December 15, 2025

ในโลกของสังคมไร้เงินสดในปัจจุบันนี้ เราสามารถใช้จ่ายได้อย่างสะดวกสบายมากขึ้นด้วยแอปพลิเคชั่นและบัตรใบเดียว สำหรับการเดินทางด้วยขนส่งสาธารณะประเภทต่าง ๆ และรถไฟฟ้าก็สะดวกสบายไม่แพ้กัน เพียงแค่มีบัตรเครดิตหรือบัตรเดบิต ที่เป็นบัตร EMV Contactless ก็สามารถแตะจ่ายค่าโดยสารได้ในทันที ดังเช่น ที่รถไฟฟ้า MRT สายสีน้ำเงินและสายสีม่วง ที่ บริษัท ทางด่วนและรถไฟฟ้ากรุงเทพ จำกัด (มหาชน) หรือ BEM ได้เพิ่มความสะดวกสบายให้กับผู้โดยสารด้วยช่องทางการชำระค่าโดยสารด้วยบัตรเครดิต Visa / Mastercard ของทุกธนาคารและบัตรเดบิตของธนาคารกรุงไทยและยูโอบี และเพื่อให้ทุกท่านได้แตะจ่ายและเดินทางได้อย่างสะดวก รวดเร็วมากยิ่งขึ้น

 

BEM ได้รวบรวม 5 ข้อต้องรู้สำหรับการเดินทางด้วยบัตร EMV มาให้แล้ว

· บัตรเครดิต/เดบิตที่จะใช้เดินทางต้องมีสัญลักษณ์ Contactless หรือสัญลักษณ์ WIFI แนวนอน

· ผู้โดยสารควรยืนหลังเส้นสีเหลืองบริเวณประตูจัดเก็บค่าโดยสารอัตโนมัติเมื่อแตะบัตร

· บริเวณจุดแตะบัตรจะอยู่ด้านบนของประตูจัดเก็บค่าโดยสารอัตโนมัติ ซึ่งมีสัญลักษณ์ Contactless ที่คล้ายสัญญาณ WIFI ในแนวนอน

· ใช้บัตรเครดิตหรือบัตรเดบิต 1 คน 1 ใบ ตลอดการเดินทาง และแตะเข้า-ออกระบบที่ประตูจัดเก็บค่าโดยสารอัตโนมัติด้วยบัตรใบเดียวกัน

· หากผู้โดยสารอยู่ในสถานีนานเกินกว่าเวลาที่กำหนด หรือไม่มีการแตะบัตรออกจากสถานี ระบบจะคำนวณค่าโดยสารตามอัตราสูงสุดในขณะนั้น

 

สำหรับบัตรเครดิต / บัตรเดบิต EMV Contactless ได้รับการพัฒนาด้วยเทคโนโลยีเพื่อเพิ่มความปลอดภัยสูงสุด ป้องกันการโจรกรรมข้อมูลบัตรเครดิต โดยชิปที่ใช้ในบัตรจะเป็นการสร้างรหัสการทำธุรกรรมในการชำระเงินที่ไม่ซ้ำกัน ช่วยลดโอกาสในการปลอมแปลงบัตรและการขโมยเลขบัตรไปใช้ และนอกจากบัตรเครดิตหรือบัตรเดบิตแล้ว ผู้โดยสารยังสามารถใช้บัตรพรีเพด (Prepaid Card) หรือบัตรทราเวลการ์ด (Travel Card) ที่มีสัญลักษณ์ Contactless เพื่อเข้า-ออกระบบรถไฟฟ้า MRT ได้เช่นเดียวกัน ความสะดวกสบายของระบบการชำระเงินเหล่านี้ จะช่วยยกระดับไลฟ์สไตล์ของผู้โดยสารในเมืองง่ายขึ้น สะดวกขึ้น ภายใต้มาตรฐานความปลอดภัยที่เชื่อถือได้

สอบถามข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับการเดินทางด้วยรถไฟฟ้าสายสีน้ำเงินและสีม่วงได้ที่ศูนย์บริการข้อมูล โทร. 0 2624 5200 หรือติดตามทางช่องทาง Facebook (เฟซบุ๊ก) และ X (เอ็กซ์) : BEM Bangkok Expressway and Metro / Instagram (อินสตาแกรม) : mrt_bangkok และ Mobile Application (โมบายแอปพลิเคชัน) : Bangkok MRT

บริษัท อิชิตัน กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) หรือ ICHI จัดประชุมสามัญผู้ถือหุ้นประจำปี 2567 ผ่านสื่ออิเล็กทรอนิกส์ (E-AGM) โดยที่ประชุมผู้ถือหุ้นผ่านการอนุมัติทุกวาระตามมติที่คณะกรรมการเสนอ พร้อมทั้งอนุมัติการจ่ายเงินปันผลประจำปี 2566 ในอัตราหุ้นละ 1.00 บาท ซึ่งได้จ่ายเงินปันผลระหว่างกาลไปแล้วสำหรับงวดวันที่ 1 มกราคม – 30 กันยายน 2566 ในอัตราหุ้นละ 0.50 บาท คงเหลือเงินปันผลจ่ายสำหรับงวดวันที่ 1 ตุลาคม – 31 ธันวาคม 2566 ในอัตราหุ้นละ 0.50 บาท โดยจ่ายจากกำไรสุทธิและกำไรสะสม กำหนดจ่ายเงินปันผลในวันที่ 10 พฤษภาคมนี้

พร้อมทั้ง อนุมัติการแต่งตั้งกรรมการอิสระท่านใหม่ แทนกรรมการอิสระที่พ้นจากตำแหน่งตามวาระจำนวน 2 ท่าน คือ นายสรกล อดุลยานนท์ และนางสาวเพชรชมพู เทพพิพิธ ซึ่งเป็นบุคคลผู้ที่มีความเหมาะสม มีประสบการณ์ความรู้ความสามารถในอุตสาหกรรมอาหารและเครื่องดื่มเป็นอย่างดี สอดคล้องตามหลักกำกับดูแลกิจการที่ดีของบริษัทจดทะเบียนไทย

ด้าน ตัน ภาสกรนที กรรมการผู้อำนวยการ กล่าวว่า “ขอขอบคุณทุกความเชื่อมั่นจากท่านผู้ถือหุ้นที่ไว้วางใจตลอดมา สำหรับการดำเนินธุรกิจในปี 2567 อิชิตันวางเป้าหมายรายได้แตะ 9,000 ล้านบาท คาดบันทึกสถิติสูงสุดใหม่ต่อเนื่อง โดยเริ่มเดินหน้าบุกตลาดตั้งแต่ไตรมาส 1 มีแนวโน้มทำได้ดีมาก รับอากาศร้อนช่วงซัมเมอร์ รวมทั้งส่งเครื่องดื่มใหม่ในกลุ่ม Non-Tea เพื่อขยายตลาดให้ครอบคลุมผู้บริโภคทุกกลุ่ม โดยในเดือนมีนาคมได้เปิดตัว “ตัน พาวเวอร์ (TAN POWER)” เครื่องดื่ม Energy Drink เสริมพอร์ต ซึ่งได้รับการตอบรับที่ดีจากพันธมิตรคู่ค้าทั่วประเทศ ช่วยกันผลักดันสินค้าที่มีจุดแข็งด้านราคา 10 บาทสบายกระเป๋า ให้เข้าถึงกลุ่มลูกค้าเป้าหมาย ตลอดจนได้ส่งแคมเปญสนุกและสร้างสรรค์รับหน้าร้อนบนโลกโซเชียล ทั้งจากแบรนด์อิชิตัน กรีนที, เย็นเย็น น้ำจับเลี้ยงสมุนไพรฤทธิ์เย็น และตันซันซู น้ำอัดลมสไตล์เกาหลี เพื่อเดินหน้าสร้างไดนามิคกระตุ้นยอดขายสร้างกำไรให้เข้าตามเป้าที่ได้วางไว้

นอกจากนี้ อิชิตันยังมุ่งมั่นนำเสนอเครื่องดื่มคุณภาพและนวัตกรรม พร้อมเติบโตไปกับสังคมที่ดี โดยความสำเร็จล่าสุดจาก อิชิตัน น้ำด่าง (pH PLUS) แบรนด์สินค้ามีความโดดเด่นด้านนวัตกรรมในกลุ่มอาหารและเครื่องดื่มจนสามารถคว้ารางวัล BUSINESS+ PRODUCT OF THE YEAR 2023 ไปครองได้สำเร็จ ปัจจุบันน้ำด่างบรรจุขวดพร้อมดื่ม (Ready to drink) เกิดขึ้นด้วยนวัตกรรมการผลิตที่ช่วยทำให้ชีวิตง่ายขึ้น มีมาตรฐานปลอดภัย สะดวกสบายพกพาง่าย และดีต่อสุขภาพ ซึ่งได้รับความนิยมอย่างสูงที่ประเทศไต้หวัน ญี่ปุ่น และอิชิตันนำเทรนด์นี้เข้าสู่ประเทศไทย เป็นทางเลือกใหม่สำหรับผู้รักสุขภาพ จนสามารถขยายฐานลูกค้าได้เพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ มีแนวโน้มการเติบโตที่ดี

พร้อมทั้งมุ่งมั่นในการดำเนินธุรกิจอย่างมีจริยธรรม โปร่งใส และยั่งยืน ส่งเสริมให้คู่ค้าและพันธมิตรทางการค้าในระดับ SMEs เติบโตไปด้วยกัน ล่าสุดได้จัดกิจกรรมสัมมนาเชิญชวนคู่ค้ากลุ่ม SME เข้าร่วมประกาศเจตนารมณ์ตามโครงการแนวร่วมการต่อต้านทุจริตคอร์รัปชันของภาคเอกชนไทยภายใต้โครงการ CAC Change Agent เมื่อวันที่ 18 มีนาคม 2567 ที่ผ่านมา ควบคู่กับการให้ความสำคัญด้านสิ่งแวดล้อม ด้วยการกำหนดแผนการมุ่งไปสู่องค์กรที่มีการผลิตแบบความเป็นกลางทางคาร์บอน (Carbon Neutrality) ภายในปี 2050 โดยปัจจุบันสินค้าทุกขวดของอิชิตัน สามารถลดปริมาณการใช้พลาสติกลงได้ถึง 28.5% จากเทคโนโลยีการผลิตที่ทันสมัยและดีต่อโลกของอิชิตัน กรีน แฟคทอรี ที่เปิดให้นักเรียนนักศึกษา เข้าชมฟรี ภายใต้พื้นที่ “ศูนย์การเรียนรู้ตันแลนด์” เพื่อสร้างแรงบันดาลใจให้คนรุ่นใหม่ได้เข้าใจถึงผลกระทบต่อการเลือกดื่มผลิตภัณฑ์อย่างรับผิดชอบที่จะมีต่อธรรมชาติ ภายใต้แนวคิด Produce Responsibly, Drink Sustainably อีกด้วย

 

ดีลอยท์ ประเทศไทย

การที่ยักษ์ใหญ่ในวงการยานยนต์มุ่งนำเสนอรถยนต์ไฟฟ้าพลังงานแบตเตอรี่ (BEV) และเครื่องยนต์สันดาปภายในเชื้อเพลิงไฮโดรเจน (HICEV) อาจดูเป็นศึกครั้งสำคัญในแวดวงอุตสาหกรรมยานยนต์ แต่การแข่งขันนี้เป็นเพียงจุดเริ่มต้นของการต่อสู้ในสนามที่ยิ่งใหญ่กว่า นั่นคือการต่อสู้กับการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศโลก การปล่อยก๊าซเรือนกระจกจากเครื่องยนต์สันดาปภายในแบบดั้งเดิมเป็นปัจจัยหนึ่งที่ส่งผลต่อการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศโลก เรากำลังพูดถึงปัญหาที่เกิดจากการปล่อยก๊าซเรือนกระจกจากเครื่องยนต์สันดาปภายในแบบดั้งเดิม และรถยนต์ไฟฟ้า BEV และ HICEV อาจเป็นทางออกที่สำคัญในการเปลี่ยนผ่านสู่อนาคตการคมนาคมที่ยั่งยืน

ผู้ผลิตรถยนต์ทั่วโลกได้ให้พันธสัญญาที่จะลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ 90% ภายในปี 2593 เมื่อเทียบกับปริมาณก๊าซที่ปล่อยในปี 2563 โดยมีเป้าหมายไปสู่การปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิเป็นศูนย์ (net-zero emissions) แต่การที่จะบรรลุเป้าหมายนี้ได้นั้น การพัฒนาเทคโนโลยีเครื่องยนต์ที่ช่วยลดการการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์อาจไม่เพียงพอ แต่จำเป็นต้องอาศัยความร่วมมือกันตลอดทั้งห่วงโซ่คุณค่า (Value Chain)

จากรายงานของดีลอยท์เรื่อง "Pathway to net-zero: Mastering the twofold goal of Decarbonization and Profitability" เน้นย้ำถึงประเด็นข้างต้นเช่นกัน โดยกล่าวถึงการปรับเปลี่ยนกระบวนการผลิตยานยนต์ที่มีเทคโนโลยีที่สะอาดยิ่งขึ้น จำเป็นต้องอาศัยการลงทุนอย่างมากในด้านการวิจัยและพัฒนา (R&D) และการสร้างศักยภาพการผลิตที่แข็งแกร่งสำหรับแนวทางการแก้ปัญหาดังกล่าว

สำหรับทิศทางของการส่งเสริมการใช้รถยนต์ไฟฟ้าพลังงานแบตเตอรี่ (BEV) การสร้างความมั่นคงด้านห่วงโซ่อุปทานของแบตเตอรี่กลายเป็นสิ่งที่มีความสำคัญสูงสุด สถาบันเฟราน์โฮเฟอร์ ด้านระบบและวิจัยนวัตกรรม (Fraunhofer Institute for Systems and Innovation Research ISI) รายงานว่า ประเทศจีนเกือบจะผูกขาดกำลังการผลิตแบตเตอรี่ลิเธียม ไอออน ฟอสเฟต (LFP) โดยครองส่วนแบ่งตลาดถึง 99% ทั่วโลกในปี 2565 แม้จะมีการคาดการณ์ว่าสัดส่วนที่จีนครองตลาดจะ

ลดลงเหลือ 69% ในปี 2573 แต่จีนก็ยังคงเป็นผู้นำในตลาดเช่นเดิม ประเด็นการผูกขาดตลาดนี้ทำให้เกิดความท้าทายอย่างมีนัยสำคัญ โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อแบตเตอรี่ คิดเป็นประมาณ 40% ของต้นทุนรวมรถยนต์ไฟฟ้า BEV

ทั้งนี้จากการศึกษาของดีลอยท์ พบว่า ผู้บริโภคส่วนใหญ่มีความกังวลเกี่ยวกับผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมตลอดจนอายุการใช้งานของแบตเตอรี่ ส่งผลให้ผู้เกี่ยวข้องในอุตสาหกรรมดังกล่าวต้องปฏิบัติตามแนวทางการดำเนินงานอย่างยั่งยืนในทุกขั้นตอนของวงจรชีวิตแบตเตอรี่ ตั้งแต่การสกัด การแปรรูป การผลิต การรีไซเคิล จนถึงการกำจัดแบตเตอรี่

ในทางตรงกันข้าม การส่งเสริมรถยนต์ที่มีเครื่องยนต์สันดาปภายในเชื้อเพลิงไฮโดรเจน (HICEV) และรถยนต์ไฟฟ้าเซลล์เชื้อเพลิง (FCEV) ก็จำเป็นต้องมีการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานของสถานีเติมไฮโดรเจน แต่ประเด็นนี้กลับเต็มไปด้วยความท้าทาย เนื่องจากการสร้างสถานีไฮโดรเจนแต่ละแห่งล้วนมีต้นทุนที่สูงกว่าสถานีบริการน้ำมันแบบดั้งเดิมอย่างมาก

นอกจากนี้ กรีนไฮโดรเจน (Green Hydrogen) จะต้องอาศัยไฟฟ้าในกระบวนการผลิตที่เรียกว่า กระบวนการอิเล็กโทรลิซิส (Electrolysis) ผู้ที่เป็นเจ้าของรถยนต์ไฟฟ้าเซลล์เชื้อเพลิง(FCV) ยังมีความท้าทายในการเข้าถึงเครือข่ายการจำหน่ายและสถานีบริการสำหรับเติมก๊าซไฮโดรเจนที่ไม่สามารถให้บริการได้อย่างแพร่หลาย

นอกเหนือจากเทคโนโลยีเฉพาะทางแล้ว อีกปัจจัยหลักที่สำคัญคือ การบูรณาการแนวทางปฏิบัติอย่างยั่งยืนในทุกด้านของอุตสาหกรรมยานยนต์ ทั้งการลดการใช้ทรัพยากรในกระบวนการผลิต ส่งเสริมการรีไซเคิลวัสดุอย่างมีความรับผิดชอบ และการใช้วิธีการแยกชิ้นส่วนรถยนต์เมื่อหมดอายุการใช้งานที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม

การเปิดรับเปลี่ยนแปลงเหล่านี้ล้วนมีความท้าทาย เช่น ข้อกังวลเกี่ยวกับความสามารถในการทำกำไรระยะสั้นจากการลงทุนล่วงหน้าในเทคโนโลยีที่สะอาดและโครงสร้างพื้นฐานของอุตสาหกรรม อย่างไรก็ดี ผลประโยชน์ในระยะยาวมีความสำคัญมกว่าอุปสรรคในช่วงเริ่มต้น เมื่อองค์กรในอุตสาหกรรมกำหนดความสำคัญในเรื่องความยั่งยืน ก็จะมีบทบาทสำคัญในการส่งเสริมให้มีสภาพแวดล้อมที่สะอาดขึ้น คุณภาพอากาศที่ดีขึ้น และรวมไปถึงการประหยัดต้นทุนผ่านการเพิ่มประสิทธิภาพในการใช้พลังงาน

อย่างไรก็ตาม เส้นทางสู่ความยั่งยืนล้วนมีแนวทางอื่นนอกเหนือจากความก้าวหน้าทางเทคโนโลยี การลงทุนเพื่อยกระดับฝีมือแรงงานก็มีความสำคัญเช่นกัน การยกระดับและเสริมทักษะให้กับพนักงานเป็นสิ่งสำคัญเพื่อสร้างความเชื่อมั่นว่าพนักงานมีทักษะและความรู้ที่จำเป็นในการขับเคลื่อนการเปลี่ยนแปลง การส่งเสริมความหลากหลายและการมีส่วนร่วมในกลุ่มพนักงานจะนำมาซึ่งมุมมองและประสบการณ์ที่กว้างขึ้น และเปิดทางไปสู่นวัตกรรมที่ยั่งยืนมากขึ้นในที่สุด

สำหรับประเทศไทย มีการออกมาตรการอุดหนุนผู้ประกอบการยานยนต์ไฟฟ้า (EV) ระยะที่ 2 หรือ EV 3.5 ที่ให้การสนับสนุนด้านราคาเพื่อเร่งให้นำรถไฟฟ้ามาใช้งาน และดึงดูดการลงุทนจากต่างชาติ โดยมีเป้าหมายเพื่อให้ประเทศไทยเป็น

ศูนย์กลางด้านอุตสาหกรรมยานยนต์ในระดับภูมิภาค ในขณะเดียวกันประเทศไทยยังทำการศึกษาการใช้ไฮโดรเจนเพื่อเป็นพลังงานทางเลือกที่ยั่งยืนในอุตสาหกรรมการคมนาคม

ตามแผนพัฒนากำลังผลิตไฟฟ้าของประเทศไทย (PDP) ไฮโดรเจนถือเป็นส่วนหนึ่งของ“เชื้อเพลิงทางเลือก” โดยมีเป้าหมายในการใช้ไฮโดรเจนเป็นพลังงานเทียบเท่ากับน้ำมัน (KTOE) 10 กิโลตัน ภายในปี 2579 เป้าหมายดังกล่าวได้รับการส่งเสริมให้เป็นรูปธรรมมากขึ้นจากการโครงการนำร่อง ด้วยความร่วมมือระหว่างหน่วยงานต่างๆ ในการสร้างสถานีเชื้อเพลิงไฮโดรเจนแห่งแรกของประเทศไทยด้วย โครงการต่างๆ นี้ แสดงให้เห็นว่าประเทศไทยมีแนวทางที่หลากหลายเพื่อบรรลุเป้าหมายสู่ความยั่งยืนในอุตสาหกรรมการคมนาคมในอนาคต

การเปลี่ยนแปลงนี้จำเป็นต้องมีแนวทางการบริหารจัดการที่เหมาะสมให้กับผู้มีส่วนได้ส่วนเสียและห่วงโซ่อุปทานทั้งระบบ การสร้างความเชื่อมั่นว่าการเปลี่ยนผ่านจะราบรื่นสำหรับทุกภาคส่วน เป็นสิ่งสำคัญที่ช่วยให้การดำเนินการตามเป้าหมายสู่อนาคตที่ยั่งยืนประสบความสำเร็จตามเป้าหมาย

ท้ายที่สุด อุตสาหกรรมยานยนต์ทั้งหมดต้องปรับเปลี่ยนกุลยุทธ์นอกเหนือจากการพัฒนาเทคโนโลยีเฉพาะ และดำเนินธุรกิจด้วยแนวทางแบบองค์รวม โดยบูรณาการส่งเสริมจิตสำนึกด้านสิ่งแวดล้อมในกิจการทั้งห่วงโซ่คุณค่า เพื่อเดินหน้าสู่อนาคตที่ยั่งยืน การเปลี่ยนแปลงครั้งนี้แม้จะเผชิญกับความท้าทาย แต่จะสร้างคุณค่ามหาศาลในอนาคต ทั้งสภาพแวดล้อมที่สะอาดขึ้น คุณภาพอากาศที่ดีขึ้น และการประหยัดต้นทุนในระยะยาว ด้วยเลือกแนวทางปฏิบัติที่ส่งเสริมความยั่งยืนในทุกๆ ด้าน อุตสาหกรรมสามารถมีบทบาทสำคัญในการกำหนดทิศทางสู่อนาคตที่ยั่งยืนสำหรับพวกเราทุกคน

 

บทความ :  มงคล  สมผล  Aotomotive Sector Leader

                ดร  โชดก ปัญญาวรานันท์ ผู้จัดการ  clients& Market

ปัจจุบันแนวโน้มการเติบโตที่สูงขึ้นของ Social Commerce ถือเป็นโอกาสทองที่น่าจับตามองของผู้ประกอบการ แต่ในขณะเดียวกันอาจต้องเผชิญกับความท้าทายรอบด้าน ทั้งการแข่งขันที่ดุเดือดจากจำนวนคู่แข่งที่เพิ่มขึ้น และมาตรฐานความคาดหวังของลูกค้าที่สูงขึ้น รวมไปถึงต้องคอยระวังบรรดามิจฉาชีพที่จ้องจะเอาเปรียบ ทำให้วันนี้การใช้แพลตฟอร์มโซเชียลคอมเมิร์ชที่มีประสิทธิภาพและเข้าใจความต้องการของคนไทยอย่าง LINE SHOPPING ควบคู่ไปกับการมีช่องทางการสื่อสารที่สะดวกสบายผ่าน LINE OA จึงเป็นทางออกสำหรับร้านค้ายุคใหม่ที่ต้องการเลเวลอัพการขายให้ก้าวไปสู่ความสำเร็จที่ตั้งใจ

 4 ข้อดีของ LINE SHOPPING ที่ช่วยให้ทุกการขายเลเวลอัพได้ไว

การสร้างประสบการณ์ที่ดี คือจุดเริ่มต้นก้าวสำคัญที่ทำให้เกิดฐานลูกค้าประจำ และนำไปสู่การสร้างธุรกิจให้เติบโตอย่างยั่งยืน โดย LINE SHOPPING ได้มีการพัฒนาออกแบบเครื่องมือเพื่อตอบโจทย์ความต้องการของทุกธุรกิจ ทั้งฝั่งผู้ซื้อและผู้ขายอย่างครอบคลุมในมิติต่าง ๆ ดังนี้

· ปิดการขายไวขึ้นผ่านแชท พร้อมมีหน้าร้านเป็นของตัวเอง

เมื่อใช้ LINE SHOPPING คู่กับการพูดคุยสื่อสารและออกออเดอร์ผ่านแชทใน LINE OA สามารถเพิ่มโอกาสในการปิดการขายผ่านแชทได้ไวขึ้น 15 เท่า และมีโอกาสปิดยอดขายสำเร็จสูงถึง 97% ซึ่งในปี 2566 ที่ผ่านมา มีลูกค้าส่งแชทมาหาร้านค้าเพิ่มขึ้นถึง 11.8 เท่า รวมทั้งมีหน้าร้านของตัวเองที่ให้บริการได้ตลอด 24 ชั่วโมง รองรับการซื้อ-ขายทุกช่วงเวลา และยังมั่นใจได้ทุกการจ่ายเงินด้วยระบบธุรกรรมที่ปลอดภัย นอกจากนี้ ยังสามารถสะสมฐานลูกค้ามาอยู่บน LINE ได้ง่าย ๆ ด้วยลิงก์ชำระเงินที่สามารถเชื่อมต่อได้ทุกโซเชียลมีเดีย

· ขายคล่องแบบมือโปร ด้วยระบบจัดการร้านค้า

ระบบการจัดการร้านค้าที่ครบวงจรของ LINE SHOPPING ช่วยยกระดับให้ร้านค้าสามารถขายได้อย่างมือโปร ตั้งแต่การจัดการออเดอร์ ไปจนถึงการจัดการสต็อกหลังบ้านที่สะดวก ง่าย ช่วยลดข้อผิดพลาด และที่สำคัญ LINE SHOPPING ยังจับมือร่วมกับพาร์ทเนอร์ชั้นนำมากมาย ที่จะเข้ามาช่วยเติมเต็มความแข็งแกร่งในด้านต่าง ๆ ทั้งการพัฒนาธุรกิจ การชำระเงิน และเรื่องระบบการขนส่งที่เลือกได้อย่างอิสระ ทำให้ซื้อง่ายขายคล่องยิ่งกว่าเคย พร้อมด้วยบริการส่งด่วนทันใจภายใน 1 วันด้วย LINE MAN MESSENGER ผู้ช่วยอันดับหนึ่งของร้านค้าออนไลน์และออฟไลน์

· รู้ลึกข้อมูลการขาย ได้ใจฐานลูกค้า

ช่วยให้ร้านค้ามัดใจลูกค้าได้อยู่หมัด ผ่านการเก็บรวมรวมข้อมูลพฤติกรรมต่าง ๆ บน LINE SHOPPING เพื่อเป็นตัวช่วยในการวิเคราะห์การขาย เจาะลึกทุกอินไซด์ของลูกค้าทุกกลุ่มเป้าหมายที่ต้องการ สามารถนำข้อมูลไปต่อยอดเป็นแผนการขาย และการทำการตลาดเพื่อสร้างฐานะลูกค้าประจำได้ง่ายขึ้นและต้นทุนถูกลง

· ต่อยอดการขายได้เพิ่ม ด้วยฟีเจอร์เสริมอีกหลากหลายจาก LINE SHOPPING

LINE SHOPPING ยังมีฟีเจอร์และแคมเปญต่าง ๆ ที่ช่วยให้ร้านค้าสามารถเพิ่มยอดขายและมีส่วนร่วมกับลูกค้าได้มากขึ้น อาทิ LINE POINTS ตัวช่วยดันยอดขายที่ร้านอยากขายดีต้องใช้ หรือฟีเจอร์ SEND GIFT ที่ช่วยสร้างวาระพิเศษให้ลูกค้าและสร้างยอดขายให้ร้านค้า รวมไปถึงฟีเจอร์ WOW Items ที่ช่วยเพิ่มความน่าตื่นเต้นให้สินค้าเพื่อดึงดูดใจคนซื้อ หรือบริการ LIVE สดที่เปิดให้ใช้ฟรี! เพื่อการสื่อสารที่ใกล้ชิดและเข้าถึงลูกค้าได้อย่างทั่วถึงผ่านการบรอดแคสใน LINE OA

 เทคนิคการเลเวลอัพที่ทำได้จริงจากร้านค้าที่ประสบความสำเร็จ

การใช้ LINE SHOPPING คู่กับ LINE OA จะช่วยปลดล็อกขีดจำกัดศักยภาพของร้านค้า ผ่านฟีเจอร์อันทรงพลังมากมาย อาทิ · “ละมุนเบบี้ (LamoonBaby)” ธุรกิจผลิตภัณฑ์แม่และเด็ก ใช้การบรอดแคสต์รูปภาพ เพื่อกระตุ้นยอดขายให้เพิ่มขึ้นผ่านโปรโมชั่นในช่วงเวลาที่จำกัดเวลา ซึ่งช่วยจูงใจลูกค้าให้ใช้จ่ายเพิ่มขึ้นได้จริง ช่วยปิดการ

ขายอย่างรวดเร็วได้ดีมาก ช่วยลดแอดมินจาก 10 เหลือ 2 แถมปิดการขายได้มากกว่าเดิม (มากกว่า lead to other platform ถึง 2 เท่า) · “Simple Fruits” ร้านผลไม้ปอกสดพร้อมทาน ที่เข้าใจความต้องการของลูกค้าที่อยากซื้อผลไม้ไปเป็นของฝาก จึงใช้การบรอดแคสต์วิดีโอเพื่อสื่อสารให้ลูกค้าเห็นถึงความสวยงามในการจัดวาง และความน่ากินสดใหม่ของผลไม้ เพื่อจูงใจให้เกิดการซื้อ · “Ravipa” แบรนด์เครื่องประดับสายมู เริ่มค้นหาอินไซด์ลูกค้าจากการพูดคุยผ่านแชทใน LINE OA สู่การต่อยอดพัฒนา Customer Journey ตามกลุ่มลูกค้าเป้าหมาย เพื่อสร้างความประทับใจ และอำนวยความสะดวกในการซื้อผ่านริชเมนูที่เชื่อมต่อกับ LINE SHOPPING ช่วยให้เข้าสู่หน้าร้านค้าได้ทันที นำไปสู่การปิดขายที่รวดเร็วและมีอัตราความสำเร็จสูง

โปรโมชั่นพิเศษ! เมื่อเปิดร้านบน LINE SHOPPING วันนี้

LINE SHOPPING มอบโปรเปิดร้านใหม่สุดพิเศษ รับส่วนลดค่าธรรมเนียมการชำระเงินจากปกติ 3% เหลือเพียง 1% เป็นระยะเวลา 30 วัน (เฉพาะ LINE OA ที่มีจำนวนผู้ติดตาม 500 คน ขึ้นไป) ตั้งแต่วันนี้ ถึง 30 เม.ย. 2567 สามารถดูรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ https://lin.ee/qnUMJXN

ไม่พลาดโอกาสในการเลเวลอัพการขายดี ๆ พร้อมปลดล็อกโอกาสในการเพิ่มยอดขายให้สูงขึ้นได้ง่าย ๆ แค่สมัครเปิดร้านบน LINE SHOPPING วันนี้ ที่ https://linemyshop.onelink.me/8cQa/sbr02ys5

กรุงเทพฯ, 19 เมษายน 2567 – ธนาคารทหารไทยธนชาต จำกัด (มหาชน) หรือ ทีเอ็มบีธนชาต (ทีทีบี) แจ้งผลประกอบการไตรมาส 1 ปี 2567 โดยธนาคารมีกำไรสุทธิ 5,334 ล้านบาท ปรับตัวดีขึ้นเมื่อเทียบกับ 4,295 ล้านบาท ในไตรมาส 1 ปี 2566 ปัจจัยหนุนมาจากกลยุทธ์การปรับโครงสร้างสินเชื่อและการบริหารเงินฝาก เพื่อให้ผลตอบแทนและต้นทุนทางการเงินมีความสอดคล้องกัน และการมีวินัยด้านค่าใช้จ่าย ในด้านคุณภาพสินทรัพย์ ธนาคารสามารถลดอัตราส่วนสินเชื่อด้อยคุณภาพลงมาได้อย่างต่อเนื่อง ทั้งยังคงอัตราส่วนสำรองฯ ต่อสินเชื่อด้อยคุณภาพและฐานเงินกองทุนยังคงในระดับสูง สะท้อนสถานะทางการเงินที่มั่นคงแข็งแกร่ง

 

นายปิติ ตัณฑเกษม ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร ทีเอ็มบีธนชาต เปิดเผยว่า ผลการดำเนินงานในไตรมาสแรกของปีถือว่าเป็นไปตามเป้าหมาย ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของการปรับโครงสร้างพอร์ตสินเชื่อและการบริหารจัดการต้นทุนทางการเงินเพื่อหนุนรายได้ การมีประสิทธิภาพด้านต้นทุน และการดูแลคุณภาพสินทรัพย์

หนึ่งในจุดเด่นของผลการดำเนินงานในไตรมาสนี้ ได้แก่ ด้านสินเชื่อ ซึ่งธนาคารยังคงเน้นการเติบโตอย่างมีคุณภาพ เน้นกลุ่มลูกค้าที่ธนาคารมีความชำนาญ เข้าใจทั้งความต้องการและความเสี่ยงเป็นอย่างดี ไม่ว่าจะเป็นกลุ่มคนมีรถ กลุ่มคนมีบ้าน และพนักงานเงินเดือน ภายใต้แนวคิด Ecosystem play หนุนให้ธนาคารสามารถเติบโตสินเชื่อกลุ่มเป้าหมายได้ต่อเนื่องจากไตรมาสที่แล้ว ไม่ว่าจะเป็น สินเชื่อรถแลกเงิน (+4%) สินเชื่อบ้านแลกเงิน (+3%) และสินเชื่อบุคคล (+4%)

ในประการสำคัญ ธนาคารยังคงให้ความช่วยเหลือลูกหนี้ทุกกลุ่มอย่างต่อเนื่องในหลายรูปแบบ เช่น การปรับโครงสร้างหนี้ และการรวบหนี้ (Debt Consolidation) เพื่อช่วยบรรเทาภาระดอกเบี้ยและช่วยให้ลูกหนี้สามารถบริหารจัดการสภาพคล่องได้ในระยะยาว โดยปัจจุบันธนาคารได้ให้ความช่วยเหลือลูกค้าผ่านการปรับโครงสร้างหนี้คิดเป็นมูลค่าสินเชื่อประมาณ 11% ของพอร์ตสินเชื่อรวม ขณะที่จำนวนลูกค้าภายใต้โครงการรวบหนี้ เพิ่มขึ้นจากประมาณ 17,000 ราย ณ สิ้นปีที่แล้ว สู่ระดับ 21,000 ราย โดยธนาคารสามารถช่วยให้ลูกค้ากลุ่มดังกล่าวประหยัดดอกเบี้ยไปได้กว่า 1,400 ล้านบาท

นอกจากนั้นแล้ว ธนาคารยังได้เปิดตัวแคมเปญ “พิชิตหนี้” ซึ่งมุ่งช่วยพนักงานเงินเดือนลดภาระหนี้และปลอดหนี้ให้เร็วขึ้นอย่างยั่งยืน โดยได้ตั้งเป้าหมายช่วยเหลือคนไทยให้ได้ 200,000 ราย ภายใน 3 ปี เป็นไปตามพันธกิจของธนาคาร และสอดรับกับหลักเกณฑ์ของธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ในการให้สินเชื่ออย่างรับผิดชอบและเป็นธรรม

จากการเติบโตสินเชื่ออย่างรอบคอบ การดูแลลูกค้าอย่างใกล้ชิด และการบริหารจัดการหนี้เสียในเชิงรุก ส่งผลให้คุณภาพสินทรัพย์ของธนาคารเป็นไปตามเป้าหมาย สามารถลดอัตราส่วนสินเชื่อด้อยคุณภาพลงมาได้อย่างต่อเนื่องจาก 2.62% ณ สิ้นปีที่แล้ว มาอยู่ที่ 2.56% ณ สิ้นไตรมาส 1 พร้อมยังคงอัตราส่วนสำรองฯ ต่อสินเชื่อด้อยคุณภาพ ซึ่งสะท้อนถึงความสามารถในการรองรับความเสี่ยงในระดับสูงที่ 155%

 นี้ ด้วยแนวโน้มเศรษฐกิจที่ยังมีความไม่แน่นอนสูง ธนาคารจะยังคงดำเนินธุรกิจอย่างรอบคอบและบริหารจัดการทุกองค์ประกอบของงบดุลให้มีคุณภาพ ซึ่งเป็นกลยุทธ์ที่เรามุ่งเน้นมาโดยตลอดและให้ผลลัพธ์ที่สอดคล้องกับเป้าหมายระยะยาวของธนาคารในการสร้างการเติบโตอย่างยั่งยืน โดยเห็นได้ว่าตั้งแต่การรวมกิจการและหลังจากช่วงวิกฤตโควิด-19 ผลการดำเนินงานของธนาคารมีแนวโน้มปรับตัวดีขึ้นอย่างต่อเนื่อง ด้านคุณภาพสินทรัพย์ก็มีเสถียรภาพ และสถานะทางการเงินก็แข็งแกร่งขึ้นโดยตลอด

สำหรับผลการดำเนินงานรายการหลัก ๆ ในไตรมาส 1 ปี 2567 มีดังนี้

สินเชื่อ ณ สิ้นไตรมาส 1 ปี 2567 อยู่ที่ 1,315 พันล้านบาท ชะลอลง 1.0% จากไตรมาสที่แล้ว เป็นไปตามแนวทางการเติบโตสินเชื่ออย่างรอบคอบ รวมทั้งการชำระคืนหนี้ของลูกค้า ทั้งนี้ สินเชื่อกลุ่มเป้าหมาย นำโดยสินเชื่อบ้านแลกเงิน สินเชื่อรถแลกเงิน และสินเชื่อบุคคล ยังคงรักษาโมเมนตัมการเติบโตได้อย่างต่อเนื่อง

ด้านเงินฝาก อยู่ที่ 1,373 พันล้านบาท ลดลง 1.0% จากไตรมาสที่แล้ว สอดคล้องกับการเติบโตด้านสินเชื่อและเป็นไปตามแผนบริหารสภาพคล่องหลังจากที่ก่อนหน้านี้ในไตรมาส 4 ปี 2566 ธนาคารได้ขยายฐานเงินฝากไปแล้วกว่า 4.3% เพื่อเตรียมความพร้อมก่อนเข้าสู่ปี 2567 โดยเงินฝากที่ลดลงเป็นผลจากเงินฝากกลุ่มลูกค้าธุรกิจ ขณะที่เงินฝากรายย่อยกลุ่มเป้าหมายโดยเฉพาะเงินฝากประจำยังคงขยายตัวได้ตามแผน ทั้งนี้ ด้วยสภาพคล่องที่ยังคงอยู่ในระดับสูงก็จะช่วยสร้างความยืดหยุ่นให้กับการบริหารต้นทุนทางการเงินในระยะถัดไป

 

ด้านรายได้ยังคงได้รับแรงหนุนจากการปรับโครงสร้างสินเชื่อไปยังสินเชื่อกลุ่มลูกค้ารายย่อยและการบริหารจัดการต้นทุนทางการเงิน ช่วยชดเชยผลกระทบจากรายได้ค่าธรรมเนียมซึ่งยังคงมีความท้าทาย โดยเฉพาะอย่างยิ่งรายได้ค่าธรรมเนียมกองทุนรวม โดยในไตรมาส 1 ปี 2567 รายได้จากการดำเนินงานรวมอยู่ที่ 17,670 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 4.7% จากไตรมาส 1 ปี 2566 ขณะที่ค่าใช้จ่ายในการดำเนินงานอยู่ที่ 7,570 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 3.7% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน

ทั้งนี้ ธนาคารยังคงบริหารจัดการต้นทุนให้สอดคล้องกับด้านรายได้ได้เป็นอย่างดี สะท้อนได้จากอัตราส่วนต้นทุนต่อรายได้ซึ่งอยู่ที่ 43% เป็นไปตามเป้าหมายแม้ว่าธนาคารยังคงเดินหน้าตามแผนการลงทุนด้านดิจิทัลอย่างต่อเนื่องก็ตาม

ด้านคุณภาพสินทรัพย์ ยังคงบริหารจัดการได้ตามเป้าหมายเช่นกัน โดยสินเชื่อด้อยคุณภาพลดลงมาอยู่ที่ 39,759 ล้านบาท ลดลง 3.0% จากสิ้นปีที่แล้ว หรือคิดเป็นอัตราส่วนสินเชื่อด้อยคุณภาพต่อสินเชื่อรวม (NPL ratio) ที่ระดับ 2.56%

เทียบกับ 2.62% ณ สิ้นปีที่แล้ว นอกจากนี้ ในด้านพอร์ตการลงทุน ธนาคารเน้นการลงทุนในตราสารภาครัฐเป็นหลัก ไม่มีนโยบายแสวงหากำไรจากการลงทุนในสินทรัพย์ที่มีความเสี่ยงสูง จึงทำให้ไม่ได้รับผลกระทบจากกรณีผิดนัดชำระหนี้ในตลาดตราสารหนี้ในช่วงที่ผ่านมา

จากภาพรวมด้านคุณภาพสินทรัพย์ข้างต้น ส่งผลให้การตั้งสำรองฯ ตามการดำเนินงานปกติยังคงเป็นไปตามแผน และเพื่อเพิ่มความแข็งแกร่งด้านการเงิน ธนาคารได้เสริมกันชนรองรับแนวโน้มเศรษฐกิจที่ยังมีความไม่แน่นอน โดยธนาคารได้ตั้งสำรองฯ เพิ่มเติมจากระดับปกติ รวมตั้งสำรองฯ ทั้งสิ้นเป็นจำนวน 5,117 ล้านบาท ซึ่งหลังจากหักสำรองฯ และภาษี ธนาคารรายงานกำไรสุทธิในไตรมาส 1 ปี 2567 ที่ 5,334 ล้านบาท ปรับตัวดีขึ้นเมื่อเทียบกับ 4,295 ล้านบาทในไตรมาส 1 ปี 2566

ท้ายสุดด้านฐานะเงินกองทุน ยังคงอยู่ในระดับสูงและมีเสถียรภาพ โดยอัตราส่วน CAR และ Tier 1 ณ สิ้นไตรมาส 1 อยู่ที่ 20.8% และ 17.0% โดยระดับดังกล่าวถือว่าสูงเป็นลำดับต้น ๆ ของอุตสาหกรรม และสูงกว่าเกณฑ์ขั้นต่ำของธนาคารกลุ่ม D-SIBs ที่ธปท.กำหนดไว้ที่ 12.0% และ 9.5% ตามลำดับ

นายปิติ กล่าวสรุป “นอกเหนือจากการเติบโตอย่างมีคุณภาพ ทีทีบียังคงเน้นย้ำการดูแลและช่วยเหลือลูกค้าอย่างต่อเนื่องตามแนวทางการให้สินเชื่ออย่างรับผิดชอบและเป็นธรรม (Responsible Lending) และการแก้ปัญหาหนี้ครัวเรือนของภาครัฐ ทั้งนี้ ภายใต้พันธกิจหลัก Financial Well-being ซึ่งเราได้ดำเนินการมาโดยตลอด การสนับสนุนของเราไม่ได้จำกัดเพียงแค่ด้านสินเชื่อเท่านั้น แต่ยังครอบคลุมถึงปัจจัยพื้นฐานทางการเงินที่สำคัญด้านอื่น ๆ ไม่ว่าจะเป็น ด้านการออม การลงทุน และการมีประกันที่เพียงพอและเหมาะสมกับลูกค้าในทุก ๆ ช่วงชีวิต โดยเรามุ่งมั่นที่จะเป็นธนาคารที่ LEAD the CHANGE หรือเป็นผู้นำในการสร้างการเปลี่ยนแปลงอย่างแท้จริงเพื่อให้คนไทยมีชีวิตทางการเงินที่ดีขึ้นอย่างยั่งยืน”

TWZ มาตามนัด หลังประกาศลุยธุรกิจใหม่ ตั้งเป้าสร้างรายได้จากธุรกิจศูนย์การเรียนรู้และจัดการทดสอบด้วยระบบดิจิทัลและ AI โดยใช้ศักยภาพด้านเทคโนโลยีที่มีอยู่ ผนึกความร่วมมือกับ “ดิจิตอล เอ็ดดูเคชั่น” และมหาวิทยาลัยราชภัฏพระนคร ทุ่มงบกว่า 100 ล้านบาท ปรับปรุงและพัฒนาอาคาร 5 ชั้น พร้อมวางระบบปัญญาประดิษฐ์ (AI) ด้านการเรียนรู้และการวัดผลประเมินผล ให้เป็นอาคารการเรียนรู้และการทดสอบรูปแบบดิจิทัลที่มีขนาดใหญ่และทันสมัยที่สุดในประเทศไทย ซึ่งพร้อมให้บริการแล้ว 100% ด้วยเทคโนโลยียืนยันตัวตนของผู้เรียนและผู้สอบ ระบบตรวจประเมินพฤติกรรมของผู้เรียนและผู้สอบ ระบบการป้องกันการทุจริตการสอบเต็มรูปแบบทุกมิติ เผยหน่วยรัฐและเอกชนต่อคิวใช้บริการแน่น ด้านผู้บริหาร TWZ มั่นใจธุรกิจจัดการการสอบด้วยระบบดิจิทัลยังมีโอกาสเติบโตอีกมาก พร้อมทยอยรับรู้รายได้ค่าธรรมเนียมตั้งแต่ปลายไตรมาสแรกของปีนี้

นายพุทธชาติ รังคสิริ ประธานกรรมการบริหาร บริษัท ทีดับบลิวแซด คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) หรือ TWZ เปิดเผยว่า หลังจาก TWZ ได้ลงนามในบันทึกข้อตกลงร่วมทุน (เอ็มโอยู) กับบริษัท ดิจิตอล เอ็ดดูเคชั่น จำกัด หรือ DE เพื่อขยายธุรกิจที่เกี่ยวเนื่องกับการจัดตั้งและบริหารศูนย์การเรียนรู้และการทดสอบผ่านระบบดิจิทัล โดย TWZ จะเข้าลงทุนในสัดส่วนไม่น้อยกว่า 70% ใน DE ซึ่งเป็นบริษัทที่เชี่ยวชาญทางด้านการจัดการเรียนรู้ การจัดการสอบหรือทดสอบวัดความรู้ด้วยระบบดิจิทัลและปัญญาประดิษฐ์ (AI) ที่ทันสมัย โปร่งใส ป้องกันการทุจริตในทุกรูปแบบ ได้ผลการสอบรวดเร็ว สามารถตรวจสอบย้อนหลังได้ ซึ่งระบบนี้จะวัดผลและประเมินผลได้มากกว่าคะแนนสอบ เพราะจะทราบถึงพฤติกรรมเชิงลึกในมิติต่างๆของผู้เรียนและผู้สอบ โดยก่อนหน้านี้ DE ได้ลงนามในสัญญาความร่วมมือ เพื่อจัดตั้ง ศูนย์การเรียนรู้และการทดสอบดิจิทัลกับมหาวิทยาลัยราชภัฏพระนคร ต่อมา TWZ และ DE ได้พัฒนาโครงการร่วมกันจนเกิดเป็น ศูนย์การเรียนรู้และการทดสอบดิจิทัล สำนักวิทยบริการและเทคโนโลยีสารสนเทศ มหาวิทยาลัยราชภัฏพระนคร หรือ PNRU DLEx Center ซึ่งเป็นศูนย์ปัญญาประดิษฐ์ (AI) ด้านการเรียนรู้และการทดสอบที่ทันสมัยและใหญ่ที่สุดแห่งแรกในประเทศไทย ซึ่งขณะนี้ศูนย์ดังกล่าวมีความพร้อมเปิดให้บริการกับหน่วยงานต่างๆ ได้เป็นที่เรียบร้อยแล้ว

“จากที่ TWZ มองเห็นโอกาสในการเติบโตของศูนย์การเรียนรู้และการทดสอบระบบดิจิทัล ซึ่งจะกลายเป็นกระแสหลักในอนาคต และได้ผนึกความร่วมมือกับ ‘ดิจิตอล เอ็ดดูเคชั่น’ หรือ DE เพื่อรุกธุรกิจการสอบด้วยระบบดิจิทัลและ AI โดยเราได้ทำสัญญาความร่วมมือเป็นระยะเวลา 10 ปี เพื่อพัฒนาและปรับปรุง อาคาร 13 ของมหาวิทยาลัยราชภัฏพระนคร ให้เป็นอาคารศูนย์การเรียนรู้และการทดสอบดิจิทัลทั้ง 5 ชั้น ด้วยงบประมาณในการปรับปรุงและวางระบบต่างๆ กว่า 100 ล้านบาท” นายพุทธชาติกล่าว

สำหรับจุดเด่นของศูนย์การเรียนรู้และการทดสอบนี้ นอกจากจะเป็นศูนย์สอบที่มีขนาดใหญ่ สามารถรองรับจำนวนผู้เข้าสอบจำนวนถึง 2,165 ที่นั่ง ยังเป็นศูนย์การเรียนรู้และการทดสอบที่ทันสมัยที่สุดในประเทศไทย โดยศูนย์สอบมีจุดลงทะเบียนที่ทันสมัย รวดเร็ว แม่นยำ โดยการนำตู้บริการอัตโนมัติ (kiosk) มาใช้สำหรับการยืนยันตัวตนผู้เข้าสอบ แจกบัตรเลขที่นั่งสอบและคีย์การ์ดตู้ล็อคเกอร์ฝากของสำหรับผู้เข้าสอบ มีระบบตรวจนับจำนวนคนและยืนยันตัวบุคคลผู้เข้าออกเพื่อความสะดวกและปลอดภัย รวมถึงมีระบบการประเมินพฤติกรรมของผู้เรียนและผู้เข้าสอบเพื่อป้องกันการทุจริตและประเมินผลการเรียนรู้ในมิติต่างๆ เชิงลึก ด้วยการติดตั้งระบบกล้องวงจรปิดระบบ AI ที่สามารถตรวจความผิดปกติต่างๆ ทั้งภายนอกและภายในอาคารกระจายครอบคลุมทุกจุด มีระบบซอฟต์แวร์ที่สามารถควบคุมและแยกแยะผู้เรียนและผู้เข้าสอบแต่ละบุคคลได้ มีระบบการสำรองไฟฟ้า ระบบเตือนภัยที่ได้มาตรฐาน รวมถึงระบบให้บริการทางการแพทย์ที่เหมาะสม และสามารถเดินทางสะดวกด้วยบริการรถไฟฟ้าและรถสาธารณะผ่านหลายสาย

นอกจากนี้ ยังมีการนำคอมพิวเตอร์โน้ตบุ๊คที่ออกแบบมาสำหรับการสอบและการเรียนการสอนโดยเฉพาะ ใช้ระบบปฏิบัติการ Windows 11 หน้าจอขนาด 15 นิ้ว และออกแบบพัฒนา Software เพื่อการวิจัยและพัฒนาระบบปัญญาประดิษฐ์ (AI) ด้านการเรียนรู้และการทดสอบในมิติต่างๆ โดยเฉพาะด้านการตรวจสอบพฤติกรรมการเรียนรู้และการทดสอบ เพื่อเป็นฐานข้อมูลนำมาใช้ฝึกสอนระบบปัญญาประดิษฐ์ (AI) ซึ่งกล่าวได้ว่า อาคารที่พัฒนาขึ้นนี้เป็นอาคารปัญญาประดิษฐ์เพื่อการเรียนรู้และการวัดผลประเมินผลแห่งแรกของประเทศไทยอีกด้วย

“ศูนย์การเรียนรู้และการทดสอบดิจิทัล สำนักวิทยบริการและเทคโนโลยีสารสนเทศ มหาวิทยาลัยราชภัฏพระนคร หรือ PNRU DLEx Center เป็นศูนย์สอบที่ได้มาตรฐานสูง ที่สำนักงานคณะกรรมการข้าราชการพลเรือน (ก.พ) ได้มอบความไว้วางใจและเลือกใช้บริการ โดยในช่วงปลายเดือนมีนาคม ทางศูนย์ฯ ได้เริ่มเปิดเป็นสนามสอบวัดความรู้ทั่วไป (ภาค ก.) สำนักงาน ก.พ. โดยมีผู้ที่มาเข้าสอบจำนวนกว่า 10,000 คน มากเป็นอันดับ 1 ของประเทศ และยังจะเปิดเป็นสนามสอบให้กับอีกหลายๆ หน่วยงานอย่างต่อเนื่อง ซึ่งรายได้หลักจากธุรกิจนี้จะมาจากค่าธรรมเนียมการสอบ การฝึกอบรมและหลักสูตรต่างๆ โดยคาดว่าจะคืนทุนภายในระยะเวลา 2-3 ปี และมั่นใจว่าธุรกิจนี้จะสร้างความแข็งแกร่งและความท้าทายใหม่ให้กับ TWZ ในอนาคตอย่างแน่นอน” ประธานกรรมการบริหาร บมจ.ทีดับบลิวแซด คอร์ปอเรชั่น กล่าว

บรรยายภาพ

นายพุทธชาติ รังคสิริ ประธานกรรมการบริหาร บริษัท ทีดับบลิวแซด คอร์ปอเรชั่น จำกัด(มหาชน) (ซ้าย) และ ดร.ฉัตรภัฏณ์ เลิศวิริยะภากร กรรมการบริษัท ดิจิตอล เอ็ดดูเคชั่น จำกัด (ขวา) ร่วมเปิดตัว ศูนย์การเรียนรู้และการทดสอบดิจิทัลสำนักวิทยบริการและเทคโนโลยีสารสนเทศ มหาวิทยาลัยราชภัฏพระนคร หรือ PNRU DLEx Center ณ มหาวิทยาลัยราชภัฏพระนคร ซึ่งเป็นศูนย์การเรียนรู้และการทดสอบด้วยระบบดิจิทัล มีระบบปัญญาประดิษฐ์(AI)ที่ทันสมัยและใหญ่ที่สุดแห่งแรกในประเทศไทย

ไฮไลท์สำคัญ: · อิหร่านเปิดฉากการโจมตีตอบโต้อิสราเอลเมื่อวันที่ 14 เมษายน 2567 · ผลกระทบคือราคาน้ำมันที่สูงขึ้นจากความเสี่ยงของการหยุดชะงักของอุปทานน้ำมันจากตะวันออกกลาง · นักลงทุนควรมุ่งเน้นไปยังเป้าหมายทางการเงินระยะยาวด้วยการสร้างพอร์ตโฟลิโอที่แข็งแกร่งด้วย ผ่านการกระจายการลงทุนในหลากหลายสินทรัพย์ (Multi-asset) และตราสารหนี้คุณภาพดี (Investment grade bond)

จากเหตุการณ์ที่อิสราเอลโจมตีทางอากาศต่อสถานกงสุลอิหร่านในซีเรีย เมื่อวันที่ 1 เมษายนที่ผ่านมา ทำให้อิหร่านตอบโต้ด้วยการส่งเครื่องบิน ขีปนาวุธนำวิถี ขีปนาวุธร่อน ตลอดจนโดรนโจมตีรวมมากกว่า 300 ครั้ง ในวันที่ 14 เมษายน 2567 แม้ว่าอิสราเอลและพันธมิตรจะสามารถสกัดกั้นการโจมตี ส่วนใหญ่ได้และแม้ว่าจะมีความเสียหายเพียงเล็กน้อย แต่เหตุการณ์ดังกล่าวได้สร้างความวิตกถึงความเป็นไปได้ที่ความขัดแย้งจะขยายวงกว้างไปทั่วทั้งตะวันออกกลาง นายกิดอน เจอโรม เคสเซล ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการใหญ่ ผลิตภัณฑ์เงินฝากและบริหารการลงทุนบุคคลธนกิจ ธนาคารยูโอบี ประเทศไทย ได้ให้ความเห็นต่อสถานการณ์ที่มีผลกระทบต่อการลงทุนดังนี้

สถานการณ์เป็นการตอบโต้เชิงสัญลักษณ์ ซึ่งสร้างความเสียหายเพียงเล็กน้อย

สหรัฐฯคาดการณ์ถึงการตอบโต้ของอิหร่านเอาไว้ล่วงหน้า โดย Wall Street Journal รายงานถึงการประท้วงที่ใกล้จะเกิดขึ้น ด้วยคำเตือนล่วงหน้านี้ ทำให้เกิดความเสียหายเพียงเล็กน้อย เนื่องจากอิสราเอลและพันธมิตรสามารถเตรียมพร้อมรับมือกับการโจมตีของข้าศึกได้

• อิหร่านส่งสัญญาณว่าไม่ต้องการยกระดับความขัดแย้ง โดยกล่าวว่า “ ปฏิบัติการโจมตีอิสราเอลถือว่ายุติลงแล้ว” หลังการโจมตี แต่ยังได้เตือนสหรัฐฯ ให้อยู่ห่างจากความขัดแย้งนี้

สถานการณ์ตึงเครียดจะเลวร้ายลงหรือไม่?

• ขึ้นอยู่กับการตอบสนองของอิสราเอล แต่สัญญาณเบื้องต้นคบ่งชี้ว่าอิหร่านไม่ต้องการยกระดับความตึงเครียด

• มีรายงานว่าสหรัฐฯ จะไม่เข้าร่วมหรือสนับสนุนปฏิบัติการตอบโต้อิหร่าน แต่จะยังป้องกันเสถียรภาพในภูมิภาคตะวันออกกลาง โดยการปกป้องฐานทัพของอิสราเอล

ผลกระทบต่อการลงทุน

• นักลงทุนมีความระมัดระวังในการลงทุนเพิ่มขึ้นและคาดว่าตลาดจะยังผันผวนในระยะสั้น

~ ราคาน้ำมันปรับตัวสูงขึ้นเนื่องจากความเสี่ยงของการหยุดชะงักของอุปทานน้ำมันจากตะวันออกกลาง

~ หากอิหร่านปิดกั้นช่องแคบฮอร์มุซ อาจทำให้เกิดความเสียหายได้ 21 ล้านบาร์เรลต่อวันหรือประมาณ 21% ของการบริโภคทั่วโลก

~ ความไม่แน่นอนทำให้นักลงทุนมองหาสินทรัพย์ปลอดภัย เป็นปัจจัยหนุนต่อราคาทองคำ พันธบัตรรัฐบาลสหรัฐฯ (UST) และเงินดอลลาร์สหรัฐ (USD)

• การเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วของราคาน้ำมันอาจส่งผลต่ออัตราเงินเฟ้อและทำให้การลดอัตราดอกเบี้ยล่าช้าออกไป

• อย่างไรก็ตาม ภาวะการหลีกเลี่ยงความเสี่ยงมีแนวโน้มที่จะเกิดขึ้นเพียงช่วงสั้นๆ และความเชื่อมั่นของตลาดก็คาดว่าจะกลับมามีเสถียรภาพได้อีกครั้ง หากความขัดแย้งไม่บานปลาย

คำแนะนำสำหรับนักลงทุน

• ทบทวนพอร์ตการลงทุน เพื่อพิจารณาความเสี่ยงว่ามีการลงทุนในสินทรัพย์เสี่ยงที่กระจุกตัวมากเกินไปหรือไม่

• มุ่งเน้นไปที่การบรรลุเป้าหมายทางการเงินในระยะยาวโดยการสร้างพอร์ตการลงทุนที่แข็งแกร่ง ผ่านสินทรัพย์กลุ่ม Core Investment

• แนะนำกลยุทธ์กระจายการลงทุนในหลายสินทรัพย์ (Multi-Asset) ที่มีการลงทุนหลากหลายสินทรัพย์ , ภูมิภาค และอุตสาหกรรม เพื่อลดความผันผวนของพอร์ตการลงทุน

• พิจารณากองทุนตราสารหนี้และตราสารหนี้คุณภาพดี (Investment Grade) ที่จะช่วยสร้างความมั่นคงให้กับพอร์ตการลงทุนในช่วงตลาดผันผวน ตราสารหนี้ยังมีอัตราผลตอบแทนที่น่าสนใจและมีโอกาสได้กำไรด้านราคา หากธนาคารกลางเริ่มปรับลดอัตราดอกเบี้ยในปลายปีนี้

• สำหรับนักลงทุนที่สามารถยอมรับความเสี่ยงได้ ลองพิจารณาธีมการลงทุนด้านการดูแลสุขภาพระดับโลก (Global Healthcare) , เอเชีย ยกเว้นญี่ปุ่น และอาเซียน และสามารถทยอยสะสมการลงทุนในหุ้นคุณภาพดีที่มีการเติบโต (quality growth) และหุ้นปันผล ในช่วงที่ตลาดปรับตัวลง

• นักลงทุนสามารถใช้ฟีเจอร์ Wealth ใหม่ที่เพิ่งเปิดตัวใน UOB TMRW จะช่วยให้นักลงทุนสามารถซื้อ-ขาย-สับเปลี่ยนกองทุนรวมได้สะดวกรวดเร็วยิ่งขึ้น สามารถจัดการความมั่งคั่งผ่านโทรศัพท์มือถือได้ง่ายแค่ปลายนิ้ว

ตั้งแต่วันที่ 23 เมษายน 2567 เป็นต้นไป นักลงทุนจะสามารถเข้าถึงกองทุนต่างประเทศได้โดยตรง ทำให้สามารถลงทุนโดยตรงในกองทุนรวมที่เป็นสกุลเงินต่างประเทศจากบริษัทจัดการกองทุนที่มีชื่อเสียงถึง 14 แห่ง อาทิ Blackrock, PIMCO, JPMorgan และ Fidelity สามารถศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมเกี่ยวกับการซื้อ-ขาย-สับเปลี่ยนกองทุนรวมผ่านแอป UOB TMRW ได้ที่นี่

กรุงเทพฯ 22 เมษายน 2567 : ‘โลตัส’ (Lotus’s) ผู้นำธุรกิจค้าปลีกในประเทศไทย ดำเนินงานภายใต้ชื่อจดทะเบียน บริษัท เอก-ชัย ดีสทริบิวชั่น ซิสเทม จำกัด พร้อมแล้วกับการเสนอขายหุ้นกู้ 4 ชุด ให้กับประชาชนทั่วไป แข็งแกร่งด้วยอันดับความน่าเชื่อถือระดับ “A+” แนวโน้ม “บวก” (Positive) ด้วยอัตราดอกเบี้ยระหว่าง 2.90 – 3.56% ต่อปี โดยจะเสนอขายพร้อมกันในวันนี้ (22 เมษายน 2567) เป็นวันแรก จนถึงวันที่ 24 เมษายน 2567 ผ่านสถาบันการเงินชั้นนำ 6 แห่ง รวมถึงช่องทาง TrueMoney Wallet แอปพลิเคชัน มั่นใจกระแสตอบรับดี ทั้งจากความมั่นคงของกิจการในฐานะผู้นำค้าปลีกขนาดใหญ่ที่มีศักยภาพในการเติบโต และผลตอบแทนจากการลงทุนที่น่าพอใจ

บริษัท เอก-ชัย ดีสทริบิวชั่น ซิสเทม จำกัด ผู้ประกอบธุรกิจค้าปลีกสินค้าอุปโภคบริโภคชั้นนำขนาดใหญ่ และบริหารพื้นที่เช่าในศูนย์การค้าในประเทศไทย ภายใต้แบรนด์ “โลตัส” (Lotus’s) พร้อมแล้วกับการเสนอขายหุ้นกู้ จำนวน 4 ชุด ประกอบด้วย ชุดที่ 1 อายุ 1 ปี 5 เดือน 25 วัน อัตราดอกเบี้ย 2.90% ต่อปี ชุดที่ 2 อายุ 3 ปี 5 เดือน 25 วัน อัตราดอกเบี้ย 3.14% ต่อปี ชุดที่ 3 อายุ 4 ปี 5 เดือน 25 วัน อัตราดอกเบี้ย 3.38% ต่อปี และ ชุดที่ 4 อายุ 7 ปี 5 เดือน 25 วัน อัตราดอกเบี้ย 3.56% ต่อปี ชำระดอกเบี้ยทุกๆ 6 เดือน ตลอดอายุหุ้นกู้ โดยจะเสนอขายให้กับประชาชนเป็นการทั่วไป ผ่านผู้จัดการการจัดจำหน่ายหุ้นกู้ 6 แห่ง ประกอบด้วย ธนาคารกรุงเทพ ธนาคารกรุงไทย ธนาคารกรุงศรีอยุธยา ธนาคารกสิกรไทย ธนาคารไทยพาณิชย์ และบริษัทหลักทรัพย์ เกียรตินาคินภัทร รวมถึงการเสนอขายผ่านแอปพลิเคชัน TrueMoney Wallet ซึ่งเริ่มเสนอขายในวันนี้ (22 เมษายน 2567) เป็นวันแรก จนถึงวันที่ 24 เมษายน 2567

ทั้งนี้ หุ้นกู้ทั้ง 4 ชุดได้รับการจัดอันดับความน่าเชื่อถือจากบริษัท ทริสเรทติ้ง จำกัด ณ วันที่ 29 กุมภาพันธ์ 2567 ที่ระดับ “A+” เช่นเดียวกับอันดับเครดิตองค์กร ด้วยแนวโน้มอันดับเครดิต “บวก” สะท้อนสถานะความเป็นผู้นำในธุรกิจร้านค้าปลีกแบบ omni-channel ที่มีช่องทางการจัดจำหน่ายที่ครอบคลุมและหลากหลาย ทั้งออฟไลน์และออนไลน์ โดยทริสเรทติ้งระบุว่า ขีดความสามารถในการแข่งขันทางธุรกิจของบริษัทฯ ยังมีปัจจัยเสริมความแข็งแกร่งจากการมีพื้นที่เช่าในทำเลศักยภาพ และลักษณะของธุรกิจค้าปลีกที่สร้างกระแสเงินสดจากการดำเนินงาน โดยคาดว่าผลการดำเนินงานของบริษัทฯ ทั้งในธุรกิจค้าปลีกและพื้นที่ให้เช่าจะเติบโตอย่างต่อเนื่องอีกด้วย

ปัจจุบัน บริษัทฯ มีช่องทางจัดจำหน่ายหลายรูปแบบ โดย ณ วันที่ 31 ธันวาคม 2566 “โลตัส” (Lotus’s) มีร้านค้าปลีกจำนวน 2,454 แห่งทั่วประเทศ ประกอบด้วยร้านไฮเปอร์มาร์เก็ต 226 แห่ง ซูเปอร์มาร์เก็ต 178 แห่ง และมินิซูเปอร์มาร์เก็ต 2,050 แห่ง ซึ่งธุรกิจในประเทศไทยได้รับการสนับสนุนจากระบบห่วงโซ่อุปทาน (Supply Chain) ที่แข็งแกร่ง ตลอดจนระบบการกระจายสินค้าและเครือข่ายด้านโลจิสติกส์ที่มีประสิทธิภาพ

โลตัส (Lotus’s) มุ่งยกระดับธุรกิจค้าปลีกสู่ SMART Community Center ศูนย์รวมการใช้ชีวิตแบบสมาร์ทของคนทุกวัยในชุมชน โดยมีรูปแบบสาขา สินค้าและบริการ ที่ตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์ที่แตกต่างกันของคนในแต่ละพื้นที่ เพื่อให้ลูกค้า “รู้สึกดีดี ทุกวัน ที่โลตัส” พร้อมกันนี้ ยังมีแผนการที่จะขยายสาขาให้ครอบคลุมพื้นที่ เพื่อให้ร้านค้าของ “โลตัส” (Lotus’s) สามารถเข้าถึงและให้บริการผู้บริโภคได้มากขึ้น ควบคู่การเสริมแกร่งธุรกิจออนไลน์ ยกระดับ “โลตัส สมาร์ท แอป” ด้วยแอปพลิเคชันที่รู้ใจลูกค้ายิ่งขึ้น พร้อมเป็นร้านค้าปลีกชั้นนำในไทยที่พร้อมจัดส่งสินค้าจากทั้งสาขาเล็กและใหญ่ ตอกย้ำประสบการณ์การช้อปปิงที่ SMART ตอบรับทั้งพฤติกรรมของลูกค้าที่เปลี่ยนแปลงไปอย่างรวดเร็ว พร้อมรับเทรนด์ความต้องการของผู้บริโภคในยุคดิจิทัลที่ต้องการทั้งความสะดวกและความรวดเร็วทันใจในการจับจ่าย

ทั้งนี้ สถาบันการเงินผู้จัดการการจัดจำหน่ายหุ้นกู้ ยังกล่าวถึงความเชื่อมั่นถึงการออกและเสนอขายหุ้นกู้ของโลตัสในครั้งนี้ว่าจะได้รับการตอบรับที่ดีจากผู้ลงทุน เนื่องจากเป็นโอกาสที่ดีที่ผู้ลงทุนที่เป็นประชาชนทั่วไปจะสามารถเข้าถึงหุ้นกู้ที่ได้รับการจัดอันดับความน่าเชื่อถือในระดับ “A+” แนวโน้ม “บวก” (Positive) สะท้อนศักยภาพการเติบโตของ “โลตัส” (Lotus’s) ในอุตสาหกรรมค้าปลีก ที่มีแนวโน้มขยายตัวได้อย่างแข็งแกร่งในอนาคต อีกทั้ง “โลตัส” ยังให้ความสำคัญอย่างยิ่งกับการดำเนินธุรกิจอย่างยั่งยืน บนหลักธรรมาภิบาล ความโปร่งใส ตรวจสอบได้ ตลอดจนความรับผิดชอบต่อประเทศชาติ สังคม และส่วนรวม ซึ่งจะสร้างความเชื่อมั่นให้ผู้ลงทุนในหุ้นกู้ของบริษัทฯ ได้เป็นอย่างดี

สำหรับผู้ลงทุนที่สนใจจองซื้อหุ้นกู้ Lotus’s โปรดระมัดระวังการหลอกหลวงจากมิจฉาชีพที่จะนำเสนอผลตอบแทนที่สูงเกินจริง โดยเฉพาะช่องทางโซเชียลมีเดียต่างๆ เช่น Facebook และแอปพลิเคชัน Line เป็นต้น โดยสามารถศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ www.sec.or.th หรือติดต่อผ่านผู้จัดการการจัดจำหน่ายหุ้นกู้ ดังต่อไปนี้

- ธนาคารกรุงเทพ จำกัด (มหาชน) (ยกเว้นสาขาไมโคร) โทร. 1333 (โดยบุคคลธรรมดาสามารถจองซื้อทางออนไลน์ผ่านแอป Bangkok Bank Mobile Banking ได้อีก 1 ช่องทาง)

- ธนาคารกรุงไทย จำกัด (มหาชน) โทร 0-2111-1111 (โดยบุคคลธรรมดาสามารถจองซื้อทางออนไลน์ผ่านแอป Krungthai Next ได้อีก 1 ช่องทาง)

- ธนาคารกรุงศรีอยุธยา จำกัด (มหาชน) โทร. 1572

- ธนาคารกสิกรไทย จำกัด (มหาชน)* โทร. 02-888-8888 กด 819 หรือจองซื้อทางออนไลน์ผ่าน https://www.kasikornbank.com/kmyinvest (ยกเว้นบุคคลสัญชาติต่างด้าว และนิติบุคคล สามารถจองซื้อผ่านสำนักงานใหญ่และสาขา)

- ธนาคารไทยพาณิชย์ จำกัด (มหาชน)** โทร. 02-777-6784 (โดยบุคคลธรรมดาสามารถจองซื้อทางออนไลน์ผ่านแอป SCB EASY ได้อีก 1 ช่องทาง)

- บริษัทหลักทรัพย์เกียรตินาคินภัทร จำกัด (มหาชน)*** โทร. 02-165-5555 (โดยบุคคลธรรมดาสามารถจองซื้อทางออนไลน์ผ่านแอป Dime! ได้อีก 1 ช่องทาง)

 

นางสาวกชสร โตเจริญธนาผล รองผู้อำนวยการฝ่ายบริหารโครงการ อินฟอร์มา มาร์เก็ตส์ ประเทศไทย กล่าวถึง แนวโน้มอุตสาหกรรมบรรจุภัณฑ์ว่า ภาพรวมอุตสาหกรรมบรรจุภัณฑ์โลกปี 2567 มีแนวโน้มฟื้นตัวต่อเนื่องคาดว่ามีมูลค่าอยู่ที่ 1.14 ล้านล้านดอลลาร์ และจะเพิ่มเป็น 1.38 ล้านล้านดอลลาร์ ในปี 2572 จากความต้องการและการเติบโตของอุตสาหกรรมอาหารและเครื่องดื่ม ที่เริ่มมีการเปลี่ยนไปใช้บรรจุภัณฑ์แบบยืดหยุ่น การออกแบบ การเลือกใช้วัสดุที่ย่อยสลายง่ายและเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม ส่วนอุตสาหกรรมบรรจุภัณฑ์ของไทยนั้นเป็นไปในทิศทางเดียวกัน โดยปีที่ผ่านมา (2566) มีมูลค่ากว่า 3.5 แสนล้านบาท ส่วนปี 2567 คาดว่าจะเติบโตเพิ่มกว่า 10% หรือประมาณ 3.85 แสนล้านบาท จากปัจจัยบวกด้านยุทธศาสตร์รัฐที่ต้องการยกระดับการผลิตอาหารของไทยให้เป็นศูนย์กลางอาหารโลก รวมถึงการท่องเที่ยวและการส่งออกที่ฟื้นตัวและนโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจจากโครงการเงินดิจิทัลวอลเล็ต ที่จะเพิ่มการบริโภคภายในประเทศและมีเม็ดเงินหมุนเวียนในระบบเศรษฐกิจเพิ่มขึ้น

แนวโน้มดังกล่าวส่งผลให้ผู้ประกอบต้องเตรียมพร้อมและพัฒนาการผลิตให้ดีขึ้น ความสำคัญของบรรจุภัณฑ์ในวันนี้มีหลายมิติ ทั้งคุณสมบัติในการสร้างความปลอดภัยและยืดอายุให้สินค้า ส่งเสริมการขายและเพิ่มมูลค่าให้แก่สินค้าด้วยการออกแบบและความสะดวกในการใช้งาน ซึ่งการพัฒนาการผลิตต้องเริ่มตั้งแต่เลือกวัสดุที่มีคุณสมบัติที่ดีขึ้น เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมมากขึ้น เช่น ใช้วัสดุที่นำกลับมาใช้ซ้ำได้ (recycled materials) หรือวัสดุที่มีความสามารถในการย่อยสลาย (biodegradable materials) พร้อมปรับปรุงเพิ่มประสิทธิภาพการผลิตด้วยเทคโนโลยีสมัยใหม่ ใช้ AI หุ่นยนต์และระบบการผลิตอัตโนมัติ (Automation) มาช่วยคำนวณการใช้ทรัพยากร พลังงานและการลดต้นทุน ฯลฯ ให้ดียิ่งขึ้น

งาน ProPak Asia เป็นงานแสดงเทคโนโลยีกระบวนการผลิตและแปรรูปอาหาร บรรจุภัณฑ์ การจัดเก็บและการขนส่งตั้งแต่ต้นน้ำไปจนถึงปลายน้ำในระดับเอเชีย ที่มีส่วนสนับสนุนและร่วมพัฒนาผู้ประกอบการในอุตสาหกรรมการผลิตและบรรจุภัณฑ์ของไทยให้มีความสามารถมากขึ้น โดยงาน ProPak Asia 2024 ปีนี้ ได้ยกโซน PackagingTech Asia เทคโนโลยีการบรรจุภัณฑ์และกระบวนการบรรจุภัณฑ์ DrinkTech Asia เทคโนโลยีสำหรับอุตสาหกรรมเครื่องดื่ม PharmaTech Asia เทคโนโลยีสำหรับอุตสาหกรรมยา Packaging Solution Asia เทคโนโลยีเพื่อการผลิตบรรจุภัณฑ์และบรรจุภัณฑ์สำเร็จรูป Coding, Marking & Labelling Asia เทคโนโลยีเพื่อการเขียนรหัส ติดป้ายและปักหมายเลขบนสินค้าหรือบรรจุภัณฑ์ต่างๆ รวมถึง Lab&Test Asia เทคโนโลยีการตรวจสอบและควบคุมมาตรฐานของอาหารและบรรจุภัณฑ์ ตลอดจนกิจกรรมในโซนนี้ให้เป็นหนึ่งในไฮไลท์ของการจัดงานฯ โดยกิจกรรมต่างๆ ประกอบด้วย

· I-Stage เวทีความคิดสร้างสรรค์ นวัตกรรมและการลงทุนสำหรับโซลูชั่นทางธุรกิจในห่วงโซ่อุตสาหกรรมอาหาร เครื่องดื่ม ธุรกิจ FMCG (Fast-Moving Consumer Goods) สินค้าอุปโภค บริโภค

· Packaging Design Clinic โซนให้คำปรึกษาด้านการออกแบบบรรจุภัณฑ์ เพื่อพัฒนาผู้ประกอบการ เพิ่มประสิทธิภาพผลิตภัณฑ์ ลดต้นทุน เสริมศักยภาพการผลิต โดยร่วมกับสมาคมออกแบบบรรจุภัณฑ์ไทย (Thai PDA)

· Design Box การนำเสนอผลงานการออกแบบ โดยคุณสมชนะ กังวารจิตต์ นักออกแบบบรรจุภัณฑ์รางวัลระดับโลกจาก Prompt Design

· ThaiStar, AsiaStar, WorldStar Display พื้นที่จัดแสดงตัวอย่างบรรจุภัณฑ์ที่ได้รับรางวัลชนะการประกวดออกแบบระดับประเทศ ระดับภูมิภาคและระดับโลก ด้วยความร่วมมือจาก Thai-IDC, DIPROM (รางวัล ThaiStar) และ Asian Packaging Federation (รางวัล AsiaStar) และ The World Packaging Organisation (WPO) (รางวัล WorldStar)

นายโวล์ฟกัง คอนราด รองประธานฝ่ายการตลาดและสื่อสาร ไอดับเบิลยูเค แฟร์แพคคุงเทคนิก เจเอ็มเบอฮ์ ผู้เชี่ยวชาญด้านเทคโนโลยีบรรจุภัณฑ์จากประเทศเยอรมนี ซึ่งดำเนินงานในประเทศไทยภายใต้ชื่อ บริษัท ไอดับเบิลยูเค (ประเทศไทย) จำกัด กล่าวว่า ประเทศไทยมีอุตสาหกรรมการผลิตที่แข็งแกร่ง ส่งผลให้อุตสาหกรรมบรรจุภัณฑ์มีความสำคัญอย่างยิ่ง การผลิตบรรจุภัณฑ์ที่ได้มาตรฐานต้องปลอดภัย ถูกสุขอนามัยและเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม เพราะทุกภาคส่วนต่างให้ความสำคัญกับบรรจุภัณฑ์ที่เป็นวัสดุรีไซเคิลและย่อยสลายได้ ใช้ทรัพยากรน้อยลงในการผลิต มีการออกแบบอย่างสร้างสรรค์และใช้งานได้อย่างมีประสิทธิภาพ ซึ่งโรงงานของเรามีความเชี่ยวชาญในการพัฒนาและผลิตบรรจุภัณฑ์ในหลายอุตสาหกรรม อาทิ เวชภัณฑ์ สินค้าอุปโภคบริโภค เครื่องสำอาง อาหาร ฯลฯ ส่วนคำแนะนำสำหรับผู้ประกอบการไทยในการดำเนินธุรกิจให้ประสบความสำเร็จในระดับนานาชาตินั้น ต้องเพิ่มขีดความสามารถ ปรับตัวให้ทันต่อการเปลี่ยนแปลงและมีพันธมิตรที่เชื่อถือได้ ซึ่งไอดับเบิลยูเค พร้อมให้คำแนะนำ แลกเปลี่ยนความรู้และอัพเดทเทรนด์ใหม่ๆ กับผู้ประกอบการไทยตลอดเวลา

สำหรับการร่วมจัดงานกับ ProPak Asia นั้น นับว่าประสบความสำเร็จในทุกๆ ด้านเป็นอย่างมาก เพราะเป็นงานแสดงสินค้าเครื่องจักรและเทคโนโลยีบรรจุภัณฑ์ที่สำคัญที่สุดในเอเชีย ทำให้ผู้ร่วมงานได้รับประสบการณ์ที่ดี โดยงาน ProPak Asia 2024 ครั้งนี้ ทางบริษัทฯ ได้เตรียมเปิดตัว CABLIblue 870 ซึ่งเป็นระบบผลิตบรรจุภัณฑ์แบบ “Blister on Carton” ที่ใช้กระดาษแข็ง 100% นวัตกรรมใหม่ล่าสุดที่ตอบสนองต่อกระแสความยั่งยืน โดยระบบนี้จะช่วยให้สินค้าลดการใช้พลาสติกจากบรรจุภัณฑ์แบบ Blister Pack ลงได้ และอีกหนึ่งไฮไลท์ คือ ระบบบรรจุกล่องรุ่น CH4 ที่ประหยัดพลังงานได้มากกว่า 20% รวมถึงเทคโนโลยีบรรจุภัณฑ์และบริการของ ไอดับเบิลยูเค อีกมากมาย

นายลำพูล อุ่นเรือน ประธาน บริษัท เซนต้า แพ็ค แมชชีนเนอรี่ แอนด์ เซอร์วิส จำกัด ผู้นำเข้าเครื่องจักรสำหรับอุตสาหกรรมการผลิตอาหารจากประเทศญี่ปุ่น ที่มีกลุ่มลูกค้าหลักเป็นผู้ผลิตอาหารเพื่อการส่งออกทั้งอาหารคนและอาหารสัตว์ ได้ให้ความเห็นถึงโอกาสการเติบโตของอุตสาหกรรมบรรจุภัณฑ์ไทยว่า มีโอกาสเติบโตอีกมากเพราะไทยเป็นฐานการผลิตอาหารสำคัญของโลก สิ่งที่ผู้ประกอบการต้องติดตาม คือ แนวโน้มบรรจุภัณฑ์ที่ต้องรักษ์โลกมากขึ้น ผู้ผลิตบางรายมีการปรับมาใช้บรรจุภัณฑ์พลาสติกจากวัสดุเพียงชนิดเดียว (Mono Material) ที่สามารถระบุชนิดของวัสดุที่สอดคล้องกับกระบวนการรีไซเคิลได้ เพื่อเป็นไปตามความต้องการของลูกค้าและกฎระเบียบทางการค้าของแต่ละประเทศ พร้อมรักษาคุณภาพสินค้าให้ได้มาตรฐาน รวมถึงพัฒนาเทคโนโลยีการผลิตให้ทันสมัย โดยในส่วนของบริษัทฯ นั้น ได้มีการพัฒนาเทคโลยีการบรรจุสินค้าแบบใช้ความร้อนและความดันสูงเพื่อฆ่าเชื่อ (Retort) ให้รองรับกับบรรจุ

ภัณฑ์ของลูกค้า เช่น การใช้ Ultrasonic Sealing Method สำหรับบรรจุภัณฑ์ที่มีขนาดเล็กลง แต่ต้องการความแม่นยำในการซีลสูงและสามารถใช้กับสินค้ากลุ่ม Mono Material ได้

การร่วมจัดแสดงงานกับ ProPak Asia นั้น เป็นโอกาสที่ดีที่ได้นำเสนอเทคโนโลยีเครื่องจักรใหม่ๆ ได้สร้างความสัมพันธ์ในการแลกเปลี่ยนความคิดเห็นรวมถึงมุมมองต่างๆ กับลูกค้าเก่าและได้พบลูกค้าใหม่ในทุกครั้งของการจัดงาน ส่วนไฮไลท์ที่จะนำมาร่วมจัดแสดงในปีนี้ คือ เครื่อง Vacuum Rotary ในกลุ่มสินค้า Curry paste และมีการจัดแสดงโซลูชั่นในการบรรจุแบบอัตโนมัติที่จะช่วยผู้ประกอบการที่มีปัญหาการเพิ่มกำลังการผลิตแต่ขาดแคลนแรงงานอีกด้วย

งาน ProPak Asia 2024 มีกำหนดจัดขึ้นระหว่างวันที่ 12 – 15 มิถุนายน 2567 ณ ศูนย์นิทรรศการและการประชุมไบเทค บางนา ผู้สนใจรายละเอียดการจัดงานและต้องการลงทะเบียนล่วงหน้าเพื่อเข้าชมงานฯ สามารถลงทะเบียนได้ที่ www.propakasia.com

การนำ ChatGPT มาใช้อย่างรวดเร็วได้ยกระดับผลกระทบเชิงลบด้านสิ่งแวดล้อมในหลายมิติ จากที่ Generative AI เป็นเทคโนโลยีใหม่ที่กำลังได้รับความนิยม ได้กลายเป็นความกังวลขององค์กรทันที เมื่อยูสเคสที่เหมือนจะดูดีและถูกขับเคลื่อนโดยเทคโนโลยีเกิดใหม่นี้กลับสร้างผลเสียมากกว่าผลดีในแง่ของการปล่อยก๊าซเรือนกระจก (GHG) และปริมาณการใช้ไฟฟ้าและน้ำ

อย่างไรก็ตามหากใช้อย่างถูกวิธีและอยู่ภายใต้การควบคุมดูแลของมนุษย์ Generative AI ยังสามารถเร่งให้เกิดความยั่งยืนเชิงบวกพร้อมสร้างผลลัพธ์ทางการเงินได้ โดยเทคโนโลยีนี้อาจช่วยให้บริษัทลดความเสี่ยงด้านความยั่งยืน ปรับต้นทุนให้เหมาะสม และขับเคลื่อนการเติบโตได้เพื่อสร้างสมดุลระหว่างอันตรายและประโยชน์ของเทคโนโลยีนี้ องค์กรจำเป็นต้องดำเนินการ 2 ประการ ประการแรก คือ สร้างการรับรู้และลดการปล่อยพลังงานของ Generative AI เพื่อให้มันเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมมากขึ้น จากนั้นระบุ ประเมินและจัดลำดับความสำคัญยูสเคสที่เกี่ยวกับความยั่งยืนด้านสิ่งแวดล้อมตระหนักถึงปัญหาด้านการบริโภคพลังงานของ Generative AI

Generative AI นั้นพึ่งพาโมเดลภาษาขนาดใหญ่ที่ได้รับการเทรนจากข้อมูลมหาศาล ซึ่งต้องระบายความร้อนด้วยน้ำหล่อเย็นและใช้พลังงานไฟฟ้า หรืออาจใช้พลังงานทั้งสองจำนวนมหาศาล แม้ในระยะยาวการปล่อยก๊าซเรือนกระจกที่เกี่ยวข้องกับไฟฟ้าจะลดลงเมื่อมีการใช้แหล่งพลังงานหมุนเวียนมากขึ้น ซึ่งโมเดล Generative AI ที่ทรงพลังยิ่งขึ้นจะต้องการความสามารถในการประมวลผลมากขึ้นตามไปด้วย

ปัญหาเทคโนโลยีที่เกี่ยวข้องกับพลังงานไฟฟ้าและน้ำนั้นมีมากกว่าของ Generative AI การ์ทเนอร์คาดการณ์ว่า ภายในปี 2568 ผู้บริหาร 75% จะเผชิญกับข้อจำกัดของเทคโนโลยีที่เกี่ยวข้องกับพลังงานไฟฟ้า เนื่องจากความต้องการเทคโนโลยีและการแข่งขันกันทางด้านสังคมจะทวีความดุเดือดมากขึ้น ดังนั้นผู้บริหาร CIO จึงไม่ต้องการที่จะติดอยู่ในศึกการแย่งชิงทรัพยากรที่มีจำกัดกับชุมชนท้องถิ่น

 

มุ่งมั่นลดการปล่อยพลังงาน Generative AI

Generative AI จะต้องมีประสิทธิภาพการทำงานเทียบเท่ากับสมองมนุษย์ เพื่อให้เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมมากขึ้น สาเหตุหนึ่งที่ทำให้สมองประหยัดพลังงานมากก็คือ สมองสามารถจัดระเบียบความรู้ในโครงสร้างเครือข่ายได้ โดยแนวทางที่ใกล้เคียงที่สุดคือ Composite AI คือการรวมโมเดล AI หลายแบบเข้าด้วยกันเพื่อให้ได้ประสิทธิภาพและความแม่นยำที่ดีขึ้น ซึ่งใช้โครงสร้างเครือข่ายและเทคนิคคล้ายกันเพื่อเสริมกำลังมหาศาลด้วยวิธีการเรียนรู้เชิงลึกในปัจจุบัน

Generative AI ยังบริโภคพลังงานไฟฟ้าและน้ำเป็นหลัก ดังนั้นการหยุดเทรน AI ในทันทีหรือการเก็บข้อมูลการเทรนโมเดล การนำโมเดลที่ได้รับการเทรนแล้วกลับมาใช้ใหม่ และการใช้ฮาร์ดแวร์และอุปกรณ์เครือข่ายที่ประหยัดพลังงานมากขึ้น จะสามารถสร้างสมดุลแนวทางปริมาณงานในดาต้าเซ็นเตอร์แบบ "ตามสถานการณ์และความเป็นจริง - Follow The Sun" ซึ่งดีกว่าสำหรับการผลิตพลังงานสะอาด กับการใช้แนวทาง "แยกเดินออกมา Unfollow The Sun" สำหรับประสิทธิภาพการใช้น้ำที่ดีกว่า

อีกวิธีหนึ่งในการทำให้ Generative AI มีความเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมมากขึ้น คือการใช้งานในสถานที่ที่ใช่ ในเวลาที่เหมาะสม โดยความเข้มข้นของคาร์บอนจากแหล่งพลังงานในท้องถิ่นจะแตกต่างกันไปตามปัจจัยหลายประการ แนวปฏิบัติที่ดีที่สุดคือการใช้การจัดตารางเวลางานที่คำนึงถึงพลังงาน ควบคู่ไปกับบริการการติดตามและการคาดการณ์คาร์บอนเพื่อลดการปล่อยก๊าซที่เกี่ยวข้อง

พร้อมตั้งเป้าซื้อแหล่งพลังงานสะอาดใหม่ตามที่วางแผนไว้สำหรับนำมาใช้ The Greenhouse Gas Protocol ที่กำลังกำหนดให้บริษัทต่าง ๆ จัดทำการวิเคราะห์พลังงานสะอาดอย่างละเอียดเพิ่มเติมตามแหล่งสถานที่ ช่วงเวลาของวัน หรือทั้งสองอย่าง

ระบุยูสเคสความยั่งยืนด้านสิ่งแวดล้อมที่มีศักยภาพ

มี 3 กรอบการดำเนินงานกว้าง ๆ ที่ยูสเคส Generative AI สามารถเร่งความยั่งยืนด้านสิ่งแวดล้อม ได้แก่ การลดความเสี่ยง การเพิ่มประสิทธิภาพต้นทุน และใช้ขับเคลื่อนการเติบโต

 

การปฏิบัติตามกฎระเบียบเป็นวิธีการนึงที่ Generative AI สามารถช่วยองค์กรลดความเสี่ยงด้านสิ่งแวดล้อมโดยการระบุและตีความตัวบทกฎหมาย มาตรฐาน คำสั่ง และข้อกำหนดการรายงานความยั่งยืน รวมถึงการอัปเดตอยู่ตลอดเวลา ที่สามารถพัฒนาแผนปฏิบัติการเพื่อให้บรรลุตามข้อกำหนดและเป็นเครื่องมือฝึกอบรมเพื่อให้ความรู้แก่พนักงานด้านกฎระเบียบเฉพาะ

จากมุมมองของการเพิ่มประสิทธิภาพต้นทุน Generative AI สามารถช่วยสนับสนุนการตัดสินใจได้ สามารถวิเคราะห์ข้อมูลความยั่งยืนภายใน และระบุรูปแบบ แนวโน้ม พื้นที่การปรับปรุง ความเป็นไปได้ ความเสี่ยง และเกณฑ์มาตรฐาน โดยสามารถให้ข้อมูลเชิงลึกว่าการตัดสินใจขององค์กรจะส่งผลต่อความยั่งยืนอย่างไร และคาดการณ์ประสิทธิภาพในอนาคตที่อาจเกิดขึ้น องค์กรสามารถวางแผนและเลือกแนวทางที่เหมาะสมที่สุดเพื่อบรรลุเป้าหมายการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก

Generative AI ยังสามารถใช้ขับเคลื่อนการเติบโตที่ยั่งยืนโดยนำมาใช้เพื่อค้นหาแหล่งทรัพยากรและวัสดุทางเลือก สามารถให้คำแนะนำสิ่งทดแทนปัจจัยการผลิตแบบเดิมไปสู่ความยั่งยืน เช่น ข้อมูลเชิงลึกเกี่ยวกับนวัตกรรมทางเทคโนโลยีอย่างวัสดุนาโน และข้อมูลเกี่ยวกับความพร้อม ประสิทธิภาพ และผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม

เมื่อพิจารณายูสเคส Generative AI เพื่อเป้าหมายความยั่งยืน การประเมินผลกระทบเชิงบวกและเชิงลบเป็นสิ่งสำคัญ ผู้บริหารต้องเข้าใจมูลค่าธุรกิจเชิงบวกทั้งในแง่ของผลประโยชน์ทางการเงินและความยั่งยืน ตลอดจนความเป็นไปได้ และผลกระทบเชิงลบต่อสิ่งแวดล้อมด้วยการวัดจากการปล่อยก๊าซเรือนกระจก การใช้พลังงานไฟฟ้าและน้ำ

จากนั้นจัดลำดับความสำคัญการลงทุนเป็น 3 ระดับ ได้แก่ 1.ลงทุนทันที 2.ลงทุนเพื่อลดความเสี่ยงและลดการใช้พลังงานเป็นสำคัญ หรือ 3.ไม่ลงทุนเลย ด้วยวิธีการนี้ คุณจะใช้ Generative AI เร่งผลลัพธ์ด้านความยั่งยืนเชิงบวกขององค์กร โดยใช้ประโยชน์จากเคสการใช้งานที่สร้างมูลค่ามากกว่าทำลายเพียงอย่างเดียว

 

บทความ  :  คริสติน โมเยอร์  รองประธานฝ่ายวิจัย  การ์ทเนอร์

 

X

Right Click

No right click