิน และระบบการให้สินเชื่อแก่คู่ค้า

นอกจากนี้ ยังเปิดกว้างความสนใจในการลงทุนธุรกิจอื่นๆ เพิ่มเติม เช่น ธุรกิจด้านสุขภาพ(Healthcare) เทคโนโลยีชีวภาพ(Biotech) เทคโนโลยีสำหรับธุรกิจอสังหาริมทรัพย์(Property technology) และ Internet of Things(IoT) เป็นต้น  และการลงทุนจะโฟกัสธุรกิจสตาร์ทอัพที่มีโมเดลธุรกิจชัดเจน มีตลาด และมีรายได้แล้ว(ระดับ Series A) และมีความเป็นไปได้ในการเข้าไปลงทุนในระดับ Seed Funding stage หากธุรกิจดังกล่าวเป็นไอเดียที่โดดเด่น และอยู่ในอุตสาหกรรมที่มีสามารถนำมาพัฒนาต่อยอด เสริมศักยภาพองค์กร(Synergy) สิงห์ได้ และเป็นประโยชน์ต่อพันธมิตรควบคู่กัน

ปี 2560 ที่ผ่านมา บริษัทได้เข้าไปลงทุนแล้ว ในกองทุน 2 กองทุน(Fund of Funds ได้แก่ Kejora Ventures แพลตฟอร์มนระบบนิเวศน์ทางเทคโนโลยี(Technology ecosystem) ที่ใหญ่ที่สุดในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ โดยมีสำนักงานใหญ่อยู่ที่กรุงจาการ์ต้า ประเทศอินโดนีเซีย มีการลงทุนในธุรกิจแล้วกว่า 29 ธุรกิจ และ Vertex Ventures จากสิงคโปร์ มีเครือข่ายของบุคคลที่มีความรู้และประสบการณ์ในวงการ Technology และ Venture Capital อย่างกว้างขวางทั่วโลก

ธนาคารไทยพาณิชย์ประกาศจับมือ “จูเลียส แบร์” (Julius Baer) กลุ่มธุรกิจบริการไพรเวทแบงกิ้งชั้นนำจากประเทศสวิตเซอร์แลนด์ เตรียมตั้งบริษัทร่วมทุนเพื่อให้คำปรึกษาลูกค้าผู้ที่มีความมั่งคั่งระดับสูง (High Net Worth – HNWIs) ของธนาคาร

โดยธนาคารไทยพาณิชย์ให้ข้อมูลว่า ความร่วมมือในครั้งนี้ถือเป็นก้าวสำคัญก้าวแรกของไทยพาณิชย์หลังประกาศกลยุทธ์ “Going Upside Down” (กลับหัวตีลังกา) ด้วยการต่อยอดความแข็งแกร่งด้านการบริหารความมั่งคั่งและการมีฐานลูกค้าผู้มีความมั่งคั่งระดับสูง (HNWIs)  ของธนาคาร ผสมผสานกับความเชี่ยวชาญและบริการบริหารความมั่งคั่งระดับโลกอย่างครบวงจรของ  จูเลียส แบร์ โดยความร่วมมือในครั้งนี้จะพลิกโฉมระบบนิเวศของธุรกิจการบริหารความมั่งคั่งของไทยที่มีมูลค่าประมาณ 9,500 ล้านบาทให้พร้อมรุกโอกาสการลงทุนแบบไร้พรมแดน นอกจากนี้ ยังตอกย้ำความเป็นผู้นำและเสริมความแข็งแกร่งของแบรนด์ไทยพาณิชย์ และเพิ่มความมั่นใจของลูกค้าผู้มีความมั่งคั่งระดับสูง (HNWIs) ในปัจจุบันและอนาคตของธนาคาร ได้ว่าจะได้รับบริการด้านการบริหารความมั่งคั่งแบบครบวงจรอย่างมีประสิทธิภาพ สามารถสร้างมูลค่าเพิ่มจากสินทรัพย์ที่มีอยู่ผ่านการลงทุนทั้งในและต่างประเทศที่ยังมีโอกาสอีกมาก

โดยกลุ่มลูกค้าผู้มีความมั่งคั่งระดับสูง (HNWIs) ของธนาคาร รวมถึงนักลงทุนต่างชาติที่ทำงานและพักอาศัยอยู่ในประเทศไทย สามารถเริ่มใช้บริการได้ทันทีเพื่อโอกาสในการสร้างผลตอบแทนในการลงทุนที่ดีขึ้น ลูกค้าของบริษัทร่วมทุนนี้จะมีโอกาสได้รับข้อมูลเชิงลึกจากจูเลียส แบร์ ไม่ว่าจะเป็นงานวิจัย บริการด้านการลงทุนต่างๆ ตลอดจนบริการให้คำปรึกษาด้านการวางแผนและการลงทุนจากทีมงานมืออาชีพระดับโลกที่มีความเชี่ยวชาญสูง ทำให้สามารถบริหารจัดการสินทรัพย์ที่มีอยู่ได้อย่างเต็มประสิทธิภาพ สามารถลงทุนในต่างประเทศได้เต็มที่ตามที่กฎหมายอำนวยผ่านบริการต่างๆ  

ทั้งนี้กลุ่มผู้มีความมั่งคั่งระดับสูง (HNWIs) ในประเทศไทยมีการเติบโตอย่างต่อเนื่องในอัตราสูง โดยมีการเติบโตในอัตราร้อยละ 12.7 ในปี 2559 เพิ่มเป็นร้อยละ 13.3 ในปี 2560

ความร่วมมือครั้งนี้เป็นการประสานความแข็งแกร่งของ ธนาคารไทยพาณิชย์ จำกัด (มหาชน) ที่มีความเข้าใจและมีข้อมูลเชิงลึกของตลาดในประเทศไทย รวมถึงมีฐานลูกค้าความมั่งคั่งสูงในประเทศ กับกลุ่มจูเลียส แบร์ ที่มีความเชี่ยวชาญด้านการให้คำปรึกษาและการบริหารความมั่งคั่งในระดับนานาชาติ รวมถึงจะมีคณะที่ปรึกษาที่มีประสบการณ์และความเชี่ยวชาญที่จะเข้าประจำการ ณ สำนักงานในกรุงเทพมหานคร

จูเลียส แบร์ ก่อตั้งขึ้นตั้งแต่ปีพ.ศ. 2433 ปัจจุบันเป็นบริษัทจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ในประเทศสวิตเซอร์แลนด์ ดำเนินธุรกิจบริการด้านการให้คำปรึกษาเกี่ยวกับการบริหารความมั่งคั่งใน 25 ประเทศทั่วโลก โดยเมื่อสิ้นปี 2560 สินทรัพย์ภายใต้การบริหารจัดการของบริษัทมีมูลค่ารวม 388,000 ล้านสวิสฟรังก์ บริษัทให้บริการโดยให้คำปรึกษาที่จะสร้างประโยชน์สูงสุดแก่ลูกค้า โดยไม่จำกัดเฉพาะการพิจารณาการลงทุนในผลิตภัณฑ์ด้านการเงินการธนาคารที่บริษัทเป็นเจ้าของเท่านั้น

 

 

 

สาระ ล่ำซำ กรรมการผู้จัดการและประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท เมืองไทยประกันชีวิต จำกัด (มหาชน) หรือ MTL  เปิดเผยโปรแกรมใหม่ของบริษัท Healthy is a Trend” ภายใต้แนวคิด Beyond Life Insurance โดย  Healthy is a Trend”  ถือเป็นการสร้างประสบการณ์ใหม่ของการดูแลสุขภาพที่ลูกค้าสามารถสัมผัสได้จริง  และตอบโจทย์ความต้องการของผู้รักสุขภาพที่ครบถ้วนมากที่สุด ด้วยระบบ Health Ecosystem ที่ครบวงจร  ผ่านช่องทางการสื่อสารที่เข้าถึงกลุ่มเป้าหมายในยุคดิจิทัล อย่างเว็บไซต์ www.healthyisatrend.com และสังคมออนไลน์ผ่าน  Facebook Fanpage : Healthy is a Trend  เพื่อตอบสนองและยกระดับการดูแลสุขภาพด้วยรูปแบบและแนวทางที่หลากหลาย ไม่ว่าจะเป็นด้านอาหาร ท่องเที่ยว แฟชั่น ความรู้ และเทคโนโลยีที่เกี่ยวข้องกับสุขภาพ  พร้อมตอบโจทย์ครบถ้วนใน 3 มิติ ประกอบด้วย

  1. การสร้างสุขภาพที่ดี ฟิตเฟิร์มในทุกด้าน (Prevention) ตอบโจทย์ด้วยกิจกรรมครอบคลุมในทุกไลฟ์สไตล์ ได้แก่ เมืองไทยมาราธอน, MTL Six Packs รวมไปถึงการสร้างสุขภาพทางการเงินที่ดีผ่านการให้ความรู้ทางการเงินในโครงการ Saving is a Trend เป็นต้น
  2. การคุ้มครอง ป้องกัน พร้อมสร้างความมั่นคงให้ชีวิต (Protection) ด้วยแบบประกันภัยที่ตอบโจทย์ครบถ้วนในทุก Life Stage ทั้งความคุ้มครองด้านชีวิต สุขภาพ และโรคร้ายแรง โดยในการเปิดตัว Healthy is a Trend นี้ บริษัทฯ เปิดตัว 2 ผลิตภัณฑ์ใหม่ที่ตอบโจทย์ด้านความคุ้มครองชีวิตและการดูแลสุขภาพ คือ    “โครงการเมืองไทย สบายใจ เกินคุ้ม”   ให้ความคุ้มครองค่ารักษาพยาบาลแบบเหมาจ่าย สูงสุด 75,000 บาท ต่อการเข้ารักษาพยาบาลต่อครั้ง พร้อมให้ค่าห้องสูงถึง 3,000 บาท รวมสูงสุด 375,000 บาทต่อปีกรมธรรม์ เบี้ยประกันภัยเฉลี่ยเพียงวันละ 37 บาท และหากเจ็บป่วยในต่างประเทศก็สามารถใช้บริการ MTL Global Connect เข้านอนพักรักษาตัวที่โรงพยาบาลได้ทั่วโลกตามสิทธิ์โดยไม่ต้องสำรองจ่าย “สัญญาเพิ่มเติมการประกันภัยสุขภาพ แบบอีลิท เฮลท์”  ให้ผลประโยชน์กรณี บาดเจ็บ และเจ็บป่วย สูงสุดถึง 100 ล้านบาทต่อปีกรมธรรม์ คุ้มครองทั้งกรณีเป็นผู้ป่วยในและผู้ป่วยนอก รวมถึงยังสามารถเลือกแผนที่มีความคุ้มครองพิเศษต่างๆ เช่น ผลประโยชน์การคลอดบุตร, ตรวจสุขภาพประจำปี, ฉีดวัคซีน, ค่ารักษาทางทันตกรรม, ค่ารักษาทางสายตา, แพทย์ทางเลือก เป็นต้น
  1. การดูแล ใส่ใจ ด้วยบริการและสิทธิพิเศษ (Service & Privilege) ที่พร้อมมอบประสบการณ์พิเศษให้ลูกค้าทุกคนไม่ว่าจะเป็นลูกค้าปัจจุบันหรือลูกค้าใหม่เมื่อสมัครเป็นสมาชิก “เมืองไทย Smile Club” หรือสิทธิพิเศษต่างๆ ที่ตอบโจทย์ตรงใจทุกไลฟ์สไตล์ จาก Ecopartner ที่ครอบคลุมหลายด้านไม่ว่าจะเป็น การดูแลรักษาผู้ป่วยที่บ้าน (Health at Home) ร้านอาหาร ฟิตเนส และสปา เป็นต้น นอกจากนี้บริษัทฯ ได้เปิดตัวบริการใหม่ ในชื่อ  “Best Doctors”  ซึ่งเป็นบริการความคิดเห็นที่ 2 ทางการแพทย์ จากแพทย์ผู้เชี่ยวชาญเฉพาะทางในต่างประเทศ ทั้งโรคทั่วไป หรือโรคที่ร้ายแรง ก็สามารถโทรปรึกษาผู้เชี่ยวชาญได้เช่นกัน

สาระระบุว่า การเปิดตัวHealthy is a Trend”  ถือเป็นเฟสแรกเท่านั้น ในอนาคตMTLยังพร้อมที่จะพัฒนาให้สังคมแห่งการดูแลสุขภาพนี้ครอบคลุมไปยังสิ่งใหม่ๆ ไม่ว่าจะเป็นผลิตภัณฑ์ที่เตรียมตอบโจทย์คนที่ไม่สามารถทำประกันบางประเภทได้เนื่องจากเป็นโรคที่ไม่รับประกันหรือคนที่ป่วยเป็นโรคบางอย่างอยู่แล้วก็สามารถทำได้ เป็นต้น

Page 1 of 5
X

Right Click

No right click