December 13, 2025

     “...การศึกษาเป็นปัจจัยสำคัญในการสร้างและพัฒนาความรู้ ความคิด ความประพฤติ และคุณธรรมของบุคคล หากสังคมและบ้านเมืองใดให้การศึกษาที่ดีแก่เยาวชนได้อย่างครบถ้วนในทุกๆ ด้านแล้ว สังคมและบ้านเมืองนั้นก็จะมีพลเมืองที่มีคุณภาพ สามารถดำรงรักษาความเจริญมั่นคงของประเทศชาติไว้ และพัฒนาก้าวหน้าต่อไปโดยตลอด...”

     เรื่องเล่าของ “ราชาผู้ให้” กับพระราชกรณียกิจในการพัฒนาบนดอยสูงทางภาคเหนือของประเทศไทย เริ่มต้นขึ้นในช่วงต้นปี พ.ศ. 2513 เมื่อครั้งพระบาทสมเด็จพระปรมินทร-มหาภูมิพลอดุลยเดชทรงขับรถยนต์พระที่นั่งไปยังบ้านแม้วบนดอยปุยใกล้พระตำหนักภูพิงค์ราชนิเวศน์ และได้ทอดพระเนตรต้นท้อ (peach) ที่ชาวเขาเผ่าแม้วเอากิ่งพันธุ์ดีมาต่อกับต้นตอพื้นเมืองตามโครงการแต่ปีก่อน และตรัสถามเจ้าของว่าปลูกฝิ่นได้เงินเท่าไร และเก็บท้อพื้นเมือง (ลูกเล็ก) ขายได้กี่บาท จึงทรงทราบว่าฝิ่นกับท้อพื้นเมืองทำเงินให้เกษตรกรเท่าๆ กัน พระองค์มีพระราชดำริว่า ถ้าลูกท้อนิดๆ ยังทำเงินให้เกษตรกรได้ดีเท่าฝิ่นแล้ว เราก็ควรเปลี่ยนยอดให้ออกลูกมาเป็นท้อใหญ่ หวานฉ่ำ สีชมพูเรื่อดังกับแก้มสาวในนิทานจีน เมื่อรายได้จากท้อและผลไม้อื่นสูงกว่าฝิ่นแล้ว ฝิ่นก็จะสาบสูญไปเองตามธรรมชาติ ไม่ต้องใช้กำลังผลักดันแต่อย่างใด  

     จากวันนั้น วันที่ 28 มกราคม พ.ศ. 2513 มีพระราชดำรัสสั่งให้ดำเนินการ และพระราชทานเงิน 200,000 บาทแก่มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ซึ่งมีสถานีวิจัยน้อยๆ ใกล้พระตำหนัก เพื่อซื้อสวนใหญ่ใกล้ๆ กัน เพื่อเป็นศิริมงคล สวนนี้จึงได้ชื่อว่าสวนสองแสน และคณะ 3M ก็ขยายกิจการอันในที่สุด กลายเป็น โครงการหลวง

หว่านเมล็ดพันธุ์ โครงการหลวง บนดอยสูง

      ความเป็นมาของโครงการหลวง ที่บอกเล่าอยู่ใน หนังสือโครงการหลวงกับในหลวง โดย หม่อมเจ้าภีศเดช รัชนี  ประธานมูลนิธิโครงการหลวง ทำให้ทราบว่า ด้วยพระองค์ทรงเล็งเห็นถึงปัญหาการทำลายป่าตามยอดเขาเพื่อปลูกฝิ่น และทำไร่เลื่อนลอยที่เกิดขึ้น และมีพระราชประสงค์จะแก้ไขปัญหาดังกล่าวจึงมีพระราชดำริว่า ถ้าจะให้ชาวเขาเลิกปลูกฝิ่นต้องมีพืช ทดแทน” ที่ราคาดี ขายได้ และจัดการให้ผลผลิตใหม่กลายเป็นรายได้เสียก่อน และนี่จึงเป็นที่มาการก่อเกิด โครงการหลวง ในเวลาต่อมา

 

 

     ทั้งนี้ หม่อมเจ้าภีศเดช ประทานสัมภาษณ์กับทีมงานนิตยสาร MBA ถึงเรื่องราวของโครงการหลวง ณ วังประมวญ เพิ่มเติมว่า 

      ในเวลานั้นพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวเสด็จฯ ไปทรงพักผ่อนที่เชียงใหม่ คือพระองค์ตรัสว่าไปฮอลิเดย์แต่ความจริงพระองค์มิได้เสด็จฯ ไปเพื่อพักผ่อนอย่างเดียว เพราะถึงเวลาพระองค์ก็เสด็จฯ ออกไปเยี่ยมราษฎรที่เชียงใหม่ และในโอกาสนั้นพระองค์ได้เสด็จฯ ไปตามดอยเพื่อขึ้นไปทอดพระเนตรว่า ชาวเขาทำลายต้นน้ำลำธารเพื่อปลูกฝิ่นจริงหรือไม่ อย่างไร ซึ่ง ณ เวลานั้นไม่มีใครทำอะไรกับชาวเขา พระองค์จึงทรงตั้งโครงการหลวง เนื่องจากทรงตระหนักดีว่าเมืองไทยเป็นเมืองร้อน ผลิตผลเมืองหนาวต้องสั่งจากเมืองนอก ราคาจึงแพงและไม่ค่อยมีผลผลิตมามากนัก พระองค์ตรัสว่าถ้าเราปลูกพืชเมืองหนาวบนดอยมาขายข้างล่างก็จะได้เงินดี แล้วที่บนดอยมันหนาว อย่างที่อ่างขางบางทีเป็นน้ำแข็ง เป็นสาเหตุให้พระองค์ทรงตั้งโครงการหลวงขึ้นมา ให้หาพืชเมืองหนาวหลายๆ อย่างมาให้ชาวเขาปลูก ผมเป็นข้าราชบริพารตามเสด็จไป พระองค์ตรัสว่าจะทำโครงการหลวงและมอบหมายให้ผมทำ

      ในเบื้องต้น ทรงมอบหมายให้ หม่อมเจ้าภีศเดช รัชนี เป็นผู้รับสนองพระราชประสงค์ หม่อมเจ้าภีศเดช จึงได้ชักชวนให้ หม่อมราชวงศ์ชวนิศนดากร วรวรรณ อาจารย์ประจำมหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ มาร่วมกันปฏิบัติงานด้วย ต่อจากนั้น ก็ได้มีการชักชวนให้อาจารย์ท่านอื่นๆ มาร่วมกันทำงานเพิ่มขึ้น

      ดังนั้น โครงการหลวงจึงเป็นโครงการที่รวบรวมอาสาสมัครผู้มีความรู้ด้านการพัฒนาและการเกษตรมารวมกันเป็นจำนวนมากที่สุดก็ว่าได้ ทั้งคณาจารย์ ข้าราชการ และเจ้าหน้าที่ จากหน่วยราชการต่างๆ โดยในวันนี้ อาสาสมัครเหล่านี้มีมากถึง 500 คน เกือบครึ่งหนึ่งของเจ้าหน้าที่โครงการหลวงทีเดียว ทั้งหมดเป็นอาสาสมัครที่ไม่มีเงินเดือน แต่ทุกคนเต็มใจและทำงานอย่างทุ่มเท ด้วยพระ-บารมีของพระองค์

 

 

     หม่อมเจ้าภีศเดช เล่าว่า การดำเนินงานโครงการหลวงในระยะแรกนั้นมีอุปสรรคมากมาย เพียงแค่เริ่มต้นก็ไม่มีถนนหนทาง ไม่มีแหล่งน้ำแล้ว ดังนั้น จะไปไหนมาไหนจึงต้องใช้กำลังเท้าเป็นสำคัญ   

      เวลาพระองค์เสด็จฯ ไปไหนคนมานั่งกับพื้น พระองค์ก็ประทับกับพื้นเหมือนกัน เราทำงานกับพระเจ้าอยู่หัว ก็ย่อมปฏิบัติกับชาวนาในแบบเดียวกับที่พระองค์ทำ

      ด้วยเหตุนี้ เวลาท่านภีศเดชจะเดินทางขึ้นดอยลงดอย ท่านจะไม่จ้างลูกหาบ จะขอแบกของไปเอง และแทนที่จะเอาเต็นท์ไปนอนกาง ก็เข้าไปอยู่ในบ้านชาวเขา จากคนแปลกหน้าจึงกลายมาเป็นความสนิทสนม พอลงมือทำแล้ว ชาวบ้านชาวเขาใกล้ๆ เห็นผลงานว่าทำแล้วมีรายได้เพิ่มขึ้น ก็มาขอเข้าร่วมกับโครงการหลวง ด้วยเหตุนี้จึงสามารถขยายตั้งศูนย์ ใหม่ๆ ได้เพิ่มขึ้นเรื่อยๆ ทำให้งานพัฒนาและส่งเสริมของโครงการหลวงดำเนินไปได้ด้วยความสะดวกรวดเร็ว จนในปัจจุบันมีมากถึง 34 ศูนย์ 

     สำหรับเคล็ดลับความสำเร็จในการชักจูงชาวเขาให้เลิกปลูกฝิ่นและหันมาปลูกพืชเมืองหนาวได้อย่างยั่งยืนนั้น เกิดขึ้นได้อย่างไร หม่อมเจ้าภีศเดช ได้เล่าไว้ในหนังสือ โครงการหลวงกับในหลวง ว่า

 

 

 

     “ม่อนยะเป็นหมู่บ้านคอมมูนิสต์ และแม่แฮเอง ผ.ก.ค.ก็พยายามจะแทรกแซงเข้ามา เราจึงตั้งโครงการที่แม่แฮ โดยขอให้อยู่ในความควบคุมของสำนักงานเกษตรภาคเหนือ คนของเราอาศัยบ้านของผู้ใหญ่กะเหรี่ยงชื่อ พะคีริ กลางคืน ผ.ก.ค.จะต้องลาดตระเวนผ่านบ้าน อาวุธดีๆ ครบมือ และเอาไฟฉายส่องบ้าน แต่พวกเราก็ไม่กลัว (เท่าใดนัก) เพราะชาวบ้านเห็นกันทั่วแล้ว เราไม่เป็นพวกไหนๆ แต่เป็นคนของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว และทำให้ชาวบ้านร่ำรวยมีการกินอยู่ดีขึ้น ใครทำอะไรพวกเราก็เท่ากับทำร้ายชาวบ้านเอง

     เพราะฉะนั้น เคล็ดลับจึงอยู่ที่ แนวทางของพระองค์ที่พระราชทานไว้ให้แก่การดำเนินงานของโครงการหลวง คือ ลดขั้นตอน และ ช่วยให้ชาวเขาเขาช่วยตนเอง โดยหม่อมเจ้าภีศเดช อธิบายว่าเพราะราชการขั้นตอนแยะ บางทีทำอะไรก็ต้องขออนุมัติ เขาก็ขออนุมัติแต่ละขั้น บางคนอยากทำอะไรเขาก็บอกเบื่อ  มาทำกับเราขั้นตอนไม่ค่อยมี ทำได้ดี เร็ว

 

 

ลิ้มลองอาหารดีที่บนดอย

      ใครจะคิดว่าพื้นที่บนดอยสูงในถิ่นทุรกันดารห่างไกลจากชุมชน  ไม่มีแม้แต่ทางเดินรถ เดินทางขึ้นลงแต่ละครั้งแสนลำบาก อีกทั้งยังเป็นพื้นที่สีชมพู มีทุ่งต้นฝิ่นกว้างไกลสุดตา ผ่านมาร่วม 42 ปี ภาพในวันนี้ช่างแตกต่างจากวันนั้นอย่างสิ้นเชิง ทุ่งต้นฝิ่นสลับกับพื้นที่โล่งเตียนจากการทำไร่เลื่อนลอยแปรสภาพไปเป็นพื้นที่อุดมสมบูรณ์ด้วยต้นไม้ ลำธาร กลายเป็นดินแดนที่ถูกแต่งแต้มด้วยสีสันละลานตาของพันธุ์ไม้ดอก ไม้ผล พืชผัก ซึ่งล้วนเป็นพืชเศรษฐกิจของประเทศ กระทั่ง พื้นที่แห่งนี้เป็นแหล่งก่อเกิดองค์ความรู้พืชเมืองหนาวอย่างมหาศาล 

     ทว่า กว่าจะมาเป็นภาพอย่างวันนี้ การปลูกพืชเมืองหนาวในประเทศร้อนชื้นอย่างบ้านเราไม่ใช่เรื่องง่าย แถมยังเป็นการเริ่มต้นบนพื้นที่ที่เต็มไปด้วยสารพันปัญหาที่ร้อยเกี่ยวกันอยู่ จึงใช้เวลาในการลงแรง เคี่ยวกรำ ลองผิดลองถูกหลายครั้งหลายครา โดยเฉพาะอย่างยิ่งปัญหาในช่วงเริ่มต้น เพราะเป็นเรื่องของการสร้าง การยอมรับ

      พอเข้าไปถึงพื้นที่ ไปบอกว่าโครงการหลวงมาช่วย โดยในหลวงเป็นผู้เข้าไปทำงาน ไปเยี่ยมราษฎรทุกหมู่บ้านในเขตโครงการหลวงแล้วไปแนะนำว่าสิ่งที่เขาทำไม่ดี โครงการหลวงหาพืชที่ถูกกฎหมายมาให้ แต่ชาวบ้านไม่กล้าเสี่ยงเพราะเขาไม่รู้ว่าสิ่งที่ทำจะดีกว่าสิ่งที่ผ่านมา กว่าจะไปทำให้เขาเห็นว่าสิ่งที่ทำปัจจุบันดีกว่าก็ต้องใช้เวลาสมชาย เขียวแดง ผู้อำนวยการสถานีโครงการหลวงอินทนนท์ และสถานีเกษตรหลวงอ่างขาง กล่าวและยืนยัน

      โดยในระหว่างการปฏิบัติงาน สมชาย เล่าว่า ปัญหาว่าจะเอาพืชผักอะไรมาปลูก พระองค์มีพระราชดำรัสสั่งให้แก้ด้วยการลองทำ วิจัย เพราะการวิจัยเป็นการค้นหา องค์ความรู้ ที่เชื่อถือได้ ด้วยเหตุนี้ “การวิจัย” จึงกลายเป็นหัวใจการดำเนินงานของโครงการหลวง สมชายบอกเล่าประสบการณ์ว่า

      โครงการนี้จึงเป็นโครงการที่แปลกที่สุดในสายตาของใครหลายคนโดยเฉพาะนักเกษตรศาสตร์ บอกให้ผมปลูกพืชเมืองหนาว ซึ่งขัดกับที่เราเรียนมา ที่บอกได้เลยว่าปลูกไม่ได้ บ้านเราร้อน ในหลวงรับสั่งให้ทำอย่างนี้ๆ ลองดู แต่สิ่งที่ผมได้ ท่านภีศเดชรับสั่งกับผม ลองทำหรือยัง พอเราทำไปเราก็รู้ว่ามันได้ เป็นสิ่งที่ตำราไม่ได้สอน

      วันนี้ โครงการหลวงมีศูนย์พัฒนา 34 ศูนย์ มีสถานีวิจัย 4 สถานี ที่จะต้องมีหน้าที่วิจัย บุกเบิกสรรหาพืชพันธุ์ใหม่ๆ เข้ามาเรื่อยๆ รวมถึงการพัฒนาพันธุ์พืชที่มีอยู่แล้วให้ดียิ่งขึ้นเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการผลิต สมชาย เล่าว่า   

      ในหลวงรับสั่งชัดเจนว่า ถ้าไปปลูกพืชบ้านเรา ก็เท่ากับไปแข่งกันเอง ฉะนั้นต้องหาพืชอื่นที่มีศักยภาพ ไม่ต้องไปแข่งกับประเทศเราข้างล่าง ซึ่งถ้าเราไม่รู้ก็ต้อง วิจัย วิจัยเสร็จก็ต้อง พัฒนา ให้ชาวบ้านปลูก แต่ที่สำคัญเราต้อง ขายได้นี่คือ หลัก 3 ประการนี้ เป็น 3 ประสาน ที่เป็นแนวทางที่ในหลวงได้พระราชทานไว้” 

      มาในวันนี้ ปัญหาสำคัญ เรื่องการยอมรับ ดังที่กล่าวไว้ตอนต้น ได้มลายหายไปแล้ว... ภาพชาวปะหล่อง หมู่บ้านนอแล ทั้งผู้เฒ่าชรา คนหนุ่มสาว และเด็กน้อย มาร่วมกันทำพิธี สืบชะตาสะพานสามช่วง และ สืบชะตาน้ำ ณ ดอยอ่างขาง เพื่อถวายพระพรให้พระองค์ ทรงมีพระพลานามัยที่สมบูรณ์ และมีพระชนมายุยืนยาว เป็นประจักษ์พยานได้ชัดเจนว่า การยอมรับ นั้นสร้างได้ จากน้ำพระทัยขององค์พ่อหลวงที่อยากเห็นทุกผู้ทุกคนที่อาศัยอยู่ในแผ่นดินไทยมีความร่มเย็นเป็นสุข จนก่อเกิดเป็น โครงการหลวง ที่ช่วยยกระดับคุณภาพชีวิตของชาวเขาเผ่าต่างๆ ให้ดีขึ้น ดังเสียงของชาวเขาผู้เฒ่าผู้แก่ ที่เคยกล่าวไว้ว่า 

      เราไม่รู้หรอกว่าโครงการหลวงเป็นอย่างไร แต่รู้ว่ามาประเทศไทยแล้วในหลวงให้อยู่ ทุกวันนี้ที่มีความสุขสบายได้ก็เพราะในหลวง ขอปฏิญาณว่าพวกเราจะจงรักภักดีต่อในหลวงตลอดไป

 

สถานีเกษตรหลวงปางดะ หัวใจเกษตรหลวง

     ณ ที่ที่เคยเป็นที่ตั้งของ ศูนย์ขยายพันธุ์พืชปางดะโครงการหลวง ต.สะเมิงใต้ อ.สะเมิง จ.เชียงใหม่ มีจุดประสงค์เพื่อเป็นแหล่งเพาะพันธุ์กล้าไม้ผลให้แก่ประเทศโดยเฉพาะ จนกระทั่งมูลนิธิโครงการหลวงได้เสาะหาพื้นที่เพื่อใช้เป็นแหล่งทดลองข้าวไร่และธัญพืชเมืองหนาว คณะทำงานของโครงการหลวงจึงมองหาพื้นที่ที่ไม่สูงมากนักเพื่อเพาะพันธุ์ต้นกล้าไม้ผล นำไปปลูก และใช้ขยายพันธุ์ต่อไป ศูนย์ขยายพันธุ์พืชปางดะโครงการหลวง จึงได้เปลี่ยนเป็น สถานีเกษตรหลวงปางดะ อย่างทุกวันนี้ 

      เพราะโดยลักษณะและธรรมชาติของไม้กล้าผล หากต้องเติบโตบนพื้นที่สูง อุณหภูมิหนาวเย็นจัด ไม้ผลจะพักตัวและไม่เจริญเติบโตได้เต็มที่ ระบบรากก็ไม่งอก ลำต้นไม่โตเพราะอากาศหนาวเย็นมากเกินไป ทำให้ต้นกล้าต้นเล็กๆ ไม่อาจแทงยอดขึ้นมาได้อย่างต่อเนื่อง ดังนั้น ต้องหาพื้นที่ที่ไม่สูงจนเกินไป มีอุณหภูมิที่เหมาะสม ความชื้นพอดี พืชย่อมเติบโตได้ดีกว่า สถานีเกษตรหลวงปางดะ จึงเป็นชัยภูมิที่เหมาะสมที่สุดในการดำเนินงานด้านนี้เพราะมีความสูงจากระดับทะเลไม่มากไม่น้อย ประมาณ 720 เมตร

      งานหลักที่นี่เป็นงานวิจัยพืชเขตร้อน รวบรวมพันธุ์พืชเขตร้อน เป็นพื้นที่ศึกษาดูงานให้คณะหรือหน่วยงานต่างๆ ที่สนใจ เป็นหน่วยเพาะพันธุ์พืชหลากหลายสายพันธุ์ เริ่มด้วยข้าวโพดหวาน ถั่วแขก กุยช่ายขาว หนอนไม้ไผ่ (รถด่วน) ส้ม ราสป์เบอร์รี มัลเบอร์รี อโวคาโด มะเดื่อฝรั่ง องุ่นไร้เมล็ด กีวีฟรุต เสาวรส ลิ้นจี่ อีกทั้งยังเป็นแหล่งรวบรวมพันธุ์มะม่วงต่างประเทศ (เรดดราก้อน โบวิ่น นวลคำ) ไผ่หวานอ่างขาง (หม่าจู๊) ไผ่หยกลี่จู๊ พืชผักสมุนไพร และมีเรือนไม้ดอก โรงเรือนกุหลาบที่ควบคุมอุณหภูมิ โรงเรือนปลูกผัก และงานอารักขาพืช

      ดังนั้น กระบวนการทดลองตั้งแต่การวิจัยพื้นที่ การสืบเสาะหาพันธุ์พืชต่างประเทศเพื่อมาทดลองปลูก สำเร็จบ้าง ล้มเหลวบ้าง แต่นั่นไม่ใช่ปัญหาใหญ่ของที่นี่เพราะหัวใจของที่นี่คืองานวิจัยเพื่อปลายทางสุดท้ายแล้วนำไปช่วยชาวเขา ช่วยชาวเรา และช่วยชาวโลก ดังแนวพระราชดำริที่พระบาทสมเด็จพระปรมินทร-มหาภูมิพลอดุลยเดชพระราชทานไว้มากกว่า

แม่เหียะ โรงงานคัดความอร่อย ใหม่ สดเสมอ

      เพราะต้องสร้างความมั่นใจให้ได้ว่า ผลิตภัณฑ์ของโครงการหลวงทั้ง 37 สถานี ได้ผ่านการคัดเลือก ตรวจสอบคุณภาพ ในทุกกระบวนการจากต้นทางถึงปลายทาง ก่อนที่จะนำส่งถึงมือผู้บริโภคทั่วประเทศ งานคัดบรรจุเชียงใหม่ มูลนิธิโครงการหลวง ณ สถานีคัดบรรจุแม่เหียะ จึงมีหน้าที่สำคัญในการเป็นศูนย์รวบรวม รับผลิตผลจากศูนย์สถานีจากบนดอยทั้งหมด เพื่อมาตรวจเช็กสภาพให้ได้มาตรฐานเดียวกันก่อนที่จะจัดส่งให้แก่ลูกค้าเพื่อกระจายสินค้า โดยใช้มาตรฐานเกรดซึ่งเป็นของโครงการหลวงใช้เป็นมาตรฐานเดียวกันหมด ตรวจทั้งสารเคมีปนเปื้อนและคุณภาพทั่วไป เช่น น้ำหนัก เส้นผ่าศูนย์กลาง ความแก่ความอ่อน สรีระเฉพาะของพืชนั้นๆ

      ดังนั้น ภาพชินตาของที่นี่ คือ รถบรรทุกของโครงการหลวงที่วิ่งเข้าออกสถานีคัดบรรจุที่แม่เหียะ เพื่อนำผลไม้สด พืชผักที่ปลอดสารพิษส่งตรงไปยังสถานีปลายทางขึ้นห้างดัง เทสโก้โลตัส แม็คโคร บิ๊กซี โกลเด้นเพลส ท็อปส์ โฮมเฟรชมาร์ท กระทั่งขึ้นไปลอยอยู่บนอากาศก็ยังได้ลิ้มลองความกรอบ ความสดของพืชผักนานาพันธุ์ที่แปรรูปเป็นเมนูอาหารจานโปรดเสิร์ฟผู้บริโภคถึงบนเครื่องบินของครัวการบินไทยหรือจะแวะไปช็อปที่ร้านของโครงการหลวงก็ไม่ว่ากัน...งานของที่นี่จึงดูไม่มีวันหมด ไม่มีวันหยุด ไม่มีวันสิ้นสุด

 

 

สถานีเกษตรหลวงอ่างขาง ปลูกความสุขให้ทุกคน

      สิ้นกระแสพระราชดำรัสของพระองค์ซึ่งตรัสอย่างเรียบง่ายไม่ฟุ่มเฟือยว่า ให้ช่วยเขาช่วยตัวเอง ต่อมาไม่นานสถานีวิจัยแห่งแรกของโครงการหลวงแห่งนี้จึงเกิดขึ้นเพื่อพัฒนาชีวิตชาวเขาให้อยู่ดีกินดีขึ้นเป็นลำดับ ล่วงมากว่า 42 ปี ปัจจุบันขุนเขาแห่งนี้ถูกแทนที่ด้วยพันธุ์ไม้ผลกว่า 12 ชนิด ผักเมืองหนาวกว่า 60 ชนิด และดอกไม้เมืองหนาวกว่า 20 ชนิด ไม่นับรวมพื้นที่สำหรับวิจัยและพัฒนาพันธุ์พืช รวมทั้งหมู่บ้านชาวเขารอบๆ ที่เป็นเขตส่งเสริมและพัฒนาอาชีพเกษตรกรรวม 9 หมู่บ้าน ประกอบด้วยชาวไทยภูเขาเผ่าจีนยูนนาน ไทใหญ่ มูเซอดำ และปะหล่อง กว่า 3,200 คน

      พัด หรือ กุลปรียา ธรรมมอน เกษตรกรผู้ชำนาญการปลูกสตรอว์เบอร์รีชาวดารา เล่าว่า

      ก่อนหน้านี้เกษตรกรชาวเขานิยมเช่าสวนของเผ่ามูเซอเพื่อเพาะกล้าสตรอว์เบอร์รีขายในราคาต้นละ 50 สตางค์ มีรายได้ตกประมาณปีละ 50,000-60,000 บาทเท่านั้น แต่หลังจากโครงการหลวงทำการจัดสรรพื้นที่ให้ครอบครัวละ 1 ไร่ พร้อมกับทำการวิจัยและพัฒนาสายพันธุ์สตรอว์เบอร์รีอยู่เสมอควบคู่ไปกับการแนะนำให้ปลูกสตรอว์เบอร์รีเสียเองเพื่อขายผลและได้ราคาดีกว่า เกษตรกรจึงหันมาปลูกอย่างจริงจังจนเกิดผลดี จากนั้นทางโครงการหลวงจึงทำการเพาะกล้าและฝึกให้เกษตรกรลงทุนเองด้วยการขายกล้านั้นในราคาทุน โดยผลผลิตที่ได้จะขายส่งให้กับโครงการหลวงในราคากิโลกรัมละ 280 บาท ซึ่งค่าตอบแทนขึ้นอยู่กับความขยันขันแข็งและการดูแล ตามสถิติแล้วเคยพบว่าเกษตรกรที่ได้รายได้สูงสุดตกไร่ละ 500,000 บาทต่อปี และถึงแม้ว่าจะต้องต่อสู้กับศัตรูตัวฉกาจของสตรอว์เบอร์รีเช่น หนอน นก หรือแมลง แต่สารเคมีที่เกษตรกรใช้ได้จะต้องเป็นสารเคมีที่เบิกจ่ายจากโครงการหลวงซึ่งผ่านการรับรองว่าปลอดภัยแล้วเท่านั้น รวมถึงก่อนที่จะเก็บเกี่ยวส่งโครงการหลวงก็จะต้องตรวจสอบอีกครั้งหนึ่งเพื่อความปลอดภัย มิเช่นนั้นแล้วในกรณีร้ายแรง เกษตรกรจะต้องถูกเพิกถอนกรรมสิทธิ์ในที่ดินที่ได้รับมา นั่นหมายความว่ารายได้ทั้งปีจะสูญเปล่าไปอย่างปราศจากการชดเชย

      หากถามว่า ทำไมชาวเขาถึงรักพระองค์ ต้องมาฟังคำตอบที่กลั่นจากความรู้สึกของผู้นำหมู่บ้านอย่าง อ่อน สุนันตา ชาวเขาเผ่าดารา 

      เฮามีกิน มีใช้ อยู่เย็น อยู่สบาย มีงานมีการทำอย่างทุกวันนี้ก็เพราะในหลวง ไม่เหมือนเมื่อก่อนที่ร้อนรนเหมือนกับว่ากำถ่านแดงไว้ในมืออยู่ตลอด ในหลวงมีบุญคุณกับเฮามาก อยากให้ในหลวงอยู่กับเฮาไปนานๆ นานจนกว่าตะไคร้จะออกดอก สากจะออกลูกนั่นแหละเฮาค่อยยอมให้ท่านไป

 

 

อินทนนท์ แหล่งอาหารที่ความสูง 1,400 เมตร

      ไม่ว่าจะเป็น สตรอว์เบอร์รี พลัม พีช บ๊วย อโวคาโด กีวีฟรุต องุ่นไร้เมล็ด หรือผลไม้ที่หน้าตาแปลกๆ ชื่อไม่คุ้นหูอย่าง เคปกูสเบอร์รี และผลไม้เมืองหนาวอีกมากมาย ล้วนมีแหล่งผลิตมาจากที่นี่ สถานีเกษตรหลวงอินทนนท์ แห่งนี้ รวมถึงโรงเรือนที่ตั้งเรียงรายที่ซึ่งเป็นแหล่งเรียนรู้ และวิจัย ทั้งพันธุ์ไม้ดอกละลานตา ไม้ผล พืชผล ผัก Hydroponics 

       บนความสูง 1,400 เมตรจากระดับทะเล อากาศจึงหนาวจัด และบนดอยอินทนนท์นี้ยังมีน้ำตกสรภูมิที่มีน้ำไหลเย็นตลอดปี ทำให้สภาพแวดล้อมของที่นี่ไม่ได้เหมาะแค่เป็นสถานีวิจัยพืชเท่านั้น หากแต่ยังสามารถตั้งเป็นแหล่งวิจัย ประมงน้ำจืดบนพื้นที่สูง ด้วย สมชาย เขียวแดง ผู้อำนวยการสถานีเกษตรหลวงอินทนนท์ อธิบายเพิ่มเติมว่า

      เป็นไอเดียหม่อมเจ้าภีศเดช ที่ท่านไปต่างประเทศ ก็เห็นปลาเทราต์มีราคาแพง และที่อินทนนท์เองก็มีแหล่งน้ำ มีน้ำตกที่อุณหภูมิได้ ท่านก็รับสั่งให้เลี้ยง มาค้นคว้าวิจัย ใช้เวลาร่วม 10 ปี แต่ก่อนเราต้องสั่งไข่จากต่างประเทศมา แต่ตอนนี้เราสามารถฟัก พัฒนา มีพ่อพันธุ์แม่พันธุ์บนนี้ได้” 

      ท่ามกลางสายลมหนาวที่พัดพลิ้ว แต่กลับสร้างความอบอุ่นใจได้อย่างน่าประหลาด เป็นความอิ่มอุ่นใจ เมื่อได้มาเยือนสถานีเกษตรหลวงอินทนนท์ ได้มาเห็นความเป็นมาเป็นไปของที่แห่งนี้ และรอยยิ้มของทั้งเจ้าหน้าที่สถานีฯ ชาวเขา และนักท่องเที่ยว ในวันที่ความอุดมสมบูรณ์ของธรรมชาติกลับคืนมา ปราศจากต้นฝิ่น และเกษตรกรบนพื้นที่สูงมีรายได้ มีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น ด้วยพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 9 ของเรา

 

 

หนึ่งในกลยุทธ์ที่บริษัทบัตรกรุงไทย จำกัด (มหาชน) วางไว้ คือกลยุทธ์ด้านไอทีและดิจิทัล  ซี่งประกอบด้วย 3 แนวทางหลัก คือ ระบบมีความเสถียร โมเดลธุรกิจที่จับต้องได้ และกระบวนการทำงานถูกต้องและมีประสิทธิภาพ หลังจากประกาศไปไม่กี่วัน KTC ก็นำเสนอความสดใหม่ให้กับวงการด้วย โมบายแอพพลิเคชัน TapKTC โฉมใหม่ เพิ่มฟังก์ชันการใช้งานตอบโจทย์ Customer Experience ด้วยดีไซน์ที่ทันสมัย การใช้งานที่สะดวก และฟีเจอร์ที่สามารถเลือกใช้งานได้เอง นอกจากนี้ยังมาพร้อมกับทางเลือกในการยืนยันตัวตนใหม่ล่าสุดกับเทคโนโลยีสแกนม่านตา

ธศพงษ์  รังควร  ผู้อำนวยการ – ธุรกิจบัตรเครดิต “เคทีซี” หรือ บริษัท บัตรกรุงไทย จำกัด (มหาชน) ให้ข้อมูลว่า “เคทีซีเพิ่มความปลอดภัยระดับสูงสุดให้สมาชิกมั่นใจมากยิ่งขึ้น ด้วยทางเลือกในการยืนยันตัวตนหรือ อัตลักษณ์ (Biometrics) นอกเหนือจากการใช้รหัส (Pin) ที่เพิ่มความปลอดภัยด้วยแป้นพิมพ์ไดนามิค (Dynamic Keyboard) ในการล็อคอินเข้าใช้บริการตรวจสอบข้อมูลส่วนบุคคล หรือทำรายการธุรกรรมการเงินผ่านโมบาย แอพฯ “TapKTC” ทั้งการสแกนลายนิ้วมือ (Fingerprint) และใหม่ล่าสุดกับเทคโนโลยีการสแกนม่านตา (Iris) กับบริการซัมซุง พาส (Samsung Pass) ซึ่งเคทีซีนับเป็นสถาบันการเงินรายแรกและรายเดียวของเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ และที่ 3 ของโลกที่เริ่มใช้เทคโนโลยีนี้ โดยความร่วมมือกับซัมซุง ซึ่งผู้ใช้สมาร์ทโฟนซัมซุง แกแล็คซี่ (Samsung Galaxy) ที่มีอินฟราเรด สแกนม่านตา เช่น S8 / S8+ และ Note 8 สามารถใช้เทคโนโลยีนี้ได้ตั้งแต่บัดนี้เป็นต้นไป โดยที่ข้อมูลทางชีวภาพของสมาชิกจะถูกเก็บไว้อย่างปลอดภัยที่คลาวด์ (Cloud) ในชื่อ FIDO (Fast Identity Online) ไม่เก็บที่อุปกรณ์สมาร์ทโฟน (Devices) ต่างๆ เพื่อให้สอดคล้องกับนโยบายของธนาคารแห่งประเทศไทย โดยการ Log in เข้าใช้บริการ TapKTC ด้วย การสแกนม่านตา (Iris) กับบริการซัมซุง พาส (Samsung Pass) นั้น ปัจจุบันได้อยู่ในการทดลองให้บริการ Regulatory Sandbox ของ ธนาคารแห่งประเทศไทย และนับจากไตรมาสสุดท้ายของปี 2560 ต่อเนื่องถึงปี 2561 “TapKTC” จะเป็นช่องทางสำคัญในการทำกิจกรรมการตลาดเชิงรุกเข้าถึงสมาชิกที่ทรงประสิทธิภาพที่สุด ซึ่งเราเชื่อว่า “TapKTC” เป็นโมบายแอพพลิเคชันที่ดีที่สุดของวงการบัตรเครดิตในขณะนี้”

 

ในส่วนของฟีเจอร์ภายใน ปริญญา อรรถพรมงคล  ผู้จัดการอาวุโส – ธุรกิจบัตรเครดิต “เคทีซี” บอกจุดเด่นว่า “เคทีซีเพิ่มฟีเจอร์สำคัญและจำเป็นที่สมาชิกสามารถทราบข้อมูลทุกอย่างที่เกี่ยวกับบัญชีส่วนตัวได้กับลุคใหม่ที่ใช้งานง่ายและสะดวกใน My Account สามารถดูข้อมูลได้ในที่เดียว ไม่ว่าจะมีบัตรเคทีซีกี่ใบ ทั้งบัญชีบัตรหรือเช็คคะแนนสะสม การแสดงยอดเงินรวมของบัตรทุกใบที่ใช้ และวงเงินรวมคงเหลือของบัตรทุกใบ การบริหารจัดการข้อมูลที่เลือกได้เอง อาทิ การตั้งค่าแจ้งเตือนรายการเมื่อมีการใช้จ่ายผ่านบัตรโดยสามารถกำหนดยอดเงินให้ระบบแจ้งเตือน / การตั้งค่าแจ้งเตือนกำหนดชำระค่าใช้จ่ายล่วงหน้า / การอายัตบัตรชั่วคราวเมื่อสูญหาย / การกำหนดยอดการใช้จ่ายผ่านช่องทางออนไลน์ รวมถึงยังสามารถสมัครหรือปรับเปลี่ยนวิธีการรับใบแจ้งยอดค่าใช้จ่ายง่ายๆ ได้ด้วยตนเอง”

 “นอกจากนี้ ยังสามารถใช้คะแนนสะสมแลกสินค้าและบริการได้เอง ไม่ว่าจะเป็นไมล์สะสมรอยัล ออร์คิด พลัส / แอร์ เอเชีย / ฟลายเออร์ โบนัส ของบางกอก แอร์เวยส์ / การแลกรับเงินคืน (Cash back) หรือการบริจาค / การโอนคะแนนสะสมระหว่างบัตรได้ง่ายๆ โดยไม่จำกัดคะแนนขั้นต่ำในการโอน / การบริหารค่าใช้จ่ายในแต่ละเดือนให้คล่องตัวขึ้นด้วย KTC FLEXI บริการแบ่งชำระค่าสินค้าและบริการผ่านบัตรเคทีซี โดยเลือกทำรายการเองได้ทันใจผ่านบริการออนไลน์ / การเบิกถอนเงินสดออนไลน์ทันทีได้ทุกที่ตลอด 24 ชั่วโมง ผ่านบัตรเครดิตเคทีซี หรือบัตรสินเชื่อพร้อมใช้   “เคทีซี พราว” โดยเงินจะโอนเข้าบัญชีเงินฝากที่มีกับธนาคารกรุงไทย”

 

เรือนแก้ว เกษมสวัสดิ์ศรี  ผู้จัดการอาวุโส – บริหารจัดการข้อมูลลูกค้า “เคทีซี” กล่าวถึงการสร้างประสบการณ์ที่ดีกับสมาชิกผ่าน TapKTC ว่า “เคทีซีพัฒนาแอพพลิเคชันที่ตอบโจทย์และมีคุณค่ากับสมาชิกอย่างแท้จริง เน้นให้ทุกฟังก์ชันมีประโยชน์ สะดวก และไม่เป็นภาระกับผู้ใช้งาน ตามแนวคิดใหม่ของแบรนด์ เคทีซี “ทำให้ง่ายและเข้าใจง่าย” (Smart Simplicity) โดยมุ่งเน้นการสร้างประสบการณ์ที่ดีกับสมาชิก (Customer Experience) ผ่าน 3 แกนหลัก คือ 1. Smart Design ปรับเปลี่ยนรูปลักษณ์ให้ทันสมัย เรียบง่ายและสบายตา เมนูการใช้งานอยู่ในตำแหน่งที่เหมาะสม สมาชิกสามารถพบข้อมูลและฟังก์ชันที่ต้องการได้อย่างรวดเร็ว และเลือกใช้ภาษาที่เข้าใจง่าย 2. Smart Process เน้นให้สมาชิกใช้เวลาทุกขั้นตอนบนแอพพลิเคชันให้น้อยที่สุด ตัดกระบวนการที่ยุ่งยาก (Customer Pain Points) และไม่จำเป็นออก เช่น การลงทะเบียน ที่ปรับให้เหลือแค่การกรอกข้อมูลเพียง 2 ฟิลด์ หรือหน้า My account ที่สมาชิกไม่จำเป็นต้องเพิ่มข้อมูลบัญชี ข้อมูลทุกผลิตภัณฑ์ของเคทีซีจะแสดงอัตโนมัติหลังลงทะเบียนเสร็จ โดยในทุกฟังก์ชันบนแอพพลิเคชัน สมาชิกจะสามารถทำได้โดยการกด (Tap) เพียงไม่กี่ครั้ง 3. Smart Move ใช้หลักการ Business Agility คือ ปรับเปลี่ยนและอัพเดทแอพพลิเคชันอย่างสม่ำเสมอ รวดเร็ว และต่อเนื่อง รวมถึงการเพิ่มฟีเจอร์การใช้งานใหม่ๆ เป็นระยะ เพื่อให้ตรงกับความต้องการของสมาชิกที่เปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว ให้สมาชิกได้รับประสบการณ์ที่ดี และเกิดความประทับใจในระยะยาว”

                ระเฑียร ศรีมงคล ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท บัตรกรุงไทย จำกัด (มหาชน) หรือ เคทีซี เปิดเผยทิศทางธุรกิจปี 2561 ที่กำลังจะมาถึงว่า ปัจจุบันเทคโนโลยีมีการพัฒนาอย่างรวดเร็ว สถาบันการเงินของไทยก็กำลังเปลี่ยนผ่านไปสู่โลกดิจิทัล รวมถึงกฎเกฎฑ์ต่างๆ ที่มีการเปลี่ยนแปลงไป การวางกลยุทธ์ของเคทีซี จึงต้องมีการปรับเปลี่ยนให้ทันสมัยอยู่ตลอดเวลา โดยสิ่งที่เคทีซีเตรียมพร้อมมานานแล้วคือการพัฒนาบุคลากรให้สามารถรับมือกับความเปลี่ยนแปลงใหม่ๆ ที่เกิดขึ้นมาได้ อย่างไรก็ตามในการวางกลยุทธ์ธุรกิจสำหรับปี 2561 หลักๆ คือจะมีการร่วมมือกับพาร์ตเนอร์ที่มีความชำนาญในด้านต่างๆ เพิ่มมากขึ้น เพื่อใช้จุดเด่นของแต่ละฝ่ายที่มีสร้างแพลตฟอร์มที่ได้ประโยชน์ การที่เคทีซีมีการเตรียมพร้อมด้านบุคลากรมาอย่างต่อเนื่องจึงเป็นจังหวะที่ดีที่จะทำให้กิจการเติบโตในภาวการณ์ที่เปลี่ยนแปลงเช่นนี้ได้

                การปรับกลยุทธ์ด่านไอทีและดิจิทัลของเคทีซีเพื่อสนับสนุนประเทศไทยสู่สังคมไร้เงินสด มี 3 แนวทางหลัก คือ ระบบต้องมีความเสถียร โมเดลธุรกิจที่จับต้องได้ และกระบวนการทำงานถูกต้องและมีประสิทธิภาพ ในขณะที่พันธมิตรที่เคทีซีมุ่งขยายความร่วมมือจะเป็นผู้ที่มีความรู้ความเชี่ยวชาญในธุรกิจนั้นๆ และพร้อมที่จะร่วมทำงานกับเคทีซี ไม่ว่าจะเป็นด้านการตลาด สตาร์ทอัพ ฟินเทค หรือร้านค้าต่างๆ

                ปิยะฉัตร เตชะเสน รองประธานเจ้าหน้าที่บริหารอาวุโส ช่องทางจัดจำหน่ายและธุรกิจร้านค้า เคทีซี เปิดเผยว่า กลยุทธ์ของธุรกิจช่องทางจัดจำหน่ายและธุรกิจการค้าที่ผ่านมามีการปรับปรุงระบบหลังบ้านเพื่อช่วยในขั้นตอนการสมัครสมาชิก การเน้นกลุ่มลูกค้าเงินเดือน 30,000 บาทขึ้นไป โดยบริษัทจะช่วยผู้ขายในการชี้เป้าหมายกลุ่มนี้เพิ่มขึ้น  เน้นช่องทางออนไลน์ในการรับสมัครผ่านแอพพลิเคชันและคิวอาร์โค้ดตอบรับการใช้ชีวิตของคนรุ่นใหม่ เพื่อเพิ่มช่องทางต่อเนื่องจากช่องทางหลักของเคทีซีคือสาขาของธนาคารกรุงไทยและตัวแทนขาย

                ในส่วนของร้านค้า จะมีการปรับใช้เทคโนโลยี Payment Solution ที่หลากหลายให้เหมาะกับแต่ละร้านค้าและช่วยให้ร้านค้าสามารถบริหารต้นทุนของตนเองได้ดีขึ้น และจะเจาะขยายร้านค้าขนาดกลางและเล็กด้วย QR Code Payment ขณะที่ตลาดนักท่องเที่ยวจีนซึ่งเติบโตอย่างรวดเร็ว ก็จะนำเสนอ Alipay O2O (Onlinte to Offline) เพื่อเร่งขยายจุดรับชำระค่าสินค้าและบริการตามแหล่งท่องเที่ยวที่ได้รับความนิยมจากกลุ่มนักท่องเที่ยวจีน

                พิทยา วรปัญญาสกุล รองประธานเจ้าหน้าที่บริหาร  ธุรกิจบัตรเครดิต เคทีซี บอกถึงกลยุทธ์ธุรกิจบัตรเครดิตว่า ยังคงเน้นกลยุทธ์ที่ใช้มาอย่างต่อเนื่องคือ เน้นที่ความต้องการของลูกค้า การร่วมมือกับพันธมิตรต่างๆ เน้นการสร้างความสัมพันธ์กับลูกค้าในระยะยาว ผ่านโปรแกรมคะแนนสะสมและการผ่อนชำระ

                การปรับธุรกิจให้ตรงกับความต้องการของลูกค้าเป็นสิ่งที่ต้องทำให้ทันท่วงทีเพื่อการเติบโตอย่างแข็งแรงโดยใช้เทคโนโลยีมาช่วยขับเคลื่อน เพื่อให้ลูกค้าเกิดความผูกพัน และเลือกใช้บัตรเครดิตเคทีซี รวมถึงการสื่อสารผ่านช่องทางต่างๆ ทั้งออฟไลน์และออนไลน์ ซึ่งจะมีการพัฒนาให้เห็นในอีกไม่นานนี้

                สุดาพร จันทร์วัฒนากุล รองประธานเจ้าหน้าที่บริหาร ธุรกิจสินเชื่อบุคคล เคทีซี เล่ากลยุทธ์การตลาดธุรกิจสินเชื่อบุคคลโดยเริ่มจากสถาพตลาดโดยรวมมีการแข่งขันที่สูง มีคู่แข่งหน้าใหม่เข้ามาในตลาด รวมถึงกฎกติกาใหม่ๆ ของธนาคารแห่งประเทศไทย ทำให้ต้องปรับกลยุทธ์การขยายฐานลูกค้า โดยจะเน้นกลุ่มที่มีรายได้ 30,000 บาทขึ้นไป เพราะไม่มีการจำกัดวงเงินและจำนวนสถาบันการเงิน

                ในกลุ่มที่รายได้ต่ำกว่า 30,000 บาทต่อเดือน ซึ่งเป็นกลุ่มที่สำคัญ โดยเฉพาะผู้ที่เพิ่งจบการศึกษาและเริ่มทำงานประจำ ก็จะใช้ KTC Proud ให้เป็นบัตรใบแรกของลูกค้า และจะพัฒนาคุณสมบัติและบริการสินเชื่อพร้อมใช้ของ KTC Pround ให้ตอบโจทย์สมาชิกมากขึ้น ผ่านช่องทางออนไลน์ เช่น Cash Online เบิกถอนเงินสดผ่านโทรศัพท์มือถือและเว็บไซต์เคทีซี สำหรับผู้มีบัญชีเงินฝากกับธนาคารกรุงไทย นอกจากนี้ยังมีแผนการตลาดเพื่อรักษาฐานลูกค้ากว่าแปดแสนรายให้ใช้บริการเคทีซี เช่น โปรแกรมแบ่งเบาภาระหนี้ และค่าครองชีพ คอร์สการให้ความรู้เพื่อเสริมสร้างรายได้ การพัฒนาคุณภาพชีวิตด้านต่างๆ

                ชุติเดช ชยุติ รองประธานเจ้าหน้าที่บริหาร สายงานคอร์ปอเรทไฟแนนซ์ เคทีซี กล่าวถึงกลยุทธ์บริการการเงินของเคทีซีว่า แม้จะมีกฎเกณฑ์ใหม่ๆ ออกมา แต่เคทีซีก็มีการเตรียมความพร้อมรับมือเช่น มาตรฐานบัญชี IFRS9 ที่จะประกาศใช้ในปี 2562 เคทีซีก็มีการสอบทานโมเดลที่ใช้ในการคำนวณสำรองว่ามีความสอดคล้อง และเป็นไปตามแนวทางของมาตรฐานนี้แล้ว  กลยุทธ์การบริหารด้านการเงินของเคทีซีในปี 2561 จะยังเน้นการบริหารต้นทุนเงินให้เกิดประโยชน์สูงสุด ทั้งการหาต้นทุนเงินที่ต่ำ และเพิ่มสัดส่วนเงินกู้ระยะยาวมากขึ้น รวมถึงมีแผนออกหุ้นกู้ระยะยาวเพื่อทดแทนหุ้นกู้ที่จะครบกำหนดในปีหน้า

                โดยเคทีซียังคงความสามารถในการสร้างรายได้และทำกำไร รวมถึงควบคุมสัดส่วนหนี้ที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้ให้อยู่ในระดับใกล้เคียงเดิม โดยกำไรของปี 2560 ยังจะเติบโต 10 เปอร์เซ็นต์ตามที่วางเป้าหมายไว้

                ระเฑียรสรุปว่า วันนี้เคทีซีพร้อมเกือบ 100 เปอร์เซ็นต์สำหรับรองรับแพลตฟอร์มงานดิจิทัล และเชื่อว่าลูกค้าจะได้รับบริการด้านดิจิทัลที่ดีที่สุดของวงการบัตรเครดิตในขณะนี้ และพร้อมจะให้สมาชิกเคทีซีและลูกค้าในอนาคตเป็นผู้พิสูจน์ เพื่อให้เคทีซีมีโอกาสปรับปรุงและพัฒนางานให้ดียิ่งขึ้น เพราะความพึงพอใจของลูกค้าจะช่วยสร้างความผูกพันกับแบรนด์เคทีซีอย่างยั่งยืน และเคทีซีพร้อมจะนำเสนอให้ลูกค้าได้ประโยชน์ครบทุกความต้องการ 

 

รายงาน“การกลับสู่ความมั่งคั่งที่ยั่งยืน : ครบรอบ 10 ปีหลังมหภาควิกฤตเศรษฐกิจโลกและนโยบายฟื้นฟู” (Beyond Austerity: Towards a Global New Deal)

 สาระสำคัญของรายงานการค้าและการพัฒนา 2017 สามารถแบ่งออกเป็นหัวข้อต่าง ๆ ได้ ดังนี้

  1. ภาวะเศรษฐกิจโลก (Global Economy)

เศรษฐกิจโลกในภาพรวมกำลังส่งสัญญาณฟื้นตัวอย่างค่อยเป็นค่อยไป โดยที่การดำเนินกิจกรรมทางเศรษฐกิจในกลุ่มประเทศพัฒนาแล้วอันปราศจากการฟื้นตัวที่เข้มแข็ง ประกอบกับความผันผวนรอบใหม่ของการเคลื่อนย้ายเงินทุนโลก ได้จำกัดการเติบโตทางเศรษฐกิจในกลุ่มประเทศกำลังพัฒนา แต่ก็มีความแตกต่างระดับภูมิภาคและประเทศที่สูง ขณะที่หากจำแนกตามภูมิภาคและประเทศแล้ว ก็จะสะท้อนภาพที่แตกต่างหลากหลายกันไป กล่าวคือ ในช่วงปี 2016 อัตราการเติบโตของเศรษฐกิจโลกมาอยู่ในช่วงบวกได้ โดยการสนับสนุนของการกลับมาฟื้นตัวตามรอบวัฏจักรของเศรษฐกิจในยุโรปตะวันตกและญี่ปุ่นในช่วงปลายปี แต่ทั้งหมดก็ยังถือว่ามีความเปราะบาง เนื่องจากสหรัฐอเมริกากลับมีสัญญาณการชะลอตัวในช่วงปลายปีดังกล่าว และต่อเนื่องมาถึงปี 2017 ด้วยการขยายตัวของผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศเพียงร้อยละ 1.4 ในไตรมาสแรกของปี ขณะเดียวกัน การเติบโตทางเศรษฐกิจของกลุ่มประเทศยุโรป หรือยูโรโซน ก็มีความแตกต่างกันอย่างมาก โดยประเทศระหว่างเมืองหลวงและเมืองเล็กๆ ที่มีอัตราการว่างงานที่สูงมากอย่างต่อเนื่อง และกำลังกลายเป็นปัญหาสังคมที่รุนแรงขึ้น แต่ประเทศแกนหลัก เช่น ยุโรปตะวันตก อเมริกา และญี่ปุ่นกลับมีอัตราการเติบโตที่ถดถอยลงเป็นลำดับ แม้จะมีอัตราการว่างงานที่ลดลงอย่างมีนัยสำคัญก็ตาม (ยกเว้นกรณีของประเทศกรีซ และสเปน) ส่วนเศรษฐกิจของสหราชอาณาจักร ก็ยังคงเติบโตได้เกินคาดหมายในช่วงครึ่งหลังของปี 2016 อันเป็นผลมาจากการลดลงของมูลค่าสกุลเงินปอนด์ อันส่งผลให้เกิดการทะยานขึ้นของการส่งออก คู่ขนานกับการเพิ่มขึ้นของการใช้จ่ายภาคครัวเรือน ซึ่งขับเคลื่อนโดยการกู้ยืมของผู้บริโภคที่สูงขึ้น และราคาบ้านที่พุ่งสูงขึ้นเช่นกัน

ในส่วนของภาคพื้นเอเชีย-แปซิฟิกพบว่า การเติบโตทางเศรษฐกิจยังดำเนินไปได้ต่อเนื่อง แม้ว่าอาจต่ำกว่าค่าเฉลี่ยเทียบกับแนวโน้มในอดีตของเศรษฐกิจภูมิภาคไปบ้าง โดยมีอัตราการเติบโตที่ร้อยละ 4.9 ในปี 2016 และคาดว่าจะยังเติบโตได้อีกที่ร้อยละ 5 ในปี 2017 ซึ่งในช่วงที่ผ่านมา ผลการดำเนินงานทางเศรษฐกิจของภูมิภาคขึ้นอยู่กับเศรษฐกิจขนาดใหญ่ที่สุดของสองประเทศ ได้แก่ จีน และอินเดีย อย่างไรก็ตาม แม้การเติบโตของเศรษฐกิจทั้งสองประเทศจะยังเติบโตได้ดี แต่ก็ถือว่าอยู่ในอัตราที่ช้าลงเทียบกับก่อนวิกฤติเศรษฐกิจ และยังต้องเผชิญกับความเสี่ยงที่มีผลต่อการชะลอตัวทางเศรษฐกิจในระยะข้างหน้าด้วย โดยในส่วนของจีนเอง รัฐบาลได้ริเริ่มมาตรการที่พยายามจะควบคุมระดับหนี้ที่เพิ่มขึ้น อย่างไรก็ตาม การดำเนินมาตรการดังกล่าวจะส่งผลให้เกิดการหดตัวของอุปสงค์ภายในประเทศ และส่งผลกระทบเชิงลบต่อส่วนที่เหลือของภูมิภาคได้ ขณะที่อินเดียก็ยังต้องดำเนินการปรับโครงสร้างและระบบการคลังซึ่งกำลังเผชิญกับปัญหาทรัพย์สินด้อยคุณภาพ รวมถึงมีสัญญาณการลดลงของการสร้างสินเชื่อใหม่ ทำให้ผลการดำเนินงานด้านการเติบโตทางเศรษฐกิจยังมีอุปสรรคต่อไป ขณะที่ประเทศเศรษฐกิจอุบัติใหม่เช่นประเทศอินเดียที่ถือเป็นประเทศกำลังพัฒนาของภูมิภาคกำลังเผจิญกับการปฐิรูปและปรับระบบบริหารเงินโดยมาตรการ “Demonetization”ที่เปลี่ยนเป็นระบบการการเงินออนไลน์แทนการใช้ธนบัตรเงินที่ธนาคารแห่งชาติเดิมเป็นผู้ออก ซึ่งรัฐบาลอินเดียได้เริ่มประกาศใช้ในเดือนพฤศจิกายน พ.ศ. 2559 ที่แล้ว ในส่วนของเศรษฐกิจประเทศญี่ปุ่น เป็นการฟื้นตัวต่อยอดจากช่วงเวลายาวนานของการเติบโตทางเศรษฐกิจที่ต่ำ อันเป็นผลมาจากการขับเคลื่อนด้วยการส่งออกที่ปรับขึ้นบนพื้นฐานของมูลค่าของสกุลเงินเยนที่ปรับตัวสู่ความเป็นจริง ภายหลังที่มีการบริหารค่าเงินเยนที่เอื้ออำนวยต่อการค้า (Over-valuation of Currency) มาเป็นเวลานานก็กำลังเริ่มเคลื่อนออกจากภาวะถดถอยทางเศรษฐกิจตั้งแต่ช่วงเริ่มต้นของปี 2017 แต่อัตราการเติบโตก็ยังคงอยู่ในระดับที่ค่อนข้างต่ำและเปราะบางเช่นกัน

เมื่อพิจารณาภาวะเศรษฐกิจของภูมิภาคละตินอเมริกาและกลุ่มประเทศแคริบเบียนคาดว่า จะสามารถมีอัตราเติบโตในแดนบวกได้ในปีนี้ แม้ว่าจะเป็นการเติบโตตามหลังช่วงเวลาสองปีของการหดตัวทางเศรษฐกิจในปี 2015 และ 2016 ก็ตาม โดยกลุ่มประเทศอเมริกาใต้คาดว่าจะเติบโตที่ร้อยละ 0.6 แต่กลุ่มประเทศแคริบเบียนน่าจะเติบโตในอัตราสูงกว่าที่ร้อยละ 2.6 โดยสถานการณ์ทางการเมืองที่ขาดเสถียรภาพในบราซิลกับอาร์เจนตินา ผนวกกับราคาสินค้าโภคภัณฑ์ที่ยังคงตกต่ำต่อเนื่อง รวมถึงความไม่แน่นอนของเศรษฐกิจเม็กซิโก ที่ต้องเผชิญกับแรงกดดันจากเงินเฟ้อ การตัดลดงบประมาณรายจ่ายภาครัฐ และนโยบายที่ไร้ทิศทางของรัฐบาลสหรัฐอเมริกา ภายใต้การนำของประธานาธิบดีคนใหม่ นายโดนัลด์ ทรัมป์ ล้วนเป็นปัจจัยเสี่ยงทางเศรษฐกิจของภูมิภาคทั้งสิ้น

ในท้ายที่สุด ภูมิภาคแอฟริกาได้รับผลกระทบเชิงลบจากราคาน้ำมันที่ลดลง และการสิ้นสุดของช่วงรุ่งเรืองของสินค้าโภคภัณฑ์ในปี 2014 อันส่งผลให้อัตราการเติบโตของภูมิภาคลดลงจากร้อยละ 3 ในปี 2015 เหลือเพียงร้อยละ 1.5 ในปี 2016 มีเพียงแอฟริกาตะวันออกเท่านั้นที่ยังคงสามารถเติบโตสูงกว่าร้อยละ 5 ในปี 2016 แม้ว่าจะยังมีความแตกต่างอย่างมีนัยสำคัญเมื่อเทียบอัตราการเติบโตในระดับประเทศ โดยประเทศไอโวรี โคสท์ และเอธิโอเปีย เติบโตสูงกว่าร้อยละ 7 ขณะที่โมร็อคโค และแอฟริกาใต้ เติบโตเพียงร้อยละ 1.1 และ 0.3 โดยในกรณีของแอฟริกาใต้อาจเข้าสู่ภาวะถดถอยด้วยในอนาคตอันใกล้ เนื่องจากภาคอุตสาหกรรมและการค้าประสบกับภาวะชะลอตัวอย่างชัดเจน แม้บางส่วนจะได้รับการชดเชยจากการขยายตัวในภาคเกษตรและเหมืองแร่อยู่บ้าง ส่วนประเทศอย่างไนจีเรียและกินี ต้องประสบกับภาวะเศรษฐกิจถดถอยที่อัตราร้อยละ 1.5 และร้อยละ 7 ตามลำดับ เนื่องจากต่างล้มเหลวที่จะกระจาย ความเสี่ยงทางเศรษฐกิจ และยังคงพึ่งพาการสร้างรายได้จากสินค้าเพียงไม่กี่ประเภท

  1. แหล่งความเจริญเติบโตของโลกใหม่ที่เป็นอุปสงค์ของโลกจะมาจากที่ใด?

ในช่วงที่ผ่านมา เศรษฐกิจของสหรัฐอเมริกายังคงดำเนินไปในสถานะของการเป็นประเทศหลักในการขับเคลื่อนอุปสงค์ของโลก โดยการนำเข้าสินค้าและบริการจากประเทศต่าง ๆ ทั่วโลก รวมถึงการสร้างภาวะขาดดุลบัญชีเดินสะพัดในระดับสูง อย่างไรก็ตาม ด้วยความต้องการเงินดอลลาร์สหรัฐในฐานะเงินสกุลหลักของโลกที่ต้องถือไว้เป็นเงินทุนสำรองระหว่างประเทศ ความสัมพันธ์ทางเศรษฐกิจระหว่างสหรัฐอเมริกากับอารยประเทศก็จะยังราบรื่นต่อไป ขณะเดียวกัน ภาวะการเกินดุลบัญชีเดินสะพัดของจีน ซึ่งเคยสูงที่สุดในโลกจนถึงประมาณปี 2553 กำลังทยอยลดระดับลงเป็นลำดับอย่างรวดเร็ว แต่เยอรมนีกลับกลายเป็นประเทศที่สามารถเพิ่มการเกินดุลบัญชีเดินสะพัดได้ดีจนสามารถมาแทนที่จีนได้ในฐานะประเทศที่มีการเกินดุลบัญชีเดินสะพัดสูงที่สุดในโลกได้ในที่สุด แต่ไม่ว่าจะด้วยเหตุผลใดก็ตาม การลงทุนระยะยาวที่มีนัยสำคัญทางเศรษฐกิจ และสามารถสร้างการเติบโตของประเทศที่มีรายได้ต่ำ น่าจะเป็นแนวทางที่ทำให้อุปสงค์ของโลกฟื้นตัวได้ดีที่สุด โดยมาตรการที่น่าสนใจและควรค่าแก่การเอ่ยถึงมากที่สุดในห้วงเวลานี้ ประกอบด้วย แผนฟื้นฟูเศรษฐกิจ (Marshall Plan) ของประเทศเยอรมนี ที่มุ่งสนับสนุนการขยายการลงทุนภาคเอกชนในแอฟริกา และการลงทุนเพื่อพัฒนาเส้นทางสายไหมแห่งศตวรรษที่ 21 (One Belt, One Road: OBOR) ของจีน ก็ถือเป็นโครงการขนาดใหญ่มากที่อาจต้องใช้เงินลงทุนสูงถึง 9 แสนล้านเหรียญสหรัฐ แต่การดำเนินงานจะประสบความสำเร็จได้ ก็ขึ้นอยู่กับหลายปัจจัย โดยเฉพาะความสามารถของจีนในการจัดการกับความไม่สมดุลทางเศรษฐกิจภายในประเทศ และวิธีการระดมเงินทุนในการขับเคลื่อนการลงทุนทั้งในระยะและพื้นที่ต่าง ๆ ที่จะไปเชื่อมโยงกับประเทศอื่น ๆ ทั้งในส่วนที่เข้าร่วมลงทุน และที่ได้รับอานิสงส์จากการพัฒนาเส้นทางข้างต้น

  1. ช่วงเวลาแห่งการทดสอบสำหรับการค้าและการเคลื่อนย้ายเงินทุน

การค้าโลกมีแนวโน้มที่จะขยายตัวในปีนี้จากผลการดำเนินงานที่ตกต่ำในปี 2016 แต่ยังคงมีข้อกังขาเกี่ยวกับความยั่งยืนของการเพิ่มขึ้นจากการส่งออกของประเทศกำลังพัฒนา (Developing Economies) ที่เป็นสาเหตุพื้นฐานของการปรับตัวที่ดีขึ้นดังกล่าว แต่ด้วยอุปสงค์ของโลกที่ยังอ่อนแอ การค้าโลกยังไม่น่าจะเป็นปัจจัยกระตุ้นสำคัญสำหรับการเติบโตทางเศรษฐกิจได้ ยกเว้นในเพียงบางประเทศเท่านั้นที่อาจได้รับประโยชน์จากสถานการณ์พิเศษ ขณะที่ราคาสินค้าโภคภัณฑ์ ซึ่งเพิ่มขึ้นตั้งแต่ปีก่อนหน้าจนถึงช่วงต้นปีนี้ ก็ส่งผลให้มีการส่งออกสินค้าโภคภัณฑ์ในประเทศกำลังพัฒนาเพิ่มขึ้น ได้บ้างเช่นกัน อย่างไรก็ตาม แนวโน้มดังกล่าวก็กำลังเริ่มคลายตัวลงแล้ง และยังอยู่ในระดับที่ต่ำกว่าราคาเฉลี่ยในช่วงทศวรรษแรกของศตวรรษอยู่มาก นอกจากนี้ ราคาสินค้าจำพวกเหล็กก็ลดลงเช่นกัน อันเป็นผลมาจากอุปสงค์ที่อ่อนลงของภาคการผลิตในสหรัฐอเมริกา ในทำนองเดียวกัน ท่ามกลางสภาพแวดล้อมของเศรษฐกิจโลกที่เต็มไปด้วยความท้าทายและคาดการณ์ได้ยากนั้น ความพยายามที่จะสร้างเศรษฐกิจและสังคมที่มีส่วนร่วมอย่างทั่วถึงจะต้องมีการเร่งรัดมากขึ้น ประกอบกับการฟื้นฟูระบบการค้าแบบพหุภาคีที่สามารถมีแรงผลักดันให้เกิดการขับเคลือใหม่เพื่อฟื้นฟู (Renewed Momentum) และสามารถกระจายผลประโยชน์ให้กับทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้องได้อย่างทั่วถึง ย่อมมีนัยสำคัญต่อการบรรลุเป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืนในระยะข้างหน้า อย่างไรก็ตาม การจะทำให้การดำเนินการข้างต้นประสบผลสำเร็จได้ ประชาคมโลกก็จำเป็นต้องสามารถก้าวข้ามประเด็นที่เป็นอุปสรรคสำคัญต่อไปนี้

  • การครอบครองตลาดและอำนาจในลัษณะกึ่งผูกขาดโดยผู้ประกอบการรายใหญ่ในตลาด (Market Concentration) เพื่อแสวงหากำไรจากการเก็บค่าเช่าหรือค่าธรรมเนียม เพื่อแลกกับการใช้สิทธินั้นๆ ว่าจะเป็นทรัพย์สินหรือสิทธิทางการค้า (Rent-extracting Behavior) โดยอาศัยกลยุทธ์ต่าง ๆ อาทิ การหลบเลี่ยงภาษี การใช้กลยุทธ์การแข่งขั้นที่สร้างความได้เปรียบอย่างไม่ชอบธรรมเพื่อลดคู่แข่ง และการเข้าถึงแหล่งเงินทุนของภาครัฐโดยใช้ช่องว่างทางกฎหมาย (ทั้งในส่วนของสินทรัพย์และเงินอุดหนุน) ซึ่งถือเป็นกำไรของสังคมที่ควรมีการจัดสรรอย่างเป็นธรรม แต่ด้วยปรากฏการณ์ข้างต้นจะทำให้ไปตกอยู่ในมือของกลุ่มคนส่วนน้อยในสังคม เป็นการซ้ำเติมและก่อให้เกิดปัญหาความเหลื่อมล้ำที่เรื้อรัง ซึ่งได้เกิดมาตั้งแต่ 3 ทศวรรษก่อนหน้า นับจากยุคโลกาภิวัตน์แบบรุนแรง (Hyper-globalization)
  • การเปลี่ยนแปลงทางเทคโนโลยี หรือการดำเนินนโยบายของภาครัฐ ที่นำไปสู่การหยุดยั้งการสร้างงานใหม่ ก่อให้เกิดการจัดสรรงานที่ไม่เสมอภาค โดยเฉพาะในกลุ่มสตรีและกลุ่มผู้ด้อยโอกาส ที่อาจได้รับผลกระทบมากที่สุด อันสะท้อนถึงการเลือกปฏิบัติทางสังคมที่ซ้ำซากอย่างที่เคยเกิดขึ้นมาแล้ว ส่งผลต่อการเพิ่มขึ้นของความวิตกกังวลของประชาชนในสังคม
  • การเอารัดเอาเปรียบทางการค้าและการลงทุนโดยอาศัยกฎหมายทางทรัพย์สินทางปัญญา (IPR) เป็นเครื่องมือในการสร้างความได้เปรียบ เพื่อปกป้องผลประโยชน์ทางเศรษฐกิจของตนเองที่เกินควร ของบรรดาบริษัทข้ามชาติที่มาค้าขายหรือลงทุนในประเทศกำลังพัฒนาที่ไม่มีกฏหมายทางทรัพย์สินทางปัญญา (IPR) หรือมีระบบกฎหมายที่ไม่เท่าเทียมกัน ทั้งนี้ส่งผลกระทบโดยตรงไปถึงพลวัตทางนวัตกรรมในเศรษฐกิจอุบัติใหม่ที่สำคัญ อาทิ ประเทศบราซิล จีน และอินเดีย

ทั้งนี้ สิ่งที่จะมีบทบาทสำคัญและส่งผลต่อการตัดสินและบ่งชี้ทิศทางการพัฒนาการค้าและการเคลื่อนย้ายเงินทุนในอนาคตก็คือ การกำหนดและดำเนินนโยบายภาคอุตสาหกรรมที่คำนึงถึงวิวัฒนาการของยุคสมัยไปสู่ระบบดิจิทัล (Digital Industrial Policies) อย่างมีประสิทธิผล การส่งเสริมศักยภาพของระบบดิจิทัลให้เร่งรัดการเติบโตของผลิตภาพ และสร้างการเติบโตทางเศรษฐกิจของโลกที่เป็นธรรมและยั่งยืนมากขึ้น รวมถึงการสร้างโอกาสในการทำงานของภาคอุตสาหกรรม ควบคู่กับการใช้นโยบายการคลังแบบขยายตัวอย่างเหมาะสม อันจะก่อให้เกิดการยกระดับอุปสงค์ของแรงงาน และลดภาวะการแข่งขันในตลาดแรงงานลง

  1. ก้าวต่อไปข้างหน้า: สู่ข้อตกลงใหม่ของโลก

โดยสรุป การที่โลกจะสามารถก้าวเข้าสู่การพัฒนาระบบเศรษฐกิจที่มีส่วนร่วมอย่างทั่วถึงได้ จะต้องอาศัยวาระที่ชัดเจนและครอบคลุมองค์ประกอบต่าง ๆ ที่ครบถ้วน อันนำไปสู่การจัดการปัญหาสำคัญ ประกอบด้วย ความเหลื่อมล้ำทั้งในระดับโลกและประเทศ ไม่ว่าจะเป็นในมิติของการขับเคลื่อนทรัพยากร องค์ความรู้ทางเทคโนโลยี อำนาจตลาด และอิทธิพลทางการเมือง ซึ่งเกิดขึ้นจากโลกาภิวัตน์แบบรุนแรง เพราะปัญหาทั้งหมดข้างต้นก่อให้เกิดการสร้างผลที่ตามมาในลักษณะเฉพาะเจาะจงและขัดขวางการเข้าถึงของบางฝ่ายอย่างถาวร ดังนั้น สิ่งที่โลกต้องการก็คือ กลยุทธ์ที่มุ่งสู่การขยายตัวทางเศรษฐกิจบนพื้นฐานของการประสานประโยชน์ระหว่างกัน โดยอาศัยการเพิ่มรายจ่ายภาครัฐ และสามารถทำให้ทุกประเทศมีโอกาสที่จะได้รับประโยชน์ไปด้วยกันในการขยายตลาดทั้งภายในและภายนอกประเทศของตนเอง และการสร้างฉันทามติของทุกประเทศที่จะก่อให้เกิดการผสานด้านทรัพยากร นโยบาย และการปฏิรูปอย่างเหมาะสมที่จะนำไปสู่การผลักดันการลงทุนที่จำเป็น และส่งเสริมผลการดำเนินงานที่ทำให้ทุกฝ่ายได้รับประโยชน์อย่างทั่วถึง ทั้งในระดับโลกและระดับประเทศ

ความท้าทายสำคัญ 3 ประการที่จะต้องดำเนินงานเชิงนโยบายและก้าวข้ามให้ได้ ประกอบด้วย ความเหลื่อมล้ำ แรงกดดันด้านการเปลี่ยนแปลงประชากร และปัญหาสิ่งแวดล้อม แต่องค์ประกอบสำคัญของนโยบายดังกล่าว ซึ่งมาจากข้อตกลงใหม่บางประการของอดีตประธานาธิบดีรูสเวลท์ (Roosevelt’s New Deal) แห่งสหรัฐอเมริกา ได้แก่

  • การยกเลิกมาตรการรัดเข็มขัดทางการคลัง (Ending Austerity) ถือเป็นเงื่อนไขเบื้องต้นที่สำคัญสำหรับการสร้างเศรษฐกิจที่ยั่งยืนและมีส่วนร่วมอย่างทั่วถึง โดยจะต้องมีการดำเนินนโยบายในแนวทางใหม่ที่แตกต่างออกไป เช่น นโยบายการคลัง ที่สามารถจัดการกับอุปสงค์และทำให้การจ้างงานที่สมบูรณ์เป็นเป้าหมายเชิงนโยบายสูงสุด และนโยบายการเงินที่สามารถอำนวยความสะดวกในการระดมทุนเพื่อการลงทุนของภาครัฐที่เหมาะสม เป็นต้น ทั้งนี้ เนื่องจากทั้งการลงทุนในโครงสร้างพื้นฐานและการจ้างงาน ล้วนมีความสำคัญต่อการลดสภาวะที่ไม่สมดุลของภูมิภาค ที่ได้ก่อเกิดขึ้นทั้งในประเทศพัฒนาแล้วและประเทศกำลังพัฒนา
  • การยกระดับการลงทุนภาครัฐที่มีมิติของภาคสังคมและสิ่งแวดล้อมมากขึ้น โดยเฉพาะในส่วนที่เกี่ยวกับการปรับตัวเข้ากับสภาวะการเปลี่ยนแปลงภูมิอากาศ และการส่งเสริมโอกาสทางเทคโนโลยี ภายใต้กรอบความตกลงด้านภูมิอากาศแห่งปารีส รวมถึงการจัดการกับปัญหามลภาวะ และการร่อยหรอลงของทรัพยากรธรรมชาติ การเปลี่ยนแปลงด้านประชากรและสังคม การจัดหาบริการดูแลเด็กและผู้สูงวัย การลงทุนภาครัฐควรได้รับการออกแบบให้สามารถสร้างและดึงดูดการลงทุนจากภาคเอกชนมากขึ้น โดยครอบคลุมถึงวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อมและสหกรณ์ด้วย
  • การเพิ่มรายได้รัฐบาล เป็นหนึ่งในหลักประกันของสังคม ในการคืนความสมดุลและความมั่งคั่งให้กับประเทศ ที่ต้องมีการพึ่งพาการบังคับใช้ภาษีแบบก้าวหน้า (Progressive Taxes) ให้มากขึ้น อาทิ ภาษีทรัพย์สิน เพื่อจัดการกับปัญหาความเหลื่อมล้ำด้านรายได้ของประชาชน นอกจากนี้ ยังต้องต่อสู้กับปัญหาการละเว้นและช่องโหว่ด้านภาษีที่มิชอบ และการใช้ประโยชน์จากเงินอุดหนุนของธุรกิจเอกชนในทางที่ผิดอีกด้วย
  • การจัดระบบเพื่อควบคุมสถาบันทางการเงินนอกระบบ ที่เอื้อต่อการเหลีกเลียงภาษี (Tax haven) เช่นมาตรการการจดทะเบียนและสร้างทำเนียบสถาบันทางการเงินที่เกี่ยวข้อง โดยจะต้องมีการดำเนินการทางกฎหมายทั้งในระดับประเทศและระหว่างประเทศ เพื่อจัดตั้งระบบจดทะเบียนทางการเงินของโลกที่สามารถบันทึกข้อมูลเกี่ยวกับเจ้าของสินทรัพย์ทางการเงินจากทั่วโลกได้
  • การสนับสนุนให้มีการก่อตั้งสหภาพแรงงานที่ถูกต้องทางกฎหมาย และสามารถเป็นตัวแทนพนักงานในการต่อรองกับนายจ้างหรือนายทุน เพื่อให้เกิดความมั่นคงในการประกอบอาชีพการงานอย่างยั่งยืน โดยให้สหภาพแรงงานมีสิทธิเสรีภาพมากขึ้น ผนวกกับการดำเนินมาตรการเสริมที่เหมาะสม เช่น การดำเนินการทางกฎหมาย (อาทิ การจัดให้มีสัญญาจ้างงานนอกระบบ) มาตรการที่ส่งเสริมการดำเนินงานของตลาดแรงงาน และการจัดตั้งกลไกหรือกองทุนที่สนับสนุนรายได้ส่วนเพิ่ม เป็นต้น
  • การพัฒนาเครื่องมือการเงินและการลงทุนที่ส่งเสริมการพัฒนาเศรษฐกิจอย่างมีความรับผิดชอบต่อสังคม โดยจะต้องผลักดันให้สถาบันการเงินมีบทบาทในการดึงดูดหรือสนับสนุนการลงทุนที่รับใช้สังคม และก่อให้เกิดประโยชน์สูงสุดต่อส่วนรวม
  • การเพิ่มแหล่งเงินทุนให้กับรัฐที่มีความประสงค์ในการพัฒนาประเทศ เพื่อจะลดช่องว่างเชิงสถาบันในด้านการปรับโครงสร้างหนี้ของประเทศต่าง ๆ โดยเฉพาะในรูปของการสนับสนุนความช่วยเหลือด้านการพัฒนาอย่างเป็นทางการ (Official Development Assistance: ODA) ที่บรรลุเป้าหมายอย่างแท้จริง
  • มาตราการการป้องกันการแสวงหากำไรที่ไม่เป็นธรรมในทางเศรษฐกิจของบริษัทเอกชน (ระบบทุนนิยมในลักษณะผูกขาดหรือกึงผูกขาด) ต้องมีการดำเนินมาตรการที่หยุดยั้งแนวปฏิบัติทางธุรกิจที่มีลักษณะจำกัดขอบเขตหรือรวบรัดอำนาจของตลาด ตัวอย่างเช่น การพัฒนากลไกระหว่างประเทศสำหรับการกำกับดูแลแนวปฏิบัติทางธุรกิจที่เอื้อให้เกิดการแข่งขันที่เท่าเทียมกัน การบังคับใช้กฎหมายอย่างเคร่งครัดกับบริษัทขนาดใหญ่ให้เปิดเผยและรายงานข้อมูลทางธุรกิจต่อทางการ การพัฒนาแนวทางและนโยบายจากแนวปฏิบัติอันเป็นเลิศในระดับระหว่างประเทศ และการกำหนดนนโยบายการแข่งขันที่มุ่งส่งเสริมความเป็นธรรมทางเศรษฐกิจ ฯลฯ
  • การส่งเสริมเพื่อการรักษากฎหมายและพันธะผูกพันการค้าและการลงทุนระหว่างประเทศ และมาตรการต่างๆ ที่เป็นธรรมต่อทุกๆฝ่าย ทันสมัย โปร่งใส และครอบคลุม (balanced) โดยจะปกป้องสิทธิของประเทศกำลังพัฒนาโดยเฉพาะจะต้องมีการยกเครื่องและสร้างระบอบการลงทุนระหว่างประเทศใหม่ โดยเฉพาะในส่วนที่เชื่อมโยงไปถึงการปฏิรูปนโยบายการลงทุนและทรัพย์สินทางปัญญาที่สร้างอุปสรรคต่อการแข่งขัน ขณะเดียวกัน ระบบการระงับข้อพิพาทและไกล่เกลี่ยความขัดแย้งที่เกิดจากการลงทุนระหว่างประเทศก็ต้องได้รับการปรับปรุงด้วย โดยอาจต้องถูกแทนที่ด้วยระบบที่รวมศูนย์มากขึ้น เพื่อให้เกิดกระบวนการอุทธรณ์ที่เหมาะสม และตั้งอยู่บนหลักนิติรัฐทางกฎหมายระหว่างประเทศ

 เรื่อง    สถาบันระหว่างประเทศเพื่อการค้าและการพัฒนา

      ธนาคารซิตี้แบงก์ ประเทศไทย เปิดตัวซิตี้โกลด์ เวลท์ เซ็นเตอร์ เต็มรูปแบบแห่งแรกในประเทศไทย ณ ศูนย์การค้าเดอะคริสตัล วีรันดา เป็นธนาคารสาขาไร้เงินสด ศูนย์รวมบริการธนาคารดิจิทัลทั้ งด้านการเงิน และการลงทุน

     ดอน จรรย์ศุภรินทร์ ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการใหญ่ ฝ่ายบุคคลธนกิจ ธนาคารซิตี้แบงก์  เปิดเผยว่า “ซิตี้โกลด์ เวลท์ เซ็นเตอร์”  ตั้งขึ้นเพื่อให้บริการด้านการบริหารการลงทุนและเสริมสร้าง ความมั่งคั่งเป็นหลัก รองรับการให้บริการกลุ่มลูกค้าซิตี้โกลด์โดยเฉพาะ และจากความสำเร็จในการพัฒนาการให้บริการผ่านทางรูปแบบดิจิทัล  “ซิตี้โกลด์ เวลท์ เซ็นเตอร์” จึงได้มีการพัฒนาและเปลี่ยนรูปแ บบการบริหารจัดการไปจากซิตี้แบงก์สาขาทั่วไป ที่จากเดิมให้บริการฝาก ถอน และแนะนำการลงทุนผ่านเคาน์เตอร์ มาเป็นการเน้นให้บริการในรูปแบบ นวัตกรรมดิจิทัลมากขึ้น โดยจะเป็นธนาคารสาขาไร้เงินสดที่อำนวยความสะดวกในการทำธุรกรรมและให้คำปรึกษาการลงทุน การรับฝากหรือให้บริการถอนเงินสดลูกค้าสามารถทำได้โดยใช้บริการ ฝากและถอนเงินได้จากเครื่องอัตโนมัติทั้ง ATM และ CDM ที่ตั้งอยู่ภายในสาขา

     ที่นี่ยังเป็นศูนย์รวมบริการดิจิทัลเพื่อการลงทุน อาทิ ระบบโทเทิล เวลท์ แอดไวเซอร์   เครื่องมือวางแผนทางการเงินตามเป้าหมาย ที่ให้ลูกค้าสามารถตั้งเป้าหมาย ทางการลงทุนให้ตรงกับความต้องการสูงสุด และช่วยจัด และวิเคราะห์พอร์ตการลงทุนที่เหมาะสม  รวมถึงมี ระบบซิตี้ ฟันด์ เอ็กซ์พลอเรอร์ ระบบประเมินผลการดำเนินงาน และราคาย้อนหลังของกองทุนแต่ละตัว   ซึ่งจะให้มุมมองด้านการลงทุนข องลูกค้าแบบองค์รวม รวมไปถึงการให้บริการธุรกรรมผ่านทางวิดี โอคอล ภายใต้แอพพลิเคชั่นของซิตี้ แบงก์ ซึ่งแพลตฟอร์มใหม่นี้ลูกค้าสามารถทำธุรกรรมที่มีความปลอดภัยได้ แบบเรียลไทม์พร้อมกับตรวจสอบข้อมูลที่เกี่ยวข้องทั้งหมดได้อีกด้วย

     ที่ซิตี้โกลด์ เวลท์ เซ็นเตอร์นี้ จะพลิกโฉมพนักงานประจำเคาน์เตอร์ในธนาคาร ให้เป็นที่ปรึกษาด้านการลงทุนที่มีความเชี่ยวชาญคอยให้คำแนะนำใน การจัดพอร์ตการลงทุนของลูกค้า ซึ่งถือได้ว่าเป็นต้นแบบการปรับตัวครั้งใหญ่ของธนาคารในประเทศไทยจากแนวโน้มพฤติกรรมการใช้บริการในสาขาลดลง   โดยปัจจุบันการคัดเลือกที่ปรึกษาด้านการลงทุนของธนาคารซิตี้แบงก์ จะต้องผ่านมาตรฐานการมีความรู้ ความเชี่ยวชาญอย่างแท้จริง โดยธนาคารซิตี้แบงก์ร่วมมือกับสถาบันที่มีชื่อเสียงระดับโลก จัดตั้ง Citi Wharton Global Wealth Institute เพื่อพัฒนาที่ปรึกษาด้านการลงทุนของธนาคารฯ ทั้งนี้ ซิตี้ยังมีบทวิเคราะห์ ทางเศรษฐกิจและข้อมูลเชิงลึกในการลงทุนทั่วโลกเพื่อให้ คำแนะนำด้านการลงทุนแก่ลูกค้าอย่างดีที่สุด

     ดอนคาดว่า   “ซิตี้โกลด์ เวลท์ เซ็นเตอร์” จะสามารถ อำนวยสะดวกสบายให้กับกลุ่ มลูกค้าซิตี้โกลด์มากยิ่งขึ้น   ตลอดจนสามารถตอบสนองความต้องการของนักลงทุนและผู้ใช้บริการย่านกรุงเทพฝั่งตะวันออกและละแวกใกล้เคียง

ดอน จรรย์ศุภรินทร์ ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการใหญ่ ฝ่ายบุคคลธนกิจ และวีระอนงค์ จิระนคร ภู่ตระกูล รองกรรมการผู้จัดการใหญ่ สายงานบุคคลธนกิจ ธนาคารซิตี้แบงก์ ประเทศไทย

     วีระอนงค์ จิระนคร ภู่ตระกูล รองกรรมการผู้จัดการใหญ่ สายงานบุคคลธนกิจ ธนาคารซิตี้แบงก์ ประเทศไทย ให้ข้อมูลว่า ในปี 2560 ซิตี้แบงก์มีการปรับปรุงธุรกิจการบริหารความมั่งคั่ง (Wealth Management) รวมถึงเปิดตัวแคมเปญ Citigold Wealth on Your Terms ซึ่งจะเหมาะกับการลงทุนของแต่ละบุคคล โดยมี Total Wealth Advisor  ซึ่งเป็นเครื่องมือที่ช่วยให้บริการวางแผนการลงทุนตลอดจนติดตามผลการลงทุนให้กับผู้ลงทุน  

     นอกจากนี้ เพื่อตอกย้ำถึงประสบการณ์ของลูกค้าที่จะมีได้รับจากบริการของซิตี้โกลด์  จึงมีการเปิดตัวแคมเปญการสื่อสารใหม่ ภายใต้แนวคิด  “Wealth on Your Terms” ได้แก่   Travelling the World, Securing A Bright Future   และ   Pursuing Your Passion เป็นแคมเปญที่ทางซิติ้แบงก์ ทั่วเอเชียแปซิฟิกนำเสนอเพื่อตอบสนองความต้องการให้แก่กลุ่มลูกค้า High Net Worth investor (HNW)  โดยแคมเปญนี้จะสะท้อนถึงศักยภาพของผลิตภัณฑ์การลงทุน การบริการตลอดจนเครื่องมือดิจิทัลต่างๆ ที่จะช่วยให้ลูกค้าสามารถวางแผน เป้าหมายการลงทุนตามความต้องการ ที่หลากหลายของแต่ละบุคคล พร้อมทั้งการนำเสนอสิทธิประโยชน์ใหม่ๆ ทั้งด้านการเดินทางและไลฟ์สไตล์ ให้แก่ลูกค้าอีกด้วย เช่น การได้รับสิทธิเป็นสมาชิก Marriott Club Member หรือการรับบริการรถลิมูซีนในการเดินทางเส้นทางยุโรป เป็นต้น  

    ปัจจุบัน ซิตี้แบงก์  มีบริการภายใต้กลุ่มงานการบริหารความมั่งคั่งหรือ Wealth Management ให้แก่ลูกค้านักลงทุน 2 กลุ่ม ได้แก่  ซิตี้ไพรออริตี้ เป็นลูกค้าที่มีสินทรัพย์กับธนาคารตั้งแต่ 1 ล้านบาท ถึง 5 ล้านบาท และ ซิตี้โกลด์ เป็นลูกค้า High Net Worth ที่มีสินทรัพย์กับธนาคารตั้งแต่ 5 ล้านบาทขึ้นไป ทั้งนี้จากแนวการขยายฐานลูกค้าดังกล่าว ซิตี้แบงก์ตั้งเป้าหมาย จะสามารถเพิ่มจำนวนฐานลูกค้าในกลุ่มซิตี้โกลด์มากขึ้นกว่า 40% ในปี พ.ศ. 2560  อีกทั้งยังตั้งเป้าเติบโต เป็น 2 เท่า  ในปี พ.ศ. 2563 ซึ่งจากแผนการรุกตลาดในกลุ่มนัก ลงทุนระดับสูงคาดว่าจะทำเงินลงทุนสุทธิ และสินทรัพย์ภาพใต้การจัดการ (AUM) เพิ่มขึ้นมากกว่าเท่าตัวในปี พ.ศ. 2563   

 

    ธนาคารไทยพาณิชน์ ประกาศเดินหน้าภารกิจ SCB Transfomation เพื่อก้าวสู่การเป็น The Most Admired Bank  โดยจะรุกสู่การเป็นธนาคารดิจิทัลที่เข้าถึงความต้องการของลูกค้า แผนงานของธนาคารในปีนี้นอกจากการเพิ่มฐานลูกค้ากลุ่มใหม่ๆ แล้วยังรวมถึงการเพิ่มสัดส่วนการลงทุนในโครงสร้างพื้นฐานด้านเทคโนโลยี เพื่อรองรับแพลตฟอร์มดิจิทัล และการนำเทคโนโลยี Business Intelligence ที่ช่วยให้ธนาคารตัดสินใจด้านการลงทุนได้มีประสิทธิภาพยิ่งขึ้นโดยอาศัยข้อมูลทั้งจากภายในและภายนอกธนาคาร และเทคโนโลยี Big Data Analysis ที่ช่วยให้ธนาคารวิเคราะห์พฤติกรรมและความต้องการของลูกค้าในเชิงลึกได้มากขึ้น

    ผ่านไป9 เดือน เราได้เห็นการขยับของ SCB ด้านเทคโนโลยีอย่างต่อเนื่อง โดยมีดิจิทัล เวนเจอร์สเป็นแกนหลักในการนำเทคโนโลยีใหม่ๆ เข้ามาใช้ในวงการธนาคาร ตัวอย่างที่เพิ่งผ่านมาไม่นานคือการพัฒนาแอพพลิเคชันจัตจักรไกด์ ที่ช่วยให้ร้านค้าและลูกค้าสามารถทำธุรกรรมกันได้อย่างสะดวกรวดเร็ว รวมถึงช่วยบริการด้านข้อมูลให้กับผู้ที่ใช้งาน

    ล่าสุด SCB ก็ออกมาประกาศจัดตั้ง เอสซีบี อบาคัส เป็นบริษัทในเครือที่ที่มุ่งเน้นการนำเทคโนโลยี ปัญญาประดิษฐ์ หรือ Artificial Intelligence (AI) มาใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูลเพื่อพัฒนาธุรกิจและบริการเป็นบริษัทแรกในกลุ่มธุรกิจทางการเงินและการธนาคารของไทยและเอเชียตะวันออกเฉียงใต้  

     อาทิตย์ นันทวิทยา กรรมการผู้จัดการใหญ่ และประธานเจ้าหน้าที่บริหาร ธนาคารไทยพาณิชย์ จำกัด (มหาชน) กล่าวในการเปิดตัวบริษัทลูกครั้งนี้ว่า เทคโนโลยีและนวัตกรรมต่างๆ มีการเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว เมื่อ 2 ปีก่อน SCB จึงจัดตั้ง ดิจิทัล เวนเจอร์ส ขึ้นเพื่อรองรับความเปลี่ยนแปลงเนื่องจาก SCB เป็นองค์กรใหญ่ การเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็วทำได้ยาก จึงต้องมีดิจิทัลเวนเจอร์สที่มีความเป็นอิสระ เพื่อทดลองเทคโนโลยีต่างๆ ซึ่งปัจจุบันกมีบางการทดลองได้เริ่มลงสู่ตลาดบ้างแล้ว

    เอสซีบี อบาคัส ก็มีลักษณะที่คล้ายคลึงกับดิจิทัล เวนเจอร์ส ที่จะมาช่วย SCB ในการขับเคลื่อนธนาคารด้วยเทคโนโลยี ด้วยการนำเอาข้อมูลที่มีอยู่มาใช้ให้เกิดความเข้าใจความต้องการของลูกค้าแบบที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน ซึ่งหากจะรอระบบวิเคราะห์ข้อมูลของธนาคารอาจจะไม่ทันกาล การจัดตั้ง เอสซีบี อบาคัส ขึ้นก็เพื่อจะนำเอาเทคโนโลยี AI มาใช้กับฐานข้อมูลที่มีอยู่ เพื่อรู้จักผู้บริโภคเพิ่มขึ้น เป็นไปตามแนวโน้มการใช้เทคโนโลยีที่เกิดขึ้นในหลายประเทศ

     อาทิตย์ระบุว่าอยากให้ เอสซีบี อบาคัส สามารถผลิตผลงานได้เช่นเดียวกับ ดิจิทัล เวนเจอร์ส ที่ก่อตั้งมาก่อน รวมถึงให้ทั้งสองบริษัทประสานงานกันเพื่อสร้างสรรค์นวัตกรรมใหม่ๆ ให้เกิดขึ้นมา

     ดร. สุทธาภา อมรวิวัฒน์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท เอสซีบี อบาคัส จำกัด ให้ข้อมูลต่อว่า เทคโนโลยี AI อยู่ใกล้ตัวเรามากกว่าที่คิด เห็นได้จากระบบการคัดแยกอีเมลที่ใช้ Machine Learning ระบบแนะนำสินค้าที่ตรงใจให้แก่ผู้ซื้อแต่ละคนในเว็บไซต์อีคอมเมอร์ซ หรือระบบการจดจำใบหน้าบุคคลที่ใช้บนโซเชียลมีเดีย เป็นผลผลิตจากเทคโนโลยี AI  ทั้งสิ้น

     ในแวดวงธนาคาร เทคโนโลยี  AI ถูกนำมาใช้แยกธุรกรรมบัตรเครดิตที่น่าสงสัยว่าจะมีการทุจริต ใช้สำหรับการแนะนำผลิตภัณฑ์ทางการเงินการลงทุน ที่เรียกว่า Robo-advisor และการชำระเงินด้วยระบบการจดจำใบหน้า AI เข้ามามีบทบาทสำคัญในการสร้างความได้เปรียบด้านการแข่งขันของธุรกิจต่าง ๆ อย่างเห็นได้ชัด จึงเป็นที่มาของการจัดตั้งเอสซีบี อบาคัส ด้วยพันธกิจหลักในการพัฒนาเทคโนโลยีที่นำเอานวัตกรรมอย่าง AI มาเป็นกุญแจสำคัญในการวิเคราะห์และเรียนรู้ข้อมูล เพื่อต่อยอดในการพัฒนาผลิตภัณฑ์และการบริการที่ตอบโจทย์ทั้งสำหรับธนาคารไทยพาณิชย์ และองค์กรธุรกิจต่าง ๆ

อาทิตย์ นันทวิทยา กรรมการผู้จัดการใหญ่ และประธานเจ้าหน้าที่บริหาร ธนาคารไทยพาณิชย์ จำกัด (มหาชน) ดร. สุทธาภา อมรวิวัฒน์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท เอสซีบี อบาคัส จำกัด ณัฏฐกานต์ ครรภาฉาย ผู้อำนวยการอาวุโส ผู้บริหารสายนิติบริการและกฎหมายดิจิทัล (ซ้ายสุด) และ อรพงศ์ เทียนเงิน ประธานกรรมการบริหาร บริษัท Digital Ventures (ขวาสุด) ร่วมเปิดตัวบริษัท เอสซีบี อบาคัส

 

     ดร.สุทธาภาระบุว่าจุดแข็งของ เอสซีบี อบาคัส ที่เสริมสร้างขีดความสามารถในการแข่งขันได้เป็นอย่างดี ประกอบด้วย

  • ทรัพยากรบุคคล – มีทีมบุคลากรที่มีประสบการณ์การทำงานในบริษัทที่มีชื่อเสียงระดับโลก มาร่วมขับเคลื่อนนวัตกรรมใหม่ๆ ให้เกิดขึ้นและใช้งานได้จริง
  • การสนับสนุนจากธนาคารไทยพาณิชย์ – ให้ความไว้วางใจในการเลือกโครงการภายในธนาคาร ที่มีผลกระทบเชิงบวกสูงต่อการปรับปรุงพัฒนาบริการของธนาคาร ทำให้สามารถนำมาศึกษา พัฒนา และต่อยอดเป็นโซลูชั่นต่าง ๆ ได้
  • มีพันธมิตรระดับโลก – มีข้อตกลงความร่วมมือกับสถาบันเทคโนโลยีแมสซาชูเซตส์ หรือ MIT ในสหรัฐฯ เพื่อนำเทคโนโลยีใหม่ ๆ มาใช้ ทั้งยังมีการจัดตั้งคณะที่ปรึกษา ประกอบด้วยผู้ทรงคุณวุฒิจากหลากหลายภาคธุรกิจ ได้แก่ ดร.ทวีศักดิ์ กออนันตกูล ดร.ไพรินทร์ ชูโชติถาวร คุณวิลาสินี พุทธิการันต์ และ ศาสตราจารย์ ดร. เบ็นจามิน แวนรอย มาร่วมแบ่งปันความรู้และประสบการณ์เพื่อร่วมขับเคลื่อนนวัตกรรมใหม่ๆ

    ปัจจุบันเอสซีบี อบาคัส มีโครงการที่อยู่ในมือที่พอจะประกาศให้ทราบได้ เช่น ในแอปพลิเคชัน SCB Easy บริษัทจะเข้าไปช่วยพัฒนาระบบการแนะนำการใช้บริการธนาคารหรือที่เรียกว่า Recommendation Engine ซึ่งทำให้สามารถนำเสนอผลิตภัณฑ์และบริการที่ลูกค้าต้องการได้รวดเร็ว ตรงใจต่อลูกค้ามากยิ่งขึ้น รวมไปถึง ระบบบริการด้านสุขภาพที่จะนำเทคโนโลยี Internet of Things หรือ IoT  เข้ามาช่วยส่งเสริมไลฟ์สไตล์ด้านสุขภาพ โดยใช้ AI ในการออกแบบผลิตภัณฑ์ประกันที่เหมาะสมเฉพาะแต่ละบุคคล เพื่อช่วยกระตุ้นให้ลูกค้าใส่ใจดูแลสุขภาพและออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ นอกจากนี้ ยังมีโครงการที่ เอสซีบี อบาคัส จะเข้าไปเพิ่มประสิทธิภาพในการบริหารจัดการระบบ Call Center ด้วยการนำ AI มาคาดการณ์ปัญหาของลูกค้าที่โทรเข้ามา เพื่อโอนสายไปยังผู้เชี่ยวชาญที่ตอบปัญหาได้ตรงจุด ช่วยยกระดับคุณภาพบริการและสร้างความพึงพอใจให้กับลูกค้า 

    การเปิด เอสซีบี อบาคัส ทำให้เห็นภาพความพยายามของ SCB ในการรุกตลาดฟินเทคเช่นเดียวกันกับเมื่อครั้งนำเอาเทคโนโลยี ATM เข้ามาเปิดให้บริการเป็นรายแรกของประเทศไทยเมื่อพ.ศ. 2526  

 

     นพพร บุญลาโภ กรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท ทิพยประกันชีวิต จำกัด (มหาชน) แถลงผลประกอบการในครึ่งปีแรก ตั้งแต่เดือนมกราคม-เดือนมิถุนายน 2560 ว่า บริษัทฯ มีผลกำไรสุทธิ 420 ล้านบาท เมื่อเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันของปีก่อนที่ 118 ล้านบาทหรือเพิ่มขึ้นร้อยละ 256 ในขณะที่เบี้ยประกันภัยรับรวม 2,961 ล้านบาท มีการเติบโตขึ้นเมื่อเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันของปีก่อนที่ 2,889 ล้านบาท คิดเป็นร้อยละ 2.5  รายได้จากการลงทุน 391 ล้านบาท เติบโตขึ้นจากช่วงเวลาเดียวกันของปีก่อนที่ 316 ล้านบาท คิดเป็นร้อยละ  24   นับเป็นผลงานที่เกินกว่าที่บริษัทฯ ได้ตั้งเป้าไว้ในทุกด้าน  

     ณ วันที่ 30 มิถุนายน 2560  บริษัทฯ มีสินทรัพย์รวม 16,500 ล้านบาท เมื่อเทียบกับช่วงเวลาเดียวกัน เพิ่มขึ้นร้อยละ 19 โดยมีระดับความเพียงพอของเงินกองทุน (Capital Adequacy Ratio – CAR) ณ สิ้นไตรมาส 2/2560 ที่ระดับร้อยละ 304 ซึ่งสูงกว่าระดับที่กฎหมายกำหนดอยู่มากกว่า 2 เท่า  และบริษัทฯ ยังได้มีการจ่ายเงินปันผลจากผลประกอบการปีงบประมาณ 2559 ในอัตราหุ้นละ 0.25 เมื่อเดือนมีนาคมที่ผ่านมา จึงแสดงถึงสภาพคล่องและความมั่นคงในฐานะทางการเงินของบริษัทฯ 

     นพพรระบุอย่างมั่นใจว่าปี 2560 จะสามารถดำเนินงานได้ทะลุเป้าเบี้ยประกันภัยรับรวม 7,200 ล้านบาท ด้วยแผนกลยุทธ์หลักของบริษัทฯ  โดยช่องทางการลงทุนมีการบริหารการลงทุนโดยคำนึงถึงความเสี่ยงจากการลงทุนเป็นสำคัญ ซึ่งสัดส่วนของการลงทุนส่วนใหญ่จะอยู่ในสินทรัพย์ที่มีความเสี่ยงต่ำ เช่น พันธบัตรรัฐบาล ตราสารหนี้เอกชน สลากออมสิน เป็นสัดส่วนเกือบ 80% ที่เหลืออีก 15% เป็นการลงทุนในกอง Property Fund และ Infrastructure Fund ที่ได้ผลตอบแทนสูงกว่าตราสารหนี้ โดยมีการลงทุนในหุ้นอยู่ประมาณ 2%  ในขณะที่การบริหารทรัพยากรบุคคลอยู่ภายใต้กรอบนโยบาย Small but mighty การใช้ทรัพยากรในจำนวนที่น้อยแต่มากด้วยความสามารถ  ปัจจุบันพนักงานของบริษัทมีจำนวนไม่ถึง 150 คน ในการทำเบี้ยเกือบ 3,000 ล้านบาท   ตนจึงมั่นใจในศักยภาพคนของเราว่าสามารถรองรับการขยายตัวของเบี้ยตามเป้าที่ตั้งไว้ 7,200 ล้านบาทในสิ้นปีนี้แน่นอน  โดยจะพัฒนาระบบ  IT  ในการสร้างหลังบ้านให้แข็งแกร่ง รวมไปจนถึงตื่นตัวต่อการเปลี่ยนแปลงของเทคโนโลยีสู่ภาคอุตสาหกรรม การเตรียมความพร้อมรองรับการขยายงานด้าน Digital Marketing  และการเปิดช่องทางการขาย Bancassurance ผ่านธนาคารออมสิน ที่คาดว่าจะสามารถสร้างเบี้ยในครึ่งปีหลังได้ 1,000 ล้านบาท

     ทั้งนี้บริษัทได้มีการปรับโครงสร้างช่องทางขายเพื่อให้ทันต่อตลาดในปัจจุบัน โดยมอบหมายให้ศุภชัย  จงศุภวิศาลกิจ รองกรรมการผู้จัดการใหญ่ สายงานการตลาด ที่สร้างผลงานนำพาช่องทาง MRTA เข้าสู่อันดับ 1 ในอุตสาหกรรมในปีนี้ มาดูแลช่องทางขายทั้งหมด ไม่ว่าจะเป็นช่องทางประกันสถานบัน, ประกันกลุ่ม, Bancassurance รวมไปถึงช่องทางสามัญ ภายใต้หลักการการทำตลาดเชิงรุกแบบบูรณาการ

     ศุภชัย กล่าวถึงแผนการตลาดที่เตรียมไว้รองรับช่วงครึ่งปีหลังว่า หากแบ่งผลิตภัณฑ์ของบริษัทเป็น 4 กลุ่มย่อย จะประกอบด้วยประกันสินเชื่อที่มีพันธมิตรสำคัญคือธนาคารออมสิน ประกันสามัญผ่านตัวแทน ประกันสามัญผ่านธนาคาร ประกันกลุ่ม แต่ละผลิตภัณฑ์มีการเตรียมแผนการตลาดรองรับ เช่น ประกันกลุ่มยังเน้นรักษาฐานลูกค้า โดยยังคงเน้นเรื่องการบริหารเป็นหลัก ประกันสินเชื่อและประกันสามัญผ่านธนาคาร ซึ่งเป็นกลุ่มที่ทำรายได้ให้กับบริษัทจำนวนมาก จะมีผลิตภัณฑ์ใหม่ๆ ออกมาให้เห็นในช่วงไตรมาสสุดท้ายของปี รวมถึงอาจมีการขยายพันธมิตรไปร่วมมือกับธนาคารอื่นๆ เพิ่มขึ้น ในส่วนประกันสามัญผ่านตัวแทน จะมีการปรับปรุงโครงสร้างการทำงานใหม่ มีการปรับผลิตภัณฑ์ให้เหมาะสมกับตัวแทนแต่ละรายที่มีความชำนาญแตกต่างกัน และจะมีพัฒนาบุคลากรของทิพยประกันชีวิตให้เป็นตัวแทนที่มีคุณภาพมุ่งสู่การเป็นที่ปรึกษาทางการเงิน รวมถึงการเปิดรับตัวแทนใหม่ๆ เข้ามาเสริมทีม  

บริษัท ไฮดู เบสท์ กรุ๊ป จำกัด เกิดจากการร่วมลงทุน ระหว่าง ไฮดู กรุ๊ป (Hydoo Group) กลุ่มทุนขนาดใหญ่ที่จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ฮ่องกง  ซึ่งเป็นผู้พัฒนาเมืองใหม่รายใหญ่อันดับ 2 ในประเทศจีน  กับกลุ่มบริษัท เบสท์ กรุ๊ป จำกัด ผู้เชี่ยวชาญด้านโลจิสติกส์ และพัฒนาอสังหาริมทรัพย์จากประเทศไทย ภายใต้การสนับสนุนทางการเงินโดย ดับบลิว เวนเจอร์ (W venture) ผู้ดำเนินงานด้าน Fintech จากฮ่องกง ร่วมกันพัฒนาโครงการ “Trust City(ทรัส ซิตี้)” World Exhibition & Trade Centre เมืองส่งเสริมการค้าและศูนย์แสดงสินค้าระดับโลกที่ยิ่งใหญ่และครบวงจรที่สุดแห่ง AEC+6 ซึ่งจะกลายเป็น Fintech Hub (ฟินเท็ค ฮับ) ที่ใหญ่ที่สุดในโลก ซึ่งจะมีการรวมกลุ่มผู้ประกอบการธุรกิจด้านฟินเทคเช่น กลุ่มที่ทำเทคโนโลยีบล็อกเชน กลุ่มผู้ตรวจสอบภายใน กลุ่มให้บริการคลาวด์ รวมถึงกลุ่มบริษัทที่ปรึกษาและระดมทุนเป็นต้น ตั้งอยู่บนกิโลเมตรที่ 29 ถนนเทพรัตน์(บางนา-ตราด) บนที่ดินแปลงใหญ่กว่า 500 ไร่ คาดว่าจะเปิดดำเนินงานได้ภายในปี 2563

 

สิทธิชัย เจริญขจรกุล ประธาน บริษัท ไฮดู เบสท์ กรุ๊ป จำกัด เปิดเผยแนวคิดในการทำโครงการนี้ว่า “ต้องการพัฒนาการค้าส่งแบบเดิมๆที่กระจัดกระจาย เช่น โบ๊เบ๊ ประตูน้ำ สำเพ็ง พาหุรัด แม้แต่ย่านพระเครื่องอย่างแถวเสาชิงช้า มาอยู่ในที่เดียวกัน มีความสะดวกสบาย ครบวงจร และทันสมัยที่สุดโลก ซึ่งเรายังมุ่งส่งเสริมกลุ่มธุรกิจคนรุ่นใหม่ หรือ Startup ในบ้านเราให้มีโอกาสทางการค้ากับผู้ซื้อจากทั่วโลก และนอกจากตลาดในประเทศแล้ว ยังเป็นแหล่งรวมสินค้าสำเร็จรูปและวัสดุที่เกี่ยวเนื่องจากทั่วโลก ยกตัวอย่างสินค้าวงการแฟชั่น นอกจากเสื้อผ้าก็ยังมีวัสดุอุปกรณ์ เช่น กระดุมหรืออุปกรณ์อื่นๆ จากแบรนด์ชั้นนำ เป็นต้น ด้วยมาตรฐานการจัดการระดับสากล เพื่อดึงดูดให้เกิดการซื้อขายแลกเปลี่ยนจากทั่วโลกให้มาเลือกช้อปที่นี่ที่เดียว”     

การออกแบบวางผังโครงการ Trust City แบ่งออกเป็น 6 โซนธุรกิจ พื้นที่อาคารรวมกว่า 2,500,000 ตารางเมตร รองรับ 20,000 ร้านค้า และผู้อยู่อาศัยกว่า 50,000 คน ประกอบด้วย

1.World Exhibition Zone พื้นที่จัดแสดงสินค้าขนาดใหญ่ ระดับเวิล์ด คลาส รองรับธุรกิจ กว่า 100,000 ตารางเมตร

2.Permanent Exhibition Zone ศูนย์แสดงสินค้าถาวรทุกหมวดหมู่กว่า20,000ผู้ผลิต และตัวแทนการค้า สูง 7 ชั้น   ขนาดพื้นที่กว่า 800,000 ตารางเมตร

3.Hotel & Residence Zone ที่พักอาศัยและโรงแรม เพื่อนักธุรกิจ นักท่องเที่ยว กว่า 12,000 ยูนิต พร้อมส่วนบริการ  และนันทนาการ

4.Global Factory Outlet Zone ศูนย์แสดงสินค้าถาวรขนาดเล็ก รองรับสินค้า-บริการ เครื่องจักรอุตสาหกรรม    

5.Fintech Hub & Business Hotel Zone แลนด์มาร์คอันโดดเด่นของโครงการอาคารสุพรรณหงส์ ที่ออกแบบด้วยการจำลองเรืองพระที่นั่งสุพรรณหงส์บนความสูงอาคาร 168 เมตร มีจุดชมวิวอ่าวไทยที่สวยที่สุด ภายในแยกเป็นส่วน ศูนย์ประชุมลอยฟ้าที่ใหญ่ที่สุด โรงแรมระดับ 5 ดาว โลกเทคโนโลยีการเงิน ตลาดค้าทองคำขนาดใหญ่ สำนักงานให้  เช่าครบวงจร ศูนย์อาหาร การแสดงสินค้าหรู

6.Auto Town Zone อาคารแสดงนวัตกรรมยานยนต์ อุปกรณ์ตกแต่ง และอื่นๆที่เกี่ยวข้อง

 

นอกจากนี้ยังมีพื้นที่เพื่อจัดกิจกรรมสร้างสรรค์ที่น่าสนใจดึงดูดผู้มาเยือนตลอดทั้งปี อาทิ

  • Super Walking Street ถนนคนเดิน กว้าง 40 เมตร ยาวกว่า 2,000 เมตร รองรับสินค้าไอเดียแปลกใหม่จากทุกมุมโลก
  • กิจกรรมทางน้ำ ออกแบบให้เป็นเวนิสตะวันออก จำลองบรรยากาศตลาดน้ำ คลองผดุงกรุงเกษม การแห่เรือ การแสดงเอกลักษณ์ไทย

   ด้านสิ่งอำนวยความสะดวกอื่นๆ มีที่จอดรถในอาคารกว่า 30,000 คัน โครงการไลท์เรล 2 สายหลักที่จะทำให้การสัญจรภายในโครงการสามารถเดินทางไปได้อย่างทั่วถึง การออกแบบรองรับการเชื่อมต่อกับจุดสำคัญภายนอก ทั้งสนามบินแห่งชาติสุวรรณภูมิ , รถไฟฟ้า และการเชื่อมต่อเมืองธุรกิจใกล้เคียง อาทิพัทยา เป็นต้น

    ปัจจุบันทรัส ซิตี้ มีทุนจดทะเบียน 2,196,003,600 บาท พร้อมกันนี้โครงการได้เตรียมเงินกองทุนจำนวนกว่า 80,000 ล้านบาท เพื่ออัดฉีดการลงทุนให้มีความต่อเนื่องแล้วเสร็จตามกำหนดการ

 

     นวัตกรรมการเงินที่เกิดขึ้นในปัจจุบัน ประกอบกับการใช้งานสมาร์ทโฟนที่เพิ่มมากขึ้นในประเทศไทย (ประมาณ 40 ล้านเครื่องในปี 2558 และเพิ่มขึ้นมาเป็น 50 ล้านเครื่องในปี 2559 และคาดว่าจะเพิ่มถึง 80 ล้านเครื่องในปี 2564)  และกลไกการชำระเงินอิเล็กทรอนิกส์ที่กำลังจะกลายเป็นกิจกรรมประจำวัน ด้วยเหตุนี้ ผู้ให้บริการชำระเงินอิเล็กทรอนิกส์จึงผนึกกำลังกันจัดตั้งสมาคมการค้าผู้ให้บริการชำระเงินอิเล็กทรอนิกส์ไทย (Thailand E-Payment Trade Association: TEPA) เพื่อยกระดับการชำระเงินอิเล็กทรอนิกส์ของไทย ให้เทียบเท่ามาตรฐานสากล และเพิ่มความไว้วางใจในการชำระเงินอิเล็กทรอนิกส์ ให้กับผู้บริโภคไทย

     สมาคมการค้าผู้ให้บริการชำระเงินอิเล็กทรอนิกส์ไทย (Thailand E-Payment Trade Association: TEPA) ได้รับอนุญาตจัดตั้งสมาคมการค้าเมื่อวันที่ 5 กุมภาพันธ์ 2559 โดยมีวัตถุประสงค์หลักเพื่อส่งเสริมการประกอบวิสาหกิจที่เกี่ยวกับการให้บริการชำระเงินทางอิเล็กทรอนิกส์ สนับสนุนและช่วยเหลือสมาชิกแก้ไขข้อขัดข้องต่างๆ ตลอดจนเจรจาทำความตกลงในการประกอบวิสาหกิจของสมาชิกซึ่ง ณ ปัจจุบัน ทางสมาคมมีจำนวนสมาชิกทั้งหมด 16 ราย ทั้งบริษัทที่ให้บริการกระเป๋าเงินอิเล็กทรอนิกส์ไปจนถึงบัตรโดยสาร e-Money ประกอบไปด้วย:

1. บริษัท ไทยสมาร์ทคาร์ด จำกัด
2. บริษัท แอดวานซ์ เอ็มเปย์ จำกัด
3. บริษัท เพย์สบาย จำกัด
4. บริษัท ทรู มันนี่ จำกัด
5. บริษัท บางกอก สมาร์ทการ์ด ซิสเทม จำกัด
6. บริษัท ทีทูพี จำกัด
7. บริษัท แอร์เพย์ (ประเทศไทย) จำกัด
8. บริษัท แรบบิท-ไลน์ เพย์ จำกัด
9. บริษัท ฟอร์ท สมาร์ท เซอร์วิส จำกัด (มหาชน)​
10. บริษัท เอ็มโอแอล เพย์เมนท์ จำกัด
11. บริษัท ทูซีทูพี (ประเทศไทย) จำกัด
12. บริษัท เพย์ โซลูชั่น จำกัด
13. บริษัท เน็ตเบย์ จำกัด (มหาชน)
14. บริษัท บลูเพย์ จำกัด
15. บริษัท โอมิเซะ จำกัด​
16. บริษัท บิ๊กซี ซูเปอร์เซ็นเตอร์ จำกัด (มหาชน)

     ปุณณมาศ วิจิตรกุลวงศา ประธานคณะผู้บริหารกลุ่ม บริษัท แอสเซนด์ กรุ๊ป จำกัด ในฐานะนายกสมาคมการค้าผู้ให้บริการชำระเงินอิเล็กทรอนิกส์ไทย (Thailand E-Payment Trade Association: TEPA) กล่าวว่า “การชำระเงินทางอิเล็กทรอนิกส์สะท้อนถึงนโยบาย Thailand 4.0 และการผลักดันในการเป็นสังคมไร้เงินสดของภาครัฐ ในหลายประเทศ อาทิ จีนและอินเดีย การชำระเงินทางอิเล็กทรอนิกส์ได้ล้ำหน้าไปไกลมาก และในประเทศเช่นสวีเดน สังคมไร้เงินสดก็กลายเป็นภาพแห่งความเป็นจริงขึ้นมาแล้ว ข้อดีของการไม่ใช้เงินสดต่างๆ อาทิ การลดภาระค่าใช้จ่ายการจัดการเงินสด ลดความเสี่ยงในการครอบครองเงินสด ตรวจสอบได้ในทุกขั้นตอนทำให้ลดความเสี่ยงจากการคอรัปชั่น”

     สมาคมการค้าผู้ให้บริการชำระเงินอิเล็กทรอนิกส์ไทย (Thailand E-Payment Trade Association: TEPA) จะคอยผลักดันการชำระเงินทางอิเล็กทรอนิกส์ โดยการให้ความรู้กับผู้บริโภคไทยและองค์กรทั้งภาครัฐและเอกชน พร้อมกันนี้ สมาคมก็จะคอยกำกับดูแลสมาชิกให้ปฏิบัติตามกฎระเบียบของทางธนาคารแห่งประเทศไทยและนโยบายภาครัฐ และจะคอยเป็นกระบอกเสียงให้กับผู้ให้บริการชำระเงินอิเล็กทรอนิกส์เพื่อส่งเสริมธุรกิจชาวไทย

     ปุณณมาศกล่าวทิ้งท้ายว่า “ผมหวังว่าผู้บริโภคและองค์กรต่างๆ ได้ตระหนักและเปิดใจรับนวัตกรรมทางการเงินใหม่ๆ โดยเฉพาะการชำระเงินอิเล็กทรอนิกส์ ซึ่งจะช่วยเพิ่มความสะดวกสบายอย่างแท้จริง และยังมั่นใจได้ถึงความปลอดภัย เพราะภาครัฐและทางธนาคารแห่งประเทศไทยได้ลงมากำกับดูแลธุรกิจนี้อย่างใกล้ชิด ผู้บริโภคและองค์กรต่างๆ สามารถมั่นใจได้ว่าสมาชิกของสมาคมการค้าผู้ให้บริการชำระเงินอิเล็กทรอนิกส์ไทย (Thailand E-Payment Trade Association: TEPA) ทั้ง 16 ราย เป็นผู้ให้บริการชำระเงินอิเล็กทรอนิกส์ที่ได้รับใบอนุญาติประกอบธุรกิจอย่างถูกต้อง และมุ่งเน้นให้บริการผู้บริโภคด้วยบริการที่มีคุณภาพและปลอดภัยเทียบเท่ามาตรฐานสากล”

 

Page 4 of 5
X

Right Click

No right click