December 21, 2025

“เมตาโพลิส” บริษัทผู้พัฒนาธุรกิจโลกเสมือนจริง เมตาเวิร์ส (Metaverse) ที่มีประสบการณ์มากกว่า 15 ปี และรายแรกของเมืองไทย ตอกย้ำความสำเร็จเปิดตัวโปรเจกต์“Metapolis” ยิ่งใหญ่ จับมือหน่วยงานภาครัฐ รัฐวิสาหกิจ เอกชน สถาบันการเงิน สถาบันการศึกษา ฯ ร่วมเนรมิตเมืองจำลองเสมือนจริง ตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์คนรุ่นใหม่ ลั่นจะพัฒนาให้เป็นเมตาเวิร์ส สมบูรณ์ที่สุดของเมืองไทยในอนาคต

นายสุกิจ ตั้งเต็มจิตร ประธานกรรมการ บริษัท เมตาโพลิส จำกัด กล่าวว่า “เมตาโพลิส” เป็นบริษัทที่เริ่มเข้ามาพัฒนาธุรกิจโลกเสมือนจริง หรือเมตาเวิร์ส (Metaverse) มาตั้งแต่ปี 2552 โดยมีประสบการณ์พัฒนาโลกเสมือนจริงและเกมสามมิติยาวนานกว่า 15 ปี เริ่มทำ Virtual 3D ให้กับหน่วยงานภาครัฐและเอกชน และพัฒนาโครงการ Ubermall หรือ ห้างสรรพสินค้าเสมือนจริง โลกเสมือนจริงเชิงพาณิชย์รายแรกของประเทศไทยเมื่อปี 2554 นับเป็นความภาคภูมิใจ และความสำเร็จในโปรเจกต์เมตาเวิร์ส (Metaverse) ที่ได้รับรางวัล 10 สุดยอดซอฟต์แวร์ไทย เป็นนวัตกรรมระดับประเทศ ในการนำเทคโนโลยี Virtual 3D เข้ามาใช้ จากสำนักงานนวัตกรรมแห่งชาติ (องค์การมหาชน)

ทั้งนี้ จากกระแสเมตาเวิร์ส (Metaverse) ในปัจจุบัน เราจึงมีแนวคิดจะต่อยอดนำความรู้และประสบการณ์ที่ผ่านมา พัฒนาโปรเจกต์ให้ก้าวหน้าไปอีกขั้น โดยล่าสุดบริษัทฯ ได้ต่อยอดพัฒนาสร้างเมืองจำลองขึ้น โปรเจกต์โลกเสมือนจริง “Metapolis” ได้จับมือร่วมกับพันธมิตรทั้งภาครัฐ รัฐวิสาหกิจ เอกชน สถาบันการเงิน สถาบันการศึกษา ฯลฯ มาร่วมโปรเจกต์ Metapolis ไม่ว่าจะเป็น การท่าเรือแห่งประเทศไทย สำนักงานสลากกินแบ่งรัฐบาล บริษัท เมเจอร์ ซีนีเพล็กซ์ กรุ้ป จำกัด (มหาชน) บริษัท บางจาก คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) บริษัท ทิพย กรุ๊ป โฮล ดิ้งส์ จำกัด (มหาชน) บริษัท บาเซโลนา มอเตอร์ จํากัด บริษัท นานมีบุ๊คส์ จำกัด เป็นต้น มาร่วมออกแบบเมือง เพื่อให้ผู้เล่น (User) ได้มาใช้ชีวิตดิจิทัลบนโลกเสมือนจริง

“เราได้พัฒนาสร้างเมืองจำลองขึ้นอย่างครบวงจรบนโลกเสมือนจริง Metapolis เช่น การซื้อขายครอบครองที่ดิน การช้อปปิ้งในศูนย์การค้า ฯ ผู้เล่นสามารถใช้ร่างอวตาร (Avatar) โต้ตอบ หรือมีปฏิสัมพันธ์กับเกมที่เห็นอยู่ตรงหน้า มีแผนผังโครงสร้างของกรุงเทพมหานคร สู่เมืองจำลองมี Landmarkเป็นเอกลักษณ์ของกรุงเทพมหานครฯ เช่น เสาชิงช้า ถนนราชดำเนินคลุมไปถึงเยาวราช รวมถึงสถานที่สำคัญต่าง ๆ ภายในเมือง สามารถเข้าจับจองเป็นเจ้าของเพื่อสร้างสิ่งปลูกสร้างที่เป็นตัวคุณเอง และเก็บเกี่ยวทรัพยากรต่าง ๆ พัฒนาไปสู่ผลงาน NFT (สินทรัพย์ดิจิทัล) ที่เกิดจากการสร้างด้วยตัวเอง มีการสร้างที่ดิน สร้างอาคาร และองค์ประกอบอื่น ๆ สร้างสังคม ชุมชนขึ้นมาเป็นโลกคู่ขนานกับสังคมที่เราอยู่จริง ๆ ทั้งกิจวัตรประจำวัน การทำงาน การใช้ชีวิตไปจำลองให้ได้มากที่สุด เช่น สถานศึกษา โรงพยาบาล ศูนย์การค้า การทำธุรกรรมต่าง ๆ อย่างครบวงจร

นายชาติชาย พยุหนาวีชัย ที่ปรึกษาโครงการเมตาโพลิส กล่าวเสริมว่า ได้นำความรู้และประสบการณ์ด้านการเงินการธนาคาร มาเป็นแนวคิดหลักในการออกแบบระบบเศรษฐศาสตร์ของโลกเสมือนจริงแห่งนี้ ทำให้ปัจจุบันเรามีพาร์ทเนอร์หรือองค์กร ร่วมโปรเจกต์ Metapolis มากกว่า 50 ราย และได้ตั้งเป้าผู้ใช้งานไว้เบื้องต้นประมาณ 1 ล้านราย เพื่อตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์ของคนรุ่นใหม่ เรามีจุดแข็งทั้งในเรื่องประสบการณ์ และทีมงานผู้เชี่ยวชาญทางด้านนี้โดยเฉพาะ สามารถให้คำปรึกษาธุรกิจไหนบ้างที่จะเหมาะสมกับเมตาเวิร์สหรือไม่อย่างไร รวมทั้งมีพันธมิตรทางการค้าที่แข็งแรง และพร้อมจับมือไปด้วยกันในระยะยาว อาทิเช่น “การท่าเรือแห่งประเทศไทย” โดยคุณเกรียงไกร ไชยศิริวงศ์สุข ผู้อำนวยการการท่าเรือแห่งประเทศไทย ที่เล็งเห็นความสำคัญของดิจิทัลเทคโนโลยี ในมุมของการพัฒนาภาครัฐวิสาหกิจ โดยได้นำเทคโนโลยีเมตาเวิร์สมาใช้ในการทำงาน เช่น การเปิดศูนย์ให้บริการประชาชนเสมือนจริง หรือจำลองเส้นทางโลจิสติกส์ เพื่อให้คนทั่วไปรู้ได้ว่าโลจิสติกส์มีระบบอย่างไร และทำความรู้จักเข้าใจในบทบาทหน้าที่ของการท่าเรือฯ มากขึ้น

นอกจากนี้ ยังมีพันธมิตรจาก สำนักงานสลากกินแบ่งรัฐบาล ตามนโยบายภาครัฐ ที่มีแนวคิดในการนำเทคโนโลยีดิจิตอลมาใช้สร้างโลกเสมือนจริง ด้วยการสร้างสำนักงานกองสลากฯ ให้คนสามารถมาใช้บริการติดต่อ สอบถาม รับเรื่องร้องเรียน หรือหวยออกสามารถดูสดได้ Virtual reality เป็นเทคโนโลยีการจำลองภาพเสมือนของสถานที่ หรือสภาพแวดล้อมแบบเหมือนเราเข้าไปนั่งในห้องส่ง นั่งดูได้เสมือนจริง เพิ่มอรรถรสในการลุ้นรางวัล เหล่านี้เป็นองค์กรภาครัฐที่มาพัฒนาร่วมกับเรา รวมถึงภาคเอกชนจากหลาย ๆ องค์กร มาร่วมในโปรเจกต์ โดยคาดว่าเราจะพัฒนา Metapolis ให้เป็นเมตาเวิร์ส ที่สมบูรณ์ที่สุดในประเทศไทยต่อไปในอนาคต

ผู้สนใจร่วมเป็นส่วนหนึ่ง ของประสบการณ์โลกเสมือนจริง ที่สร้างบนแผนที่จริง เพิ่มโอกาสธุรกิจของคุณในรูปแบบใหม่ในโลกเสมือนจริง Metapolis สามารถติดตามรายละเอียด และลงทะเบียนได้ที่ https://www.metapolis.in.th/

 

เนื่องในวันสิทธิมนุษยชนสากล ซึ่งตรงกับวันที่ 10 ธันวาคมของทุกปี คณะผู้แทนสหภาพยุโรปประจำประเทศไทย (อียู) ร่วมกับกรมคุ้มครองสิทธิและเสรีภาพ กระทรวงยุติธรรม และสำนักงานนโยบายและแผนทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม จัดงานฉายภาพยนตร์ สารคดีภายใต้หัวข้อ ‘Our Right to Live on a Healthy Planet’ ระหว่างวันที่ 9 - 12 ธันวาคมนี้ โดยเปิดให้ประชาชนที่สนใจเข้าชมโดยไม่มีค่าใช้จ่าย

 

การจัดงานครั้งนี้ยังได้รับความร่วมมือจาก Documentary Club โรงภาพยนตร์เฮ้าส์ สามย่าน และสื่อออนไลน์ ด้านสิ่งแวดล้อม Environman ในการสร้างความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับความเชื่อมโยงระหว่างประเด็นทางด้าน สิทธิมนุษยชนและสิ่งแวดล้อม โดยถ่ายทอดผ่านทางภาพยนตร์ของผู้กำกับทั้งจากประเทศไทยและทวีปยุโรป ที่สะท้อนให้เห็นถึงความจำเป็นในการปกป้องสิ่งแวดล้อมจากการทำธุรกิจและอุตสาหกรรม นอกจากการสร้างความตระหนักรู้ของสังคมแล้ว การจัดงานในครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อกระชับความร่วมมือระหว่างสหภาพยุโรป และประเทศไทยในการส่งเสริมสิทธิในสิ่งแวดล้อมที่ดีต่อไป

พิธีเปิดงานอย่างเป็นทางการ ณ โรงภาพยนตร์เฮ้าส์ สามย่านในวันนี้ มีประชาชนและตัวแทนจากหน่วยงานต่างๆ เข้าร่วมกว่า 100 คน รวมทั้งนักปกป้องสิทธิมนุษยชน นักปกป้องสิ่งแวดล้อม ตัวแทนจากหน่วยงานภาครัฐ และสถานเอกอัครราชทูต โดยในงานยังได้มีการเน้นย้ำถึงความสำคัญของมติสมัชชาใหญ่แห่งสหประชาชาติ ที่เห็นชอบและประกาศว่า การเข้าถึงสิ่งแวดล้อมที่สะอาด ดีต่อสุขภาพ และยั่งยืน เป็นสิทธิมนุษยชนสากล

ฯพณฯ นายเดวิด เดลี เอกอัครราชทูตสหภาพยุโรปประจำประเทศไทย กล่าวระหว่างสุนทรพจน์เปิดงานว่า “พวกเรามีสิทธิมนุษยชนไม่ใช่เพราะเราเป็นชาวยุโรปหรือชาวเอเชีย พวกเรามีสิทธิเหล่านี้ เพียงเพราะว่าพวกเรา เป็นมนุษย์ นอกจากนี้สิทธิมนุษยชนแบ่งแยกไม่ได้ สิทธิมนุษยชนล้วนมีความสำคัญและมีความจำเป็นอย่างเท่าเทียมกันในการปกป้องศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ หากปราศจากการเคารพสิทธิมนุษยชน สันติภาพและความมั่นคง อย่างยั่งยืน การพัฒนาและความเจริญรุ่งเรืองในระยะยาวก็ไม่สามารถเกิดขึ้นได้”

ผู้ร่วมพิธีเปิดงานยังได้เข้าชมภาพยนตร์เรื่อง สายเลือดแม่น้ำโขง: Special Edition (Blood on the River: Special Edition) อันเป็นผลงานของ ธีรยุทธ์ วีระคำ ผู้กำกับชาวไทยที่พาเราไปสำรวจผลกระทบของระบบนิเวศน์และวิถีชีวิตของชุมชนรอบแม่น้ำโขงที่เกิดขึ้นจากโครงการพัฒนาทางด้านโครงสร้างพื้นฐานต่างๆ

ในระหว่างวันที่ 10 - 12 ธันวาคม ยังมีการเปิดให้ชมภาพยนตร์สารคดีฟรีอีก 3 เรื่อง ที่โรงภาพยนตร์ 4 เฮ้าส์ สามย่าน อันได้แก่ เรื่อง Losing Alaska (ไอร์แลนด์) ในวันที่ 10 ธันวาคม; เรื่อง สายน้ำติดเชื้อ - By the River (ไทย) วันที่ 11 ธันวาคม; และเรื่อง Thank You for the Rain (นอร์เวย์) วันที่ 12 ธันวาคม ภาพยนตร์ทุกเรื่องจะจัดฉาย เวลา 19.00 น. – 21.00 น. ผู้ที่สนใจสามารถสำรองที่นั่งผ่านทางเว็บไซต์ https://bit.ly/3EKEg4v หรือรับตั๋ว หน้าโรงภาพยนตร์ตามวัน - เวลาที่ฉาย จนกว่าที่นั่งจะหมด

 

นายจิรวัฒน์ ระติสุนทร รองเลขาธิการสำนักงานนโยบายและแผนทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม กล่าวในพิธีเปิดงานว่า “สำนักงานนโยบายและแผนทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมเชื่อว่างานนี้เป็นโอกาสที่ดีสำหรับการดำเนินงานร่วมกันเพื่อบรรลุเป้าหมาย โดยพร้อมเป็นพันธมิตรที่ดี และร่วมมืออย่างเต็มที่เพื่อให้คนไทย ทุกคนมีสิทธิที่จะมีชีวิตอยู่บนโลกที่มีสุขภาวะที่ดี”

สหภาพยุโรปและประเทศไทยได้ต่างผลักดันให้เกิดความก้าวหน้าทางด้านการคุ้มครองสิทธิมนุษยชนในมิติทางด้านสิ่งแวดล้อม โดยสหภาพยุโรปได้มีการระบุความคุ้มครองดังกล่าวไว้ภายใต้แผนปฏิบัติการด้านสิทธิมนุษยชน และประชาธิปไตย (พ.ศ. 2563 -2567) แผนดังกล่าวเน้นย้ำถึงพันธะสัญญาในการจัดการความเสี่ยงและผลกระทบจากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศและการสูญเสียความหลากหลายทางชีวภาพที่มีต่อสิทธิมนุษยชน สำหรับประเทศไทย แผนสิทธิมนุษยชนแห่งชาติฉบับที่ 4 (พ.ศ. 2562 –2566) ได้ประกาศพันธกิจความมุ่งมั่น ของประเทศในการอนุรักษ์สิ่งแวดล้อมและปกป้องดูแลสุขภาพของประชาชนจากผลกระทบด้านสิ่งแวดล้อม

นายเกิดโชค เกษมวงศ์จิตร รองอธิบดีกรมคุ้มครองสิทธิและเสรีภาพ กล่าวในระหว่างพิธีเปิดต่อไปว่า “สิทธิมนุษยชนและสิ่งแวดล้อมเป็นเรื่องที่มีความเชื่อมโยงซึ่งกันและกันอย่างที่สุด โดยสิทธิมนุษยชนนั้นไม่อาจ เฟื่องฟูได้ หากสิ่งแวดล้อมถูกทิ้งขว้างหรือละเลย”

ธนาคารกรุงไทย ร่วมกับบริษัท อินฟินิธัส บาย กรุงไทย ในฐานะผู้พัฒนาแอปพลิเคชัน “เป๋าตัง” Thailand Open Digital Platform ของคนไทย เตรียมแถลงข่าวเปิดตัว “เป๋าตังเปย์ ” วันที่ 13 ธันวาคม 2565 นี้

นำโดยนายผยง ศรีวณิช กรรมการผู้จัดการใหญ่ ธนาคารกรุงไทย และนางประราลี รัตน์ประสาทพร กรรมการผู้จัดการ บริษัท อินฟินิธัส บาย กรุงไทย จำกัด พร้อมทีมนักพัฒนานวัตกรรมรุ่นใหม่ เป๋าตัง New Gen ที่จะมาเปิดเผยทิศทาง Digital Payment ของประเทศไทย และ Insight ของเป๋าตังเปย์ ที่จะร่วมสร้างสรรค์ประสบการณ์สุดล้ำให้กับการใช้จ่ายคนรุ่นใหม่ในยุคดิจิทัล ด้วยฟีเจอร์ที่ตอบโจทย์ “เปย์สนุก เปย์ครบ เปย์คุ้ม” พร้อมส่วนลดมากมาย ครอบคลุมทุกไลฟ์สไตล์การใช้จ่าย ทั้งช้อปปิ้ง กิน เที่ยว ทุกเดือนกับร้านค้าพันธมิตร และร้านค้าถุงเงินทั่วประเทศ

เป๋าตังเปย์ ฟีเจอร์ใหม่บนแอปฯเป๋าตัง เริ่มเปิดให้สมัครใช้งานตั้งแต่วันที่ 22 พฤศจิกายน 2565 เปิดกว้างสำหรับผู้ใช้งานทุกกลุ่ม ไม่จำเป็นต้องมีบัญชีเงินฝากของธนาคารกรุงไทย ขั้นตอนการสมัครง่าย เพียงกรอกข้อมูลบัตรประชาชน สแกนใบหน้ายืนยันตัวตน หากสมัครเป๋าตังเปย์สำเร็จ จะสามารถกดสมัครบัตรเพลย์บนแอปฯ เป๋าตังได้ทันที เติมเงินได้หลายช่องทาง ทั้ง G Wallet Krungthai NEXT และ Mobile Banking ของทุกธนาคาร หรือผ่าน QR Code รับเงิน โดยไม่มีค่าธรรมเนียม

ภายในงานเปิดตัวเป๋าตังเปย์ ซูเปอร์วอลเล็ตใหม่ พบกับ “คริส” พีรวัส แสงโพธิรัตน์ นักแสดงชื่อดัง ตัวแทนคนรุ่นใหม่ มาแชร์ประสบการณ์การใช้จ่ายผ่านเป๋าตังเปย์ ปิดท้ายด้วยมินิคอนเสิร์ตบอยแบนด์ขวัญใจวัยรุ่น “Proxie” มาร่วมเปย์ไปมีแต่ได้ ในวันที่ 13 ธันวาคมนี้ ณ Siam Square One ลานเชื่อม BTS

ตั้งเป้าสร้างสรรค์นวัตกรรมและเทคโนโลยีเพื่อยกระดับคุณภาพชีวิตของคนทั่วโลก ด้วย Total Healthcare Solution

 บริษัท ฟูจิฟิล์ม (ประเทศไทย) จำกัด ประกาศเดินหน้าสานต่อปณิธานและความมุ่งมั่นขององค์กรภายใต้แคมเปญระดับโลก NEVER STOP ที่ดำเนินมาอย่างต่อเนื่องตั้งแต่ปี 2019 ยึดมั่นในเจตนารมณ์ที่จะไม่หยุดยั้งสร้างสรรค์นวัตกรรมที่ช่วยแก้ไขปัญหาทางสังคมและช่วยสร้างสังคมที่ยั่งยืน เพื่อสุขภาวะที่ดีขึ้นของผู้คนในโลก โดยสำหรับในปี 2022 ฟูจิฟิล์ม มุ่งเน้นธุรกิจทางการแพทย์และสุขภาพ ซึ่งปัจจุบันถือเป็นหัวใจสำคัญของธุรกิจของฟูจิฟิล์มอย่างเต็มกำลัง ด้วยเป้าหมายในการนำความเชี่ยวชาญในอุตสาหกรรมการถ่ายภาพและประสบการณ์อันยาวนานในโลกแห่งนวัตกรรมของบริษัท มาช่วยยกระดับคุณภาพชีวิตของผู้คนในสังคมอย่างครอบคลุม พร้อมนำเสนอคุณค่าใหม่ ๆ ให้แก่สังคมที่เต็มไปด้วยความท้าทาย ด้วยความมุ่งมั่นในการแสวงหานวัตกรรมล้ำสมัย เพื่อสร้างโลกที่ยั่งยืน

ฟูจิฟิล์ม เป็นองค์กรชั้นนำระดับสากลและเป็นที่รู้จักในฐานะผู้ผลิตฟิล์มถ่ายภาพ โดยตลอดหลายปีที่ผ่านมา ฟูจิฟิล์มได้ปรับตัวเพื่อรองรับความต้องการและโอกาสใหม่ ๆ อยู่เสมอ พลิกโฉมองค์กรอย่างต่อเนื่องเพื่อขยายธุรกิจและนำเสนอโซลูชันให้แก่หลากหลายอุตสาหกรรม โดยต่อยอดจากความเชี่ยวชาญด้านเทคโนโลยีการถ่ายภาพเพื่อพัฒนานวัตกรรมใหม่ ๆ ที่สร้างประโยชน์ให้แก่สังคมอย่างไม่หยุดยั้ง ปัจจุบัน ฟูจิฟิล์มเติบโตอย่างต่อเนื่องผ่านการขยายองค์กรที่ครอบคลุม 4 ภาคธุรกิจ ได้แก่ 1. ธุรกิจวัสดุอุปกรณ์ 2. ธุรกิจนวัตกรรมสิ่งพิมพ์เพื่อธุรกิจ 3. ธุรกิจด้านการถ่ายภาพ และ 4. ธุรกิจทางการแพทย์และสุขภาพ โดย ธุรกิจด้านการแพทย์และสุขภาพ ถือเป็นธุรกิจที่ฟูจิฟิล์มให้ความสำคัญเป็นอย่างสูง ซึ่งสอดคล้องกับพันธกิจพื้นฐานของบริษัทในการแสวงหาแนวทางแก้ไขปัญหาทางสังคมและร่วมเป็นส่วนหนึ่งในการสร้างสังคมที่ยั่งยืน นอกจากนี้ หนึ่งในเป้าหมายหลักภายใต้แผนการส่งเสริมคุณค่าที่ยั่งยืนในปี 2030 ขององค์กร คือการปรับปรุงการเข้าถึงการดูแลรักษาทางการแพทย์ทั่วโลก พร้อมช่วยลดภาระในการดูแลผู้ป่วย ด้วยการจัดหาโซลูชันที่เป็นนวัตกรรมด้านการวินิจฉัยภาพทางการแพทย์โดยผสมผสานการใช้ AI (ปัญญาประดิษฐ์) และโซลูชันด้านไอที เพื่อให้บุคลากรทางการแพทย์สามารถตรวจหาโรคได้ตั้งแต่เนิ่น

มร. โซ มารูโอะ กรรมการผู้จัดการ บริษัท ฟูจิฟิล์ม (ประเทศไทย) จำกัด กล่าวว่า “ฟูจิฟิล์ม ก้าวสู่ธุรกิจการแพทย์และสุขภาพมาตั้งแต่ปี ค.ศ. 1936 หรือราว ๆ 80 ปีที่แล้ว ด้วยการนำเสนอผลิตภัณฑ์ฟิล์มเอกซเรย์ที่เป็นที่ยอมรับจากวงการแพทย์ทั่วโลก โดยหลังจากประกาศควบรวมกิจการของ Hitachi Healthcare ในปี 2021 และเปลี่ยนชื่อเป็น Fujifilm Healthcare Corporation ธุรกิจทางการแพทย์และสุขภาพของฟูจิฟิล์ม ก็แข็งแกร่งยิ่งขึ้นกว่าเคย โดยเฉพาะในด้านเทคโนโลยีเกี่ยวกับการถ่ายภาพทางการแพทย์ เพราะนอกจากเครื่องเอกซเรย์ดิจิทัล, กล้องส่องตรวจระบบทางเดินอาหาร, เครื่องอัลตราซาวด์, เครื่องแมมโมแกรมตรวจเอกซเรย์เต้านม ก็ยังได้เทคโนโลยี MRI และ CT Scan มาเสริมทัพให้โซลูชันการวินิจฉัยทางการแพทย์ของฟูจิฟิล์มครบวงจรมากยิ่งขึ้น และยิ่งไปกว่านั้น เมื่อเครื่องมือเหล่านี้ได้ทำงานร่วมกับเทคโนโลยี AI ทางการแพทย์ขั้นสูงและระบบสารสนเทศทางการแพทย์อย่าง Synapse 3D โปรแกรมสร้างภาพทางการแพทย์รูปแบบสามมิติ ก็ยิ่งยกระดับการตรวจวินิจฉัยโรคได้อย่างแม่นยำและรวดเร็วยิ่งขึ้น ทำให้ฟูจิฟิล์มก้าวเป็นบริษัทชั้นนำในธุรกิจทางการแพทย์และสุขภาพ ในฐานะผู้ให้บริการ Total Healthcare Solution ชั้นนำอย่างแท้จริง

“ฟูจิฟิล์ม ประเทศไทย ได้รับความไว้วางใจจากบุคลากรทางการแพทย์มาอย่างยาวนาน นับตั้งแต่การก่อตั้งสำนักงานในไทยเมื่อปี ค.ศ. 1989 เพราะจุดแข็งของเรา คือ ความรู้ความเชี่ยวชาญด้านเทคโนโลยีเกี่ยวกับการถ่ายภาพทางการแพทย์อย่างครบวงจร เพื่อภาพที่เหมาะกับการวินิจฉัยโรคมากที่สุด ตลอดจนการบริการและการบำรุงรักษาอุปกรณ์และเครื่องมือทางการแพทย์อย่างทันท่วงที และที่สำคัญ ในฐานะองค์กรที่มีความรับผิดชอบต่อสังคม ฟูจิฟิล์มมุ่งมั่นอย่างจริงจังที่จะมีส่วนร่วมในการแก้ไขปัญหาสังคมของประเทศไทย โดยเฉพาะความเหลื่อมล้ำด้านสุขภาพ ไม่ใช่แค่เพียงสร้างผลกระทบต่อตัวบุคคล แต่ยังสร้างผลเสียต่อสังคมในวงกว้าง เพื่อช่วยให้คนใช้ชีวิตอย่างมีสุขภาวะที่ดียิ่งขึ้น ตลอดจนสร้างสรรค์คุณค่าใหม่ ๆ คืนกลับสู่สังคมอย่างเป็นรูปธรรม ภายใต้แคมเปญ NEVER STOP” มร. โซ มารูโอะ กรรมการผู้จัดการ บริษัท ฟูจิฟิล์ม (ประเทศไทย) จำกัด กล่าวเน้นย้ำ

ในอนาคตข้างหน้า ฟูจิฟิล์ม พร้อมเดินหน้าดำเนินธุรกิจให้เติบโตอย่างต่อเนื่องภายใต้สโลแกน Value from Innovation หรือ นวัตกรรมอันทรงคุณค่า ควบคู่ไปกับการสานต่อพันธกิจของบริษัทในการสร้างสรรค์เทคโนโลยี ผลิตภัณฑ์ และการบริการด้วยนวัตกรรมที่ล้ำสมัย ช่วยให้โลกสามารถรับมือกับความท้าทายและวิกฤตต่าง ๆ ได้อย่างมีประสิทธิภาพ และด้วยเจตนารมณ์หลัก “NEVER STOP” ที่เป็นดั่ง DNA ขององค์กร ฟูจิฟิล์ม จะไม่หยุดยั้งพัฒนาและสรรค์สร้างโลกที่ดีขึ้นอย่างยั่งยืนสำหรับทุกคน

เผยโฉมแรกของวิดีโอเกมใหม่สุดเอ็กซ์คลูซีฟกับเกมทรานส์ฟอร์เมอร์ส (Transformers) ภายในงาน The Game Awards

Splash Damage ผู้พัฒนาเกมอย่าง Dirty Bomb, Gears Tactics, Wolfenstein: Enemy Territory ได้ประกาศเปิดตัวเกม TRANSFORMERS: REACTIVATE เกมแอคชันออนไลน์ Co-Op แบบ 1-4 ผู้เล่นบนคอมพิวเตอร์ (PC) และเครื่องเล่นคอนโซล (Console) ซึ่งได้รับการพัฒนาร่วมกับฮาสโบร (Hasbro Inc.) ที่พร้อมจะให้ผู้เล่นเปิดประสบการณ์พร้อมสำรวจเรื่องราวบทใหม่ภายในจักรวาลทรานส์ฟอร์เมอร์ส (TRANSFORMERS Universe)

โดยภายในงาน "The Game Awards" ได้มีการเผยเนื้อหาเกมบางส่วนของเกม TRANSFORMERS: REACTIVATE ให้กับแฟน ๆ ที่ตั้งหน้าตั้งตารอคอยกับเรื่องราวภัยคุกคามร้ายแรงที่มาบุกโลกที่จะทำให้โลกใบนี้ไม่ใช่ของพวกเราอีกต่อไป แต่กำลังจะตกอยู่ใต้เงื้อมมือเหล่าตัวร้าย ซึ่งความหวังเดียวที่ยังเหลืออยู่ของเราคือเหล่าออโต้บอท ที่กอบกู้จากเศษซากปรักหักพังที่หลงเหลืออยู่

สามารถรับชมตัวอย่างเกม TRANSFORMERS: REACTIVATE ได้แล้วที่ลิ้งก์  https://www.youtube.com/watch?v=edBK2ZpYY_0

เกม TRANSFORMERS: REACTIVATE จะมาเปิดประสบการณ์ให้ผู้เล่นได้ดื่มด่ำกับจักรวาลทรานส์ฟอร์เมอร์ส (Transformers) อย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน ผู้เล่นสามารถสวมบทบาทเป็นตัวละครที่ชื่นชอบ เพลิดเพลินกับความโดดเด่น แข็งแกร่ง และทรงพลัง รวมทั้งการแปลงร่างจากยานพาหนะไปเป็นหุ่นยนต์ได้อย่างไม่สะดุด ในขณะที่กำลังต่อสู้กับ The Legion ภัยคุกคามที่ยิ่งใหญ่ที่สุดที่เหล่าออโต้บอทเคยเผชิญมา

Richard Jolly ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร Splash Damage กล่าวว่า “พวกเราเติบโตมาพร้อมกับทรานส์ฟอร์เมอร์สรุ่นแรก (G1 TRANSFORMERS) ตั้งแต่ยุค 80 ทำให้มีความรู้สึกผูกพันเป็นพิเศษและยังคงอยู่ในใจพวกเราเสมอมา จึงรู้สึกเป็นเกียรติอย่างยิ่งที่ได้ร่วมงานกับแฟรนไชส์อันเป็นที่รักในครั้งนี้ และรู้ว่าแฟน ๆ ตั้งตารอเกมทรานส์ฟอร์มเมอร์สใหม่บนคอมพิวเตอร์ (PC) และเครื่องเล่นคอนโซล (Console) ซึ่งเราก็พร้อมที่จะมอบประสบการณ์เกมสุดพิเศษเพื่อตอบแทนการรอคอยของพวกเขา”

เกม TRANSFORMERS: REACTIVATE ถือเป็นยุคใหม่ของ Splash Damage ที่ได้รับการพัฒนาและเผยแพร่โดยกลุ่มบริษัทฯ ในลอนดอนโดยเฉพาะ โดยทาง Splash Damage ได้มีการเข้าซื้อบริษัท BULKHEAD พร้อมทั้งพัฒนาเกม TRANSFORMERS: REACTIVATE ร่วมกับ Derby-based Studio โดยมีทีมงานพัฒนาและเผยแพร่ที่แข็งแกร่งมากกว่า 500 คน ซึ่งเกม TRANSFORMERS: REACTIVATE ถือเป็นหนึ่งในหลายเกมดั้งเดิมที่สตูดิโอกำลังพัฒนาอยู่ในขณะนี้

Eugene Evans รองประธานอาวุโสฝ่ายพัฒนาธุรกิจและการออกใบอนุญาตดิจิทัล ฮาสโบร (Hasbro) กล่าวว่า “เหล่าแฟน ๆ ต่างตั้งหน้าตั้งตารอคอยเกมใหม่ล่าสุดที่นำพาพวกเขาเข้าสู่จักรวาลทรานส์ฟอร์มเมอร์ส (Transformers) ซึ่งเราเองก็ตื่นเต้นที่จะได้เผยโฉมแรกของเกมในค่ำคืนที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในวงการเกมในครั้งนี้ ซึ่งทาง Splash Damage มีประสบการณ์ในการทำงานกับเกมลิขสิทธิ์ชื่อดังระดับโลกมามากมายและมีความหลงใหลในการสร้างสรรค์แบรนด์ทรานส์ฟอร์มเมอร์ส (Transformers) เป็นอย่างยิ่ง เรามั่นใจว่าเกม TRANSFORMERS: REACTIVATE จะได้รับความนิยมอย่างมากจากแฟน ๆ ทรานส์ฟอร์มเมอร์ส โดยพร้อมที่จะสานต่อกลยุทธ์ Hasbro Blueprint 2.0 ในการสร้างสรรค์ความบันเทิงของแบรนด์ชั้นนำในหมวดหมู่และแพลตฟอร์มที่หลากหลาย รวมถึงวิดีโอเกม”

เกม TRANSFORMERS: REACTIVATE สามารถเล่นบนคอมพิวเตอร์และเครื่องเล่นคอนโซล ด้วยการเปิดให้ผู้เล่นสามารถเข้ามาทดลองเล่นเกมได้ในปี 2566 โดยสามารถลงทะเบียนได้แล้วที่ www.playTFR.com  เพื่อติดตามข้อมูลอัปเดตในอนาคต

สามารถติดตามข้อมูลอัปเดตเพิ่มเติมในปีหน้าได้แล้ว ผ่านช่องทางโซเชียลอย่างเป็นทางการดังนี้ · Facebook · Instagram · Twitter · TikTok 

นายอบิจิต ดัดต้า (ที่ 3 จากซ้าย) กรรมการผู้จัดการ บริษัท เอสซีจี อินเตอร์เนชั่นแนล คอร์ปอเรชั่น จำกัด ในธุรกิจซีเมนต์และผลิตภัณฑ์ก่อสร้าง เอสซีจี และคุณ Naresh Saboo (ที่ 2 จากซ้าย) MD & Director บริษัท Big Bloc Construction Limited ผู้นำในตลาดอุตสาหกรรมก่อสร้างการผลิตอิฐมวลเบา ประเทศอินเดีย ร่วมแถลงข่าวความสำเร็จในการจัดหาที่ดิน เพื่อตั้งโรงงานผลิตอิฐมวลเบาและแผ่นผนังมวลเบารองรับกำลังการผลิตจำนวน 3 แสนลูกบาศก์เมตรในรัฐคุชราต ประเทศอินเดีย และคาดว่าจะเริ่มการผลิตสินค้าเข้าสู่ตลาดได้ในปี 2566

เอสซีจีประสบความสำเร็จในการเข้าไปดำเนินธุรกิจในประเทศอินเดียด้วยการทำตลาดภายใต้แบรนด์ “Zmartbuild” ซึ่งนำเสนอสินค้าและโซลูชันเกี่ยวกับการก่อสร้างที่หลากหลาย ตรงใจผู้บริโภค การร่วมทุนในครั้งนี้จึงเป็นอีกหนึ่งก้าวสำคัญที่จะช่วยยกระดับอุตสาหกรรมก่อสร้างของอินเดียให้ดีขึ้น โดย BCL Group จะมีกำลังการผลิตเพิ่มขึ้นเป็น 1.375 ล้านลูกบาศก์เมตรต่อปี ซึ่งสูงที่สุดในภาคตะวันตกของอินเดีย สร้างรายได้มูลค่ากว่า 125 ล้านรูปีต่อปี

กระทรวงดิจิทัลฯ ผนึกกำลังแบงก์กรุงไทย เพิ่มช่องทางแจ้งเตือนภัยจากการหลอกลวงทางสื่อออนไลน์และข่าวปลอมที่เกี่ยวกับอาชญากรรมทางการเงินผ่านแอป “เป๋าตัง” เพิ่มสปีดในการเข้าถึงประชาชนมากกว่า 40 ล้านคน เพื่อป้องกันและลดความสูญเสียก่อนตกเป็นเหยื่อมิจฉาชีพออนไลน์

 ศาสตราจารย์พิเศษวิศิษฏ์ วิศิษฏ์สรอรรถ ปลัดกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม (ดีอีเอส) และนายผยง ศรีวณิช กรรมการผู้จัดการใหญ่ ธนาคารกรุงไทย จำกัด (มหาชน) ได้ร่วมลงนามบันทึกข้อตกลงความร่วมมือ “การบูรณาการบริการสร้างความตระหนักรู้เกี่ยวกับปัญหาการหลอกลวงทางสื่อออนไลน์ และการแจ้งเตือนภัยจากการหลอกลวงทางสื่อออนไลน์และข่าวปลอมแก่ประชาชนผ่านแอปพลิเคชัน “เป๋าตัง”

ศาสตราจารย์พิเศษวิศิษฏ์ วิศิษฏ์สรอรรถ ปลัดกระทรวงดิจิทัลฯ กล่าวว่า ความร่วมมือครั้งนี้ เกิดจากเจตนารมณ์ร่วมกันในการเสริมสร้างภูมิคุ้มกันให้กับประชาชน เผยแพร่ข้อมูลข่าวสารที่ถูกต้องต่อประชาชนและสาธารณชน ผ่านแอป “เป๋าตัง” ซึ่งบริหารจัดการโดยธนาคารกรุงไทย และปัจจุบันมีผู้ใช้งานมากกว่า 40 ล้านคน โดยจะเป็นอีกช่องทางหนึ่งในการสร้างความตระหนักรู้เท่าทันการหลอกลวงทางออนไลน์ และข่าวปลอม เพื่อป้องกันและยับยั้งก่อนเกิดปัญหาการถูกหลอกลวง ลดความสูญเสียของประชาชนในการตกเป็นเหยื่อของมิจฉาชีพออนไลน์

ด้านรูปแบบความร่วมมือ จะมีการพัฒนาระบบเพื่อเชื่อมโยงข้อมูลให้บริการข้อมูลจากฐานข้อมูล ข่าวปลอม ของศูนย์ต่อต้านข่าวปลอม (AFNC) ที่ดำเนินงานโดยกระทรวงดิจิทัลฯ ไปยังแอปพลิเคชันเป๋าตัง เพื่อให้มีการเผยแพร่การแจ้งเตือนภัยจากการหลอกลวงที่เกี่ยวข้องกับการฉ้อโกงทางการเงิน หรืออาชญากรรมทางการเงิน (Financial Fraud) ในรูปแบบต่าง ๆ ทั้งทางออนไลน์และข่าวปลอมแก่ประชาชน เพื่อให้รับทราบทันต่อสถานการณ์อยู่เสมอ

“แอปเป๋าตัง จะเป็นอีกช่องทางที่ช่วยเผยแพร่ข้อมูลข้อเท็จจริง ที่ผ่านการตรวจสอบยืนยันจากหน่วยงานภาครัฐแล้ว ในรูปแบบการแจ้งเตือนภัยจากการหลอกลวงทางสื่อออนไลน์และข่าวปลอมที่เกี่ยวข้องกับการฉ้อโกงทางการเงิน หรืออาชญากรรมทางการเงิน (Financial Fraud) ให้ทันต่อสถานการณ์และรูปแบบการหลอกลวงที่เปลี่ยนแปลงไป เพื่อให้ประชาชนมีความรู้เท่าทันและสามารถรับมือกับการหลอกลวงรูปแบบใหม่ที่ทวีความซับซ้อน และก่อความเสียหายรุนแรงเป็นอย่างมากในปัจจุบัน” ศาสตราจารย์พิเศษวิศิษฏ์กล่าว

นายผยง ศรีวณิช กรรมการผู้จัดการใหญ่ ธนาคารกรุงไทย กล่าวว่า ธนาคารกรุงไทย ในฐานะธนาคารพาณิชย์ของรัฐ มุ่งมั่นพัฒนาผลิตภัณฑ์และบริการทางการเงินเพื่อตอบโจทย์ลูกค้าทุกกลุ่ม ควบคู่กับการส่งเสริมความรู้ทางการเงินให้กับประชาชนอย่างต่อเนื่อง ซึ่งเป็นพื้นฐานสำคัญในการป้องกันภัยทางการเงินในทุกรูปแบบ ทั้งภัยทางไซเบอร์ กลโกงทางการเงิน รวมถึงการสร้างข่าวปลอม (Fake News) เพื่อหลอกหลวงประชาชนให้ข้อมูลส่วนตัว โดยล่าสุด ธนาคารได้ร่วมกับกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม เพื่อเผยแพร่ข้อมูลจากศูนย์ต่อต้านข่าวปลอม (AFNC) ที่ดำเนินงานโดยกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม บนแอปพลิเคชัน "เป๋าตัง" ซึ่งเป็น Thailand Open Digital Banking ที่คนไทยคุ้นเคย มีจำนวนผู้ใช้งานมากกว่า 40 ล้านคน เพื่อให้ประชาชนได้ข้อมูลข่าวสารทางการเงินที่ถูกต้อง พร้อมแจ้งเตือนภัยกลโกง หรืออาชญากรรมทางการเงิน (Financial Fraud) ในรูปแบบต่าง ๆ ให้ประชาชนรู้เท่าทันกลโกง และไม่ตกเป็นเหยื่อของมิจฉาชีพ

ปัจจุบันมิจฉาชีพได้อาศัยเทคโนโลยี เป็นช่องทางแสวงหาประโยชน์ในทางที่มิชอบในทุกรูปแบบ และมีการปรับเปลี่ยนวิธีการไปตามยุคสมัย ทั้งภัยทางไซเบอร์ กลโกงทางเงิน เพื่อหลอกลวงให้ประชาชนเปิดเผยข้อมูลส่วนตัว และข้อมูลทางการเงินที่สำคัญ แม้ว่าทุกภาคส่วนที่เกี่ยวข้อง ทั้งภาครัฐและเอกชน จะร่วมมือกันเต็มกำลังเพื่อป้องกันระวังภัยดังกล่าว แต่ยังมีเหยื่อถูกหลอกลวงอย่างต่อเนื่อง ส่วนหนึ่งเป็นเพราะมีการสร้างข่าวปลอม (Fake News) บิดเบือนข้อเท็จจริง สร้างความเข้าใจผิด หลอกให้ประชาชนหลงเชื่อ ดังนั้น การให้ความรู้ทางการเงินกับประชาชนอย่างทั่วถึง จึงเป็นพื้นฐานสำคัญในการสร้างเกราะป้องกันภัยให้กับประชาชนทุกกลุ่ม ความร่วมมือในครั้งนี้ จะมีส่วนช่วยสร้างเกราะป้องกันภัยทางการเงินให้กับประชาชนทุกกลุ่ม และหวังเป็นอย่างยิ่งว่าธนาคารกรุงไทย และกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม จะมีความร่วมมือในการนำเทคโนโลยีสมัยใหม่ช่วยยกระดับคุณภาพชีวิตคนไทยให้ดียิ่งขึ้น ตามวิสัยทัศน์ “กรุงไทย เคียงข้างไทย สู่ความยั่งยืน” 

สำหรับความร่วมมือระหว่างกระทรวงดิจิทัลฯ และธนาคารกรุงไทยครั้งนี้ เพื่อให้บรรลุภารกิจตามยุทธศาสตร์ชาติที่มุ่งเน้นการพัฒนาระบบการบริการประชาชน เพิ่มประสิทธิภาพบริการภาครัฐให้เป็นไปอย่างทั่วถึงและไร้รอยต่อ รวมถึงการนำเทคโนโลยีสมัยใหม่มาใช้เพิ่มประสิทธิภาพในการนำข้อมูลดิจิทัลไปใช้ประโยชน์ เพื่อขับเคลื่อนกลไกการสร้างความเชื่อมั่นทางเศรษฐกิจ และการรักษาความมั่นคงปลอดภัยในชีวิตและทรัพย์สินของประชาชนอย่างยั่งยืน ธนาคารกรุงไทย ธนาคารกรุงไทยมีเจตนารมณ์ที่จะนำเสนอและเสริมสร้างภูมิคุ้มกันให้กับประชาชน เพื่อสร้างความตระหนักรู้ต่อปัญหาการหลอกลวงข้อมูลทางสื่อออนไลน์ โดยมีการบูรณาการการสร้างการตระหนักรู้ และเผยแพร่ข้อมูลข่าวสารที่ถูกต้องให้กับประชาชนมาอย่างต่อเนื่อง โดยในครั้งนี้ได้รับความร่วมมือจากกระทรวงดิจิทัลฯ ในการเผยแพร่ข้อมูลข่าวสารให้กับประชาชนอย่างถูกต้อง เพื่อเป็นการป้องกันและยับยั้งก่อนการเกิดปัญหา ที่เราพบเห็นกันอยู่ในปัจจุบันอย่างแพร่หลาย โดยในครั้งนี้เราได้พัฒนาการแจ้งเตือนข่าวผ่านแอปพลิเคชั่นเป๋าตัง ที่มีผู้ใช้งานกว่า 40 ล้านคน โดยเป็นการเชื่อมโยงและแลกเปลี่ยนข้อมูลกับฐานข้อมูลข่าวปลอมของศูนย์ต่อต้านข่าวปลอมประเทศไทย (Anti Fake News Center Thailand :AFNC) ที่ทางกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคมมีการเผยแพร่เป็นการแจ้งเตือนภัยจากการหลอกหลวงฉ้อโกงทางการเงินหรืออาชญากรรมทางการเงินในรูปแบบต่างๆ ทั้งทางออนไลน์และข่าวปลอมต่างๆอย่างเสมอ เพื่อลดการสูญเสียและไม่ตกเป็นเหยื่อของมิจฉาชีพ และเพื่อเป็นการสร้างประโยชน์ให้กับภาคประชาชนในการนำข้อมูลดิจิทัลไปใช้ในการขับเคลื่อนกลไกลต่างๆ ในการสร้างความเชื่อมั่นในด้านความมั่นคง ความปลอดภัยทั้งทางทรัพย์สิน สังคม และความยั่งยื่นต่อไปในอนาคต โดยในการดำเนินการในครั้งนี้ ธนาคารกรุงไทยจะไม่หยุดนิ่ง ที่จะพัฒนาแอปพลิชั่นเป๋าตังนี้ต่อไป

บมจ.กรุงไทย-แอกซ่า ประกันชีวิต ขอเชิญชวนเยาวชนไทยอายุระหว่าง 13-15 ปี ที่มีใจรักในกีฬาฟุตบอล เข้าร่วมโครงการ “KTAXA Know You Can Football Youth (U-15) Academy ปีที่ 3 (สนามภาคเหนือ)” เพื่อชิงทุนการศึกษา รางวัลละ 5,000 บาท และ Gift Voucher อุปกรณ์กีฬา มูลค่า 8,000 บาท โดยกิจกรรมสนามแรกจะจัดขึ้นในวันที่ 17 ธันวาคม 2565 ณ สนามกีฬาสมโภชเชียงใหม่ 700 ปี จังหวัดเชียงใหม่ โดยโครงการดังกล่าวเป็นส่วนหนึ่งในการยกระดับทักษะฟุตบอลเยาวชนไทยสู่มาตราฐานสากล และสร้างความตระหนักรู้ถึงความสำคัญของการมีสุขภาพที่ดีผ่านการออกกำลังกาย อีกทั้งบริษัทฯ ยังคงพร้อมจะอยู่เคียงข้างทุกความเชื่อมั่นของเยาวชนไทย และมอบโอกาสในการพัฒนาทักษะเพื่อสามารถก้าวเดินตามความฝันได้สำเร็จ

สำหรับผู้ที่สนใจสามารถสอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ โทร 095-347-1888 หรือ โทร 1159 ทุกวัน ตลอด 24 ชั่วโมง

ฯพณฯ มร. โจนาธาน คิงส์ (กลาง) เอกอัครราชทูตนิวซีแลนด์ประจำประเทศไทย ประธานเปิดงาน “การศึกษานิวซีแลนด์” (New Zealand Education Fair 2022) ให้เกียรติเยี่ยมชมบูธเคทีซีโดยมีนางสาวพัทธ์ธีรา อนันต์โชติพัชร (ซ้าย) ผู้บริหาร KTC World Travel Service “เคทีซี” หรือ บริษัท บัตรกรุงไทย จำกัด (มหาชน) ให้การตอนรับร่วมด้วย นางสาวช่อทิพย์ ประมูลผล (ขวา) ผู้อำนวยการ ประจำประเทศไทยและฟิลิปปินส์ หน่วยงานการศึกษานิวซีแลนด์ สถานทูตนิวซีแลนด์ ประจำประเทศไทย ณ สามย่าน มิตรทาวน์

นางสาวพัทธ์ธีรา กล่าวว่า “เคทีซีเป็นองค์กรแห่งการเรียนรู้ที่สนับสนุนการสร้างโอกาสทางการศึกษามาตลอด ซึ่งหนึ่งในนั้นคือการพัฒนาด้านภาษาต่างประเทศ โดยเฉพาะประเทศนิวซีแลนด์เป็นประเทศอันดับต้นๆของโลกในด้านคุณภาพชีวิตและการศึกษา การได้ร่วมกับการศึกษานิวซีแลนด์ถือเป็นความร่วมมือที่จะมอบสิทธิประโยชน์ให้กับสมาชิกบัตรเครดิตเคทีซีที่สนใจส่งบุตรหลานไปศึกษาภาษาอังกฤษต่อที่ประเทศนิวซีแลนด์ จะได้รับสิทธิพิเศษเมื่อชำระค่าเล่าเรียนกับตัวแทนสถาบันการศึกษาที่ร่วมโครงการฯ จะได้รับคะแนน KTC FOREVER X 4” สำหรับข้อมูลการเรียนภาษาอังกฤษต่อ ดูรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ www.learnenglishnewzealand.com หรือ LINE Official @nezenlish ตั้งแต่วันที่16 พฤษภาคม 2565 - 30 เมษายน 2566”ทั้งนี้ เคทีซียังมีข้อเสนอพิเศษให้นักเรียนรับสิทธิ์จองตั๋วเครื่องบินเส้นทางนิวซีแลนด์ราคาพิเศษที่ “KTC WORLD” บริการข้อมูลการเดินทางและท่องเที่ยวทุกวันตลอด 24 ชั่วโมง โทร. 02 123 5050 เว็บไซต์ www.ktc.co.th/ktcworld สมัครบัตรเครดิตได้ที่ศูนย์บริการสมาชิก “เคทีซี ทัช” ทุกสาขาทั่วประเทศ หรือคลิก: https://ktc.today/apply-card

จีนกำลังจะเปิดเมือง!

จีนมีแนวโน้มให้ความสำคัญกับการฟื้นตัวของเศรษฐกิจมากขึ้น แม้การออกจากนโยบาย ‘โควิดเป็นศูนย์’ในช่วงแรกค่อนข้างล่าช้า แต่การส่งสัญญาณจากรัฐบาลจีนว่าให้ความสำคัญกับการฟื้นตัวของเศรษฐกิจและจะควบคุมการระบาดโดยให้มีผลกระทบต่อเศรษฐกิจน้อยที่สุด คือ ก้าวแรกและก้าวสำคัญที่ชี้ว่าในปี 2023 จีนกำลังจะเปิดเมืองหลังจากที่บังคับใช้นโยบายโควิดเป็นศูนย์อย่างเข้มงวดในช่วงที่ผ่านมา KKP Research ประเมินว่าการหากจีนสามารถเปิดเมืองได้เต็มที่ในปีหน้าจะส่งผลกระทบอย่างมากต่อเศรษฐกิจ โดยเฉพาะในเรื่องของราคาสินค้าโภคภัณฑ์และความผันผวนที่จะเพิ่มขึ้น

การเปิดเมืองจะล่าช้าในช่วงแรก เนื่องจาก

1) อัตราการฉีดวัคซีนที่ต่ำจะยังกดดันระบบสาธารณะสุขจีน ในวันที่อัตราการฉีดวัคซีนในจีนยังไม่แพร่หลายโดยเฉพาะในกลุ่มผู้สูงอายุและวัคซีนจีนเองยังถูกตั้งคำถามถึงประสิทธิภาพ การผ่อนคลายมาตรการควบคุมการระบาดของจีนทั้งหมดอาจทำให้จำนวนผู้ติดเชื้อเพิ่มขึ้นในระดับที่ระบบสาธารณะสุขรับไม่ไหว จนมีผู้เสียชีวิตเป็นจำนวนมากได้ และอาจสร้างแรงกดดันให้รัฐบาลอาจต้องกลับไปล็อคดาวน์หนักอีกครั้ง ดังนั้น ภาครัฐมีแนวโน้มจึงผ่อนคลายมาตรการแบบค่อยเป็นไป

2) เงินเฟ้อที่จะสูงขึ้นเร็วอาจเพิ่มแรงกดดันในการทำนโยบายภาครัฐ การเปิดเมืองจะทำให้อัตราเงินเฟ้อที่ในปัจจุบันอยู่ที่ 2% มีความเสี่ยงเร่งตัวสูงขึ้นได้มาก โดยมีสาเหตุจากอุปสงค์ที่อั้นมาเป็นเวลานานในช่วงที่มีการล็อคดาวน์ (pent-up demand) กลับมาขยายตัวอย่างรวดเร็ว ในขณะที่ปัจจัยการผลิต (เช่น แรงงานในภาคบริการหรือโรงงานที่ถูกปิดตัวไป) ไม่สามารถกลับมาได้เร็วเท่า แรงกดดันเงินเฟ้อที่เพิ่มขึ้นขึ้นอาจกดดันให้ธนาคารกลางจีนต้องขึ้นอัตราเบี้ยและถอนสภาพคล่องออกจากระบบ แต่ก็จะเพิ่มความเสี่ยงการผิดนัดชำระหนี้ของบริษัทอสังหาฯ โดยจะทำให้การเข้าถึงสภาพคล่องของบริษัทอสังหาฯ จีนทำได้ยากขึ้น ดังนั้นการผ่อนคลายมาตรการควบคุมการระบาดจึงมีแนวโน้มค่อยเป็นค่อยไปโดยจีนจะมีนโยบายสนับสนุนการขยายตัวของอุปทานไปด้วยเพื่อลดแรงกดดันต่อเงินเฟ้อ

การฟื้นตัวของเศรษฐกิจจีนเผชิญกับหลายอุปสรรคในระยะสั้น

ภาคการบริโภคของจีนจะหดตัวในระยะสั้นแม้ว่าจีนจะเริ่มคลายมาตรการโควิดแล้วก็ตาม เนื่องจากจำนวนผู้ติดเชื้อและผู้เสียชีวิตที่เพิ่มขึ้นจะบั่นทอนความมั่นใจของผู้บริโภคในขณะที่ภาคอสังหาริมทรัพย์ในจีนกำลังชะลอตัว ซึ่งจะทำให้เศรษฐกิจจีนยังไม่สามารถฟื้นตัวได้ในครึ่งแรกของปี 2023 อย่างไรก็ตามภาคการบริโภคจะฟื้นตัวได้ดีขึ้นเมื่อตัวเลขผู้ติดเชื้อเริ่มผ่านจุดสูงสุดและผู้คนมีความคุ้นชินและเรียนรู้ที่จะอยู่กับไวรัสมากยิ่งขึ้นซึ่งอาจเกิดขึ้นในช่วงครึ่งหลังของปีหน้า

ราคาพลังงานโลกอาจพุ่งสูงขึ้นเมื่อจีนเปิดเมือง

ผลกระทบที่สำคัญของการหลังจีนเปิดเมือง คือ ราคาพลังงานและสินค้าโภคภัณฑ์จะเพิ่มสูงขึ้น แม้ว่าราคาน้ำมันดิบจะปรับลดลงในช่วงที่ผ่านมาจากจุดสูงสุดแต่ราคายังค้างอยู่ในระดับที่สูงกว่าก่อนการระบาดโดยที่จีนยังไม่ได้เปิดเมืองด้วยซ้ำ วิกฤตราคาพลังงานสูงจากการตัดขาดอุปทานพลังงานจากรัสเซียที่ยังไม่สิ้นสุด การเปิดประเทศของจีนจะทำให้เกิดการนำเข้าน้ำมันในปริมาณที่เพิ่มขึ้นมากและจะเป็นปัจจัยที่ทำให้ราคาน้ำมันดิบมีความเสี่ยงที่จะพุ่งสูงขึ้นอีกได้ในปีหน้า

ประเด็นที่น่ากังวลยิ่งกว่า คือ ราคาของผลิตภัณฑ์ปิโตรเลียมที่ผ่านกระบวนการกลั่นเรียบร้อยแล้วเช่น ราคาน้ำมันดีเซลอาจพุ่งสูงขึ้นในอัตราที่รวดเร็วกว่าราคาน้ำมันดิบจากทั้งเรื่องน้ำมันสำรองของหลายประเทศที่ลดลงมาอยู่ในระดับต่ำมากในปีนี้รวมไปถึงกำลังการกลั่นที่ฟื้นตัวได้ค่อนข้างช้าหลังโควิด แม้ว่ากำลังการกลั่นในจีนจะเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องในช่วงหลายปีที่ผ่านมาแต่หากจีนยังคงจำกัดการส่งออกปิโตรเลียมต่อไปในขณะที่จีนเริ่มเปิดเมืองจะเป็นปัจจัยสำคัญที่ทำให้ราคาพลังงานอาจไม่ลดลงได้แม้เศรษฐกิจในภูมิภาคจะเริ่มชะลอตัวลง

การส่งออกของประเทศแถบเอเชียอาจยังชะลออยู่แม้ว่าเศรษฐกิจจีนจะฟื้นตัว

หากจีนสามารถเปิดเศรษฐกิจได้เต็มที่จริงจะเป็นปัจจัยบวกต่อการเติบโตของเศรษฐกิจโลก โดยเฉพาะภาคการส่งออกโลกในแถบเอเชียที่มีการส่งออกสินค้าไปจีนติดลบในช่วงที่ผ่านมา โดยประเทศที่คาดว่าจะได้ประโยชน์คือ 1) ประเทศที่เป็นผู้ส่งออกสินค้าโภคภัณฑ์ได้แก่ อินโดนีเซีย มาเลเซีย ออสเตรเลีย 2) ประเทศที่มีการพึ่งพาภาคการบริโภคในจีนสูงได้แก่ ฮ่องกง 3) ประเทศที่มีสัดส่วนนักท่องเที่ยวจีนสูงได้แก่ ไทย ญี่ปุ่น เกาหลีใต้

อย่างไรก็ตาม การที่อุปสงค์ในจีนกลับมาฟื้นตัวดีอีกครั้งไม่ได้แปลว่าภาคการส่งออกของไทยและประเทศอื่นๆจะขยายตัวได้ดีในช่วงปีหน้า เพราะในขณะที่จีนกำลังจะฟื้นตัว เศรษฐกิจโลกกำลังชะลอตัวและอาจจะเข้าสู่ภาวะถดถอย โดยการส่งออกโดยรวมยังมีแนวโน้มชะลอตัวเนื่องจากอุปสงค์ที่มาจากเศรษฐกิจสหรัฐฯ ยุโรปและสหราชอาณาจักรมีสัดส่วนรวมกันมากกว่าอุปสงค์ที่มาจากจีน

4 ความผันผวนที่จะสูงขึ้นในปี 2023

KKP Research ประเมินว่าแนวโน้มการเปิดเมืองของจีนในครั้งนี้จะเป็นปัจจัยที่จะสร้างความผันผวนต่อเศรษฐกิจไทยเพิ่มเติม โดยปัจจัยที่สำคัญในปีหน้า คือ

1) ความผันผวนต่ออัตราเงินเฟ้อ อัตราเงินเฟ้ออาจเพิ่มขึ้นได้จากราคาสินค้าโภคภัณฑ์ที่เร่งตัวขึ้นหลังการเปิดเมือง นอกจากนี้หากราคาพลังงานเร่งตัวขึ้น อาจเกิดการส่งผ่านต้นทุนพลังงานไปยังราคาสินค้าหมวดอื่นที่เพิ่มขึ้นมากกว่าในช่วงที่ผ่านมา เพราะ เงินเฟ้อที่อยู่ในระดับสูงได้ถูกฝังเข้าไปในการคาดการณ์ของผู้ผลิต

2) ความผันผวนต่อสถานะทางการคลัง หากราคาน้ำมันหน้าโรงกลั่นโดยเฉพาะราคาน้ำมันดีเซลเพิ่มขึ้นจาก pent-up demand ในจีนที่จะทำให้ภาระต้นทุนของรัฐบาลในการพยุงกองทุนน้ำมันที่กำลังขาดทุนอยู่และตรึงราคาไว้ที่ 34.99 บาทต่อลิตรเพิ่มขึ้นเช่นกันซึ่งจะเพิ่มความเสี่ยงทำให้สัดส่วนหนี้สาธารณะต่อจีดีพีสูงขึ้นกว่าที่คาด

3) ความผันผวนต่อค่าเงินบาท ราคาน้ำมันดิบและสินค้าโภคภัณฑ์ที่พิ่มขึ้นจะทำให้มูลค่าการนำเข้าพลังงานของไทยเพิ่มขึ้นซึ่งจะเป็นปัจจัยที่ทำให้ดุลการค้าขาดดุลมากขึ้นและกดดันให้เงินบาทอ่อนค่าลง อย่างไรก็ตามปัจจัยบวกจาก

จีนที่จะมาช่วยพยุงการส่งออกไทยบางส่วนรวมไปถึงนักท่องเที่ยวจีนที่อาจจะกลับมามากกว่าที่หลายคนคาดในปีหน้าจะเป็นปัจจัยที่ทำให้ดุลบัญชีเดินสะพัดเกินดุลมากขึ้น

4) ความผันผวนต่ออัตราดอกเบี้ย หากเงินเฟ้อค้างอยู่ในระดับสูงและได้รับแรงสนับสนุนจากราคาพลังงานที่เพิ่มขึ้นอาจทำให้อัตราดอกเบี้ยสูงสุดในสหรัฐ ฯ (Terminal Fed Fund Rate) สูงเกินกว่าที่ตลาดคาดที่ 5% ในช่วงกลางปีหน้า ในสถานการณ์นี้นโยบายการเงินไทยจะได้รับแรงกดดันให้ต้องปรับดอกเบี้ยสูงมากขึ้นจากส่วนต่างอัตราดอกเบี้ยระหว่างไทยและสหรัฐฯ ที่กว้างขึ้น ในขณะที่ราคาพลังงานจะเป็นอีกความเสี่ยงสำคัญที่ทำให้อัตราเงินเฟ้อไทยค้างอยู่ในระดับที่สูงกว่ากรอบเป้าหมายของธนาคารแห่งประเทศไทย

เศรษฐกิจจีนหลังโควิดคือความเสี่ยงต่อเศรษฐกิจไทยในระยะยาว

เศรษฐกิจจีนอาจไม่กลับไปเติบโตแบบในอดีตจากความท้าท้ายหลายประการได้แก่ 1) จำนวนประชากรโดยรวมและประชากรวัยทำงานที่กำลังหดตัว 2) ปริมาณหนี้ขนาดใหญ่ที่สะสมมาอย่างต่อเนื่องในภาคธุรกิจและภาคครัวเรือน 3) ความเหลื่อมล้ำทางรายได้และการผูกขาดทางเศรษฐกิจ ปัจจัยเหล่านี้ทำให้เศรษฐกิจจีนมีแนวโน้มชะลอตัวลงในระยะยาวแม้ว่าในระยะสั้นอาจฟื้นตัวได้ดีหลังการเปิดเมือง ประเด็นที่สำคัญคือ หากเศรษฐกิจจีนไม่กลับไปเติบโตเหมือนในช่วงก่อนโควิด-19 ผลกระทบสืบเนื่องที่อาจเกิดขึ้นต่อเศรษฐกิจไทยคือ

1) อุตสาหกรรมที่เน้นการส่งออกเพื่อการลงทุนและภาคการบริโภคของจีนจะได้รับผลกระทบด้านลบสูงจากการชะลอตัวในระยะยาวของเศรษฐกิจจีน

2) FDI จากจีนบางส่วนที่มีความสำคัญโดยเฉพาะในภาคอุตสาหกรรมที่เกี่ยวข้องกับโครงสร้างการค้าของไทยและจีนอาจชะลอตัวลง

3) จำนวนนักท่องเที่ยวจากจีนมายังไทยอาจลดลงในระยะยาวและไม่กลับไปยังระดับ 11 ล้านคนก่อนที่การระบาดของโควิด-19 จะเกิดขึ้น

 Cr: ศูนย์วิเคราะห์เศรษฐกิจ  KKP

X

Right Click

No right click