

นางสาวสิรีรัตน์ คอวนิช (กลางขวา) ผู้บริหารสูงสุด ฝ่ายการตลาดบัตรเครดิต “เคทีซี” หรือ บริษัท บัตรกรุงไทย จำกัด (มหาชน) เป็นตัวแทนมอบเงินจำนวน 24,747,573 บาท ให้กับนางสาวอรุณี อัชชะกุลวิสุทธิ์ (กลางซ้าย) ผู้อำนวยการ แผนกส่งเสริมความร่วมมือภาคเอกชน UNHCR
ซึ่งสมาชิกเคทีซีร่วมกันบริจาคสมทบเข้า UNHCR เพื่อช่วยเหลือผู้ลี้ภัย ผ่านบัตรเครดิตและใช้คะแนน KTC FOREVER (ทุก 1,000 คะแนน แทนเงินบริจาค 100 บาท) ณ สำนักงานข้าหลวงใหญ่ผู้ลี้ภัยแห่งสหประชาชาติ (UNHCR) ถนนกรุงเกษม เมื่อเร็วๆ นี้
![]()
นางสาวอรุณี อัชชะกุลวิสุทธิ์ ผู้อำนวยการแผนกส่งเสริมความร่วมมือภาคเอกชน UNHCR กล่าวว่า “สำนักงานข้าหลวงใหญ่ผู้ลี้ภัยแห่งสหประชาชาติก่อตั้งมายาวนานถึง 70 ปี โดยให้ความช่วยเหลือผู้ลี้ภัยจากเหตุการณ์ในประเทศ เช่น สงคราม หรือความขัดแย้งทำให้ไม่สามารถอยู่ในประเทศตนเองได้ ซึ่งตอนนี้มีจำนวนถึง 82.4 ล้านคน ทั่วโลก ปัจจุบันเราทำงานใน 135 ประเทศ และร่วมงานกับประเทศไทยมานาน 47 ปี
ความช่วยเหลือจากทุกๆ ฝ่ายเป็นเรื่องสำคัญ สำหรับ UNHCR มีผู้บริจาคที่มีคุณภาพผ่านบัตรเครดิตเคทีซี แบบต่อเนื่องค่อนข้างมาก จากสถิติพบผู้ที่ตกอยู่ในสถานะผู้ลี้ภัยโดยเฉลี่ยถึง 17 ปี ดังนั้นการบริจาคต่อเนื่องจะช่วยให้เรามีงบประมาณในการช่วยชีวิตผู้ลี้ภัยได้อย่างมีประสิทธิภาพ โดยมุ่งเน้นช่วยกลุ่มที่เปราะบางเพราะ 80% ของผู้ลี้ภัยคือ ผู้หญิงและเด็ก สำหรับช่องทางการบริจาคผ่านบัตรเครดิตเคทีซีเป็นวิธีที่ง่าย และสามารถสร้างการเปลี่ยนแปลงได้อย่างยั่งยืน ในอนาคตจะมีโครงการมอบทุนให้กับผู้ลี้ภัยทั่วโลก เพราะมีผู้ลี้ภัยเพียง 3% ที่ได้รับการศึกษาในระดับมหาวิทยาลัย รวมถึงวิกฤติด้านมนุษยธรรมล่าสุดในอัฟกานิสถาน เราจึงอยากมอบโอกาสและอนาคตที่ดีให้กับผู้ลี้ภัยด้วยกัน”
เคทีซีชี้ธุรกิจบริการร้านค้ารับบัตรเครดิตเติบโตต่อเนื่อง รับอานิสงส์จากเศรษฐกิจพื้นตัว เร่งพัฒนาระบบบริการรับบัตรหลัก เพื่อเพิ่มโอกาสและสร้างรายได้ให้ผู้ประกอบการร้านค้าที่ต้องการระบบรับชำระที่มีประสิทธิภาพ
ตอบโจทย์ในยุคดิจิทัลชูจุดแข็งที่่ระบบเสถียร ปลอดภัย เงินเข้าบัญชีไว ใส่ใจ 24 ชั่วโมง คาดสิ้นปี 2565 ยอดรับบัตรเครดิตโต 20% ตามเป้า
![]()
นางสาวเนาวรัตน์ กีรติเกษมสุข ผู้บริหารสูงสุด สายงานบริหารร้านค้าสมาชิก “เคทีซี” หรือ บัตรกรุงไทย จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า “ธุรกิจร้านค้ารับบัตรเครดิตเคทีซี (Merchant Acquiring) ในปีนี้ (มกราคม –พฤศจิกายน 2565) มีปริมาณยอดรับบัตรเพิ่มขึ้น 19.6% เมื่อเทียบกับปีก่อนหน้า โดยสถานการณ์โควิด – 19 เป็นปัจจัยเร่งที่ทำให้ผู้บริโภคหันมาใช้จ่ายผ่านการชำระเงินในรูปแบบสังคมไร้เงินสด (Cashless Society) มากขึ้น ทั้งช่องทางหน้าร้าน (Offline) และร้านค้าออนไลน์ (Online) โดยเราเห็นเทรนด์การเติบโตต่อเนื่องของทั้งสองช่องทางนี้ ดังนั้นหากร้านค้าสามารถปรับตัวหรือเปิดให้บริการควบคู่ทั้ง Online และ Offline (omni channel) จะยิ่งช่วยเพิ่มโอกาสสร้างรายได้ให้กับธุรกิจได้เป็นอย่างดี และคาดว่าในไตรมาสที่ 4 จะมียอดรับบัตรเครดิตเพิ่มขึ้น ตามแนวโน้มเศรษฐกิจที่ฟื้นตัวอย่างต่อเนื่อง อีกทั้งเป็นช่วงฤดูกาลจับจ่ายใช้สอยในเทศกาลพิเศษต่างๆ ซึ่งจะส่งผลดีต่อร้านค้า และสะท้อนผลมายังเคทีซีให้สามารถเติบโตตามเป้าหมาย 20% ในสิ้นปี 2565”
“เคทีซีจึงได้ศึกษาและพัฒนาบริการร้านค้ารับบัตรเครดิตอย่างต่อเนื่อง เพื่ออำนวยความสะดวก และช่วยผู้ประกอบการร้านค้าเพิ่มศักยภาพและโอกาสในการขายสินค้าและบริการผ่านระบบบริการร้านค้ารับบัตร 6 ประเภท คือ
1. บริการเครื่องรูดบัตร EDC (Electronic Data Capture) เพียงแตะบัตรจ่าย (Contactless) นอกจากการเสียบบัตรกับเครื่อง ทั้งสะดวก รวดเร็วและปลอดภัยได้มาตรฐานสากลรองรับการชำระเงินได้ทั้งบัตรเครดิตและบัตรเดบิตของทุกธนาคาร และล่าสุดรองรับการชำระด้วย Google Pay ในเครื่องเดียว สามารถชำระได้ทั้งรูดเต็มจำนวน และบริการผ่อนชำระ (สำหรับบัตรเครดิตเคทีซี) พร้อมรองรับบัตรได้หลายสกุลเงิน DCC (Dynamic Currency Conversion) แปลงสกุลจากเงินบาทเป็นสกุลเงินของประเทศผู้ออกบัตรได้ทั่วโลกถึง 30 สกุลเงิน อีกทั้งยังรองรับระบบแลกซื้อสินค้า และบริการแลกคะแนนสะสม KTC FOREVER พิเศษ สำหรับร้านค้าที่สมัครใช้บริการกับเคทีซี ฟรีค่าประกันเครื่อง ติดตั้งเครื่องและกระดาษเซลสลิป
2. บริการ KTC Payment Gateway ระบบการรับชำระค่าสินค้าและบริการออนไลน์ตลอด 24 ชั่วโมง รองรับการชำระเงินทั้งบัตรเครดิต วีซ่า มาสเตอร์การ์ด เจซีบี ยูเนี่ยนเพย์ และบัตรเดบิต เพื่อให้ลูกค้าซื้อสินค้าและชำระเงินบนเว็บไซต์ของร้านค้าได้สะดวก รวดเร็วและปลอดภัย
3.บริการรับชำระผ่านลิงค์เพย์ (LINK PAY) ระบบการชำระเงินที่ร้านค้าสามารถสร้างลิงค์การรับชำระเงินด้วยลิงค์ (LINK) หรือ คิวอาร์โค้ด (QR Code) และส่งให้กับลูกค้าเพื่อชำระเงินด้วยบัตรเครดิต หรือบัตรเดบิต ผ่านช่องทางที่ร้านค้าติดต่อกับลูกค้า อาทิ โซเชียลมีเดีย และอีเมล โดย LINK PAY จะมีอายุการใช้งาน 24 ชั่วโมง รองรับบริการรูดเต็มจำนวน และผ่อนชำระ (สำหรับบัตรเครดิตเคทีซี) บริการรับชำระผ่าน LINK PAY มีความปลอดภัยสูงตามมาตรฐานสากล และมีรหัสยืนยันการทำธุรกรรมออนไลน์แบบใช้ครั้งเดียว OTP (One Time Password) และร้านค้าสามารถตรวจสอบผลการทำรายการแบบเรียลไทม์ผ่านระบบออนไลน์ได้ตลอด 24 ชั่วโมง
4. KTC QR Pay บริการรับชำระค่าสินค้าบริการด้วยบัตรเครดิต หรือพร้อมเพย์ (PromptPay) เพียงลูกค้าสแกนคิวอาร์โค้ด (QR Code) ผ่านสมาร์ทโฟน ก็สามารถทำธุรกรรมจ่ายเงินได้ง่าย สะดวกสบาย ปลอดภัย ที่สำคัญร้านค้าไม่ต้องวิ่งหาเงินทอน ไม่ต้องกังวลเรื่องค่าบริการเครื่องรูดบัตร (EDC) ซึ่งบริการ QR Pay กำลังได้รับความนิยมอย่างแพร่หลาย เพียงร้านค้าตั้งป้าย QR Code หรือสร้าง QR Code ผ่านโมบายแอปพลิเคชัน “KTC Merchant” ก็สามารถทำธุรกรรมได้อย่างรวดเร็ว
5. KTC Recurring บริการเรียกเก็บเงินอัตโนมัติผ่านบัญชีบัตรเครดิตหรือบัตรเดบิต เพื่อให้ร้านค้าเรียกเก็บเงินค่าบริการจากผู้ถือบัตรได้ตามระยะเวลาที่กำหนด เหมาะกับการหักค่าบริการรายเดือนหรือรายงวดตามที่ร้านค้ากำหนด อาทิ ค่าสาธารณูปโภค ค่าโทรศัพท์ ค่าธรรมเนียมสมาชิก ค่าเบี้ยประกัน เงินบริจาคการกุศล ค่าส่วนกลางของอาคารที่อยู่อาศัย 6.บริการอาลีเพย์ (Alipay) ในเครือของ Alibaba ที่อำนวยความสะดวกให้กลุ่มนักท่องเที่ยวจีนที่มาเที่ยวในไทย หรือชาวจีนที่อาศัยในไทย และมีบัญชี Alipay สามารถชำระค่าสินค้าและบริการต่างๆ ผ่านทางแอปพลิเคชัน Alipay ที่ร้านค้า ใช้งานง่าย ทันสมัย สะดวกและปลอดภัย อีกทั้งยังเพิ่มโอกาสในการโฆษณาร้านค้าให้เป็นที่รู้จักบนแอปพลิเคชัน Alipay พร้อมมีเนวิเกเตอร์ช่วยให้ผู้ใช้บริการอาลีเพย์ค้นหาที่ตั้งร้านค้าได้ง่ายขึ้น”
นายธานี นาคเกยูร ผู้บริหารสูงสุด ฝ่ายสรรหาและบริหารร้านค้าสมาชิกออนไลน์ “เคทีซี” หรือ บัตรกรุงไทย จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า “ปัจจุบันเทคโนโลยีการชำระเงินออนไลน์สะดวกและมีให้เลือกหลากหลายรูปแบบมากขึ้น อีกทั้งอุปกรณ์ที่ใช้ซื้อของออนไลน์ก็เปลี่ยนไป โดยมากกว่าครึ่งหนึ่งของยอดธุรกรรมมาจากสมาร์ทโฟนและแท็บเล็ต ผู้ประกอบการร้านค้าจึงควรมองหาช่องทางการชำระเงินออนไลน์ที่เหมาะสมและมีทางเลือกให้กับผู้บริโภค บริการ KTC Payment Gateway เป็นอีกทางเลือกหนึ่งที่สามารถเติมเต็มและตอบโจทย์พ่อค้าแม่ค้าออนไลน์ไปจนถึงผู้ประกอบการขนาดใหญ่ได้ ด้วย 3 จุดแข็งหลัก (3S) ที่ทำให้พันธมิตรร้านค้าหลายแห่งเลือกใช้บริการคือ Service การบริการที่ตอบโจทย์ร้านค้า เงินเข้าบัญชีเร็วที่สุดเมื่อเทียบกับอุตสาหกรรม ภายใน 1 วัน พร้อมบริการ 24 ชั่วโมง ครอบคลุม 7 วัน (24 x7) เป็นเรื่องสำคัญที่สุดสำหรับร้านค้าออนไลน์ที่เปิดตลอด 24 ชั่วโมง รวมถึงการให้คำแนะนำกรณีร้านค้าจะมีการขยายธุรกิจ อาทิ เปิดเว็บไซต์ใหม่ เป็นต้น Stability ความเสถียรเป็นสิ่งสำคัญอย่างมากต่อการทำธุรกรรมออนไลน์ หากระบบไม่เสถียรย่อมส่งผลกระทบต่อการซื้อขายของร้านค้าทันที เคทีซีจึงมีการลงทุนพัฒนาระบบโครงสร้างพื้นฐานอย่างต่อเนื่อง เพื่อมอบประสบการณ์ที่ดีให้กับร้านค้าและผู้บริโภค Secure ความปลอดภัย คือหัวใจสำคัญของการให้บริการทางการเงินที่เคทีซีคำนึงถึงเป็นอันดับแรก เพื่อให้ทั้งร้านค้าและลูกค้าวางใจได้ว่าทุกธุรกรรมจะปลอดภัยด้วยมาตรฐานสากล ซึ่งเคทีซีได้รับการรองรับจากหลายสถาบันทั้ง Card scheme, ISO รวมถึงมาตรฐาน PCIDSS ที่เป็นมาตรฐานสูงสุดของการจัดเก็บข้อมูลที่ใช้กันในอุตสาหกรรมบัตรเครดิต”
![]()
เคทีซียังมีทีมงานบริการหลังการขายคอยช่วยเหลือร้านค้าและให้คำแนะนำด้วยทีมงานที่มีประสบการณ์ พร้อมให้บริการตลอด 24 ชั่วโมง รวมทั้งมีทีม Fraud & Prevention ที่คอยมอนิเตอร์เพื่อป้องกันความเสียหายที่อาจเกิดขึ้นกับร้านค้าและเพื่อความปลอดภัยในการทำธุรกรรมของลูกค้า
สำหรับร้านค้าที่สนใจใช้บริการธุรกิจร้านค้ารับบัตรเครดิตเคทีซี (Merchant Acquiring) สามารถสมัครได้ที่ www.ktc.co.th/merchant หรือ ติดต่อ Call Center ธุรกิจร้านค้า KTC โทร.0-2123-5700 ทุกวัน ตลอด 24 ชั่วโมง
ธนาคารแห่งอเมริกาโดยการประสานงานของมูลนิธิ EDF (มูลนิธิกองทุนการศึกษาเพื่อการพัฒนา) จัดอบรมการพัฒนาผลิตภัณฑ์ที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม (Environmental Friendly Product Design) ภายใต้โครงการพัฒนาทักษะอาชีพและอนุรักษ์สิ่งแวดล้อม (Career and Environmental Development project) แก่นักเรียนและครูจากโรงเรียน 12 แห่ง ในจังหวัดกาญจนบุรี และจังหวัดราชบุรี
รวม 120 คน ณ โรงแรมริเวอร์แคว จังหวัดกาญจนบุรี โครงการพัฒนาทักษะอาชีพและอนุรักษ์สิ่งแวดล้อมมีวัตถุประสงค์เพื่อพัฒนานักเรียน โรงเรียน และชุมชนในจังหวัดกาญจนบุรีและราชบุรี ให้มีทักษะอาชีพที่จำเป็น ตระหนักรู้เกี่ยวกับความสำคัญของสิ่งแวดล้อม และเป็นต้นแบบการพัฒนาทักษะอาชีพและอนุรักษ์สิ่งแวดล้อมให้โรงเรียนที่เข้าร่วมโครงการซึ่งมีกรอบการเรียนรู้ ฝึกประสบการณ์ และทำงานระหว่างเดือนพฤษภาคม-ธันวาคม 2565
![]()
ตลอดการอบรมนักเรียนและครูจากโรงเรียนต่าง ๆ ได้รับความรู้มากมาย ทั้งกิจกรรมการละลายพฤติกรรมผ่านเกมสันทนาการ การให้ความสำคัญของคำว่าทีมเวิรค์หรือการทำงานร่วมกันเป็นทีม เป็นหมู่คณะ การร่วมกันคิดวิเคราะห์แสดงความคิดเห็น การลงมือทำ และการนำเสนอโครงงานของนักเรียนแต่ละทีมซึ่งสามารถนำไปปรับใช้ในการเรียน และในอนาคตได้
อนึ่งมูลนิธิ EDF เป็นองค์กรสาธารณกุศลลำดับที่ 255 ของประเทศไทย ที่ดำเนินงานเพื่อช่วยเหลือนักเรียนที่ด้อยโอกาสให้ได้รับการศึกษา รวมถึงจัดกิจกรรมซีเอสอาร์ในโรงเรียนและชุมชนมาตั้งแต่ปี พ.ศ.2530 โดยมูลนิธิ EDF ได้รับการยอมรับจากองค์กรทั้งในและต่างประเทศและได้รับรางวัล เช่น ประกาศนียบัตรรับรอง CAF International Vetted Organization จาก CAF International ที่มอบให้องค์กรสาธารณกุศลทั่วโลกที่ผ่านการตรวจสอบมาตรฐานการดำเนินงานครอบคลุมหลักธรรมาภิบาล เป็นองค์กรสาธารณกุศลที่จดทะเบียนถูกต้อง มีรายงานการเงินประจำปีที่มีความโปร่งใสสามารถตรวจสอบได้ เงินบริจาคและเงินสนับสนุนที่ส่งมอบให้มูลนิธินำไปใช้อย่างถูกต้องตรงตามวัตถุประสงค์เพื่อสาธารณกุศลอย่างแท้จริง รางวัลประกาศนียบัตรองค์กรสาธารณกุศลระดับ 5 ดาว จากการดำเนินงานและบริหารงานด้วยหลักธรรมาภิบาล มีประสิทธิภาพทางการเงิน และมีความโปร่งใสจากสมาคมกิฟวิ่ง แบค รางวัลยอดเยี่ยมองค์กรพัฒนาเอกชนแห่งประเทศไทย ประเภทองค์กรขนาดใหญ่จากมูลนิธิร็อคกี้เฟลเลอร์ สถาบันคีนันแห่งเอเชีย และ เดอะ รีซอร์ส อัลลิอันซ์ รางวัลกัลปพฤกษ์ทองคำจากมหาวิทยาลัยขอนแก่น ในฐานะหน่วยงานที่ทำความดีอันเป็นประโยชน์ต่อสังคม และรางวัลคนดีต้นแบบคุณธรรมไทยจากสมาคมสหพันธ์คนพิการในประเทศไทย เป็นต้น
![]()
องค์กรหรือผู้สนใจจัดกิจกรรมเพื่อสังคมหรือสนับสนุนทุนการศึกษาให้นักเรียนด้อยโอกาสร่วมกับมูลนิธิ EDF สามารถติดต่ออีเมล This email address is being protected from spambots. You need JavaScript enabled to view it. โทรศัพท์ (02) 579 9209-11 ในวันจันทร์-วันศุกร์ เวลา 09.00-16.30 น. ไลน์แอปพลิเคชัน @edfthai เฟสบุ๊กแฟนเพจ https://www.facebook.com/edfthai หรือดูข้อมูลเพิ่มเติมที่เว็บไซต์ www.edfthai.org
“ธนาคารกรุงไทย” จับมือ “อินฟินิธัส” เปิดตัวบริการใหม่ “เป๋าตังเปย์” มุ่งเป้าสร้างประสบการณ์ใหม่เพื่อตอบโจทย์สังคมไร้เงินสด ให้ตรงใจคนรุ่นใหม่ ภายใต้แนวคิด “เปย์ไป มีแต่ได้” คาดมีผู้ใช้งานกว่า 5 ล้านรายภายในปี 2566
นายผยง ศรีวณิช กรรมการผู้จัดการใหญ่ ธนาคารกรุงไทย เปิดเผยว่า ธนาคารกรุงไทย ในฐานะผู้นำดิจิทัลแบงกิ้งของไทย วางยุทธศาสตร์ชัดเจนในการพัฒนาเทคโนโลยีและนวัตกรรมทางการเงิน เพื่อยกระดับคุณภาพชีวิตของคนไทย ใน 5 Ecosystems หลัก ทั้งบริการภาครัฐ การศึกษา การขนส่งมวลชน สุขภาพและการรักษาพยาบาล รวมถึงการชำระเงิน ซึ่งเป็นหนึ่งในบริการหลักของระบบธนาคาร และเป็นปัจจัยสนับสนุนทุกกิจกรรมในระบบเศรษฐกิจ โดยในช่วง 3 ปีที่ผ่านมา รูปแบบการชำระเงินของไทยเปลี่ยนแปลงไปสู่การชำระเงินอิเล็กทรอนิกส์ หรือ Digital Payment อย่างชัดเจน จากการแพร่ระบาดของโควิด-19 เป็นตัวเร่งให้ประชาชนหันมาใช้จ่ายผ่านช่องทางดิจิทัลแทนเงินสดมากขึ้น
จากข้อมูลธนาคารแห่งประเทศไทย ล่าสุด ณ เดือนกันยายน 2565 การใช้จ่ายผ่านระบบอิเล็กทรอนิกส์ (e-Payment) เพิ่มขึ้นเฉลี่ยที่ 400 รายการต่อคนต่อปี จากปี 2564 อยู่ที่ 312 รายการต่อคนต่อปีและปี 2563 อยู่ที่ 202 รายการต่อคนต่อปี โดยช่องทางที่ได้รับความนิยมมากที่สุดคือ Internet & Mobile Banking มีจำนวนผู้ใช้งานกว่า 133 ล้านบัญชี มีปริมาณธุรกรรม 2,139 ล้านรายการ เพิ่มขึ้น 48.6% มูลค่ารวม 8.43 ล้านล้านบาท เพิ่มขึ้น 14.3% จากช่วงเดียวกันของปีที่ผ่านมา นอกจากนี้ ยังมีธุรกรรมที่เติบโตสูงคือ บริการชำระเงินผ่านกระเป๋าเงินอิเล็กทรอนิกส์ (e-Wallet) ซึ่งเป็นการชำระเงินของคนรุ่นใหม่ มีไลฟ์สไตล์ชอบความสะดวก รวดเร็ว ทำธุรกรรมได้แบบเรียลไทม์บนมือถือ โดยมีจำนวนผู้ใช้งานถึง 122.6 ล้านบัญชี ปริมาณธุรกรรม 302 ล้านรายการต่อเดือน เพิ่มขึ้น 38.5% มูลค่ารวม 5.3 หมื่นล้านบาท เพิ่มขึ้น 19% จากช่วงเดียวกันของปีที่ผ่านมา และยังมีแนวโน้มเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง
และเพื่อตอกย้ำการเป็นส่วนหนึ่งในการขับเคลื่อนสังคมไร้เงินสดอย่างยั่งยืน ธนาคารกรุงไทย ร่วมกับ บริษัท อินฟินิธัส บาย กรุงไทย จึงพัฒนา “เป๋าตังเปย์” (Paotang Pay) ให้เป็นซูเปอร์วอลเล็ตของคนไทย เพิ่มศักยภาพดิจิทัลเพย์เมนต์แอปฯ “เป๋าตัง” ให้ครบวงจรมากขึ้น เพื่อยกระดับคุณภาพชีวิต และลดความเหลื่อมล้ำในการเข้าถึงปัจจัยพื้นฐานทางเศรษฐกิจดิจิทัล โดยคาดว่าจะมีผู้ใช้งานกว่า 5 ล้านราย ภายในสิ้นปี 2566
นางประราลี รัตน์ประสาทพร กรรมการผู้จัดการ บริษัท อินฟินิธัส บาย กรุงไทย จำกัด ผู้พัฒนาแอปฯ เป๋าตัง กล่าวว่า ทิศทางการชำระเงินในอนาคตมุ่งสู่ Digital Payment อย่างชัดเจน จากรายงาน Global Payments ของ World Pay ชี้ว่า ปัจจัยสนับสนุนคือ 1. ความนิยมซูเปอร์แอป หรือแอปฯ ที่รวมฟังก์ชันต่างๆเข้าด้วยกัน เพราะช่วยให้ผู้บริโภคได้รับประสบการณ์การใช้จ่ายแบบครบวงจรจากแพลตฟอร์มเดียว 2. ผู้บริโภคชอบการชำระเงินที่มีความคล่องตัว ใช้งานง่ายและรวดเร็ว ไม่จำเป็นต้องพกเงินสด 3. ผู้ให้บริการ e-Commerce ชั้นนำต่างเปิดรับการชำระเงินด้วยวอลเล็ต รวมถึงเปิดวอลเล็ตของตัวเอง เพิ่มช่องทางการรับชำระค่าสินค้าและบริการให้ผู้บริโภค 4. มีช่องทางการเติมเงินเข้าวอลเล็ตที่หลากหลายขึ้น ทั้งบัตรเครดิต บัตรเดบิต บัญชีธนาคาร เป็นต้น 5. การชำระเงินแบบไร้สัมผัสมีการเร่งตัวขึ้น โดยผู้บริโภคเริ่มใช้เงินสดน้อยลงและใช้วอลเล็ตมากขึ้น จากทิศทางดังกล่าว บริษัทจึงพัฒนา “เป๋าตังเปย์” ให้เป็นบริการอีกขั้นของการชำระเงินในรูปแบบซูเปอร์ วอลเล็ตบนแอปฯ เป๋าตัง ที่ผสานความสามารถของ Bank App และ e-Wallet เข้าด้วยกันให้บริการแบบ Open Loop เป็นวอลเล็ตแรก โดยใช้ QR พร้อมเพย์ เป็นตัวกลาง เปิดกว้างทุกการใช้จ่าย ทำให้ผู้ใช้สามารถใช้จ่ายทุกร้านค้าได้อย่างอิสระ ครอบคลุมทุกไลฟ์สไตล์ มุ่งขยายฐานผู้ใช้งานกลุ่มนักเรียน นักศึกษา และวัยเริ่มต้นทำงานที่มีเพียง 30% บนแอปฯ เป๋าตังเป็นหลัก และเพื่อให้ตอบโจทย์คนรุ่นใหม่อย่างแท้จริง “เป๋าตังเปย์” จึงถูกออกแบบและพัฒนาโดยทีมคนรุ่นใหม่ INFINITAS NEXT GEN TEAM ภายใต้แนวคิด “เปย์ไปมีแต่ได้” ครอบคลุมทั้งบริการโอนเงิน เติมเงิน สแกนจ่ายผ่านคิวอาร์พร้อมเพย์ได้ทุกธนาคาร และทุกร้านค้าทั่วไทย รวมถึงใช้ชำระบิลค่าน้ำ ค่าไฟ ค่าโทรศัพท์ บัตรเครดิต ประกัน หรือค่าธรรมเนียมหน่วยงานภาครัฐ ฯลฯ ซึ่งจะมาพร้อมสิทธิประโยชน์และภารกิจสนุกๆ เพื่อพิชิตคูปองส่วนลดมากมาย
นอกจากนี้ เพื่อให้สามารถใช้จ่ายได้ทุกร้านทั่วไทยอย่างแท้จริง ยังได้เปิดตัว บัตรเพลย์ บัตรที่เชื่อมกับ เป๋าตังเปย์ ผสานการใช้งานออนไลน์-ออฟไลน์ ใช้ชำระค่าโดยสารระบบขนส่งมวลชน แบบ Contactless แตะจ่ายได้ทั้งรถ ราง และทางด่วน ใช้ซื้อสินค้าออนไลน์ และรูดจ่ายผ่านเครื่อง EDC Payment ยกเว้นค่าธรรมเนียมในการออกบัตร เมื่อออกบัตรภายในวันที่ 31 มกราคม 2566 และใช้จ่ายผ่านบัตรเพลย์ ครบ 1,000 บาท/บัตร/เดือน รับสิทธิ์รับเครดิตเงินคืนเข้าเป๋าตังเปย์ 45 บาทต่อเดือน (จำกัด 1,000 สิทธิ์/เดือน) ตั้งแต่วันที่ 1 ธันวาคม 2565 – 28 กุมภาพันธ์ 2566
นางสาวสุพร สุนทรโรหิต Chief Business Innovation Officer บริษัท อินฟินิธัส บาย กรุงไทย จํากัด กล่าวว่า “เป๋าตังเปย์” พร้อมมอบความสะดวกสบายให้ผู้ใช้งานได้อย่างไร้รอยต่อ เพียงแค่มีแอปฯ เป๋าตัง ก็สมัครใช้งานได้ทันที โดยไม่จำเป็นต้องมีบัญชีเงินฝากธนาคารกรุงไทย ด้วยขั้นตอนง่ายๆ เพียงกรอกข้อมูลบัตรประชาชนข้อมูล CDD (Customer Due Diligence) สแกนใบหน้ายืนยันตัวตน หากสมัครเป๋าตังเปย์สำเร็จ จะสามารถกดสมัครบัตรเพลย์บนแอปฯ เป๋าตังได้ทันที สะดวก และสามารถเติมเงินได้หลายช่องทางทั้ง G-Wallet Krungthai NEXT และ Mobile Banking ของทุกธนาคาร หรือผ่าน QR Code รับเงิน โดยไม่มีค่าธรรมเนียม ซึ่งเริ่มเปิดให้บริการตั้งแต่วันที่ 22 พฤศจิกายน 2565
เป๋าตังเปย์และบัตรเพลย์ หวังสร้างประสบการณ์ใหม่ให้กับการใช้จ่ายของคนไทย โดยเฉพาะคนรุ่นใหม่ “เปย์สนุก” “เปย์ครบ” ทุกธุรกรรม และ “เปย์คุ้ม” รับส่วนลดมากมาย เมื่อสมัครใช้งาน และใช้จ่ายผ่าน เป๋าตังเปย์ที่ร้านค้าถุงเงิน เพียง 50 บาท รับส่วนลด 10 บาททันที สูงสุดคนละ 5 สิทธิ รวม 500,000 สิทธิ และจ่ายเพียงบาทเดียว เมื่อซื้อ Wall’s จำกัด 150,000 สิทธิ ตั้งแต่วันที่ 22 พฤศจิกายน - 31 ธันวาคม 2565 นอกจากนี้ ยังมีคูปองส่วนลดช้อปปิ้ง กิน เที่ยว ทุกเดือนกับพาร์ทเนอร์อีกจำนวนมาก สมัครได้แล้ววันนี้ สอบถามข้อมูลเพิ่มเติมที่ https://krungthai.com/th/content/personal/paotang-pay หรือ Krungthai Contact Center 02-111-1111
โครงการ Digital Opportunities for Talents (DOTs) 2022 หรือโครงการประกวดแผนธุรกิจภายใต้โจทย์ “Sustainability in Action” ซึ่งจัดขึ้นโดย Sea (ประเทศไทย) ผู้ให้บริการอินเทอร์เน็ตแพลตฟอร์มชั้นนำ อาทิ การีนา (Garena) ช้อปปี้ (Shopee) และซีมันนี่ (SeaMoney) ได้ดำเนินมาถึงรอบประกาศผลรางวัลรอบสุดท้าย
โดยผู้ร่วมโครงการทั้ง 30 ทีม ได้ผ่านการแข่งขันอย่างเข้มข้นจนเหลือ 6 ทีมสุดท้าย ที่ได้ร่วมนำเสนอผลลัพธ์ความสำเร็จภายในงานประกาศผลรางวัลรอบสุดท้าย (Final Presentation) เพื่อส่งต่อองค์ความรู้จากการลงมือทำจริงตลอดระยะเวลา 2 เดือนให้กับผู้ประกอบการ SME ตลอดจนร่วมคว้าเงินรางวัลรวมกว่า 200,000 บาท และในปี 2022 นี้ ทีม In it for the beers ได้แก่ นางสาวศิริธร แก้วสุพรรณ์ และนางสาวสุฎารัตน์ สุขภิลาภ เป็นผู้ที่คว้ารางวัลชนะเลิศไปได้ด้วยแผนธุรกิจสำหรับร้าน Artstory by AutisticThai ผลงานจากจินตนาการผ่านภาพและลายเส้นผลงานศิลปะของกลุ่มเด็กและบุคคลที่มีความแตกต่างทางการเรียนรู้
นางสาวมณีรัตน์ อนุโลมสมบัติ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร Sea (ประเทศไทย) กล่าวว่า “ตลอดระยะเวลาการแข่งขันอย่างเข้มข้นกว่า 2 เดือน ผู้เข้าแข่งขันได้พัฒนาทักษะและแสดงออกถึงศักยภาพ พร้อมเติบโตเป็นผู้ประกอบการดิจิทัลรุ่นใหม่ในอนาคต ผ่านกิจกรรมต่างๆ ที่ผู้เข้าแข่งขันได้ทำงานร่วมกับเจ้าของร้านค้า SME ในการพัฒนากลยุทธ์และลงมือทำจริง เพื่อแก้ไขปัญหาและสร้างการเติบโตให้กับร้านค้าที่ได้รับมอบหมาย โดย มีผู้เชี่ยวชาญจาก Sea (ประเทศไทย) และช้อปปี้คอยให้คำแนะนำอย่างใกล้ชิด ด้านร้านค้าก็ได้แนวคิดและมุมมองใหม่ๆ ในการสร้างธุรกิจให้เติบโต Sea (ประเทศไทย) ในฐานะผู้จัดโครงการฯ รู้สึกยินดีเป็นอย่างยิ่งที่ได้มีส่วนในการส่งเสริมให้คนรุ่นใหม่ได้มีทักษะสำคัญของผู้ประกอบการดิจิทัล ที่สามารถต่อยอดและปรับใช้ได้ในอนาคต พร้อม ๆ กับการสนับสนุนธุรกิจที่ใส่ใจด้านความยั่งยืนให้เกิดการเติบโตในระยะยาว สอดคล้องกับเป้าหมายของ Sea (ประเทศไทย) ในการพัฒนาคุณภาพชีวิตของผู้บริโภคและยกระดับการดำเนินธุรกิจของผู้ประกอบการรายย่อยด้วยเทคโนโลยี พร้อมขับเคลื่อนประเทศไทยสู่ Digital Nation ด้วยการพัฒนา Digital Talent โดยเฉพาะอย่างยิ่งในกลุ่มคนรุ่นใหม่ที่จะเป็นพลังสำคัญที่จะช่วยเพิ่มขีดความสามารถทางการแข่งขันด้านเศรษฐกิจดิจิทัลของประเทศต่อไป”
![]()
โครงการ DOTs 2022 ยังได้รับเกียรติจาก ดร. ศรุต วานิชพันธุ์ ผู้อำนวยการอาวุโส Sea (ประเทศไทย), ดร.ปรีสาร รักวาทิน ผู้ช่วยผู้อำนวยการใหญ่ กลุ่มงานส่งเสริมการประยุกต์ใช้ดิจิทัล สำนักงานส่งเสริมเศรษฐกิจดิจิทัล (depa), นางสาววนิดา จรูญเพ็ญ หัวหน้าส่วนประสานเครือข่ายหน่วยงานภาคเอกชน สำนักงานส่งเสริมวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม (สสว.), นางรัตน์วลี อนันตานานนท์ ผู้ช่วยผู้จัดการ หัวหน้ากลุ่มงานพัฒนาธุรกิจเพื่อความยั่งยืน ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (SET) และนางสาวฑิฟฟาณี เชน นักทดสอบนโยบาย โครงการพัฒนาแห่งสหประชาชาติ (UNDP) ร่วมเป็นคณะกรรมการทรงคุณวุฒิตัดสินผลงานในรอบ 6 ทีมสุดท้ายนี้อีกด้วย
![]()
นางสาวศิริธร แก้วสุพรรณ์ และนางสาวสุฎารัตน์ สุขภิลาภ จากทีม In it for the beers คว้ารางวัลชนะเลิศพร้อมเงินรางวัลมูลค่า 80,000 บาท โดยผลการดำเนินงานที่ทีม In it for the beers ได้นำเสนอแสดงให้เห็นว่า ทีมผู้เข้าแข่งขันได้นำความรู้และทักษะดิจิทัลที่ได้เก็บเกี่ยวตลอดโครงการฯ มาประยุกต์ใช้ในแผนการดำเนินงานเพื่อช่วยให้ Artstory by AutisticThai ร้านค้า SME ไทยที่นำเสนอผลงานจากจินตนาการผ่านภาพและลายเส้นผลงานศิลปะของกลุ่มเด็กและบุคคลที่มีความแตกต่างทางการเรียนรู้สามารถพัฒนาและต่อยอดธุรกิจบนช่องทางออนไลน์และแพลตฟอร์มอีคอมเมิร์ชได้อย่างแท้จริง โดยเห็นการเติบโตของยอดขายที่เพิ่มสูงขึ้นกว่า 2 เท่า เทียบกับก่อนช่วงเข้าร่วมโครงการ และยอดการเข้าชมร้านค้าในช้อปปี้ที่มีการเติบโตเพิ่มขึ้นกว่า 1.3 เท่าภายในระยะเวลา 2 เดือนของการเข้าร่วมโครงการ อีกทั้ง ยังสามารถส่งต่อแนวคิดและแผนงานในการสร้างการเติบโตให้กับร้านค้าอย่างยั่งยืนในอนาคตได้อย่างชัดเจนอีกด้วย
สำหรับทีมอื่น ๆ ที่เข้ารอบ Final Presentation ก็สามารถทำผลงานได้โดดเด่นและช่วยสร้างการเติบโตของร้านค้าที่ได้รับมอบหมายได้เป็นอย่างดี ไม่ว่าจะเป็นทีม ไฉ่เสินเหยีย กับร้าน SANDT คว้ารางวัลรองชนะเลิศอันดับที่ 1 มูลค่า 50,000 บาท ทีม Will-Wisdom-Mind กับร้าน Carechoice คว้ารางวัลรองชนะเลิศอันดับที่ 2 มูลค่า 30,000 บาท รวมถึงทีม GangRocket กับร้าน Little Hen Noodle, ทีม CreamCreamery กับร้าน Ira Concept และทีม MED KID Consulting กับร้าน Green Wash คว้ารางวัลชมเชย มูลค่ารางวัลละ 5,000 บาท
ยิ่งไปกว่านั้น ร้านค้าทั้งหมดที่เข้าร่วมโครงการฯ ก็มียอดขายต่อเดือนโดยเฉลี่ยบนแพลตฟอร์มช้อปปี้เติบโตเพิ่มขึ้นกว่า 2.1 เท่า ยอดคำสั่งซื้อต่อวันเพิ่มขึ้นโดยเฉลี่ย 1.3 เท่า และสร้างยอดขายบนแพลตฟอร์มช้อปปี้มูลค่าโดยรวม 3.6 ล้านบาท ตลอดในช่วงเวลา 2 เดือนภายใต้โครงการ
กรมส่งเสริมอุตสาหกรรม หรือ ดีพร้อม (DIPROM) เดินหน้า ต่อยอดความสำเร็จโครงการอาชีพดีพร้อม เฟส 2 จัดอบรมเสริมสร้างทักษะและความรู้ให้กับชุมชน เพื่อเพิ่มศักยภาพให้กับประชาชนที่ได้รับผลกระทบจากการย้ายถิ่นฐานกลับภูมิลำเนาให้มีความรู้ในการ ต่อยอดอาชีพ พร้อมสร้างช่างสำหรับแก้ปัญหาขาดแคลนแรงงานในชุมชน คาดผู้เข้าร่วมกว่า 350,000 คน
นายใบน้อย สุวรรณชาตรี อธิบดีกรมส่งเสริมอุตสาหกรรม หรือ “ดีพร้อม” เปิดเผยว่า ในช่วง ที่ผ่านมา สังคมไทยได้รับผลกระทบจากสภาวะทางเศรษฐกิจเป็นจำนวนมาก โดยสถิติล่าสุดของสำนักงาน สถิติแห่งชาติที่จัดทำขึ้นปีละครั้ง พบว่ามีผู้ย้ายถิ่นฐานทั่วประเทศรวมกว่า 6.67 แสนคน ซึ่งกรมส่งเสริมอุตสาหกรรม หรือ “ดีพร้อม” (DIPROM) เล็งเห็นถึงความสำคัญในการสร้างโอกาสและพัฒนาคนกลุ่มนี้ เป็นอย่างมาก จึงได้ดำเนินโครงการ “อาชีพดีพร้อม” ผ่านศูนย์ดีพร้อมเซ็นเตอร์ทั้ง 11 แห่ง และในส่วนกลาง โดยประกอบด้วย 4 หลักสูตร ซึ่งในเฟส 1 ได้จัดอบรมหลักสูตรที่ 1 เป็นการพัฒนาทักษะอาชีพพื้นฐาน ด้านการผลิตไปเป็นที่เรียบร้อยแล้วโดยการอบรมเน้นการพัฒนาทักษะอาชีพพื้นฐานด้านการผลิต อาทิ การผลิตของใช้ในครัวเรือนต่าง ๆ อาทิ น้ำยาล้างจาน สบู่เหลว ของชำร่วย การเพ้นท์กระเป๋า มีผู้ที่ผ่านการอบรมแล้วทั้งสิ้น จำนวน 350,000 คน
สำหรับในเฟส 2 ที่กำลังดำเนินการอยู่ในขณะนี้ ดีพร้อม มุ่งพัฒนาทักษะที่จำเป็นในการ ต่อยอดอาชีพ โดยประกอบด้วยหลักสูตรที่ 2 การพัฒนาทักษะอาชีพพื้นฐานด้านการบริการที่เน้นการนำไปประกอบอาชีพเสริม เพื่อเพิ่มรายได้พัฒนาให้เกิดทักษะความเชี่ยวชาญมากขึ้นในกลุ่มอาชีพเฉพาะทาง งานช่าง อาทิ อุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ ซ่อมรถ ซ่อมแอร์ และกลุ่มอาชีพบริการ เช่น เชฟ ช่างเย็บผ้า ช่างตัดผม เป็นต้น ซึ่งผู้ที่จบหลักสูตรนี้จะสามารถนำไปประกอบอาชีพหารายได้ ในส่วนหลักสูตรที่ 3 การพัฒนาด้านผลิตภัณฑ์ และบรรจุภัณฑ์ เป็นการถ่ายทอดความรู้ด้านการสร้างแบรนด์สินค้าจากภายในท้องถิ่น สร้างอัตลักษณ์ ให้มีความโดดเด่น ตรงกับความต้องการของตลาด และมีการสอนเรื่องการจัดส่งกระจายสินค้าให้เป็นระบบ จะเห็นได้ว่าหลักสูตรที่ 3 นี้ เป็นการเตรียมความพร้อมสู่การพัฒนาด้านความคิดสร้างสรรค์ที่จะต่อยอดผลิตภัณฑ์ให้มีมูลค่ามากขึ้น และหลักสูตรที่ 4 การพัฒนาต่อยอดทักษะที่จำเป็นต่อการประกอบธุรกิจที่จะเป็นการอบรม เพื่อสร้างความรู้เรื่องการจัดการเงินในการประกอบธุรกิจ อาทิ การทำแผนธุรกิจ การจัดทำบัญชี การตลาด การบริหารจัดการเงินให้เหมาะสมกับสถานการณ์ปัจจุบัน ซึ่งเป็นการเตรียมความรู้ที่จำเป็นในการประกอบธุรกิจของผู้ประกอบการใหม่ให้มีความพร้อมมากที่สุดก่อนลงมือทำกิจการ
โดยในเฟส 2 ดีพร้อมตั้งเป้าหมายว่าจะมีผู้สนใจเข้าร่วมทั้งสิ้นรวม 350,000 คน และเชื่อมั่นว่า การพัฒนาทักษะให้กับคนจะเป็นการสร้างพื้นฐานที่ดีและจะนำมาซึ่งความสำเร็จสู่ผู้ประกอบการและชุมชน ส่งผลให้ราคาจำหน่ายสูงมากขึ้นกำไรก็จะมากขึ้น ผลประโยชน์นี้ไม่ได้ตกอยู่กับตัวผู้อบรมอย่างเดียว แต่สามารถสะท้อนผลความเจริญต่อไปได้ในระดับประเทศ นายใบน้อย กล่าวทิ้งท้าย
สอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ สำนักงานเลขานุการกรม กรมส่งเสริมอุตสาหกรรม โทรศัพท์ 0 2430 6865-66 ต่อ 4 หรือ ติดตามข้อมูลข่าวสารและความเคลื่อนไหวได้ที่ www.facebook.com/dipromindustry หรือ www.diprom.go.th
คำไหนคำนั้น ตัวจริงต้องคนนี้ “ชัยวัฒน์ นันทิรุจ” บอสใหญ่แห่ง “เอกา โกลบอล” ผู้นำตลาดนวัตกรรมบรรจุภัณฑ์ยืดอายุอาหารแบรนด์ไทย รายใหญ่ระดับ Top 5 ของโลก ตั้งเจตนารมณ์ช่วยเหลือและส่งเสริมศักยภาพของเอสเอ็มอีธุรกิจอาหารไทยสู่เวทีโลก กระซิบข่าวเล่าว่า.. ปีหน้า โควิดซาได้จัดโรดโชว์ไป 3 ภูมิภาคเพื่อให้เอสเอ็มอีทั่วไทยได้เข้าถึงบรรจุภัณฑ์ได้แล้ว เริ่มจาก ม.สงขลานครินทร์ หาดใหญ่ ไป ม.เชียงใหม่ และ ม.ขอนแก่น ผู้บริหารและทีมงาน เอกา โกลบอล พร้อมลุยอย่างนี้ เอสเอ็มธุรกิจอาหารไทยทั่วประเทศ เตรียมความพร้อม Q1 ปีหน้า พบกันแน่นอน จ้า!!!
ธนาคารกรุงไทย ในฐานะธนาคารพาณิชย์ชั้นนำของประเทศ มุ่งมั่นพัฒนาผลิตภัณฑ์และบริการทางการเงินที่ทันสมัย สนับสนุนคนไทยทุกกลุ่มเข้าถึงบริการทางการเงินอย่างทั่วถึง เพื่อยกระดับคุณภาพชีวิตคนไทยให้ดีขึ้นทุกวัน นำเสนอบริการทางการเงินครบวงจร ด้วยข้อเสนอสุดพิเศษ ในงาน มหกรรมการเงินกรุงเทพส่งท้ายปี ครั้งที่ 5 Money Expo 2022 Bangkok Year-End ภายใต้แนวคิด “ติดปีกไทย สู่ความยั่งยืน : Empower Better Life for All Thais” ระหว่างวันที่ 15-18 ธันวาคม 2565 ณ ฮอลล์ EH 103-104 ศูนย์นิทรรศการและการประชุมไบเทค บางนา
ธนาคารจัดเต็มบริการทางการเงินและโปรโมชั่นภายในงาน มีไฮไลท์ทั้ง สินเชื่อรายย่อย สินเชื่อ SMEs ได้แก่ สินเชื่อกรุงไทยบ้านให้เงิน เปลี่ยนหลักทรัพย์ให้เป็นเงินก้อนโตได้ง่ายๆ วงเงินกู้สูงสุด 20 ล้านบาท กู้ได้นาน 30 ปี สินเชื่อบ้านกรุงไทย ดอกเบี้ยเริ่มต้นปีแรก 1.00%ต่อปี วงเงินกู้สูงสุด 100% ระยะเวลากู้สูงสุด 40 ปี ฟรีค่าธรรมเนียมยื่นกู้ Krungthai NPA MEGA Sale 2565 ยกทัพทรัพย์สินพร้อมขายคุณภาพดีทั่วประเทศ กว่า 3,000 รายการ มูลค่ากว่า 14,000 ล้านบาท ลดราคาสูงสุด 55% Krungthai NPAเหมาเหมา ซื้อทรัพย์ราคาพิเศษ เมื่อเหมาทรัพย์ตั้งแต่ 3 รายการขึ้นไป พร้อมสินเชื่อที่อยู่อาศัยสำหรับผู้ซื้อทรัพย์สินพร้อมขาย (NPA) ดอกเบี้ยเริ่มต้นปีแรก 0.5% ระยะเวลากู้สูงสุด 40 ปี ยกเว้นค่าธรรมเนียม การประเมินราคาหลักทรัพย์ประกัน สินเชื่อกรุงไทยธนวัฏ เพื่อสมาชิก กบข. วงเงินสูงสุด 15 เท่าของเงินเดือน คิดดอกเบี้ยตามจำนวนเงินใช้จริง สินเชื่ออเนกประสงค์ เพื่อสมาชิก กบข. วงเงินกู้สูงสุด 5 ล้านบาท ดอกเบี้ยพิเศษเริ่มต้น 6.47% ต่อปี ไม่ต้องมีบัญชีเงินเดือนผ่านกรุงไทย ก็ยื่นกู้ได้
นอกจากนี้ ยังสนับสนุนผู้ประกอบการ SMEs ทุกกลุ่มเข้าถึงแหล่งเงินทุน ด้วยสินเชื่อฟื้นฟูเพื่อธุรกิจ ดอกเบี้ยพิเศษ 2 ปีแรก ไม่เกิน 2% ต่อปี ผ่อนนานสูงสุด 10 ปี สินเชื่อ Krungthai SME Smart Shop ร้านเล็กก็กู้ได้ เพียงใช้แอปพลิเคชัน “ถุงเงิน”หรือ เครื่อง EDC กรุงไทย ไม่ต้องใช้หลักประกัน วงเงินสูงสุด หลักล้านบาท สินเชื่อกรุงไทย Smart Money สำหรับผู้มีรายได้ประจำ แต่ไม่มีบัญชีเงินเดือนกับธนาคาร ให้กู้วงเงินสูงสุด 5 เท่าของรายได้ ไม่ต้องมีหลักประกัน กู้ได้นาน 5 ปี
ในงานมีคาราวานตรวจสุขภาพฟรี ของ กรุงไทย-แอกซ่า ประกันชีวิต ตอบโจทย์การวางแผนด้านสุขภาพและการลงทุน พร้อมแคมเปญพิเศษ iHealthy Ultra มาตรฐานใหม่ของการวางแผนเรื่องสุขภาพ ซื้อประกันภัย PA สุขใจชัวร์ เบี้ยประกันภัย 5,000 บาทขึ้นไป ของ บมจ.กรุงไทยพานิชประกันภัย รับบัตร Starbucks E-Coupon มูลค่า 150 บาท ซื้อผลิตภัณฑ์ประกันวินาศภัย บมจ.ทิพยประกันภัย เบี้ยประกันภัย 5,000 บาทขึ้นไป รับสายรัดข้อมืออัจฉริยะ Mi Band 3 และลงทุน 200,000 บาทขึ้นไป รับฟรีกระเป๋า G2000 พิเศษสมัคร บัตรเดบิตกรุงไทย รับ 2 ต่อ ฟรีค่าธรรมเนียมออกบัตร และส่วนลดค่าธรรมเนียมรายปี (ปีแรก) สมัครบัตรเครดิต KTC รับบัตรกำนัล Starbucks มูลค่า 200 บาท
อีกหนึ่งความก้าวหน้าการขับเคลื่อนสังคมสุขภาวะ Imagine Thailand Movement จัดกิจกรรมแลกเปลี่ยนเรียนรู้ระหว่างผู้นำชุมชนและเยาวชน จ.น่าน และจ.กระบี่ ภายใต้โครงการพัฒนาพื้นที่สุขภาวะเพื่อลดปัจจัยเสี่ยงทางสุขภาพ โดยการสนับสนุนของสำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.) เปิดเวทีให้เด็กและผู้ใหญ่ ทั้งสองพื้นที่ได้แลกเปลี่ยนเรียนรู้ แชร์ประสบการณ์การขับเคลื่อนสังคม เพื่อพัฒนาชุมชนตนเองสู่ต้นแบบพื้นที่ สุขภาวะ ณ ชุมชนบ้านท่ามะพร้าว ต.คลองพน อ.คลองท่อม จ.กระบี่ เมื่อช่วงปลายเดือนพฤศจิกายน ที่ผ่านมา
ดร.อุดม หงส์ชาติกุล ผู้ก่อตั้งห้องปฏิบัติการทางสังคม (ประยเทศไท) และ Imagine Thailand Movement กล่าวว่า ชุมชนตำบลเจดีย์ชัย อ.ปัว จ.น่าน และ ชุมชนบ้านท่ามะพร้าว ต.คลองพน อ.คลองท่อม จ.กระบี่ เป็นพื้นที่เป้าหมายการขับเคลื่อนสังคมสุขภาวะ ซึ่งมีบริบทที่แตกต่างกัน แต่จุดหมายเดียวกัน คือ ต้องการพัฒนาชุมชนตนเองให้เป็นพื้นที่สุขภาวะสำหรับทุกคน ซึ่งการจัดกิจกรรมครั้งนี้ต้องการให้ผู้นำชุมชน และเยาวชนทั้งสองพื้นที่ได้มีโอกาสเรียนรู้ซึ่งกันและกัน ได้เห็นมุมมองที่แตกต่าง ผมคิดว่า เราจะเห็นโอกาสอะไรใหม่ๆ เพราะประสบการณ์เหล่านี้จะสะสมให้พวกเขาลุกขึ้นมาเป็นผู้นำ ทำอะไรบางอย่าง เพื่อชุมชนของพวกเขาเอง
สำหรับกิจกรรมนี้ มีผู้เข้าร่วมกว่า 50 คน ประกอบด้วย ผู้นำชุมชนและเยาวชน ต.เจดีย์ชัย นำโดย นายฤทธิเดช ยะแสง กำนันตำบลเจดีย์ชัย พ่อเสริม คำแปง จากศูนย์เรียนรู้เสริมทรัพย์ เกษตรอินทรีย์ นักเรียนและคุณครูจากโรงเรียนบ้านนาวงศ์ และโรงเรียนบ้านปงสนุก พร้อมด้วยผู้นำชุมชนบ้านท่ามะพร้าว อาทิ ลุงเฉม ลูกบัว ลุงทวี คำเผือก ลุงวาสนา หลานเด็น อาจารย์สุบิน นิยมเดชา ผอ.โรงเรียนบ้านท่ามะพร้าว ชาวชุมชน รวมถึงแกนนำเยาวชน พี่ต้า พี่ดีน พี่ครีม ครูเกมส์ ครูอุ๊ส โดยในการนี้ได้รับเกียรติจากนายณธรรมรักษ์ จงรักษ์ นายกเทศมนตรีตำบลคลองพนพัฒนา มาให้การต้อนรับและเป็นกำลังใจกับผู้เข้าร่วมกิจกรรม
![]()
“ชุมชนบ้านท่ามะพร้าว” เป็นชุมชนมุสลิม ทำอาชีพประมง มีความเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ มีคณะกรรมการกองทุนหมู่บ้าน มีผู้นำชุมชนที่เข้มแข็ง และมีการสร้างเยาวชนอาสาส่งต่อรุ่นสู่รุ่นเป็นแกนนำร่วมพัฒนาหมู่บ้าน ในอดีต ชุมชนแห่งนี้ มีป่าชายเลนที่อุดมสมบูรณ์ แต่เมื่อ 20 ปีก่อนป่าถูกทำลายอย่างนัก จนสัตว์น้ำหายไปพร้อมกับผู้คน ในชุมชนที่ต้องย้ายถิ่นไปทำมาหากินนอกพื้นที่ แต่ด้วยความเข้มแข็งของผู้นำชุมชน ผู้นำศาสนา โรงเรียน ชาวบ้านองค์กรท้องถิ่นต่างๆ และแรงหนุนจากสมาคมพัฒนาประชากรและชุมชน (PDA) พร้อมใจกันลุกขึ้นมาทวงคืนทรัพยากรล้ำค่า ช่วยกันปลูก ช่วยกันดูแล อนุรักษ์ จนวันนี้ผืนป่ากลับมาสมบูรณ์ ชาวบ้านมีรอยยิ้ม มีงานทำ มีรายได้ และมีอาหารดีๆ นับเป็นความสำเร็จที่ยิ่งใหญ่ของชุมชนแห่งนี้
โดยตลอดทั้ง 2 วัน ผู้นำชุมชนและเยาวชน ได้แลกเปลี่ยนประสบการณ์ซึ่งกันและกัน ผ่านกระบวนการต่างๆ และได้ร่วมกิจกรรมปล่อยปู คืนสู่ทะเล เพื่อเป็นการอนุรักษ์พันธุ์สัตว์น้ำ และลงไปในชุมชน เยี่ยมชมวิถีชีวิตชาวประมง ทำให้ได้เห็น ได้ลองสัมผัส กุ้ง หอย ปู ปลา ตัวเป็นๆ สร้างความตื่นเต้นให้กับน้องๆ เยาวชน จากน่าน เป็นอย่างมาก เพราะหลายคนไม่เคยเห็นของจริง
และเวทีนี้ ยังเปิดโอกาสให้เยาวชนได้นำเสนอแนวคิดในการพัฒนาหมู่บ้านของตนเอง ให้ผู้ใหญ่ได้รับทราบด้วย ซึ่งทั้ง 2 พื้นที่ มีความคิดเห็นไปในทิศทางเดียวกัน คือ ต้องการแก้ไขปัญหา ยาเสพติด เหล้า บุหรี่ อบายมุข และปัจจัยเสี่ยงต่างๆ ให้หมดไปจากหมู่บ้าน เพราะพวกเขาอยากให้ชุมชนเป็นพื้นที่ปลอดภัยสำหรับทุกคน นั่นเอง
สำหรับ น้อง “มาเฟีย” หรือ ด.ญ.ศุภดารัตน์ อรุณวัฒนานันท์ นักเรียนชั้นม.1 โรงเรียนบ้านปงสนุก จ.น่าน บอกว่า ตื่นเต้นที่ได้เห็นอาหารทะเลตัวเป็นๆ ได้เห็นวิถีชีวิตชาวประมง และรู้ว่าป่าชายเลนมีความสำคัญกับชุมชนแห่งนี้มาก เพราะเป็นที่อยู่ของสัตว์น้ำ แหล่งอาหารของชุมชน และได้รู้อีกว่าชุมชนบ้านท่ามะพร้าวมีปัญหาเรื่องสิ่งเสพติด ตามที่เพื่อนๆ นำเสนอ พวกเขาอยากให้มีการนำเอาคนในหมู่บ้าน ที่ติดยาไปบำบัด ซึ่งชุมชนของหนูก็ไม่อยากให้มีปัญหานี้เหมือนกัน ซึ่งการมากระบี่ครั้งนี้ได้ประสบการณ์ที่คุ้มค่ามาก ๆ
เช่นเดียวกับ “น้องอามีนะ” หรือ ด.ญ.รัตดาวัลณ์ กูลหลัก นักเรียนชั้นป.6 โรงเรียนบ้านท่ามะพร้าว จ.กระบี่ ที่บอกว่า ประทับใจกับกิจกรรมนี้ ได้รู้จักเพื่อนใหม่ และได้แลกเปลี่ยนความรู้กัน ทำให้เรารู้ว่า ชุมชนเจดีย์ชัยมีเรื่องปัจจัยเสี่ยงเกี่ยวกับยาเสพติด หนูคิดว่าการที่เราได้พบปะแลกเปลี่ยนความรู้กับเพื่อนต่างพื้นที่ ทำให้ได้ความรู้ใหม่ๆ บางทีปัญหาเหมือนกันแต่มีวิธีแก้ไขที่ต่างกัน ซึ่งอาจจะเป็นประโยชน์กับการพัฒนาชุมชนของเราก็ได้
ส่วน นายฤทธิเดช ยะแสง กำนันตำบลเจดีย์ชัย หนึ่งในผู้นำคนสำคัญ กล่าวว่า การมาร่วมกิจกรรมครั้งนี้สร้างประสบการณ์ที่มีค่าให้กับผู้นำชุมชน และเยาวชน ตำบลเจดีย์ชัย เป็นอย่างมาก เป็นการเปิดโลกเรียนรู้ให้กับเด็ก ซึ่งหลายคนไม่ค่อยมีโอกาสดีๆ แบบนี้ ทริปนี้เป็นครั้งแรกของพวกเขาที่ได้ออกมาเรียนรู้ มาเก็บเกี่ยวประสบการณ์นอกห้องเรียนไกลถึงจ.กระบี่ เชื่อว่าสิ่งที่ทุกคนได้ติดตัวกลับไปจากกิจกรรมนี้ จะประโยชน์สำหรับการพัฒนาพื้นที่สุขภาวะของชุมชนตำบลเจดีย์อย่างแน่นอน
ลุงทวี คำเผือก และลุงเฉม ลูกบัว ปราชญ์ชาวบ้านและผู้นำชุมชนบ้านท่ามะพร้าว กล่าวว่า ดีใจที่ได้เห็นภาพผู้นำชุมชน และเยาวชน ทั้ง 2 พื้นที่ได้มารู้จัก มาแลกเปลี่ยนกัน โดยเฉพาะเยาวชน ถือเป็นทรัพยากรสำคัญของชุมชน ที่จะก้าวมาเป็นผู้นำในอนาคต จำเป็นต้องเรียนรู้ สั่งสมประสบการณ์ ซึ่งการได้รู้จัก ได้ร่วมงานกับผู้นำเก่งๆ ต่างพื้นที่ ทำให้เห็นโอกาสใหม่ๆ และเกิดแรงบันดาลใจ ผลักดันให้พวกเขาลุกขึ้นมาเป็นแกนนำอาสาร่วมพัฒนาหมู่บ้าน ให้น่าอยู่ ให้ปลอดภัยจากปัจจัยเสี่ยง

“กระบวนการ Social Lab มีเป้าหมายที่จะสร้างพื้นที่สร้างสรรค์ทางสังคม ซึ่งเป็นพื้นที่เรียนรู้ที่ปลอดภัยสำหรับ ทุกคน และเราคงไม่สามารถขับเคลื่อนงานลักษณะแบบนี้ได้ ถ้าขาดซึ่งความร่วมมือจากฝ่ายต่างๆ ทั้งผู้นำชุมชน ผอ.โรงเรียน ผู้นำในท้องถิ่น ปราชญ์ และแน่นอน สสส. ซึ่งให้การสนับสนุนการขับเคลื่อน เพื่อที่จะสร้างสังคม สุขภาวะให้ได้เกิดขึ้นจริง” ดร.อุดม กล่าว
นับเป็นประสบการณ์ที่มีคุณค่า และมีความหมาย กับน้องๆ เยาวชน และผู้นำชุมชน ทั้งสองพื้นที่ ที่จะนำเอาองค์ความรู้กลับไปพัฒนาพื้นที่สุขภาวะของตนเองและของชุมชน เพื่อเป็นเกราะป้องกันพวกเขาให้ห่างปัจจัยเสี่ยงทางสุขภาพต่างๆ ต่อไป
เอไอเอ ประเทศไทย ประกาศความสำเร็จงานเดิน-วิ่งเทรล AIA One Billion Trail 2022 ประเภททีม 4 คน ครั้งแรกในประเทศไทย บนเส้นทางธรรมชาติที่สวยงามจากดอยอินทนนท์ถึงดอยสุเทพ จังหวัดเชียงใหม่
งานนี้มีนักวิ่งเข้าร่วมพิชิตเป้าหมายกว่า 400 ทีม พร้อมร่วมกันระดมทุนให้กับสภากาชาดไทย เพื่อบริจาคในโครงการส่งเสริมและพัฒนาการพูด อ่าน เขียนภาษาไทย สำหรับช่วยเหลือเด็กนักเรียนในถิ่นทุรกันดาร แสดงให้เห็นถึงพลังความสามัคคี พละกำลัง ความแข็งแกร่งและจิตใจที่ดีอันเป็นหนึ่งเดียวกัน เพื่อสานต่อพันธกิจ AIA One Billion ที่เอไอเอมุ่งสนับสนุนผู้คนกว่าพันล้านคนทั่วภูมิภาคเอเชียให้มีสุขภาพและชีวิตที่ดีขึ้น ภายในปี 2030 ตอกย้ำคำมั่นสัญญา ‘Healthier, Longer, Better Lives’ โดยได้รับเกียรติจาก นายนิรัตน์ พงษ์สิทธิถาวร ผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงใหม่ และนายกฤษฎา บุญราช ผู้ช่วยเลขาธิการสภากาชาดไทย เป็นตัวแทนมอบถ้วยพระราชทานสมเด็จพระกนิษฐาธิราชเจ้า กรมสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี แก่ ทีม AIA S20 ซึ่งชนะเลิศในระยะทาง 100 กิโลเมตร โดยใช้เวลาเข้าเส้นชัยที่ 16.37 ชั่วโมง โดยพิธีมอบรางวัล AIA One Billion Trail 2022 จัดขึ้นเมื่อวันที่ 4 ธันวาคม 2565 ณ ศูนย์ประชุมและแสดงสินค้านานาชาติฯ จังหวัดเชียงใหม่
นายนิคฮิล แอดวานี ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร เอไอเอ ประเทศไทย กล่าวว่า “งานเดิน-วิ่งเทรล AIA One Billion Trail 2022 ประเภททีม 4 คนในครั้งนี้ถือเป็นครั้งแรกในประเทศไทย และนับว่าประสบความสำเร็จเป็นอย่างมาก ด้วยยอดนักวิ่งที่มาร่วมงานกว่า 1,600 คนจากทั่วประเทศ โดยมีทีมที่สมัคร AOB100 จำนวนกว่า 50 ทีม ซึ่งทะลุเป้าหมายของเรา ผมรู้สึกยินดีที่งานวิ่งของเราสามารถจูงใจให้คนหันมาออกกำลังกาย ฟิตซ้อมร่างกายเพื่อลงแข่งขัน และตั้งเป้าหมายให้กับตนเองที่จะพิชิตความท้าทายเหล่านั้น รวมถึงสร้างแรงบันดาลใจให้ทุกคนดูแลสุขภาพอย่างจริงจังในระยะยาว ตลอดจนสามารถยกระดับงานวิ่งเทรลของไทยให้ทัดเทียมระดับสากล และยินดีเป็นอย่างยิ่งที่เอไอเอได้เป็นส่วนหนึ่งในการกระตุ้นเศรษฐกิจและการท่องเที่ยวของจังหวัดเชียงใหม่ให้กลับมาครึกครื้นอีกครั้ง หลังจากวิกฤตการแพร่ระบาดโควิดที่ผ่านมา พร้อมได้พาเหล่านักวิ่งทุกคนได้ร่วมสัมผัสประสบการณ์ในการวิ่งท่ามกลางธรรมชาติอันสวยงามของจังหวัดเชียงใหม่ ตลอดเส้นทางจากดอยอินทนนท์ถึงดอยสุเทพ เพื่อบรรลุเป้าหมายสูงสุดร่วมกัน ตลอดจนได้พัฒนาขีดความสามารถด้านพละกำลัง ความอดทน และความสมานสามัคคีกันในทีม”
สำหรับผลการแข่งขันการเดิน-วิ่งเทรล AIA One Billion Trail 2022 ในแต่ละระยะทาง ได้แก่
· AOB100 ระยะทาง 100 กิโลเมตร ได้แก่ ทีม AIA S20 ด้วยเวลา 16.37 ชั่วโมง
· AOB50 ระยะทาง 50 กิโลเมตร ได้แก่ ทีม Snailgang ด้วยเวลา 10.10 ชั่วโมง
· AOB25 ระยะทาง 25 กิโลเมตร ได้แก่ ทีม Choomthong24 ด้วยเวลา 3.51 ชั่วโมง
· AOB10 ระยะทาง 10 กิโลเมตร ได้แก่ ทีม Rouy K ด้วยเวลา 1.47 ชั่วโมง
“ในนามของเอไอเอ ประเทศไทย ผมขอแสดงความยินดีกับนักวิ่งเทรลทุกทีมที่ทำผลงานได้อย่างยอดเยี่ยม จนได้รับโล่รางวัล และรางวัลพิเศษต่าง ๆ จากเอไอเอและพันธมิตรของเรา รวมถึงขอขอบคุณนักวิ่งเทรลทุกท่านที่เข้าร่วมเป็นส่วนหนึ่งของงาน AIA One Billion Trail 2022 เรายังคงไม่หยุดที่จะสร้างสรรค์กิจกรรมที่ช่วยส่งเสริมให้คนไทยมีสุขภาพและชีวิตที่ดีขึ้น ตามจุดมุ่งหมายของเรา” นายนิคฮิล กล่าวทิ้งท้าย
AIA One Billion Trail 2022 จัดขึ้นระหว่างวันที่ 2-4 ธันวาคม ที่ผ่านมา โดยได้รับความร่วมมือจากสภากาชาดไทย และสำนักงานการท่องเที่ยวและกีฬาจังหวัดเชียงใหม่ รวมถึงบริษัท กู๊ดดีบอกซ์ จำกัด ในการออกแบบเส้นทางวิ่งเทรลที่ผ่านธรรมชาติอันสวยงาม ทั้งนี้ งานวิ่งเทรลครั้งนี้เป็นส่วนหนึ่งของพันธกิจ AIA One Billion ที่มุ่งมั่นช่วยดูแลและสนับสนุนด้านการใช้ชีวิตเพื่อสุขภาพที่ดีขึ้นของทุกคนซึ่งเป็นการต่อยอดคำมั่นสัญญาของเรา ‘Healthier, Longer, Better Lives – เพื่อสุขภาพและชีวิตที่ดีขึ้น’ ขยายไปสู่ผู้คนทั่วไปที่ไม่ใช่เฉพาะลูกค้าเอไอเอเท่านั้น รวมถึงความพร้อมที่จะเป็นผู้นำด้าน ESG เพื่อส่งเสริมสิ่งแวดล้อม ความรับผิดชอบต่อสังคม และธรรมาภิบาล ในการขับเคลื่อนชุมชนและสังคม พร้อมส่งต่อน้ำใจไปยังเยาวชนไทยที่ด้อยโอกาสในด้านการพูด อ่าน และเขียนภาษาไทย ผ่านการร่วมบริจาคสมทบทุนโครงการของสภากาชาดไทย เพื่อช่วยส่งเสริมด้านสุขภาพและการใช้ชีวิตของทุกคนให้ดียิ่งขึ้น เพื่อสร้างความยั่งยืนให้กับภูมิภาคเอเชียในอนาคต
![]()