December 21, 2025

ตลอดระยะเวลากว่าครึ่งศตวรรษที่คณะแพทยศาสตร์โรงพยาบาลรามาธิบดีก่อตั้งขึ้นในฐานะโรงเรียนแพทย์ ควบคู่ไปกับการเปิดให้บริการทางการแพทย์แก่ประชาชนจากทั่วประเทศ โดยเฉพาะผู้ป่วยนอกที่เข้าใช้บริการซึ่งมีจำนวนกว่า 2.4 ล้านครั้งต่อปี ด้วยโครงสร้างอาคารหลักที่มีอายุ 58 ปี นี้มีข้อจำกัดไม่เอื้อต่อการปรับปรุงหรือพัฒนางานระบบต่าง ๆ ที่รองรับเทคโนโลยีการแพทย์ที่ทันสมัย อีกทั้งยังมีพื้นที่จำกัดในการขยับขยายพื้นที่เพื่อให้บริการแก่ผู้ป่วยในสถานการณ์ที่ ไม่แน่นอนเช่นในปัจจุบัน คณะแพทยศาสตร์โรงพยาบาลรามาธิบดีและมูลนิธิรามาธิบดี ในพระราชูปถัมภ์ สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี ร่วมสานต่อภารกิจแห่งการให้ผ่านโครงการก่อสร้างอาคาร โรงพยาบาลรามาธิบดี และย่านนวัตกรรมโยธี เพื่อเพิ่มพื้นที่รองรับการรักษาผู้ป่วย พร้อมยกระดับวงการแพทย์และสาธารณสุขไทยให้ก้าวไกลสู่ระดับสากล

ศ.นพ.ปิยะมิตร ศรีธรา คณบดีคณะแพทยศาสตร์โรงพยาบาลรามาธิบดี กล่าวว่า “เป็นระยะเวลา 58 ปี อาคารหลักของโรงพยาบาลรามาธิบดีแห่งนี้เปิดให้บริการทางการแพทย์แก่ประชาชนทั่วประเทศ จนถึงปัจจุบัน ในขณะที่องค์ความรู้และนวัตกรรมทางการแพทย์พัฒนาอย่างไม่หยุดยั้งเพื่อก้าวข้ามข้อจำกัดและเพิ่มศักยภาพในการรักษาผู้ป่วย รวมถึงการเตรียมความพร้อมรองรับโรคที่อุบัติใหม่ที่อาจเกิดขึ้นในอนาคต จึงเป็นเหตุผลให้เพิ่มพื้นที่โรงพยาบาล ให้มีความพร้อมด้านการรองรับเทคโนโลยีการแพทย์ที่ทันสมัย เพื่อรองรับผู้ป่วยให้เพียงพอต่อความต้องการ โครงการก่อสร้างโรงพยาบาลรามาธิบดี และย่านนวัตกรรมโยธี มิเพียงแต่เป็นสถานที่ให้การบริการทางการแพทย์เท่านั้น เนื่องจากโรงพยาบาลรามาธิบดีเป็นห้องเรียนและแหล่งค้นคว้าวิจัยที่ผลิตบุคลากรทางการแพทย์ผู้เชี่ยวชาญ โดยเฉพาะแพทย์ในระดับหลังปริญญา (Post-graduation)

เพื่อสร้างแพทย์ผู้เชี่ยวชาญในการรักษาโรคที่มีความซับซ้อน และเป็นย่านนวัตกรรมการแพทย์โยธี (YMID) ศูนย์รวมนักวิทยาศาสตร์และนักวิจัยจากการผนึกกำลังกับเครือข่ายการแพทย์และวิทยาศาสตร์สุขภาพ ซึ่งประกอบด้วย ศูนย์พัฒนานวัตกรรมทางการแพทย์ (MIND CENTER) พื้นที่ Co- Working Space และ Clinical Research Center เป็นต้น เพื่อ ร่วมพัฒนาต่อยอดในด้านสาธารณสุขของประเทศให้มีศักยภาพในระดับสากล สามารถแข่งขันได้ และเตรียมความพร้อมเข้าสู่ประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน (ASEAN Economic Community)”

อาคารโรงพยาบาลรามาธิบดีแห่งใหม่นี้ จะมีความสูง 25 ชั้นและมีชั้นใต้ดิน 2 ชั้น ตั้งอยู่บนพื้นที่ส่วนหนึ่งของด้านหน้าองค์การเภสัชกรรม มีขนาด 15 ไร่ 2 งาน 24 ตารางวา และมีพื้นที่ใช้สอยกว่า 278,000 ตารางเมตร ซึ่งมากกว่าพื้นที่ใช้สอยของอาคารสมเด็จพระเทพรัตน์เกือบ 3 เท่า อาคารโรงพยาบาลรามาธิบดีแห่งใหม่นี้สามารถรองรับผู้ป่วยที่ใช้สิทธิขั้นพื้นฐานได้อย่างเต็มศักยภาพเทียบเท่าอาคารเดิม แต่เน้นการเพิ่มประสิทธิภาพด้านการรักษา โดยเฉพาะโรคที่มีความซับซ้อนซึ่งถือเป็นความเชี่ยวชาญของบุคลากรทางการแพทย์ของโรงพยาบาลรามาธิบดี เพื่อเป็นต้นแบบทางการรักษาให้กับโรงพยาบาลอื่น ๆ ต่อไป

ศ.ดร.พญ.อติพร อิงค์สาธิต รองผู้อำนวยการโรงพยาบาลรามาธิบดี กล่าวว่า “ในด้านศักยภาพของการบริการรักษาพยาบาลที่เพิ่มขึ้นนั้นผ่านการออกแบบโดยคำนึงถึงแนวคิด “เข้าใจเขา เข้าใจเรา เข้าใจทุก(ข์)คน” เพื่อให้บริการทางการแพทย์ที่ดีที่สุด อาทิ หน่วยตรวจผู้ป่วยนอก (OPD) จำนวน 4 ชั้น ห้องตรวจจำนวน 325 ห้อง ที่คำนึงถึง การส่งเสริมประสบการณ์ที่ดีของผู้ป่วยให้มีความสะดวกสบายใน การเข้ารับบริการ พร้อมศูนย์ “Imagine Center” ที่บริการตรวจด้วยเครื่อง X-ray, เครื่อง Ultrasound เครื่อง CT Scan และเครื่อง MRI ให้บริการแบบ 24 ชั่วโมง เพื่อลดระยะเวลารอคอยการตรวจผู้ป่วย ในจำนวน 826 เตียง ถูกออกแบบเพื่อเพิ่มความเป็นส่วนตัว ลดความแออัด และควบคุมหรือลดการแพร่เชื้อได้ดียิ่งขึ้น ห้อง ICU จำนวน 240 เตียง จากเดิม 100 เตียง ซึ่งออกแบบตามแนวคิด “Healing Environment” ให้ผู้ป่วยมองเห็นสภาพแวดล้อมภายนอก ช่วยเสริมสร้างกำลังใจและกระตุ้นให้ผู้ป่วยฟื้นตัวเร็วยิ่งขึ้น เพื่อรองรับการเจ็บป่วยในสถานการณ์สังคมผู้สูงอายุ ห้องผ่าตัด (OR) 52 ห้อง รองรับการผ่าตัดโรคซับซ้อนพร้อมนวัตกรรมหุ่นยนต์ช่วยผ่าตัด และห้องสวนหลอดเลือดหัวใจ (Cath Lab) รองรับผู้ป่วยวิกฤตที่ป่วยด้วยโรคเกี่ยวกับระบบหัวใจและหลอดเลือดโดยเฉพาะ เป็นต้น สามารถให้บริการ ผู้ป่วยนอกได้ถึง 2.5 ล้านครั้งต่อปี และให้บริการผู้ป่วยในได้ถึง 55,000 คนต่อปี”

โครงการก่อสร้างอาคารโรงพยาบาลรามาธิบดี และย่านนวัตกรรมโยธีให้ความสำคัญกับการเพิ่มศักยภาพและยกระดับคุณภาพการให้บริการทางการแพทย์ให้มีมาตรฐานพร้อมรองรับสภาวการณ์การเปลี่ยนแปลงและ ความไม่แน่นอนของโรค ทั้งในปัจจุบันและอนาคต อยู่ระหว่างการดำเนินการก่อสร้าง คาดว่าจะแล้วเสร็จและ เปิดให้บริการภายในปี พ.ศ 2571 แม้จะได้รับเงินสนับสนุนจากภาครัฐแต่ยังคงขาดงบประมาณด้านการก่อสร้างอาคารประมาณ 3,000 ล้านบาท และการจัดซื้ออุปกรณ์การแพทย์ทันสมัยที่มีมูลค่าสูงประมาณ 6,000 ล้านบาท

มูลนิธิรามาธิบดีฯ จึงขอเชิญชวนประชาชนผู้มีจิตศรัทธาร่วมเป็นผู้ให้ด้วยการบริจาคเงินสมทบทุน การให้ครั้งนี้จะช่วยเพิ่มพื้นที่ และเพิ่มโอกาสในการรักษาทุกชีวิต เพราะการให้ชีวิตเป็นการให้ที่ยิ่งใหญ่ รับชมวิดีโอแนะนำโครงการอาคารโรงพยาบาลรามาธิบดี และย่านนวัตกรรมโยธี ได้ที่ (คลิก) เฟซบุ๊ก และ ยูทูป มูลนิธิรามาธิบดีฯ

ซุปเปอร์แนป (ประเทศไทย) ผู้ให้บริการดาต้าเซ็นเตอร์ชั้นนำ ระดับเทียร์ 4 เร่งนำพลังงานสะอาดจากแสงอาทิตย์มาใช้ สืบสานความมุ่งมั่นสู่การเป็นศูนย์ข้อมูลที่ยั่งยืนที่สุดในประเทศ พร้อมมอบบริการสำหรับองค์กร และ ผู้ให้บริการระดับไฮเปอร์สเกลต่างๆ รวมถึงภาครัฐ ที่ต้องการโครงสร้างพื้นฐานระบบดิจิทัลที่ดีขึ้น และเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมมากขึ้น

ซุปเปอร์แนป (ประเทศไทย) ได้จัดพิธีเปิดตัวแผงพลังงานแสงอาทิตย์แห่งแรกขึ้นอย่างเป็นทางการ เพื่อขับเคลื่อนศูนย์ข้อมูลที่ทันสมัยที่สุดในประเทศไทย พร้อมตอกย้ำตำแหน่งผู้ให้บริการโคโลเคชั่นที่ยั่งยืนที่สุดในประเทศ ด้วยการเติบโตของข้อมูลอย่างต่อเนื่อง และการตอบสนองเป้าหมายสีเขียวในการปกป้องสิ่งแวดล้อมทั่วโลก รวมถึงการลดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมให้เหลือน้อยที่สุด ด้วยการใช้พลังงานอย่างมีประสิทธิภาพสูงสุด ปัจจัยเหล่านี้ ทำให้พลังงานหมุนเวียนกลายเป็นสิ่งสำคัญเร่งด่วนสำหรับศูนย์ข้อมูลที่ทันสมัย

นายแยป จิน ยี ประธานเจ้าหน้าที่บริหารของบริษัท กล่าวว่า “ซุปเปอร์แนป (ประเทศไทย) เป็นผู้นำในอุตสาหกรรมศูนย์ข้อมูลในภูมิภาคเอเชียมาโดยตลอด ซึ่งการนำพลังงานหมุนเวียนมาใช้ภายในศูนย์ข้อมูล และการเป็นศูนย์ข้อมูลที่ยั่งยืนที่สุด นับเป็นก้าวสำคัญในการตอกย้ำจุดยืนของเราในฐานะผู้นำด้านโครงสร้างพื้นฐานดิจิทัลในประเทศไทย”

เนื่องจากศูนย์ข้อมูลต้องใช้ไฟฟ้าเป็นจำนวนมาก อีกทั้งไฟฟ้ายังเป็นต้นทุนหลักในการดำเนินงาน ทำให้การเพิ่มพลังงานหมุนเวียนให้กับโครงสร้างพื้นฐานที่มีประสิทธิภาพ คือกุญแจสำคัญด้านความยั่งยืนของศูนย์ข้อมูล

นางสาวอัจฉรินทร์ พัฒนพันธ์ชัย อดีตปลัดกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม และกรรมการที่ได้รับการแต่งตั้งใหม่ บริษัท ดับบลิวเอชเอ อินดัสเตรียล ดีเวลลอปเมนท์ จำกัด (มหาชน) ได้กล่าวแสดงความยินดี “ศูนย์ข้อมูลถือเป็นหัวใจสำคัญของเศรษฐกิจ เป็นแกนหลักด้านดิจิทัลของธุรกิจและรัฐบาล ที่รองรับข้อมูลทั่วโลกและทำให้สามารถเข้าถึงข้อมูลได้ และนี่คือเรื่องราวความสำเร็จอีกครั้งของ ซุปเปอร์แนป (ประเทศไทย) ที่ปูทางประเทศไทยสู่การขับเคลื่อนอุตสาหกรรมระดับโลก ที่เปลี่ยนจากเศรษฐกิจดิจิทัลไปสู่เศรษฐกิจสีเขียว”

บริษัท ดับบลิวเอชเอ ยูทิลิตี้ส์ แอนด์ พาวเวอร์ จำกัด (มหาชน) (WHAUP) ได้รับมอบหมายให้เป็นผู้ติดตั้งระบบผลิตไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์ให้กับ ซุปเปอร์แนป (ประเทศไทย) เพื่อจัดหาพลังงานสีเขียวให้กับศูนย์ข้อมูล ด้วยบริการครบวงจรจาก WHAUP ที่ให้ความมั่นใจสูงสุด เพื่อตอบสนองเป้าหมายในการสร้างความยั่งยืนให้กับธุรกิจของบริษัท โครงการโซล่าฟาร์ม สร้างขึ้นติดกับพื้นที่ศูนย์ข้อมูลของ ซุปเปอร์แนป (ประเทศไทย) ซึ่งตั้งอยู่ในโครงการเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก (EEC) นอกเขตน้ำท่วมกรุงเทพฯ และใกล้กับสถานีเชื่อมโยงเครือข่ายระหว่างประเทศที่มีการเชื่อมโยงทั่วประเทศไทย

“ซุปเปอร์แนป (ประเทศไทย) มอบความสามารถในการให้บริการที่สูงกว่าศูนย์ข้อมูลใดๆ ในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ การมีซุปเปอร์แนป (ประเทศไทย) เป็นลูกค้าพลังงานแสงอาทิตย์ช่วยตอกย้ำความเชี่ยวชาญและชื่อเสียงของ WHAUP ในฐานะหนึ่งในผู้ให้บริการชั้นนำด้านระบบพลังงานแสงอาทิตย์ในประเทศไทย” นายสมเกียรติ เมสันธสุวรรณ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ดับบลิวเอชเอ ยูทิลิตี้ส์ แอนด์ พาวเวอร์ จำกัด (มหาชน) กล่าว

ซุปเปอร์แนป (ประเทศไทย) มีสิทธิบัตรมากกว่า 350 ฉบับ รวมถึงเทคโนโลยีที่เป็นนวัตกรรมด้านการเพิ่มประสิทธิภาพการใช้พลังงาน เช่น สถานีสิ่งแวดล้อม และซอฟต์แวร์สำหรับเครื่องควบคุมอากาศที่ได้รับการจดสิทธิบัตร รับประกันการลดการใช้พลังงานในเชิงกลยุทธ์ ทำให้ศูนย์ข้อมูลของ ซุปเปอร์แนป (ประเทศไทย) มีค่า PUE ที่ดีที่สุดในประเทศ ซึ่งระดับประสิทธิภาพการใช้พลังงาน (PUE) คือตัวบ่งชี้ประสิทธิภาพหลักที่สำคัญที่สุด เพื่อแสดงว่าศูนย์ข้อมูลใช้พลังงานอย่างมีประสิทธิภาพเพียงใด

ยิ่งไปกว่านั้น ซุปเปอร์แนป (ประเทศไทย) ยังใช้น้ำน้อยกว่า 0.05 ลิตร/กิโลวัตต์ชั่วโมง ซึ่งน้อยกว่าหนึ่งถ้วยสำหรับทุกๆ กิโลวัตต์-ชั่วโมงที่ส่งไปยังเซิร์ฟเวอร์ ตามรายงานของกระทรวงพลังงานสหรัฐ ประสิทธิภาพการใช้น้ำ (WUE) ของศูนย์ข้อมูลเฉลี่ยอยู่ที่ 1.8 ลิตรต่อ 1 กิโลวัตต์ชั่วโมง

ซุปเปอร์แนป (ประเทศไทย) ให้บริการโคโลเคชั่นและระบบคลาวด์ ตอบสนองความต้องการของภาครัฐและเอกชนสำหรับโครงสร้างพื้นฐานดิจิทัลที่ยั่งยืน เพื่อสร้างความเป็นผู้นำและให้ความได้เปรียบในการแข่งขัน

สำหรับนิทรรศการที่สามของสเปซ Blind Space Bangkok ยินดีนำเสนอ A Primordial Void นิทรรศการการจัดวางเสียงและวิดีโอโดยศิลปิน จัน เพ็ญจันทร์ ลาซูส

ในงานชิ้นล่าสุดของจันชิ้นนี้ เธอโผตัวดำดิ่งลงไปในความมืดมิดที่ว่างเปล่า เพื่อสำรวจความเป็นไปได้ในการแปลงเปลี่ยน โดย A Primordial Void สำรวจความสัมพันธ์ดังกล่าวผ่านการคิดถึงถ้ำในฐานะสถานที่ลี้ลับแห่งการก่อกำเนิด ธรณีอันเป็นพยานของเวลาเบื้องลึก และรากฐานเชิงสัญลักษณ์ของภาพยนตร์นั้นเอง นิทรรศการชิ้นนี้จะพาผู้ชมเดินทางเข้าไปในถ้ำจำแลง และเชื้อเชิญผู้ชมให้จ้องมองความมืดที่กลืนกิน มองเข้าไปในความกลวงเปล่า ล้วงสายตาลึกเข้าไปในลำไส้ของผืนดินและในท้องไส้ของตนเอง และอาจเป็นไปได้ที่ในกระบวนการนั้นเอง เราจะประจักษ์ถึงสิ่งที่อาเดรียน ริชเรียกว่า “สิ่งใดสิ่งหนึ่งที่ก่อกำเนิดจากความว่างเปล่า, จุดเริ่มต้นแห่งความจริงของเรา”

ถ้ำ คือธรณีประตูที่เมื่อก้าวข้ามแล้ว ความมืดมิดกลายเป็นความเที่ยงแท้สัมบูรณ์ และยิ่งถลำตัวเข้าไปเบื้องลึกภายในเท่าไหร่ยิ่งทวีความเข้มข้นของความโปร่งที่ไม่ตายตัวและห้วงนอกเหนือสำนึกรู้ของความมืดมิดขึ้นไปอีก เราต่างก้าวออกจากห้วงเวลาชั่วครู่หนึ่ง แล้วเข้าสู่ภวังค์แห่งความไร้ซึ่งรูปร่าง เพื่อสละและลอกคราบสู่ร่างใหม่ พ้นเส้นเขตแดนแห่งเนื้อหนัง

นิทรรศการจัดแสดงตั้งแต่วันที่ 9 ธันวาคม 2565 ถึง 20 มกราคม 2566 (ไม่มีค่าใช้จ่าย) โดยจะมีงานเปิดนิทรรศการในวันที่ 9 ธันวาคม 2565 ตั้งแต่ 17.00 น. ถึง 21.00 น. Blind Space Bangkok ตั้งอยู่ที่ 75 ถ.จันทน์เก่า แขวง ช่องนนทรี เขต ยานนาวา กรุงเทพฯ 10120 สเปซเปิดวันพุธ-เสาร์ เวลา12.00 น. ถึง 18.00 น. หากต้องการสอบถามข้อมูลเพิ่มเติมสามารถติดต่อได้ที่เบอร์ +66 88 635 6554 หรืออีเมล์ This email address is being protected from spambots. You need JavaScript enabled to view it.

เกี่ยวกับศิลปิน

จัน เพ็ญจันทร์ ลาซูส (เกิดพ.ศ. 2534) เป็นศิลปินเชื้อชาติไทย-ฝรั่งเศสที่ทำงานกับภาพเคลื่อนไหว การจัดวางวิดีโอ ภาพถ่ายและการเขียน งานของเธอดึงข้อคิดเกี่ยวกับการรับรู้ผัสสะและความพรุนโปร่งของพื้นที่และร่างกาย กระบวนการการทำงานของเธอตั้งคำถามถึงวิธีที่เราที่รวมทั้งมนุษย์และสิ่งมีชีวิตอื่นๆ รับรู้และตระหนักรู้ถึงสภาพแวดล้อม ดังนั้นกระบวนการของเธอจึงพิจารณาว่าการรับรู้เหล่านั้นหล่อหลอมประสบการณ์ของเราอย่างไร รวมไปถึงภาษาที่เราใช้ การเคลื่อนไหวและยืดเหยียดตัวตนในพื้นที่ด้วยเช่นกัน

โปรเจคของจันที่โดดเด่นประกอบไปด้วย Embodied Cartographies and Visual Entanglements in the Indus Delta โครงการวิจัยที่ยังดำเนินการอยู่และทำร่วมกับศิลปินชาฮานา ราจานี, Eye your Ear จัดแสดงที่หอศิลปวัฒนธรรมแห่งกรุงเทพมหานคร, และ House of Flowing Reflection ศาลาหนึ่งในเทศกาล Bangkok Biennial ปี 2561 เมื่อปี 2563 เพ็ญจันทร์เข้าร่วมโปรแกรม Ocean Fellowship โดย TBA21 ที่เวนิซ และได้รับทุนวิจัยจาก Alserkal Art Foundation เพ็ญจันทร์จบการศึกษาจาก École Nationale des Beaux-Arts ที่ปารีส ปัจจุบันพำนักอยู่กรุงเทพมหานคร

นางชวินดา หาญรัตนกูล กรรมการผู้จัดการ บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน กรุงไทย จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า บริษัทฯ เตรียมจ่ายปันผลกองทุนรวมอสังหาริมทรัพย์ และกองทุนรวมโครงสร้างพื้นฐาน จากผลการดำเนินงานระหว่างวันที่ 1 ก.ค. 2565 – 30 ก.ย 2565 จำนวน 4 กองทุน และจ่ายเงินลดทุนจำนวน 1 กองทุน โดยกำหนดจ่ายให้นักลงทุนในวันที่ 19 และ 28 ธันวาคม 2565 นี้

สำหรับกองทุนที่จะจ่ายเงินปันผลในวันที่ 19 ธ.ค. 2565 ประกอบด้วย กองทุนรวมสิทธิการเช่าอสังหาริมทรัพย์ ซี.พี.ทาวน์เวอร์โกรท (CPTGF) ลงทุนในสิทธิการเช่าในที่ดิน และอาคารสำนักงานและศูนย์การค้า รวมถึงส่วนควบงานระบบที่จำเป็น เป็นระยะเวลา 30 ปีนับแต่วันที่จดทะเบียนการเช่า ใน 3 ทำเล ได้แก่ อาคาร ซี.พี ทาวเวอร์ 1 (สีลม) อาคารซีพีทาวเวอร์ 2 (ฟอร์จูน ทาวน์) และอาคาร ซี.พี.ทาวเวอร์ 3 (พญาไท) กำหนดจ่ายเงินปันผลครั้งที่ 35 ในอัตรา 0.1660 บาทต่อหน่วย กองทุนรวมสิทธิการเช่าอสังหาริมทรัพย์ตลาดไท (TTLPF) เป็นการลงทุนในสิทธิการเช่า สิ่งปลูกสร้างคอนกรีตเสริมเหล็ก (บางส่วน) ในโครงการตลาดไท มีพื้นที่ใช้สอยรวมประมาณ 170,033.54 ตารางเมตร กำหนดจ่ายเงินปันผลครั้งที่ 48 ในอัตรา 0.4220 บาทต่อหน่วย

กองทุนรวมโครงสร้างพื้นฐานโรงไฟฟ้ากลุ่มน้ำตาลครบุรี (KBSPIF) ลงทุนในผลประโยชน์จากการประกอบกิจการไฟฟ้าของบริษัทผลิตไฟฟ้าครบุรี จำกัด ในอัตราร้อยละ 62 ของรายได้ค่าไฟฟ้าตามสัญญาซื้อขายไฟฟ้า กำหนดจ่ายเงินปันผลครั้งที่ 9 ในอัตรา 0.2410 บาทต่อหน่วย และกองทุนรวมโครงสร้างพื้นฐาน โรงไฟฟ้าพระนครเหนือ ชุดที่ 1 การไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (EGATIF) ลงทุนในรายได้ค่าความพร้อมจ่ายในอนาคตของโรงไฟฟ้าพระนครเหนือ ชุดที่ 1 กำลังการผลิตไฟฟ้าตามสัญญา 670 เมกะวัตต์ เป็นระยะเวลา 20 ปี โดยกำหนดจ่ายเงินปันผล ครั้งที่ 27 ในอัตรา 0.0850 บาทต่อหน่วย พร้อมทั้งจ่ายเงินลดเงินทุนจดทะเบียน ครั้งที่ 7 ในอัตรา 0.1200 บาทต่อหน่วย

นอกจากนี้ ยังได้กำหนดจ่ายเงินปันผลเพิ่มเติมอีก 1 กองทุน ในวันที่ 28 ธันวาคม 2565 นี้ ได้แก่ กองทุนรวมโครงสร้างพื้นฐานเพื่ออนาคตประเทศไทย (TFFIF) ที่ลงทุนในทรัพย์สินกิจการโครงสร้างพื้นฐาน อันได้แก่ สิทธิที่จะได้รับรายได้ร้อยละ 45 ของรายได้ค่าผ่านทางรวมสุทธิที่จัดเก็บได้จากเส้นทางในปัจจุบันของโครงการทางพิเศษของการทางพิเศษแห่งประเทศไทย 2 โครงการ ได้แก่ ทางพิเศษฉลองรัช และรทางพิเศษบูรพาวิถี โดยกำหนดจ่ายปันผลเป็นครั้งที่ 16 ในอัตรา 0.1003 บาทต่อหน่วย

คำเตือน ผลการดำเนินงานในอดีต มิได้เป็นสิ่งยืนยันถึงผลการดำเนินงานในอนาคต / ผู้ลงทุนต้องทำความเข้าใจในลักษณะสินค้า เงื่อนไขผลตอบแทน และความเสี่ยง ก่อนตัดสินใจลงทุน

EA SPORTS (อีเอ สปอร์ต) จัดงาน EA SPORTS FIFA Mobile World Cup “อีเอ สปอร์ต ฟีฟ่า โมบาย เวิลด์คัพ” ที่ สนามฟุตบอล ซูเปอร์ สตาร์ อารีน่า ลาดพร้าว 80 ซึ่งเป็นกิจกรรมที่ทาง EA SPORTS (อีเอ สปอร์ต) จัดขึ้นพร้อมกับร่วมชมการแข่งขันฟุตบอลโลก 2022 นัดชิงชนะเลิศ ระหว่าง “ทีมฟ้าขาว” อาร์เจนตินา และ “ทีมตราไก่” ฝรั่งเศส

ภายในงานมีกิจกรรมมากมาย เช่น การเล่นเกมส์ เพื่อชิงของรางวัลพรีเมียมจาก FIFA Mobile (ฟีฟ่าโมบาย) มากมาย โดยมีคอลัมนิสต์และกูรูฟุตบอลชื่อดัง ลีซอ-ธีรเทพ วิโนทัย มาร่วมพูดคุยวิเคราะห์เกมฟุตบอลโลกนัดชิงชนะเลิศ พร้อมด้วยนักฟุตบอลที่มาร่วมงาน อีกหลายคน ได้แก่ ไมเคิล โธมัส เบิร์น, โก้-ดัสกร ทองเหลา และ มิก้า ชูนวลศรี รวมถึงเหล่าศิลปินดารา เช่น พี-ฮอท (ปอนด์-วัชรินทร์ พึ่งสุข), แชมป์-นิตินันท์ จันทรเดช นักร้องนำวง SDE, เบนซ์-ณัฐพงศ์ ผาทอง หรือ เบนซ์อเลิ้ต และ ยุ้ย-ชไมพร เห็นประเสริฐ พิธีกรกีฬาคนดัง เป็นต้น

Electronic Arts (EA) นำโดย ชัชวาล การุณยะวนิช ตัวแทน Electronic Arts เผยว่า วัตถุประสงค์ของการจัดงานครั้งนี้ มีขึ้นเพื่อเป็นการตอกย้ำความเป็นเกมลิขสิทธิ์ฟุตบอลแท้จาก FIFA (ฟีฟ่า) แต่เพียงผู้เดียวในตลาดเกม รวมทั้งต้องการจัดกิจกรรมในช่วงที่มีการแข่งขันฟุตบอลโลก 2022 เพื่อให้ทุกๆ คนได้ร่วมเชียร์การแข่งขันฟุตบอลร่วมกับการจัดกิจกรรมของทางอีเอ สปอร์ต ที่แน่นอนว่า นอกจากฟุตบอลแล้ว เรายังมีกิจกรรมอื่นๆ อีกอย่างมากมาย สามารถติดตามรายละเอียดได้ที่ ที่เพจ EA SPORTS FIFA Mobile https://www.facebook.com/EASPORTSFIFAMobile/

 

 

LINE ได้พัฒนาเครือข่ายบล็อกเชนเมนเน็ตของตัวเองขึ้นในปี 2018 และสร้างระบบนิเวศบล็อกเชนผ่านการนําเสนอบริการต่างๆ อาทิ LINK ซึ่งเป็นสินทรัพย์คริปโตของบริษัทฯ บริการซื้อขายสินทรัพย์คริปโต กระเป๋าเงินดิจิทัลสำหรับสินทรัพย์คริปโต ไปจนถึงตลาดซื้อขาย NFT และล่าสุดกับการเปิดตัว Finschia เมนเน็ตบล็อกเชนใหม่ล่าสุด

โดย LINE ตั้งเป้าที่จะเป็นระบบนิเวศบล็อกเชนที่แข็งแกร่งยิ่งขึ้นจากฟังก์ชันการทํางานและความเสถียรขั้นสูงของเครือข่าย โดยถือเป็นก้าวแรกในระบบนิเวศบล็อกเชนของ LINE ที่ขานรับศักยภาพที่แท้จริงของการใช้งาน Web3 ซึ่งเอื้อประโยชน์ให้ผู้ใช้ทุกคนสามารถสร้าง แลกเปลี่ยนซื้อขาย และรับรางวัลได้อย่างง่ายดายและอิสระ

ทั้งนี้ Finschia เป็นการตั้งชื่อตามต้นไม้ในเขตร้อน Finschia (ฟินส์เชีย) ได้รับการอัพเกรดฟีเจอร์มากมายเพื่อปรับปรุงฟังก์ชันการทํางาน ความเร็วและเสถียรภาพให้ดียิ่งขึ้น โดยใช้ Ostracon ซึ่งเป็นอัลกอริทึมระบบฉันทามติ (Consensus Algorithm) ของเครือข่ายเองซึ่งมีการเพิ่มฟังก์ชัน VRF (Verifiable Random Function) ลงในอัลกอริทึมฉันทามติของ Cosmos ด้วยประสิทธิภาพที่ได้รับการพัฒนาใหม่นี้ Finschia มาพร้อมกับความเร็วในการซื้อขายสินทรัพย์ดิจิทัลสูงขึ้นถึง 400 เท่า และช่วยลดต้นทุนลงถึง 98% เมื่อเทียบกับ Ethereum นอกจากนี้ Finschia ยังได้เปิดตัวโปรแกรมรีวอร์ดซึ่งเป็นการให้รางวัลตามการมีส่วนร่วมของผู้ใช้งานและนักพัฒนา โดยทุกคนสามารถได้รับรางวัลจากการเข้ามาร่วมสนับสนุนการขยายตัวของระบบนิเวศบล็อกเชนบนเครือข่าย

และการเปิดตัวครั้งนี้ LINE ตั้งเป้าหมายให้บริการเครือข่ายแก่นักพัฒนาระบบโดยไม่คํานึงถึงข้อจำกัดด้านประสบการณ์ของพวกเขาที่เกี่ยวกับบริการบล็อกเชน โดย LINE จะช่วยสร้างสภาพแวดล้อมที่พวกเขาสามารถเข้ามาพัฒนา dApps ได้อย่างง่ายดายด้วย Full Node บนเครือข่าย Finschia หรือบน LINE Blockchain Developers ซึ่งจะเอื้อประโยชน์ให้นักพัฒนาระบบสามารถเข้ามาทำงานร่วมกับบริการต่างๆ ของ LINE และใช้องค์ความรู้ของ LINE ในการพัฒนาบริการบล็อกเชนที่ใช้งานได้อย่างสะดวกง่ายดายผ่านเครือข่าย Finschia ซึ่งสามารถดูรายละเอียดเพิ่มเติมเกี่ยวกับ Finschia บนเว็บไซต์ LINE Blockchain: https://blockchain.line.me

ยองซู โก ประธานเจ้าหน้าที่บริหารของ LINE NEXT กล่าว “เรามีความยินดีที่จะนำเสนอ Finschia โดยเป็นแพลตฟอร์มที่เราสามารถสร้างความร่วมมือกับนักพัฒนารายอื่นๆ เพื่อปลดล็อกความเป็นไปได้ในด้านต่างๆ บนเครือข่ายบล็อกเชนของเรา โดยเรามุ่งมั่นสร้างสรรค์ระบบนิเวศบล็อกเชนในรูปแบบใหม่และขยายตลาดโทเคน LINK ซึ่งเป็นสินทรัพย์คริปโตของ LINE”

ทั้งนี้ LINE ยังวางแผนที่จะรวมเครือข่ายเมนเน็ตปัจจุบันที่มีชื่อว่า Daphne เข้ากับ Finschia โดยเป็นการรวมเครือข่ายบล็อกเชนเมนเน็ตที่ให้บริการด้านบล็อกเชนทั้งหมดที่มีอยู่ นอกจากนี้ LINE ยังเตรียมเปิดตัว DOSI Vault ซึ่งเป็นดิจิทัลวอลเล็ตแบบ Non-Custodial เร็วๆนี้ โดยพัฒนาขึ้นมาเพื่อการจัดการสินทรัพย์คริปโตบน LINK โดยเฉพาะ ผู้ใช้งานจะสามารถควบคุมกระเป๋าเงินดิจิทัลนี้ด้วยตัวเองอย่างเต็มรูปแบบ ให้การจัดการสินทรัพย์บน LINK เป็นไปได้อย่างรวดเร็ว ปลอดภัย และง่ายดายยิ่งขึ้น พร้อมด้วยค่าธรรมเนียมธุรกรรมที่ลดลง ด้วยการเปิดตัวของทั้ง Finschia และ DOSI Vault นี้ LINE ตั้งเป้าที่จะขยายตลาดโทเค็นให้เติบโตขึ้น โดยเชิญชวนให้ผู้ใช้งานที่ยังไม่คุ้นเคยกับระบบบล็อกเชนเข้ามาร่วมสัมผัสบริการที่ให้การใช้งานที่ง่ายด้าย พร้อมความเสถียรและความปลอดภัยที่มั่นใจได้ยิ่งขึ้น

บริษัท แอดไวซ์ ไอที อินฟินิท จำกัด เปิดแฟลกชิปสโตร์แห่งแรกใจกลางเมืองขอนแก่น วางกลยุทธ์นอกเหนือจากเป็นแหล่งรวมผลิตภัณฑ์เทคโนโลยีทุกประเภทตั้งแต่ คอมพิวเตอร์ โน้ตบุ๊ก เกมมิ่งเกียร์ อุปกรณ์ไอทีต่าง ๆ แฟลกชิปสโตร์แห่งนี้ยังเป็นศูนย์รวมบริการให้กับลูกค้าแบบครบวงจร (One-Stop Service) และเป็นพื้นที่สำหรับคนไอทีในฐานะ IT Community ที่ใหญ่ที่สุดของภาคอีสาน มุ่งหวังเป็นส่วนหนึ่งในการยกระดับการเข้าถึงเทคโนโลยีให้กับผู้บริโภคในทุกพื้นที่

แอดไวซ์แฟลกชิปสโตร์ตั้งอยู่บนถนนศรีจันทร์ใจกลางเมืองขอนแก่น บนพื้นที่กว่า 488 ตารางเมตร จัดโซนให้ลูกค้าได้เลือกซื้อสินค้าเต็มพื้นที่ด้วยผลิตภัณฑ์ไอทีและเทคโนโลยีล่าสุดมากกว่า 10,000 รายการ พร้อมโซน Service ที่ให้บริการก่อนและหลังการขายแบบครบวงจรโดยทีมงานที่เชี่ยวชาญทั้งในด้านอัพเกรดฮาร์ดแวร์ ซอฟต์แวร์ ตรวจเช็คหรือส่งซ่อม อำนวยความสะดวกให้กับลูกค้าด้วยพื้นที่สำหรับนั่งทำงานระหว่างรอใช้บริการในโซน Work From Here รวมถึงลูกค้าที่ต้องการเปลี่ยนบรรยากาศการทำงานก็สามารถเข้าใช้บริการได้ ทั้งหมดนี้ตอบสนองความต้องการและอำนวยความสะดวกให้กับผู้บริโภคในภาคอีสาน และตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์การบริโภคที่เติบโตขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ ผลสำรวจของ สถาบันความเป็นอยู่ ฮาคูโฮโด อาเซียน (ประเทศไทย) เผยว่า ภาพรวมตลอดปี 2564 ภูมิภาคที่มีการใช้จ่ายสูงสุด คือ ภาคอีสาน จากสถานการณ์การท่องเที่ยวที่ฟื้นตัว และการเดินทางกลับภูมิลำเนาจากการเดินทางไปทำงานที่กรุงเทพฯ ในช่วงการระบาดของของโควิด-19 ทำให้มีการวางแผนอยู่แบบระยะยาวและยังคงติดไลฟ์สไตล์การใช้ชีวิตที่กรุงเทพฯ จึงทำให้เกิดการใช้จ่ายที่มากขึ้น สอดคล้องกับผลสำรวจของ TikTok ที่กล่าวถึงพฤติกรรมการย้ายถิ่นฐานและการกลับมาใช้ชีวิตในถิ่นกำเนิด เมื่อผู้คนสามารถเรียนหรือทำงานออนไลน์ได้ ชีวิตในเมืองหลวงจึงไม่ใช่เรื่องที่จำเป็นอีกต่อไป นอกจากนี้ ผู้บริโภคภาคอีสานยังถูกจัดอยู่ในกลุ่ม Early Adopter ที่ชื่นชอบการทดลองใช้ คลั่งใคล้บริการใหม่ ๆ ไม่ต่างจากคนกรุงเทพฯ โดยมีกำลังการใช้จ่ายในช่องทางออนไลน์เฉลี่ย 2,800 บาทต่อคน หรือมากกว่าคนกรุงเทพถึง 1.3 เท่า สินค้ายอดนิยม ได้แก่ สินค้าในด้านความงาน แฟชั่น เครื่องประดับ อุปกรณ์และเครื่องใช้ไฟฟ้า

ณัฎฐ์ ณัฐนิธิการัชต์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท แอดไวซ์ ไอที อินฟินิท จำกัด กล่าวว่า “แอดไวซ์มีประสบการณ์ในการดำเนินธุรกิจผู้จัดจำหน่ายผลิตภัณฑ์ไอทีมานาน การเปิดแฟลกชิปสโตร์ในครั้งนี้เป็นอีกหนึ่งก้าวสำคัญในการยกระดับการดำเนินธุรกิจของแอดไวซ์ ไม่ได้เป็นเพียงแค่การนำเสนอผลิตภัณฑ์และเทคโนโลยีล่าสุดให้กับผู้บริโภค แต่ยังเป็นการตอบสนองความต้องการด้านการบริการให้กับผู้บริโภคที่เปลี่ยนแปลงไปอย่างรวดเร็วในช่วงเวลาไม่กี่ปีที่ผ่านมา อีกทั้งยังเป็นหนึ่งช่องทางในการกระจายโอกาสในการเข้าถึงด้านเทคโนโลยีให้ครอบคลุมในทุกพื้นที่ภาคอีสาน ซึ่งมีกำลังซื้อเพิ่มขึ้นอย่างมาก อีกทั้งทางภาครัฐและเอกชนก็เริ่มเข้ามาลงทุน พัฒนา และส่งเสริมการเข้าถึงด้านเทคโนโลยีมากขึ้นด้วย ซึ่งแฟลกชิปสโตร์ที่ขอนแก่นนี้จะเป็นต้นแบบของแฟลกชิปสโตร์ในภูมิภาคอื่น ๆ อีกต่อไป

ในส่วนของแผนการดำเนินธุรกิจในปีหน้า แอดไวซ์ยังคงมุ่งมั่นในด้านการส่งมอบโอกาสทางเทคโนโลยีอย่างต่อเนื่อง ด้วยผลิตภัณฑ์และบริการที่ตอบโจทย์ครอบคลุมทุกกลุ่มผู้บริโภค พร้อมด้วยกิจกรรมและข้อเสนอโปรโมชั่นสุดพิเศษต่าง ๆ ที่เราเตรียมไว้ต้อนรับทั้งช่องทางออนไลน์และออฟไลน์”

ปัจจุบัน แอดไวซ์มีทั้งหมด 338 สาขา ครอบคลุมทั่วทุกภูมิภาคของประเทศไทย รวมถึงในสาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว ถือเป็นผู้จำหน่ายสินค้าไอทีที่มีหน้าร้านครอบคลุมพื้นที่มากที่สุดเป็นอันดับ 1 ของประเทศ นอกจากนี้ ยังวางจำหน่ายสินค้าผ่านช่องทางออนไลน์ในหลากหลายแพลตฟอร์ม

อัพเดตสินค้าและสอบถามข้อมูลเพิ่มเติม

Line ID: @adviceclub และ @adviceonline Facebook: AdviceClub และเว็บไซต์: https://www.advice.co.th/

 

‘ข้อมูล’นับเป็นสิ่งที่มีค่ามหาศาลในปัจจุบัน แต่ขณะเดียวกัน การมีเครื่องมือเพื่อนำเสนอข้อมูลให้เข้าใจง่ายก็มีความสำคัญไม่แพ้กัน

และนั่นจึงเป็นเหตุผลที่ ดีแทค คณะสถาปัตยกรรมศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย และบุญมีแล็บ ร่วมกันพัฒนาเครื่องมือที่เรียกว่า Mobility Data Dashboard เพื่อให้ผู้ที่สนใจเข้ามาสืบค้นข้อมูลพฤติกรรมการท่องเที่ยวภายในประเทศได้

dtacblog ได้มีโอกาสพูดคุยกับทีมงานเบื้องหลังถึงแนวคิดในการพัฒนาเครื่องมือนี้ขึ้น โดย ผศ.ดร.ณัฐพงศ์ พันธ์น้อย อาจารย์ประจำภาควิชาการวางแผนภาคและเมือง คณะสถาปัตยกรรมศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย หัวหน้าคณะทำงาน “โครงการศึกษารูปแบบการเคลื่อนที่และการกระจุกตัวของนักท่องเที่ยวไทยในสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 ผ่านข้อมูลการเคลื่อนที่” กล่าวว่า Mobility Data Dashboard นี้ ประกอบด้วยข้อมูล 3 ระดับ ได้แก่

1. ระดับกลุ่มจังหวัด Dashboard นำเสนอข้อมูลคลัสเตอร์การท่องเที่ยวของจังหวัดเมืองรองที่ชี้ให้เห็นว่า จังหวัดเมืองรองแต่ละแห่งควรจับมือกับจังหวัดโดยรอบจังหวัดใดเพื่อพัฒนากิจกรรมและเส้นทางการท่องเที่ยวที่สอดคล้องกับพฤติกรรมการเดินทางของนักท่องเที่ยวที่มักเดินทางไปในหลายจังหวัดภายในการเดินทางหนึ่งครั้ง ช่วยให้ภาครัฐส่วนกลางสามารถออกแบบแคมเปญส่งเสริมการท่องเที่ยวเมืองรองที่มีประสิทธิภาพมากขึ้น

2. ระดับจังหวัด ทำให้แต่ละจังหวัดเห็นคุณลักษณะ (Profile) ของนักท่องเที่ยวทั้งขาเข้า (Inbound) และขาออก (Outbound) ได้แก่ เพศ อายุ และถิ่นที่อยู่อาศัย ทำให้ทั้งนักพัฒนานโยบายและผู้ประกอบการท่องเที่ยวเห็นกลุ่มลูกค้าที่มาเยือนจังหวัดของตนได้ชัดเจนมากขึ้น และสามารถทำแคมเปญส่งเสริมการท่องเที่ยวได้อย่างมีประสิทธิภาพ ข้อมูลนักท่องเที่ยวขาออกจะมีประโยชน์สำหรับการประชาสัมพันธ์และพัฒนาแพคเกจโปรโมชั่นการท่องเที่ยวระหว่างจังหวัด ส่วนข้อมูลนักท่องเที่ยวขาเข้าทำให้ภาครัฐและภาคเอกชนในแต่ละพื้นที่สามารถพัฒนากิจกรรมและสถานที่ท่องเที่ยวที่ตรงกับความต้องการของกลุ่มนักท่องเที่ยวหลักที่ของพื้นที่

3. ระดับอำเภอ ทำให้ภาครัฐและภาคเอกชนในท้องถิ่นทราบปริมาณและลักษณะของนักท่องเที่ยวที่กระจุกตัวอยู่ในแต่ละอำเภอในแต่ละช่วงเวลา ข้อมูลนี้ช่วยให้ผู้ใช้งานพัฒนาสินค้าและบริการที่ตอบสนองต่อความต้องการและพฤติกรรมการเดินทางของนักท่องเที่ยวได้ตรงเป้าหมายยิ่งขึ้น

นอกจากนั้น ข้อมูลการกระจุกตัวของนักท่องเที่ยวในแต่ละช่วงเวลายังช่วยทำให้เห็นความเชื่อมโยงของการเดินทางท่องเที่ยวระหว่างพื้นที่ในจังหวัด สามารถนำข้อมูลนี้ไปใช้พัฒนากิจกรรมและเส้นทางการท่องเที่ยวเฉพาะท้องถิ่น ตัวอย่างเช่น จังหวัดเพชรบุรี ในอำเภอเมืองมีความโดดเด่นด้านอาหารซึ่งมักมีผู้แวะเยือนในช่วงกลางวัน ขณะที่ชะอำมีความโดดเด่นด้านร้านอาหารและโรงแรมจึงมีการกระจุกตัวของนักท่องเที่ยวในช่วงเวลากลางคืน และอำเภอบ้านแหลมโดดเด่นด้านการทำประมงและป่าชายเลน ซึ่งมักมีนักท่องเที่ยวแวะไปเยือนในช่วงเย็นก่อนเดินทางกลับ เมื่อนำทรัพยากรที่โดดเด่นของแต่ละอำเภอผนึกเข้ากับ Mobility data จะทำให้เกิดการเชื่อมโยงข้อมูลการเดินทางสู่การออกแบบกิจกรรมการส่งเสริมการท่องเที่ยวประจำจังหวัดเฉพาะในแต่ละพื้นที่

“ข้อมูลทั้ง 3 ระดับที่กล่าวมานั้น ถือเป็นจัดเป็นกระบวนทัศน์ใหม่ของข้อมูลเชิงการท่องเที่ยว ที่ทำให้เห็นข้อมูลการเดินทางและการกระจุกตัวของนักท่องเที่ยวในมิติที่ละเอียดและแม่นยำมากยิ่งขึ้น นำมาพัฒนากิจกรรมการท่องเที่ยว สินค้า และบริการให้สอดคล้องกับความต้องการของกลุ่มเป้าหมายได้” ผศ.ดร.ณัฐพงศ์กล่าว อย่างไรก็ตาม Mobility data ยังมีข้อจำกัดในการทำความเข้าใจพฤติกรรมของนักท่องเที่ยวในบางประเด็น ถ้าผู้เกี่ยวข้องทั้งภาครัฐและภาคเอกชนร่วมมือกันนำข้อมูลในมิติอื่นๆ ที่แต่ละฝ่ายมีอยู่ เช่น ข้อมูลการซื้อขายสินค้า ข้อมูลทัศนคติและความคิดเห็น ข้อมูลด้านมลพิษและผลกระทบเชิงลบ มาช่วยบูรณาการร่วมกัน เราอาจจะสามารถกำหนดทิศทางการพัฒนาการท่องเที่ยวอย่างยั่งยืนที่เหมาะสมกับแต่ละท้องถิ่นได้อย่างเป็นรูปธรรม

ผศ.ศรันยา เสี่ยงอารมณ์ หน่วยปฏิบัติการวิจัยด้านการออกแบบเพื่อพัฒนาเศรษฐกิจสร้างสรรค์ คณะสถาปัตยกรรมศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย กล่าวเสริมว่า ที่ผ่านมา การพัฒนาการท่องเที่ยวของไทยส่วนใหญ่มองผ่านประสบการณ์และความต้องการของผู้มีส่วนเกี่ยวข้องในพื้นที่เป็นหลัก ซึ่งเป็นสิ่งที่ดีในแง่การกำหนดทิศทางการพัฒนาที่สอดคล้องความต้องการในท้องถิ่น แต่ก็นำมาสู่การจัดกิจกรรมการท่องเที่ยวแบบซ้ำๆ และอาจจะไม่ตอบสนองความต้องการของกลุ่มเป้าหมายที่เปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็วในยุคสมัยนี้ การพัฒนาเมืองท่องเที่ยวที่ทั้งสร้างมูลค่าทางเศรษฐกิจและพัฒนาสังคมอย่างยั่งยืน อาจจะต้องออกแบบความสัมพันธ์ของกิจกรรม พื้นที่ และการประชาสัมพันธ์ของท้องถิ่นอย่างเป็นระบบ เพื่อสร้างสมดุลระหว่างทิศทางการพัฒนาของผู้คนภายในพื้นที่และความต้องการของผู้มาเยือนจากภายนอกพื้นที่

อาจารย์ทั้งสองท่านนำเสนอแนวคิด City Branding หรือการสร้างแบรนด์เมือง ซึ่งเป็นการจัดทำยุทธศาสตร์การพัฒนาเมืองที่เน้นการสร้างสัมพันธ์ระหว่างทรัพยากรและคุณค่าที่พื้นที่มีอยู่เข้ากับความต้องการและพฤติกรรมของผู้บริโภคจากภายนอกพื้นที่ เพื่อดึงดูดให้กลุ่มเป้าหมายเดินทางมาเยือน และมีปฏิสัมพันธ์กับผู้คน ทรัพยากร รวมถึงสินค้าและบริการในพื้นที่ เพื่อกระตุ้นให้เกิดการสร้างสรรค์ผลกระทบเชิงบวกให้กับท้องถิ่นอย่างยั่งยืน “Mobility data นับเป็นข้อมูลที่สำคัญข้อมูลหนึ่งที่ทำให้เรา

เข้าใจถึงพฤติกรรมของนักท่องเที่ยวในพื้นที่ และทำให้ผู้ส่วนเกี่ยวข้องสามารถพัฒนาแบรนด์เมืองได้อย่างมีประสิทธิภาพ” ผศ.ศรันยากล่าว

สมุทรสงคราม เมือง 3 น้ำ

ผศ.ดร.ณัฐพงศ์ ยกตัวอย่างการใช้งาน Mobility Data Dashboard กับการพัฒนาการท่องเที่ยวของสมุทรสงครามว่า สมุทรสงครามมีลักษณะเป็นเมือง 3 น้ำ ประกอบด้วยน้ำจืด น้ำกร่อย และน้ำเค็ม ก่อให้เกิดความอุดมสมบูรณ์ด้านผลผลิตทางการเกษตรและความหลากหลายของวิถีชีวิต ด้วยตำแหน่งที่ตั้งใกล้กับกรุงเทพมหานครจึงทำให้สมุทรสงครามนับเป็นพื้นที่ที่มีศักยภาพในการดึงดูดนักท่องเที่ยวในระดับสูง แต่ช่วง 10 ปี ที่ผ่านมา นักท่องเที่ยวที่มาเยือนจังหวัดสมุทรสงครามโดยส่วนใหญ่เป็นนักท่องเที่ยวชาวจีน ซึ่งมักจะแวะมาเยี่ยมชมตลาดน้ำเป็นหลักแล้วเดินทางกลับ ทำให้ผลลัพธ์จากการท่องเที่ยวไม่กระจายตัวไปสู่เกษตรกรและผู้ประกอบการในท้องถิ่นเท่าที่ควร ยิ่งช่วงโควิดที่ผ่านมา เมื่อนักท่องเที่ยวชาวต่างชาติไม่สามารถเดินทางมายังประเทศไทยได้ จังหวัดสมุทรสงครามจึงเป็นจังหวัดที่มีสัดส่วนการสูญเสียรายได้จากการท่องเที่ยวสูงที่สุดในประเทศไทย

ข้อมูล Mobility data พบว่า นักท่องเที่ยวที่เดินทางมายังสมุทรสงครามส่วนใหญ่มาจากกรุงเทพมหานคร โดยมีอายุอยู่ในช่วงวัยทำงานเป็นหลัก นักท่องเที่ยวส่วนใหญ่เดินทางมาเยือนจังหวัดสมุทรสงครามในช่วงวันหยุดสุดสัปดาห์ และมีสัดส่วนการท่องเที่ยวแบบไปกลับค่อนข้างสูง นอกจากนั้น

ด้วยโครงข่ายถนนในจังหวัดทำให้นักท่องเที่ยวโดยส่วนใหญ่ต้องเดินทางผ่านเมืองแม่กลองก่อนจะเดินทางไปยังพื้นที่ท่องเที่ยวหลักในอำเภออื่นๆ เมื่อนำข้อมูลเหล่านี้มีผนวกกับพฤติกรรมและทัศนคติของนักท่องเที่ยวในปัจจุบันที่นิยม “การท่องเที่ยวเชิงประสบการณ์” โดยเฉพาะคนวัยทำงานในเมืองที่นิยมพาครอบครัวหรือเพื่อนๆ ไปตั้งแคมป์ (Camping) เพื่อใช้ชีวิตลุยๆ ใกล้ชิดธรรมชาติ ทำให้เห็นแนวทางการพัฒนาการท่องเที่ยวของสมุทรสงครามที่สามารถเชื่อมโยงจากทรัพยากรและอัตลักษณ์เดิมที่มีอยู่ ไม่ว่าจะเป็นการป่าชายเลน นาเกลือ วิถีชีวิตริมน้ำ พื้นที่สวนผลไม้ และการทำเกษตรกรรม มาพัฒนาสู่กิจกรรมการท่องเที่ยวแบบเรียนรู้วิถีชีวิต การรับประทานอาหารพื้นถิ่น การฟังดนตรีในบรรยากาศริมแม่น้ำ การทำหัตถกรรม และการทดลองทำเกษตรกรรม โดยอาจพัฒนาเป็นเส้นทางการท่องเที่ยวแบบคาร์บอนต่ำ (Low Carbon Tourism) ที่เริ่มต้นจากการปั่นจักรยานหรือล่องเรือชมนาเกลือและไสกระดานที่ดอนหอยหลอด แวะทานอาหารที่แม่กลอง นอนค้างแบบแคมปิ้งที่อัมพวา แวะกินผลไม้ในสวนที่บางคนที เป็นต้น

พัทลุง เมืองเขา-ป่า-นา-เล

พัทลุงเป็นอีกเมืองรองที่มีความอุดมสมบูรณ์และหลากหลายทางภูมิศาสตร์ โดยมีลักษณะเป็น Landlocked ไม่มีชายฝั่งทะเล ต่างจากจังหวัดอื่นในภาคใต้ ทางทิศตะวันออกติดทะเลสาบสงขลา พื้นที่ฝั่งตะวันตกส่วนใหญ่เป็นภูเขา ด้วยเหตุนี้ วิถีชีวิตของชาวพัทลุงจึงมีพื้นฐานอยู่บนวิถีชีวิตเกษตรกรรมน้ำจืด ซึ่งแตกต่างจากวัฒนธรรมชาวใต้ในจังหวัดอื่น และกลายเป็น “อัตลักษณ์” ที่ดึงดูดนักท่องเที่ยวมายังพัทลุงเป็นจำนวนมากช่วง 5 ปีที่ผ่านมา ซึ่งจาก Mobility data พบว่า นักท่องเที่ยวที่เดินทางมายังพัทลุงส่วนใหญ่มาจากจังหวัดโดยรอบ โดยมีช่วงอายุอยู่ในวัยทำงานและ

ผู้สูงอายุเป็นหลัก มีการเดินทางมาท่องเที่ยวแบบไปกลับในสัดส่วนสูง ในช่วงเช้านักท่องเที่ยวมีการกระจุกตัวอยู่บริเวณริมทะเลน้อยและทะเลสาบสงขลา ในขณะที่เวลากลางวันมีการกระจุกตัวในบางอำเภอที่มีแหล่งท่องเที่ยวขึ้นชื่อและตลาดนัดชุมชน

ผศ.ศรันยากล่าวว่า ผลการสำรวจโดยจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยพบว่า กลุ่มนักท่องเที่ยวโดยส่วนใหญ่เดินทางมากับครอบครัวและต้องการมาเรียนรู้วิถีชีวิตและวัฒนธรรมพื้นถิ่นของจังหวัดพัทลุง จังหวัดพัทลุงจึงควรใช้ประโยชน์ภูมิประเทศและวิถีชีวิตที่แตกต่างกับจังหวัดโดยรอบ เช่น การมีป่าเขา การทำประมงน้ำจืด การปลูกข้าวพันธุ์สังข์หยด วัฒนธรรมหนังตะลุง ความเชื่อเกี่ยวกับมโนราห์ มาใช้ในการพัฒนากิจกรรมการท่องเที่ยวที่ช่วยกระจายผลลัพธ์ทางเศรษฐกิจไปสู่พื้นที่ในจังหวัดอย่างทั่วถึง เช่น การพัฒนาเส้นทางวิ่งเทรลในพื้นที่ภูเขา การจัดกิจกรรมทำอาหารพัทลุงจากวัตถุดิบท้องถิ่น การทำประมงน้ำจืด เป็นต้น การกระจายนักท่องเที่ยวไปยังพื้นที่ต่างๆ ในจังหวัดยังมีส่วนลดผลกระทบเชิงลบที่เกิดจากการกระจุกตัวของนักท่องเที่ยวในพื้นที่เดียวมากเกินไปอีกด้วย

“ผู้คนในท้องถิ่นมักรู้จักของดีและคุณค่าของพื้นที่เป็นอย่างดี การรู้ข้อมูลผั่งดีมานด์ของนักท่องเที่ยวเพิ่มขึ้น ทำให้เกิดประสิทธิภาพในการต่อยอดฐานภูมิปัญญาไปสู่ธุรกิจบนฐานอัตลักษณ์ของชุมชน ซึ่งท้ายที่สุด หากทุกฝ่ายร่วมมือกันอย่างจริงจัง สิ่งนี้จะนำมาสู่ทั้งการจ้างงาน การรักษามรดกทางวัฒนธรรม และทรัพยากรธรรมชาติในพื้นที่อย่างยั่งยืน เราเชื่อว่าการใช้ข้อมูลมาช่วยในการตัดสินใจจะเป็นแรงผลักดันให้เกิดการร่วมมือในท้องถิ่นกันมากขึ้น” ผศ.ศรันยา กล่าว

ทั้งนี้ หน่วยงานหรือองค์กรใดที่สนใจต่อยอดข้อมูลเชิงลึกจาก Mobility Data Dashboard เพื่อการพัฒนาการท่องเที่ยว สามารถติดต่อเพิ่มเติมได้ที่อาจารย์ณัฐพงศ์และอาจารย์ศรันยา คณะสถาปัตยกรรมศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย และบริษัทดีแทค

นางประณยา นิถานานนท์ ผู้บริหารสูงสุดสายงานการตลาดบัตรเครดิต “เคทีซี” หรือ บริษัท บัตรกรุงไทย จำกัด (มหาชน) นำทีมคณะผู้บริหารและพนักงานเคทีซีร่วมกิจกรรม “KTC ZARA Day” ชวนพนักงานร่วมถ่ายภาพแฟชั่นโดยช่างภาพมืออาชีพ และโพสต์รูปผ่านช่องทาง Social Media ของพนักงาน เพื่อช่วยประชาสัมพันธ์แคมเปญเอ็กซ์คลูซีฟโปรโมชันระหว่างเคทีซีและแบรนด์ในเครือ ZARA ตลอดทั้งปี เพียงสมาชิกช้อปผ่านบัตรเครดิตเคทีซีครบ 5,000 บาทขึ้นไปต่อเซลส์สลิปที่แบรนด์ในเครือ ZARA รับเครดิตเงินคืน 5% โดยไม่ต้องลงทะเบียน และไม่ต้องใช้คะแนน (จำกัดเครดิตเงินคืนสูงสุด 500 บาทต่อเซลส์สลิป) ตั้งแต่วันที่ 1 ธันวาคม 2565 - วันที่ 31 ธันวาคม 2566

แบรนด์ในเครือ ZARA ประกอบด้วย ZARA (ซาร่า) / ZARA Home (ซาร่า โฮม) / Massimo Dutti (มาสสิโม ดุตติ) / Ted Baker (เท็ด เบเกอร์) / Bershka (เบอร์ช์ก้า) / Pull & Bear (พูลแอนด์แบร์) และ OYSHO (ออยโซ่)

กิจกรรมดังกล่าวจัดขึ้นที่สำนักงานเคทีซี อาคารสมัชชาวาณิช 2 ต้นซอยสุขุมวิท โดยมีพนักงานเข้าร่วมกิจกรรมมากกว่า 150 คน และร่วมใจโพสต์ข้อความประชาสัมพันธ์บนช่องทาง Social Media อย่างคับคั่ง

สอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมที่ KTC PHONE 02 123 5000 หรือที่เว็บไซต์ http://ktc.promo/zara-kt สมัครบัตรเครดิตได้ที่ศูนย์บริการสมาชิก เคทีซี ทัช ทุกสาขาทั่วประเทศ หรือคลิกลิงค์ http://ktc.cards/zara-kt

“PointX” (พอยท์เอกซ์) แพลตฟอร์มที่รวมทุกคะแนนสะสมไว้ในที่เดียว เปลี่ยนประสบการณ์การใช้และสะสมพอยท์แบบไร้ขีดจำกัดให้สามารถใช้พอยท์ได้เหมือนเงินสด พัฒนาโดย “เอสซีบี เทคเอกซ์” (SCB TechX) บริษัทผู้เชี่ยวชาญด้านดิจิทัลเทคโนโลยี ภายใต้กลุ่มเอสซีบี เอกซ์ (SCBX Group) เดินหน้ายกระดับประสบการณ์ช้อปปิ้งแบบเหนือระดับ พร้อมปลดล็อกสู่โลกใหม่แห่งการใช้และสะสมพอยท์ ส่งแคมเปญ “Merry X Mas เทศกาลแจกพอยท์สุดพิเศษ 7 วันเท่านั้น” สำหรับผู้ถือบัตรเครดิตไทยพาณิชย์ และ บัตรเครดิตคาร์ดเอกซ์ ทุกประเภท ยกเว้นบัตร CardX Family Plus และบัตร SCB M ให้สามารถเริ่มต้นอิสระแห่งการใช้พอยท์จ่ายแทนเงินสดได้ทุกที่ สำหรับลูกค้าใหม่เพียงดาวน์โหลดแอปพลิเคชัน PointX และทำการโอนคะแนนจากบัตรเครดิตมาเป็นคะแนน PointX ตามที่กำหนด ในช่วงเทศกาลแจกพอยท์ 7 วันสุดปัง รับเพิ่มสูงสุด 25,000 PointX ตั้งแต่วันที่ 25 ธันวาคม 2565 – 31 ธันวาคม 2565 นี้เท่านั้น สอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ SCB Call Center 02-777-7777 หรือเว็บไซต์ www.pointx.scb/

รายละเอียดการโอนคะแนนจากบัตรเครดิต SCB | CardX มาเป็นคะแนน PointX ในช่วงเทศกาลแจกพอยท์

7 วันสุดปัง

· โอน 2,000-3,999 คะแนน รับเพิ่ม 500 PointX

· โอน 4,000-5,999 คะแนน รับเพิ่ม 1,200 PointX

· โอน 6,000-9,999 คะแนน รับเพิ่ม 2,000 PointX

· โอน 10,000-49,999 คะแนน รับเพิ่ม 5,000 PointX

· โอน 50,000 คะแนนขึ้นไป รับเพิ่ม 25,000 PointX

สำหรับผู้ที่สนใจดาวน์โหลดแอปพลิเคชัน “PointX” โลกใหม่ของการใช้และสะสมพอยท์แบบไร้ขีดจำกัด สามารถดาวน์โหลดได้ที่ · ลิงก์สำหรับดาวน์โหลด https://www.pointx.scb/get/

· QR Code สำหรับดาวน์โหลด

· รายละเอียดเพิ่มเติม https://www.pointx.scb/

#PointX #โลกใหม่ของการใช้พอยท์ #ใช้พอยท์เอกซ์แทนเงินสด

X

Right Click

No right click