

ศูนย์วิเคราะห์เศรษฐกิจ ทีเอ็มบี หรือ TMB Analytics ชี้รายได้เกษตรกรปีหน้า “นิ่ง” กำลังซื้อเศรษฐกิจภูมิภาคยังไม่รีเทิร์น เหตุราคาสินค้าเกษตรสำคัญทรงตัว หวังรัฐเร่งเบิกจ่ายงบประมาณและมีมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจเพิ่มเติม
ท่ามกลางการเปลี่ยนแปลงของ “สุวรรณชัย โลหะวัฒนกุล” กับหมวกใบใหม่ในตำแหน่ง “ผู้อำนวยการ” สถาบันการจัดการธุรกิจไทย-ญี่ปุ่น สมาคมส่งเสริมเทคโนโลยีไทย-ญี่ปุ่น หรือสสท. ซึ่งจากบทสัมภาษณ์ที่ให้กับ MBA Magazineนั้นกล่าวไว้ว่า ภารกิจหลัก คือ การเข้ามาสานต่อความแข็งแกร่งของสสท. ที่เปิดดำเนินการมาแล้วถึง 45 ปี ให้มีความคล่องตัวมากขึ้น
“หลังจากเข้ามาที่สสท. 4 เดือนมองว่าสภาพแวดล้อมของธุรกิจเปลี่ยนแปลงไป กองทัพญี่ปุ่นที่เข้ามาเชื่อมโยงกับประเทศไทยเปลี่ยนดุล จากเดิมที่มีกลุ่มบริษัทขนาดใหญ่เข้ามาสร้างโรงงานในนิคมอุตสาหกรรม แต่ในปัจจุบันนี้มี Service Sector SMEs และกลุ่มที่ซื้อมาขายไป ซึ่งเป็นกลุ่มที่ต้องการความสนับสนุนในด้านการตลาดในไทยมากขึ้น”
จากสถานการณ์ดังกล่าวจึงเป็นที่มาของ TJMi : Thailand – Japan Management Institute หรือสถาบันการจัดการธุรกิจ ไทย - ญี่ปุ่น ขึ้นเป็นหน่วยงานใหม่ภายใต้สสท. ที่มีหน้าที่และบทบาทในการพัฒนาองค์ความรู้ และการเชื่อมโยง เพื่อสร้างโอกาสทางธุรกิจสำหรับสถานประกอบการ หน่วยงานหรือองค์กรต่างๆ ที่ต้องการขยายตลาดหรือสร้างเครือข่ายเชื่อมโยงระหว่างธุรกิจไทยและธุรกิจญี่ปุ่น ให้เติบโตและก้าวไกลไปสู่สากล
โดยเฉพาะการตอบโจทย์ในมิติต่างๆ ทั้งการสร้างเครือข่ายให้กลุ่มนักธุรกิจญี่ปุ่นที่สนใจจะมาลงทุน ร่วมทุน หาโอกาสตลาดในประเทศไทย หรือกลุ่มที่สอง คือ กลุ่มธุรกิจMedium size ที่ต้องการขยายการค้าและธุรกิจไปสู่ประเทศญี่ปุ่น และกลุ่มที่สาม ซึ่งเป็นนักธุรกิจรุ่นใหม่ที่มองธุรกิจในอนาคตว่า จากนี้ไปจะมีความเปลี่ยนแปลงเกิดขึ้น โดยมีเทคโนโลยีเป็นส่วนประกอบ ส่งผลต่อผู้บริโภค และเปลี่ยนแปลงรูปแบบการบริการใหม่ หรือ Business Model ที่ไม่ซ้ำเดิม
สุวรรณชัย กล่าวถึง Business Model ที่มีการเชื่อมโยงระหว่างคนญี่ปุ่นที่มาทำธุรกิจในประเทศไทย และนักธุรกิจไทยMedium size ที่ขยายตลาดไปที่ญี่ปุ่น โดยทำให้ 2 กลุ่มนี้มาเจอกัน สร้าง Networking เพื่อให้ต่างฝ่ายต่างพัฒนา นำจุดแข็งของแต่ละฝ่าย มาร่วมกันคิดทำธุรกิจใหม่
จากนั้น TJMi มีหน้าที่เข้าไปสานต่อ กระตุ้นให้เกิดการเชื่อมโยงส่วนที่สำคัญ เข้าไปเติมเต็มส่วนที่ขาด เพื่อเพิ่มศักยภาพให้แข็งแกร่ง โดยเฉพาะCorporate Branding ที่ต้องให้ความสำคัญเมื่อมีการสร้างธุรกิจใหม่ แนะแนวทางให้ใช้การตลาดนำ เพื่อให้คนจดจำได้ถึง ผลิตภัณฑ์หรือเซอร์วิส ทำการตลาดเพื่อสื่อสารไปถึงผู้บริโภค รวมถึงการทำมาร์เก็ตเทสต์ เพราะญี่ปุ่นที่มาทำธุรกิจยังไม่รู้จักตลาดของไทย การดำเนินการทั้งหมดจะอยู่ภายใต้ Solution ดังนี้
Integrated Solution คือ การทำ Business Matching จับ Supplier ไปพบกับ Buyer เป็นต้น
Workforce Solution คือ เมื่อบริษัทเติบโตขึ้นมาอย่างต่อเนื่องจะประสบปัญหาขาดกำลังพล แต่เราจะเน้นที่ Top Management สำหรับ Middle Management หรือระดับ Operationนั้นเป็นสิ่งที่ สสท.ทำอยู่แล้ว TJMi จึงเข้ามาต่อยอดจุดแข็งของสสท.ในมิติของการการสร้างฐานลูกค้าใหม่ ที่เป็น Top Business Leader หรือผู้บริหารระดับสูง เป็นการเติมเต็มความเข้มแข็งที่มีอยู่ เพิ่มความครบด้านในการเชื่อมโยงจนถึงระดับผู้บริหารระดับสูง
Technology Solution สิ่งที่ทำให้ TJMi ต่างจากที่อื่น คือองค์ความรู้ใหม่ ซึ่งญี่ปุ่นให้ความสำคัญกับ ไบโอเทคโนโลยี ไบโอเคมีคัล เทคนิคการแพทย์ต่างๆ ที่ทำให้คนสุขภาพดี มีชีวิตที่ยืนยาวขึ้น เราได้นำความรู้เหล่านั้นจากญี่ปุ่นมาขยายผล แชร์ข้อมูล ออกมาเป็นคลิป และเผยแพร่ผ่านยูทูปชาแนลใหม่ของ TJMi
รวมไปถึงการเสนอไอเดียให้คนกลับมาสนใจภาษาญี่ปุ่นอีกครั้ง โดยเชิญคนเก่งของสสท.มาเล่าประสบการณ์ว่าภาษาญี่ปุ่นเปลี่ยนชีวิตของคุณอย่างไร ซึ่งเจเนอเรชั่นปัจจุบันนี้ ภาษาสำคัญกว่าวิชาการ เพราะโลกหมุนไปเร็วมาก เราจำเป็นต้องทันต่อเหตุการณ์
Knowhow Transfer - Knowhow Technology Solution เรามีหน้าที่นำองค์ความรู้มาเล่าต่อ โดยนำกระบวนการคิดมา ใส่ในวิธีการสื่อสารเพื่อให้เกิดการติดตามองค์ความรู้ใหม่ๆ
Finance Solution ถือเป็นเป้าหมายระยะยาวของ TJMi เพราะการJoin Venture ระหว่างไทย-ญี่ปุ่น ไม่ใช่เป้าหมายในเชิงปริมาณ แต่เป็นเชิงคุณภาพ และเพื่อทำให้เกิดโมเดลใหม่ ดังนั้นเมื่อมีการจับมือกัน จะทำให้เติบโตไปได้ร่วมกัน และนั่นหมายถึงความเข้มแข็งทางการเงินต่อไป
“สุวรรณชัย โลหะวัฒนกุล” ผู้อำนวยการสถาบันการจัดการธุรกิจไทย-ญี่ปุ่น สมาคมส่งเสริมเทคโนโลยีไทย-ญี่ปุ่น (สสท.)
ผลงานที่ผ่านมาของTJMi มีการทำงานร่วมกับตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย จัดสัมมนาเพื่อเปิดโลกทัศน์แห่งความร่วมมือระหว่างนักธุรกิจไทยและนักธุรกิจญี่ปุ่น ในหัวข้อ ReinVenting Thailand-Japan in Decade of New Global Challenge- ทศวรรษแห่งการปฏิรูปความร่วมมือไทย-ญี่ปุ่น สู่โลกใหม่ที่ท้าทาย
รวมถึงการให้ข้อมูล เพื่อสร้างการรับรู้ให้กับกองทุนญี่ปุ่นที่มีความสนใจจะทำงานร่วมกับเรา ภายใต้เงื่อนไขการร่วมทุน โดยลักษณะตอบโจทย์นโยบายการนำกลุ่มผู้ประกอบการไทยกับญี่ปุ่นมาพบกัน เพื่อไปสู่เป้าหมายให้มีการจัดตั้งบริษัทร่วมกัน โดยเมื่อมีความเป็นไทยและญี่ปุ่นอยู่ในกองทุนนี้แล้ว ขั้นตอนถัดไปขึ้นอยู่กับความประสงค์ว่าจะนำบริษัทเข้าตลาดหลักทรัพย์หรือไม่
สุวรรณชัยกล่าวว่า ทั้งหมดนี้ถือว่าเป็น5 โมเดลธุรกิจที่สถาบันค่อยๆ พัฒนาอย่างต่อเนื่อง บนหลักการและพื้นฐานของการให้องค์ความรู้และความเชื่อมโยงให้มีการร่วมมือกัน
สานต่อจากประสบการณ์ที่คร่ำหวอดในวงการSMEs
แนวทางของ TJMi ที่กล่าวมานั้น ถือเป็นการต่อยอดจากประสบการณ์ของสุวรรณชัย ที่คร่ำหวอดในวงการ SMEs จาก ISMED ซึ่งในเวลานั้นมุ่งเน้นไปที่การเป็นพี่เลี้ยงให้ผู้ประกอบการ Small Size บนเป้าหมายจะสร้าง SMEs สายพันธุ์ใหม่ให้เกิดขึ้น ในประเด็นนี้สุวรรณชัย กล่าวว่าหากไม่สร้างสายพันธุ์ใหม่ การ Transition จะใช้เวลานานมาก เพราะคนที่ทำธุรกิจมาในระยะเวลา 5-10ปีมักจะติดกับดักในกรอบเดิมๆ อยู่เสมอ
“การTransform ต้องใช้เวลา จึงต้องมุ่งเน้นไปที่กลุ่ม SMEs Startup นักธุรกิจรุ่นใหม่ที่ On Technology Base และเป็นกลุ่มผู้บริหารไทยรุ่นใหม่ที่ทำธุรกิจระดับMedium size ซึ่งเกี่ยวโยงกับ Digital Transformation หรือ Service Sector รวมถึงการสร้าง New Business กับกลุ่มผู้บริหารญี่ปุ่นในไทยด้วย โดยอยู่ภายใต้สโลแกน “เชื่อมโยงก้าวไกล ก้าวต่อไปธุรกิจไทย-ญี่ปุ่น”
5Philosophy “5C”
รวมไปถึงการเชื่อมโยงต่อเนื่องด้วยPhilosophy 5C ซึ่งเป็น Core Concept ของ TJMi คือ Create หมายถึง การมีบทบาทและหน้าที่ในการครีเอทเรื่องใหม่ๆ ขึ้นมาเสริมให้สทท. โดยการสร้างสิ่งใหม่ขึ้นมานั้นจะดึงดูดให้คนสนใจ
ตามมาด้วย Connect เพื่อเชื่อมโยงกันระหว่างไทย-ญี่ปุ่น-สถาบันการศึกษา –ภาครัฐ ให้เกิดมิติของความร่วมมือกันให้ได้ และเมื่อร่วมมือแล้วจะเกิดเป็น C ที่ 3และ 4 คือ Coorporate & Collaborate เป็นการขยายผลออกมา เช่นจัดกิจกรรมที่เกี่ยวเนื่องโดยเชิญอาจารย์จากประเทศญี่ปุ่นมาสอนในคอร์สอบรมสัมมนาต่างๆ
สุดท้ายคือ Contribute ที่เราไม่ทิ้งหมวกใบเดิมตามที่ สสท. วางตัวเองเป็น Social Enterprise และโดยส่วนตัวที่มาจาก ISMED หรือสถาบันพัฒนาวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อมซึ่งเป็นมูลนิธิช่วยเหลือ SMEs ให้เติบโต รวมไปถึงคนรุ่นใหม่ที่มีอีกหน้าที่คือ ต้องช่วยสร้างสังคมให้ดีขึ้นด้วยเช่นกัน

ความท้าทายกับการเปลี่ยนแปลง
อย่างไรตามการสร้างความเปลี่ยนแปลงใน สทท. โดยใช้ TJMi เป็นหน่วยงานในการขับเคลื่อนนั้น สุวรรณชัย ได้รับไฟเขียว จากบอร์ดของสสท.อนุมัติให้ดำเนินการตามแผนที่เสนอไป โดยมีความเข้าใจ และบนคอนเซปต์และวิชั่นร่วมกันว่า การเปลี่ยนแปลงเป็นสิ่งสำคัญ และสร้างสิ่งใหม่ให้เกิดประโยชน์
“การใช้ TJMi เป็นกลไกภายใต้ Core Concept ที่กล่าวมานั้น เป็นสิ่งที่เราต้องการเปลี่ยนแปลง เพื่อเสริมสร้างและปรับให้ สสท.ซึ่งตั้งขึ้นมาบน Philosophy ที่ดีมากอยู่แล้ว มีความทันสมัยสอดคล้องกับสถานการณ์ และหลุดจากกับดักของระบบสไตล์การทำงานเดิม ที่อาจจะมีความซับซ้อนและยุ่งยาก
โดยในวิธีการ จะต้องค่อยๆ เรียนรู้ เราไม่ได้บอกว่าของเก่าไม่ดี และไม่ใช่ของใหม่ถูกต้องเสมอไป แต่จะเป็นการวางวัฒนธรรมองค์กรให้แตกต่างบน Concept นี้ แต่สิ่งที่ต้องเปลี่ยนแปลงมีมาก ได้แก่การทำงานแบบเชิงรุก ซึ่งการจะทำให้สำเร็จได้ หมายถึงต้องมีความคล่องตัว เช่น การ Recruit คนรุ่นใหม่เข้ามาทำงาน ไม่จำเป็นต้องมีคนจำนวนมาก เน้นความเก่งเป็นรอง แต่มีความทุ่มเทเป็นหลัก
พลังการเปลี่ยนแปลงอยู่ที่ “คน”
สุวรรณชัย ทิ้งท้ายในส่วนของการเปลี่ยนแปลงด้านวัฒนธรรมองค์กร โดยเชื่อว่าเราสามารถสร้างวัฒนธรรมองค์กรใหม่ได้ และวัฒนธรรมไม่ได้เปลี่ยนด้วยผู้นำองค์กร แต่เปลี่ยนด้วยความร่วมมือของทุกๆ คนในองค์กร
“พลังการเปลี่ยนแปลงอยู่ที่ “คน” ซึ่งคือหัวใจของการทำงาน ไม่ว่าจะเป็นองค์กรเล็กกลางใหญ่ นั่นหมายความว่า ต้องเปลี่ยนให้คนมีความพร้อมก่อน เพื่อที่ขับเคลื่อน ในวันหน้าที่จะต้องเปลี่ยน Culture บุคลากรเราพร้อมจะเปลี่ยนหรือไม่ ทุกคนเห็นในวิชั่นเดียวกันหรือไม่”
สำหรับเรื่องหลักๆ ที่สำคัญ ในการสร้างวัฒนธรรมองค์กร คือ สร้างให้เกิดแนวร่วมของคนกลุ่มหนึ่ง ที่เห็นทิศทางจะไปด้วยกัน และผู้นำต้องสร้างความน่าเชื่อถือให้เกิดความเข้าใจร่วมกันว่า “เปลี่ยนแล้วดีขึ้น” นอกจากนั้นLeadership สมัยนี้ต้องเข้าใจและมีความเป็นหัวหน้างาน มากกว่าความเป็นเจ้าของงาน ผมเชื่อว่าการปรับเปลี่ยนองค์กรให้คนเดินไปด้วยกัน ถ้าตั้งใจเดินตาม และเราก็เดินตามเค้าบ้าง เราจะได้คนเก่งมาทำงานกับเรามากขึ้น ดังนั้นผมจะเปลี่ยน Culture ใหม่ของการทำงานทั้งที่เป็นผู้นำและผู้ตาม ถ้าเรามีคนแบบนี้เป็นแนวร่วมมากกว่าครึ่งเมื่อไร วัฒนธรรมองค์กรจะเกิดขึ้นทันที
หลังการเปิดตัว กุลณี อิศดิศัย อธิบดีกรมพัฒนาธุรกิจการค้า ชี้แจงภารกิจปี 2561 ทันทีที่เข้ารับตำแหน่ง ประกาศภารกิจสำคัญ 3 ด้านที่ต้องเร่งดำเนินการ
“ในฐานะที่เข้ารับตำแหน่งอธิบดีกรมพัฒนาธุรกิจการค้าคนใหม่ ซึ่งเป็นอธิบดีของกรมฯ ในลำดับที่ 27 ภารกิจสำคัญที่เป็นเป้าหมายหลักที่จะต้องเร่งดำเนินงานในปี 2561 นี้ จะสอดคล้องกับยุทธศาสตร์ชาติและยุทธศาสตร์กระทรวงพาณิชย์ โดยแบ่งออกเป็น 3 ด้าน คือ
1.เน้นการสร้างความเข้มแข็งของผู้ประกอบการ SMEs และเศรษฐกิจฐานรากของประเทศให้สามารถแข่งขันได้
ถือเป็นหัวใจหลักในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจของประเทศ จะเน้นการสร้างความเข้มแข็งทางเศรษฐกิจของ SMEs และเศรษฐกิจฐานรากของ ประเทศให้สามารถแข่งขันได้ โดยเฉพาะผู้ประกอบการ SMEs กลุ่มธุรกิจรุ่นใหม่ สมาชิกเครือข่ายธุรกิจ MOC Biz Club, OTOP ผู้ประกอบการชุมชน, วิสาหกิจเพื่อสังคม เน้นการบริหารจัดการ การส่งเสริมให้เข้าสู่ตลาด และดำเนินธุรกิจอย่างมีระบบยิ่งขึ้น
- เน้นการพัฒนาศักยภาพผู้ประกอบธุรกิจสู่การเป็น Smart Enterprises เสริมสร้างแนวคิดและทักษะของผู้ประกอบธุรกิจที่ดี มีความเป็นมืออาชีพสามารถสร้างมูลค่าเพิ่มให้กับสินค้าและบริการ ด้วยความคิดสร้างสรรค์ ใช้เทคโนโลยีและนวัตกรรมให้สอดคล้องกับความความต้องการของตลาด
- พัฒนาช่องทางการตลาดออนไลน์ (Offline to Online) เพื่อเป็นช่องทางในการกระจายสินค้าให้ผู้บริโภค สามารถเลือกซื้อสินค้าได้อย่างสะดวก เช่น การนำเสนอผลิตภัณฑ์ การจัดทำบรรจุภัณฑ์สำหรับการค้าออนไลน์ การบริหารจัดการร้านค้าออนไลน์ และส่งเสริมธุรกิจ e-Commerce เพิ่มโอกาสทางการค้าและขยายตลาดให้ทันต่อเศรษฐกิจยุคดิจิทัล และเป็นเครื่องมือที่สำคัญในการสร้างความน่าเชื่อถือ
- สร้างมาตรฐานและโอกาสทางการตลาดให้แก่ธุรกิจบริการ อาทิ ธุรกิจร้านอาหาร ธุรกิจบริการสุขภาพ ธุรกิจดูแลผู้สูงอายุ ธุรกิจแฟรนไชส์ ธุรกิจให้บริการโลจิสติกส์ เป็นต้น ตลอดจนสร้างโอกาสด้านอาชีพเพื่อก่อให้เกิดการสร้างรายได้ของชุมชนจากงานบริการ เช่น งานช่างประเภทต่างๆ งานให้บริการหัวหน้าแม่บ้าน เป็นต้น
- ยกระดับและพัฒนาส่งเสริมร้านค้าปลีกในชุมชนให้มีระบบบริหารจัดการร้านค้าที่มีประสิทธิภาพ ลดต้นทุนทางการค้า เพิ่มศักยภาพในการดำเนินธุรกิจ โดยนำระบบเทคโนโลยีมาใช้ โดยจะต่อยอดโครงการ โชวห่วยไฮบริดเชื่อมกับ e-Commerce, Counter Service ไปรษณีย์ไทย รวมทั้งบัตรสวัสดิการแห่งรัฐเพื่อพัฒนาเศรษฐกิจฐานรากของประเทศ (Local Economy) โดยจะพัฒนาร้านค้าชุมชนให้เกิดการแข่งขันได้มีแหล่งรับซื้อสินค้าชุมชนในภูมิภาคระหว่างภูมิภาค เพื่อพัฒนาสร้างเศรษฐกิจฐานรากของประเทศ
2.พัฒนาระบบการให้บริการอำนวยความสะดวกทางธุรกิจ โดยนำเทคโนโลยีและนวัตกรรมสมัยใหม่เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพ เน้นคุณภาพมากขึ้น
รวมทั้ง เชื่อมต่อฐานข้อมูลธุรกิจของกรมฯ กับฐานข้อมูลของหน่วยงานราชการอื่นๆ เพื่อให้เป็นคลังข้อมูลธุรกิจขนาดใหญ่ (Big Data) ของประเทศ อาทิ การเริ่มต้นธุรกิจที่ง่าย สะดวก รวดเร็วยิ่งขึ้น ลดขั้นตอนการเริ่มต้นของธุรกิจโดยรวมขั้นตอนการจดทะเบียนให้เหลือเพียง 1 ขั้นตอน
ซึ่งจากระบบเดิมจะมีขั้นตอนที่ 1 จองชื่อ ขั้นตอนที่ 2 จดทะเบียนบริษัท โดยระบบใหม่จะรวมขั้น 1 + 2 ให้เหลือเพียงขั้นตอนเดียว โดยรวมขั้นตอนการจองชื่อนิติบุคคลและการจดทะเบียนนิติบุคคลทางอิเล็กทรอนิกส์ (e-Registration) ให้อยู่ในขั้นตอน/หน้าเดียวกัน ซึ่งการพัฒนาบริการในส่วนนี้จะสอดคล้องกับเกณฑ์การจัดอันดับความยากง่ายในการประกอบธุรกิจของธนาคารโลกที่เน้นการบริการภาครัฐที่มีประสิทธิภาพและคุณภาพ เพิ่มช่องทางการจองชื่อนิติบุคคลผ่าน Mobile Application
- พัฒนาการขอหนังสือรับรองนิติบุคคลทางอิเล็กทรอนิกส์ ในรูปแบบอิเล็กทรอนิกส์ไฟล์ ทำคำขอผ่าน Smart Phone เพื่อขอหนังสือรับรองได้ทุกที่ทุกเวลา นอกเหนือจากการขอหนังสือรับรองฯ ผ่านธนาคาร
- การพัฒนาและเพิ่มประสิทธิภาพคลังข้อมูลธุรกิจของกรมฯ สู่การเป็น Business Intelligence โดยการให้บริการค้นหาข้อมูลและจับคู่ทางธุรกิจ (Business Matching) ให้สามารถติดต่อทางธุรกิจได้โดยง่าย เพิ่มข้อมูลการติดต่อผ่าน e-Mail จากเดิมที่มีเพียงเบอร์โทรศัพท์/โทรสารเท่านั้น
- สามารถวิเคราะห์แนวโน้นทางธุรกิจ การพยากรณ์ผลการประกอบธุรกิจจากอัตราส่วนทางการเงินและงบการเงินเพื่อให้ผู้ประกอบธุรกิจสามารถพิจารณาข้อมูลเชิงลึก เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการเข้าถึงข้อมูลได้สะดวกรวดเร็ว เพื่อประกอบการตัดสินใจในเชิงธุรกิจ และจะใช้ข้อมูลธุรกิจที่กรมมีอยู่ตั้งเป็นศูนย์กลางคลังข้อมูลธุรกิจเชื่อมโยงข้อมูลธุรกิจกับหน่วยงานราชการต่างๆ เพื่อให้เป็นฐานข้อมูลขนาดใหญ่ของประเทศหรือ Big Data ต่อไป
3. ส่งเสริมและสร้างมาตรฐานด้านธรรมาภิบาลแก่ภาคธุรกิจสร้างความเชื่อมั่นให้คู่ค้า(Business Governance)
โดยจะเน้นทั้งมาตรการป้องปรามและมาตรการส่งเสริม ได้แก่ การตรวจสอบแนะนำการปฎิบัติตามกฎหมายเพื่อกำกับดูแลให้ภาคธุรกิจปฎิบัติหน้าที่ได้อย่างถูกต้อง ติดตามควบคุมธุรกิจกลุ่มเสี่ยง เช่น นิติบุคคลไทยที่มีคนต่างด้าวถือหุ้น (นอมินี) การส่งเสริมให้ธุรกิจนำหลักธรรมาภิบาลไปใช้ในการประกอบธุรกิจมากขึ้น
- จะมีการยกระดับธุรกิจตามเกณฑ์มาตรฐานที่กรมฯ จัดทำขึ้นซึ่งอิงตามเกณฑ์มาตรฐานสากล
- จัดให้มีธุรกิจต้นแบบและประกวดธุรกิจที่มีธรรมาภิบาลดีเด่นในระดับจังหวัดและระดับประเทศ
- จะใช้ระบบบัญชีมาตรฐานเข้ามาช่วยสร้างธรรมาภิบาลให้แก่ภาคธุรกิจ (สามารถจัดทำบัญชีผ่านทาง Application หรือ ทางออนไลน์) และจัดทำระบบ e-Accountiog เพื่อให้ผู้ประกอบการ SMEs สามารถจัดทำรายรับรายจ่าย และงบแสดงฐานะการเงินได้โดยง่าย สามารถนำส่งงบการเงินประจำปีได้โดยอัตโนมัติ ซึ่งจะทำให้ SMEs มีการจัดทำบัญชีที่ถูกต้อง สามารถประเมินสภาพคล่องทางการเงิน และสามารถดำเนินงานได้
นอกจากนี้ การบริหารงานภายในกรมฯ จะมีการดำเนินงานให้สอดคล้องกับยุทธศาสตร์ชาติและยุทธศาสตร์กระทรวงพาณิชย์ สร้างบรรยายการทำงานในลักษณะ Team Work บูรณาการการทำงานด้วยความเกื้อกูลและสนับสนุนซึ้งกันและกัน เดินหน้าสู่ DBD 4.0 ที่จะรักษาไว้ซึ่งต้นสายปลายทางธุรกิจ ที่ขับเคลื่อนด้วย “ยิ้มแย้ม โปร่งใส ใส่ใจบริการ”
ภาพ : DIP
ศูนย์วิเคราะห์เศรษฐกิจทีเอ็มบี หรือ TMB Analytics ประเมินบาทแข็งทั้งปี 7% คาดรายได้ธุรกิจส่งออกหด 1 แสนล้านบาท ผลกระทบส่วนใหญ่ตกอยู่ที่บริษัทไทย ทำให้อัตรากำไรขั้นต้นลดลงจากปกติสูงสุด 6% แต่เอื้อผู้นำเข้าและขายในประเทศ ซึ่งส่วนใหญ่เป็นบริษัทต่างชาติ
ศูนย์วิเคราะห์เศรษฐกิจทีเอ็มบี หรือ TMB Analytics ประเมินบาทแข็งทั้งปี 7% คาดรายได้ธุรกิจส่งออกหด 1 แสนล้านบาท ผลกระทบส่วนใหญ่ตกอยู่ที่บริษัทไทย ทำให้อัตรากำไรขั้นต้นลดลงจากปกติสูงสุด 6% แต่เอื้อผู้นำเข้าและขายในประเทศ ซึ่งส่วนใหญ่เป็นบริษัทต่างชาติ
แม้ว่าการส่งออกไทยในปีนี้จะกลับมาเติบโตอย่างสดใส จากภาวะการค้าโลกที่ปรับตัวดีขึ้น โดยในช่วง 8 เดือนแรกเพิ่มขึ้นจากช่วงเดียวกันของปีก่อนถึง 9% มีรายได้จากการส่งออกเฉลี่ย 1.9 หมื่นล้านเหรียญต่อเดือน แต่ธุรกิจส่งออกกลับต้องรับมือกับการแข็งค่าของเงินบาทที่ปรับตัวอย่างรวดเร็วตั้งแต่ต้นปีจากอัตราแลกเปลี่ยนที่ 35.8 บาทต่อดอลลาร์สหรัฐฯ เป็น 33.3 บาทต่อดอลลาร์สหรัฐฯ ในเดือนกันยายนที่ผ่านมา และเนื่องจากพื้นฐานเศรษฐกิจไทยที่เติบโตดี โดยเฉพาะอย่างยิ่งรายได้จากการท่องเที่ยวที่จะเพิ่มขึ้นในไตรมาสสุดท้าย ส่งผลให้ ณ สิ้นปี 2560 นี้ อัตราแลกเปลี่ยนที่ศูนย์วิเคราะห์ฯ คาดการณ์ไว้จะอยู่ที่ 33.3 บาทต่อดอลลาร์สหรัฐฯ หรือแข็งค่า 7% จากต้นปี 2560
อย่างที่ทราบกันดี การแข็งค่าของเงินบาทส่งผลต่อรายได้ธุรกิจจะมากหรือน้อยขึ้นกับสัดส่วนการพึ่งพารายได้จากการส่งออกและสัดส่วนต้นทุนรายจ่ายที่เกิดจากการซื้อในประเทศหรือนำเข้า ทางศูนย์วิเคราะห์ฯ ได้ประเมินผลกระทบจากเงินบาทแข็งค่าตั้งแต่ต้นปี ผ่านการวิเคราะห์โครงสร้างธุรกิจและงบกำไรขาดทุนของธุรกิจ พบว่ารายได้จากการส่งออกสุทธิ (ส่งออก-นำเข้า) ทั้งปี 2560 จะลดลง 2.5 หมื่นล้านบาท ซึ่งแบ่งระดับผลกระทบออกเป็น 3 กลุ่มหลัก ได้แก่
1.กลุ่มที่ได้รับผลกระทบทางลบ คือ ธุรกิจที่พึ่งพารายได้จากการส่งออกและใช้วัตถุดิบภายในประเทศเป็นหลัก คาดว่าเงินบาทที่แข็งจะทำให้รายได้ผู้ประกอบการหายไปกว่า 9.9 หมื่นล้านบาท ซึ่งกระทบต่ออัตรากำไรขั้นต้น (Gross Profit Margin) ให้ลดลงจากระดับปกติ 1-6% โดยอยู่ในกลุ่มธุรกิจประเภท ผลิตภัณฑ์ยางพารา มันสำปะหลัง ข้าว อาหาร อัญมณีและเครื่องประดับ โดยส่วนใหญ่เป็นผู้ประกอบการไทย 80%
2.กลุ่มที่ได้รับผลประโยชน์ คือ ธุรกิจขายในประเทศและนำเข้าวัตถุดิบเป็นหลัก โดยเงินบาทที่แข็งค่าจะทำให้รายจ่ายจากการนำเข้าของผู้ประกอบการน้อยลง 7.4 หมื่นล้านบาท และส่งผลให้อัตรากำไรขั้นต้น (Gross Profit Margin) เพิ่มขึ้นจากระดับปกติ 1-2% ซึ่งอยู่ในกลุ่มธุรกิจ ผู้ค้าเครื่องจักรและชิ้นส่วน สินค้าอุปโภคบริโภค ผู้ค้าเหล็ก เครื่องใช้ไฟฟ้า ยาและเวชภัณฑ์ โดยส่วนใหญ่เป็นผู้ประกอบการต่างชาติ 60%
3.กลุ่มที่ไม่ได้รับผลกระทบ เนื่องจากเป็นธุรกิจที่พึ่งพารายได้จากการส่งออกแต่ใช้วัตถุดิบนำเข้าเป็นหลักซึ่งสามารถป้องความเสี่ยงด้านอัตราแลกเปลี่ยนด้วยลักษณะของตัวธุรกิจเอง (Natural Hedging) โดยอยู่ในกลุ่มธุรกิจผู้ผลิตรถยนต์ อิเล็กทรอนิกส์/คอมพิวเตอร์และชิ้นส่วน และเคมีภัณฑ์ ซึ่งส่วนใหญ่เป็นผู้ประกอบการต่างชาติ
จะเห็นได้ว่า ค่าเงินบาทที่แข็งค่า ส่งผลลบต่อความสามารถในการทำกำไรของธุรกิจที่พึ่งพารายได้จากการส่งออกที่ใช้วัตถุดิบในประเทศเป็นหลัก ซึ่งส่วนใหญ่เป็นผู้ประกอบการไทย แต่กลับเป็นผลบวกกับกลุ่มธุรกิจที่ผู้นำเข้าและขายในประเทศ ส่วนใหญ่เป็นผู้ประกอบการต่างชาติ
ในปี 2561 นี้ ศูนย์วิเคราะห์ฯ มองธุรกิจส่งออกยังคงเผชิญความเสี่ยงจากการแข็งค่าของเงินบาทต่อไป คาดว่าสิ้นปี 2561 อัตราแลกเปลี่ยนจะอยู่ในระดับ 32.5 บาทต่อดอลลาร์สหรัฐฯ หรือคาดว่าจะแข็งค่าขึ้น 2.5% จากสิ้นปี 2560 จากปัจจัยพื้นฐานเศรษฐกิจไทยที่ดีขึ้นต่อเนื่อง ทั้งจากรายได้การส่งออกและการท่องเที่ยวและยังได้รับแรงหนุนจากเงินลงทุนโดยตรงจากต่างประเทศ (FDI)
อีกทั้งเงินทุนต่างชาติที่เคลื่อนย้ายไหลเข้าตลาดหุ้นไทย ดังนั้นผู้ประกอบการควรมองหาเครื่องมือที่จะช่วยป้องกันความเสี่ยงค่าเงิน เพื่อลดผลกระทบที่จะเกิดขึ้นจากทิศทางค่าเงินบาทที่จะแข็งค่า รักษาความสามารถในการทำกำไรและพยุงความสามารถแข่งขันในตลาดได้ โดยเฉพาะผู้ประกอบการ SME ซึ่งมักไม่ได้ทำการป้องกันความเสี่ยงไว้
ปัจจุบันอุตสาหกรรมการท่องเที่ยวและการโรงแรม เป็นหนึ่งในภาคเศรษฐกิจที่เติบโตอย่างรวดเร็วทั่วโลก อาชีพที่เกี่ยวข้องจึงเป็นที่นิยมและมีอัตราการแข่งขันสูง
ศูนย์สร้างผู้ประกอบการที่ขับเคลื่อนโดยนวัตกรรม โดยมหาวิทยาลัยหอการค้าไทย (IDE Center by UTCC) เดินหน้าบ่มเพาะสตาร์ทอัพ เปิดโครงการ IDE Accelerator ส่งเสริมผู้ประกอบการไทยที่มีศักยภาพเข้าสู่กระบวนการเรียนรู้หลักการดำเนินธุรกิจ 24 ขั้นตอนของการเป็นผู้ประกอบการ (24 Steps of Disciplined Entrepreneurship) จากสถาบันเทคโนโลยีแมสซาชูเซตส์ (Massachusetts Institute of Technology) หรือ MIT สหรัฐอเมริกา พร้อมสนับสนุนทุนสร้างธุรกิจกว่า 2 ล้านบาท ตั้งเป้าเพิ่มจำนวนผู้ประกอบการที่ขับเคลื่อนโดยนวัตกรรม เสริมเศรษฐกิจไทยให้เติบโตอย่างมั่นคงในระยะยาว
ซีโอแอล-COL เกาะกระแสตลาดออนไลน์เติบโตอย่างต่อเนื่อง เปิดตัว สตาร์ทอัพ START UP สัญชาติไทย เมพ คอร์ปอเรชั่น-MEB Corporation ขึ้นแท่นผู้นำตลาด E-book Marketplace ล่าสุด เสริมทัพความแกร่งรับไตรมาส 4 จับมือพันธมิตรธุรกิจ ไฮเท็คซ์-Hytexts.com ผู้พัฒนาแอพพลิเคชั่น E-Reader ที่ตอบโจทย์ผู้อ่านครอบคลุมทุกกลุ่มเป้าหมาย พร้อมเปิดตัว ธุรกิจใหม่ พิกซีพี-PIXIPE ครีเอทีฟมาร์เก็ตเพลส ชวนนักออกแบบ-ดีไซน์เนอร์ สร้างสรรค์ผลงานสู่การเป็นเจ้าของธุรกิจโดยไม่ต้องหาแหล่งเงินทุน มั่นใจสิ้นปีปิดยอดขาย (GMV-Gross merchandise value) 400 ล้านบาท (ยอดรวม MEB+PIXIPE)
หากสำรวจดูในช่วงไม่กี่ปีมานี้ จะพบว่ามีธุรกิจจากประเทศญี่ปุ่นมาขยายฐานการผลิตที่ประเทศไทยจำนวนไม่น้อย
จากที่ผ่านมาธนาคารกรุงไทย นำร่องติดตั้งระบบ ให้กับร้านค้าต่างๆ ที่ศูนย์อาหารทำเนียบรัฐบาล มาถึงล่าสุดสนับสนุนนโยบาย National e-Payment การส่งเสริมสังคมไร้เงินสดของรัฐบาล มาสู่การจับจ่ายซื้อหาสินค้าในตลาดคลองผดุงกรุงเกษม