×

Warning

JUser: :_load: Unable to load user with ID: 805

นายสรรชาย นุ่มบุญนำ ผู้จัดการทั่วไป - ประเทศไทย อินฟอร์มา มาร์เก็ตส์ เผยมุมมองที่มีต่อเศรษฐกิจไทยในปี 67 ว่า เศรษฐกิจไทยมีแนวโน้มที่ดีขึ้นกว่าปีที่ผ่านมาจากหลายปัจจัย ไม่ว่าจะเป็นเศรษฐกิจโลกที่มีแนวโน้มดีขึ้น อัตราเงินเฟ้อโลกที่ผ่อนคลายลง สัญญาณการส่งออกที่ดีขึ้น การลงทุนจากต่างประเทศที่ให้ความสนใจประเทศไทยเพิ่มมากขึ้น การพัฒนาและการเปลี่ยนของเทคโนโลยีในหลายอุตสาหกรรมทำให้เกิดการลงทุนเครื่องจักรและเครื่องมือในการผลิตใหม่ๆ รวมถึงนโยบายภาครัฐในการกระตุ้นเศรษฐกิจและการท่องเที่ยวที่พร้อมให้การสนับสนุนการจัดงานแสดงสินค้า ซึ่งเป็นกลุ่มที่สร้างรายได้สูงในกลุ่มไมซ์ (MICE)

จากมุมมองที่เป็นบวกดังกล่าวทำให้ อินฟอร์มา มาร์เก็ตส์ ประเทศไทย วางเป้าหมายรายได้รวมในปีนี้น่าจะสูงแตะ 1,180 ล้านบาท จากการเตรียมจัดงานแสดงสินค้าไว้มากถึง 15 งาน ครอบคลุมทุกกลุ่มอุตสาหกรรมสำคัญไม่ว่าจะเป็น กลุ่มอุตสาหกรรมการผลิตและบรรจุภัณฑ์ (ProPak Asia) กลุ่มพลังงานและสิ่งแวดล้อม (ASEAN Sustainable Energy Week) กลุ่มท่องเที่ยว โรงแรม ร้านอาหาร (Food & Hospitality Thailand) กลุ่มเทคโนโลยีเครื่องจักรกลและอุตสาหกรรมรับช่วงการผลิต (INTERMACH, MTA Asia) กลุ่มเครื่องประดับ (Jewellery & Gems ASEAN Bangkok) กลุ่มเครื่องสำอางและอาหารเสริม (Cosmoprof CBE ASEAN) ฯลฯ

ส่วนอีกกลุ่มที่มีศักยภาพสูง คือ กลุ่มอุตสาหกรรมเพื่อสุขภาพ (Health and Wellness) เนื่องจากอุตสาหกรรมกลุ่มนี้ได้กลายเป็นกระแสหลักของโลกอย่างชัดเจนขึ้นตั้งแต่เกิดการแพร่ระบาดของโควิด ที่เป็นตัวเร่งให้การดำเนินชีวิตและพฤติกรรมการดูแลสุขภาพของคนทั่วโลกเกิดการเปลี่ยนแปลง อุตสาหกรรมที่เกี่ยวข้องกับสุขภาพไม่ว่าจะเป็นอาหารเพื่อสุขภาพ ยา ผลิตภัณฑ์เสริมอาหาร เครื่องมือและอุปกรณ์การแพทย์มีการเติบโตอย่างสูง โดยข้อมูลจาก Global Wellness Institute รายงานว่ามูลค่าของอุตสาหกรรมที่เกี่ยวข้องกับสุขภาพในปี 2022 อยู่ที่ประมาณ 4.5 ล้านล้านดอลลาร์ และคาดว่าตั้งแต่ปี 2022 - 2024 มีแนวโน้มที่จะเติบโตขึ้นได้อีกประมาณ 1.3 ล้านล้านดอลลาร์

ด้านการจัดงานในกลุ่มนี้ อินฟอร์มา มาร์เก็ตส์ ประเทศไทย มีทั้งหมด 4 งาน ประกอบด้วย CPHI South East Asia, Medlab Asia, Vitafoods Asia และ Fi Asia (Food Ingredients Asia) ครอบคลุมตั้งแต่ต้นน้ำจนถึงปลายน้ำ ทั้งส่วนประกอบอาหารสุขภาพ ยา ผลิตภัณฑ์เสริมอาหาร เครื่องมืออุปกรณ์การแพทย์ ซึ่งคาดว่าจะได้รับการตอบรับจากผู้เข้าร่วมจัดแสดงานและผู้เข้าร่วมชมงานเป็นอย่างดี

ด้านนางสาวรุ้งเพชร ชิตานุวัตร์ ผู้อำนวยการกลุ่มโครงการภูมิภาคอาเซียน และ ผู้จัดการทั่วไป - ฟิลิปปินส์ อินฟอร์มา มาร์เก็ตส์ ผู้บริหารการจัดงานในกลุ่มอุตสาหกรรมเพื่อสุขภาพทั้งประเทศไทย เวียดนาม อินโดนีเซีย และฟิลิปปินส์ กล่าวถึงความสำคัญของอุตสาหกรรมเพื่อสุขภาพว่า งานในกลุ่มนี้มีความสำคัญทั้งในด้านเศรษฐกิจและสังคมโลก โดยมีหลายปัจจัยที่ส่งเสริมให้เกิดการเติบโตไม่ว่าจะเป็นการใส่ใจเรื่องสุขภาพ ความ

ต้องการมีสุขภาพที่ดี การมีอายุที่ยืนยาวขึ้น และการเข้าสู่สังคมผู้สูงอายุในหลายประเทศ ในส่วนของ อินฟอร์มา มาร์เก็ตส์ ประเทศไทย งานในกลุ่มนี้มีอัตราการเติบโตเฉลี่ยประมาณ 10-15% แต่ในกลุ่มอุตสาหกรรมเสริมอาหารยังสามารถเติบโตได้ถึง 100% ทั้งในส่วนของผู้ร่วมจัดแสดงงาน (Exhibitor) และผู้เข้าร่วมชมงาน (Visitor) พื้นที่การจัดแสดงงาน และมูลค่าการค้าการเจรจาธุรกิจ

ในปี 2024 อินฟอร์มา มาร์เก็ตส์ ประเทศไทย ได้มีการเตรียมจัดงานใหญ่ในกลุ่มนี้ไว้ถึง 3 งานคือ

- CPHI South East Asia งานแสดงสินค้าเทคโนโลยีและนวัตกรรม พร้อมการประชุมด้านวัตถุดิบ ส่วนผสม บรรจุภัณฑ์และเทคโนโลยีที่เกี่ยวเนื่องในการผลิตยา

- Medlab Asia งานแสดงเครื่องมืออุปกรณ์ทางการแพทย์และห้องปฏิบัติการทางการแพทย์

- Vitafoods Asia งานแสดงสินค้า เทคโนโลยี และนวัตกรรมส่วนผสมสำหรับผลิตภัณฑ์เสริมอาหาร และผลิตภัณฑ์เพื่อสุขภาพ

ทั้ง 3 งานครอบคลุมทุกส่วนของกลุ่มอุตสาหกรรมเพื่อสุขภาพ ซึ่งนอกจากจะมีส่วนช่วยในการส่งเสริมนโยบายภาครัฐที่ผลักดันให้ไทยเป็นศูนย์กลางด้านสุขภาพ (Medical Hub) และส่งเสริมการท่องเที่ยวเชิงสุขภาพ (Medical Tourist) แล้ว ในส่วนของภาคธุรกิจยังช่วยพัฒนาศักยภาพและการลงทุนในอุตสาหกรรมนี้ของไทย เนื่องจากภายในงานฯ มีทั้งการจัดแสดงนวัตกรรมและเทคโนโลยีที่ทันสมัยตลอดทั้งกระบวนการผลิต การแปรรูปวัตถุดิบ และการผลิตผลิตภัณฑ์จากบริษัทชั้นนำของโลก การถ่ายทอดแลกเปลี่ยนความรู้และประสบการณ์กับผู้ประกอบการ พร้อมมีส่วนในการสร้างโอกาสและแสดงศักยภาพความพร้อมของประเทศไทยให้ผู้ร่วมจัดแสดงงานและผู้เข้าร่วมงานจากทั่วโลกได้เห็น ด้านภาคสังคมนั้น คนไทยจะได้ประโยชน์จากการจัดแสดงงานสินค้าในกลุ่มอุตสาหกรรมนี้เป็นอย่างมาก เพราะเมื่อผู้ประกอบการผลิตยา เวชภัณฑ์ เครื่องมือและอุปกรณ์ทางการแพทย์ในประเทศมีความสามารถในการผลิต การวิจัยและพัฒนานวัตกรรมและเทคโนโลยีด้านยา เวชภัณฑ์ และอุปกรณ์ทางการแพทย์เองแล้ว ก็จะช่วยทดแทนการนำเข้าจากต่างประเทศ ส่งผลให้การเข้าถึงการรักษาและบริการทางการแพทย์ง่ายและดียิ่งขึ้นด้วย

นายสรรชาย นุ่มบุญนำ ผู้จัดการทั่วไป – ประเทศไทย อินฟอร์มา มาร์เก็ตส์ กล่าวถึงภาพรวมของธุรกิจงานแสดงสินค้าและความสำเร็จของบริษัทฯ ในปี 2566 ว่า ปีนี้นับเป็นการฟื้นตัวของธุรกิจงานแสดงสินค้าหลังสถานการณ์โควิดอย่างแท้จริง การกลับมาจัดงานได้อย่างเต็มรูปแบบส่งผลให้การดำเนินงานของ อินฟอร์มา มาร์เก็ตส์ ประเทศไทย กลับมาฟื้นตัวอย่างรวดเร็วและก้าวกระโดด ไม่ว่าจะเป็นรายได้รวมของบริษัทฯ ที่สูงถึง 1,300 ล้านบาท สูงกว่าเป้าหมายที่ตั้งไว้ 900 ล้านบาท และดีกว่าปี 2562 ก่อนสถานการณ์โควิด ซึ่งมีรายได้รวมอยู่ที่ 880 ล้านบาท

ผลสำเร็จดังกล่าวเกิดขึ้นจากการปรับตัว เปลี่ยนแปลงและพัฒนาองค์กรและธุรกิจตลอดเวลา แม้ในช่วงวิกฤตโควิดที่ไม่สามารถจัดงานได้เต็มรูปแบบ เราก็ไม่ได้มีการหยุดนิ่ง เราแทงสวนและสู้ตายกับการเปลี่ยนวิกฤตเป็นโอกาส ทั้งการพัฒนาธุรกิจ การทำงานเชิงลึกด้านข้อมูลและเครื่องมือต่างๆ ร่วมกับบริษัทแม่ที่เป็นเบอร์หนึ่งผู้จัดงานแสดงสินค้าโลก เพื่อสร้างงานที่มีศักยภาพในการเติบโตสูงและเป็นงานที่จับใจคน รวมทั้งเพิ่มจำนวนงานให้ครอบคลุมทุกกลุ่มอุตสาหกรรม ทำให้เกิด 7 งานใหม่ รวมกับ 6 งานเดิม เป็น 13 งานในปี 2566 พร้อมทั้งเร่งพัฒนาบุคลากรเพื่อเตรียมความพร้อมและดึงคนที่มีความสามารถมาทำงานร่วมกับเรา จากปัจจัยและการเตรียมการดังกล่าวทำให้นอกจากจะส่งผลให้เกิดการเติบโตอย่างก้าวกระโดดแล้ว ยังทำให้ อินฟอร์มา มาร์เก็ตส์ ประเทศไทย ขึ้นแท่นเป็นผู้จัดงานแสดงสินค้าอันดับหนึ่งของภูมิภาคอาเซียนทั้งจำนวนโชว์และรายได้

เป้าหมายในปีนี้เราจะไม่ยึดติดกับการแข่งขันด้านอันดับเพียงอย่างเดียว สิ่งที่เราพยายามทำ คือ การผลักดันให้ทุกโชว์ของ อินฟอร์มา มาร์เก็ตส์ ประเทศไทย ก้าวขึ้นเป็นโชว์ระดับภูมิภาค เป็นงานที่ทุกคนในอุตสาหกรรมที่ต้องการดำเนินธุรกิจกับคนในภูมิภาคนี้ต้องเข้าร่วม จำนวนงานแสดงสินค้าของอินฟอร์มา มาร์เก็ตส์ ประเทศไทยในปี 2567 จะมีทั้งหมด 15 งาน ครอบคลุมทุกกลุ่มอุตสาหกรรมสำคัญ โดยมีงานที่เราจัดขึ้นอย่างต่อเนื่องทุกปี อาทิ Intermach, ProPak Asia, ASEAN Sustainable Energy, Thai Water Expo, CPHI, Food & Hospitality Thailand ฯลฯ และการร่วมมือกับบริษัทในเครือ อินฟอร์มา มาร์เก็ตส์ ในหลายประเทศมาจัดงานแบบร่วมทุน (Joint Venture) โดยนำงานแสดงสินค้าที่ประสบความสำเร็จ อาทิ งาน Jewellery & Gem Asean Bangkok, Cosmoprof CBE Asean Bangkok, APLF ASEAN และ Vitafoods Asia มาจัดขึ้นที่ประเทศไทยนอกจากนั้น ยังมีการจับมือกับพันธมิตรรายใหม่และคู่แข่งการจัดงานจากต่างประเทศ ร่วมกันจัดงานใหม่ในปีนี้เพิ่มอีก 3 งาน คือ Plastics & Rubber Thailand, Medlab Asia และ Tyrexpo

การเพิ่มขึ้นของจำนวนโชว์และการผลักดันการจัดงานให้เป็นงานสำคัญของภูมิภาค ส่งผลบวกต่อประเทศไทยทั้งในภาคอุตสาหกรรม การลงทุนและการท่องเที่ยว เนื่องจากจำนวนผู้เข้าร่วมงานทั้งผู้ร่วมจัดแสดงงานและผู้

เยี่ยมชมงานเป็นกลุ่มนักธุรกิจที่มีกำลังซื้อสูง โดยจำนวนผู้เข้าร่วมงานที่จัดขึ้นโดย อินฟอร์มา มาร์เก็ตส์ ประเทศไทย มีอัตราการเติบโตเฉลี่ยรวมกันปีละประมาณ 20% สร้างมูลค่าการเจรจาการค้าและธุรกิจทั้งในการจัดงานและหลังการจัดงานปีละหลายหมื่นล้านบาท และยังส่งผลให้เกิดการจับจ่ายด้านการท่องเที่ยวเชิงธุรกิจอีกจำนวนมาก

ส่วนเป้ารายได้ในปี 2567 นั้น คาดว่าจะอยู่ที่ประมาณ 1,180 ล้าน เนื่องจากบางงานมีการจัด 2 ปีต่อครั้ง และปี 2568 คาดว่ารายได้จะกลับมาพุ่งสูงอีกครั้งประมาณ 1,450 ล้านบาท ด้านปัจจัยบวกที่จะส่งผลดีต่อธุรกิจงานแสดงสินค้าในปีหน้านั้นอยู่ที่การฟื้นตัวของธุรกิจที่เพิ่มขึ้น แนวโน้มอัตราเงินเฟ้อของโลกที่ผ่อนคลายลง การพัฒนาและการเปลี่ยนของเทคโนโลยีในหลายอุตสาหกรรม ทำให้เกิดการลงทุนเครื่องจักรและเครื่องมือในการผลิตใหม่ๆ นโยบายการกระตุ้นการท่องเที่ยวและการสนับสนุนการจัดงานแสดงสินค้าจากภาครัฐ ส่วนปัจจัยลบที่ยังส่งผลอยู่มีทั้งสงครามในบางพื้นที่ที่ยังไม่สงบ เศรษฐกิจโลกที่ยังฟื้นตัวไม่เต็มที่ และความก้าวหน้าทางเทคโนโลยีที่ทำให้ติดต่อกันง่ายขึ้น

ดังนั้นจึงเป็นเหตุผลว่าทำไมเป้าหมายของเราจึงเป็นการสร้างงานแสดงสินค้านานาชาติระดับภูมิภาค ที่นอกจากจะเป็นการสร้างเคลือข่ายเชื่อมโยงการค้ากันในอาเซียนแล้ว ด้วยกำลังซื้อจำนวนมากของภูมิภาคยังเป็นแรงดึงดูดนักธุรกิจและบริษัทต่างๆ ของโลกให้เข้ามาร่วมงานที่เราจัดขึ้นในประเทศไทย โดยในสายตาผู้จัดงานแสดงสินค้าและนักธุรกิจนั้น เห็นว่าประเทศไทยมีศักยภาพอย่างมากในการเป็น HUB การจัดงานแสดงสินค้านานาชาติของภูมิภาค ไม่ว่าจะเป็นความพร้อมของสถานที่ ค่าใช้จ่ายในการจัดงานและการเดินทางมาร่วมงานไม่สูงมาก เป็นศูนย์กลางของอาเซียน มี Soft Power ที่มีเสน่ห์ทั้งสถานที่ท่องเที่ยว อาหาร และวัฒนธรรม ที่สำคัญคือความเป็นมิตรและรอยยิ้มของคนไทยที่ทำให้ทุกคนอยากมาทำธุรกิจและร่วมงานในประเทศไทย แต่สิ่งที่อยากขอให้ภาครัฐสนับสนุนเพิ่มเติม คือ การปรับปรุงกฎระเบียบที่เป็นข้อจำกัดบางรายการ เช่น ส่วนสมอาหาร เครื่องสำอางค์ อัญมณีและเครื่องประดับ ในมาตรฐานการนำเข้าเพื่อมาจัดแสดง โดย อินฟอร์มา มาร์เก็ตส์ ประเทศไทย พร้อมและยินดีเป็นอย่างยิ่งที่จะเป็นส่วนหนึ่งในการผลักดันให้ประเทศไทยเป็น HUB ของการจัดงานแสดงสินค้านานาชาติของภูมิภาคอย่างแท้จริง

ในปัจจุบันดัชนีหลักที่ใช้วัดความสามารถการแข่งขันของประเทศก็คือโครงสร้างพื้นฐานในด้านเทคโนโลยีสารสนเทศและโทรคมนาคม หรือ ICT (Information and Communication Technology) สถาบันที่จัดอันดับความสามารถการแข่งขันของประเทศไม่ว่าจะเป็น World Economic Forum (WEF) หรือ International Institute for Management Development (IMD) ล้วนแต่ใช้โครงสร้างพื้นฐานทางด้าน ICT เป็นดัชนีหลักในการวัดความเจริญของประเทศ

นอกจากนี้จะเห็นได้ชัดว่าประเทศที่พัฒนาแล้วจะมีการลงทุนทางด้าน ICT เป็นสัดส่วนที่มีจำนวนมากกว่าประเทศที่ด้อยพัฒนา นอกจากนี้ในมุมของการบริโภค ประเทศที่พัฒนาแล้วจะมีการบริโภคอุปกรณ์และบริการ ICT มากกว่าประเทศที่ด้อยพัฒนา สาเหตุหลักที่ประเทศที่พัฒนาแล้วให้ความสำคัญกับโครงสร้างพื้นฐานด้าน ICT ก็เป็นเหตุผลเดียวกับการที่ประเทศเหล่านั้นให้ความสำคัญกับโครงสร้างพื้นฐานด้านการสื่อสาร และระบบคมนาคมอื่นๆ เช่น โทรศัพท์ ถนน รถไฟ เป็นต้น เนื่องจาก ICT เป็นเทคโนโลยีที่ทำให้คน ธุรกิจ และองค์กรต่างๆ สามารถติดต่อสื่อสารกันได้ง่ายรวดเร็วขึ้น และมีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น นอกจากนี้ยังส่งผลให้ประชาชนและธุรกิจสามารถเข้าถึงข้อมูลได้มากขึ้น ทำให้ตัดสินใจได้ดียิ่งขึ้น อีกประการหนึ่งก็คือโครงสร้างพื้นฐานด้าน ICT ส่งผลให้คนเข้าถึงความรู้และมีการศึกษามากขึ้น การศึกษาสามารถเข้าถึงได้ง่ายขึ้น เมื่อคนมีการศึกษาสูงขึ้น คนเหล่านั้นก็มีโอกาสที่จะสร้างนวัตกรรมต่างๆ ให้เกิดมากขึ้นไปด้วย จากงานวิจัยของ World Bank พบว่าในทุกๆ สิบเปอร์เซ็นต์ของการเพิ่มขึ้นของจำนวนผู้เข้าถึงอินเทอร์เน็ตความเร็วสูง จะส่งผลต่อการเติบโตของเศรษฐกิจในประเทศนั้นๆ อย่างน้อย 1.4 เปอร์เซ็นต์ 

 สำหรับประเทศไทยเมื่อเปรียบเทียบกับประเทศที่มีความเจริญแล้ว เช่นเกาหลีใต้ สิงคโปร์ ญี่ปุ่น หรือ มาเลเซีย จะเห็นว่าในปัจจุบัน ประเทศไทยยังมีความเจริญด้านเทคโนโลยีทั้งทางด้าน ICT และโทรคมนาคมต่ำกว่า โดยจากการเปิดเผยผลวิจัยความสามารถแข่งขัน ICT ไทย ประเทศไทยอยู่ในอันดับที่ต่ำกว่าประเทศเพื่อนบ้านในด้านต่างๆ เช่น จำนวนผู้ใช้บรอดแบนด์ (อินเทอร์เน็ตความเร็วสูง) ทั้งด้านจำนวนผู้ใช้คอมพิวเตอร์ และอัตราการเข้าถึงอินเทอร์เน็ต และเรายังคงเป็นเพียงผู้ใช้ที่เป็นผู้ตามเทคโนโลยี ยังไม่ใช่ผู้สร้างนวัตกรรมต่างๆ ซึ่งจะเห็นได้ว่าไม่มีบริษัทไทยในประเทศไทยที่สามารถสร้างความสามารถการแข่งขันด้วยนวัตกรรมทางเทคโนโลยี ขณะที่ จีนมี Alibaba ญี่ปุ่นมี Rakuten และ เกาหลีมี Line ซึ่งจากการจัดอันดับความสามารถในด้านโครงสร้างพื้นฐานของระบบเครือข่าย (Network Readiness Index) ที่วัดทั้งด้านคุณภาพและปริมาณของระบบเครือข่ายโทรคมนาคมและอินเทอร์เน็ต พบว่า ประเทศไทยอยู่อันดับที่ 67 จาก 143 ประเทศทั่วโลก ซึ่งเป็นเหตุผลยืนยันได้อย่างดีกว่าความสามารถในการแข่งขันของประเทศไทยนั้นตามหลังประเทศเพื่อนบ้าน เนื่องจากมีขีดความสามารถด้าน ICT น้อยกว่าในประเทศที่พัฒนาแล้ว นอกจาการลงทุนและการบริโภค ICT ของคนและธุรกิจในประเทศแล้ว อีกสิ่งหนึ่งที่เกิดขึ้นก็คือนวัตกรรมทางด้าน ICT รวมถึงธุรกิจมีการตอบรับนำ ICT เข้ามาประยุกต์ใช้ในการทำธุรกิจ มีการเกิดขึ้นของ
สิทธิบัตรทางด้าน ICT และมีการพัฒนาบุคลากรให้มีความรู้และความเชี่ยวชาญในด้าน ICT ประเทศไทยยังมีบุคลากรที่มีศักยภาพ แต่ขาดการส่งเสริมอย่างชัดเจนจากภาครัฐในด้านการพัฒนาบุคลากร โดยในความเป็นจริงแล้ว ประเทศไทยผลิตทรัพยากรบุคคลทั้งในด้านคุณภาพและปริมาณและการพัฒนาด้านการศึกษา แต่ก็ยังมีปริมาณไม่เพียงพอต่อความต้องการในตลาดแรงงาน รวมทั้งจำนวนบุคลากรที่เกี่ยวข้องกับงานด้านเทคโนโลยีสารสนเทศ 

อีกสาเหตุหนึ่งที่เป็นอุปสรรคในการพัฒนาความสามารถการแข่งขันทางด้าน ICT ของประเทศไทยก็คือปัจจัยทางด้านการเมืองและกฎหมาย ปัจจัยการเมืองส่งผลกระทบหลักต่อการตัดสินใจเข้ามาลงทุนของต่างชาติ ทั้งนี้การเมืองที่ไม่มีเสถียรภาพ มีกลุ่มผลประโยชน์แอบแฝงมาในลักษณะของนักการเมือง มีการปฏิวัติรัฐประหารอยู่บ่อยครั้ง ส่งผลให้บริษัทต่างชาติไม่มีความมั่นใจในการลงทุน ส่งผลให้การเข้ามาของเทคโนโลยีใหม่ๆ นั้นไม่สามารถเข้ามาได้ การที่กฎหมายหลายฉบับที่เกี่ยวข้องกับเทคโนโลยียังไม่ออกมา ไม่ว่าจะเป็นการทำธุรกรรมทางอิเล็กทรอนิกส์ กฎหมายที่เกี่ยวข้องกับการคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล (Privacy) กฎหมายที่เกี่ยวข้องกับความปลอดภัยไซเบอร์ เป็นต้น ส่งผลต่อความไม่มั่นใจของภาคธุรกิจ และรวมไปถึงความไม่มั่นใจของผู้บริโภคในการซื้อสินค้าบริการออนไลน์ หรือทำธุรกรรมทางอิเล็กทรอนิกส์ นอกจากนี้กฎหมายอาชญากรรมคอมพิวเตอร์ในประเทศไทยยังเป็นอุปสรรคต่อการพัฒนาธุรกิจและการลงทุน โดยเฉพาะอย่างยิ่ง มาตรา 15 ที่กำหนดให้ผู้บริการหรือเจ้าของเว็บไซต์ต้องรับผิดชอบต่อการกระทำของผู้ใช้ในระบบของตนเอง 

นอกจากนี้ถึงแม้ว่าจำนวนผู้ใช้อินเทอร์เน็ตในประเทศไทยมีแนวโน้มที่เติบโตขึ้น โดยเฉพาะในการใช้ Social Media หรือสื่อสังคม แต่การใช้ส่วนใหญ่ยังเป็นการใช้ในทางที่ผิดเช่น การกลั่นแกล้งทางออนไลน์ (Online Bullying) การละเมิดทรัพย์สินทางปัญญา และการละเมิดสิทธิความเป็นส่วนตัว การใช้เวลากับการเล่นเกม การกระทำเหล่านี้ส่งผลต่อความเสียหายทั้งต่อบุคคลอื่นๆ และระบบเศรษฐกิจและสังคม ภาครัฐบาล ภาคการศึกษา ควรมีนโยบายส่งเสริมการใช้อินเทอร์เน็ตอย่างสร้างสรรค์ในทางบวก 

สุดท้ายปัญหาหลักในด้านการพัฒนาศักยภาพในด้าน ICT ของประเทศไทยก็คือ มีความเหลื่อมล้ำสูงระหว่างคนจนและคนรวย คนมีการศึกษาและคนไม่มีการศึกษา คนที่อยู่ในพื้นที่เมืองหลวงและคนที่อยู่ในพื้นที่ชนบท ในการเข้าถึงเทคโนโลยีพื้นฐาน จะเห็นได้ว่าที่ผ่านมาการใช้เทคโนโลยีโทรคมนาคมมีการใช้โดยเฉพาะคนที่มีฐานะ มีการศึกษา และอยู่ในพื้นที่เมืองหลวงที่เทคโนโลยีโทรคมนาคมเข้าถึง จะเห็นได้อย่างชัดเจนว่าประเทศไทยมีอัตราผู้ที่เข้าถึงอินเทอร์เน็ตความเร็วสูง (Broadband Internet) ค่อนข้างต่ำ ยกตัวอย่างเช่น ประเทศไทยมีเครือข่าย 4G มาเกือบหนึ่งปีแต่จำนวนผู้ใช้ 4G มีเพียงประมาณ 2 ล้านคน ปัญหานี้ส่งผลให้ประเทศเสียโอกาสในการแข่งขัน ไม่ว่าจะเป็นการเติบโตของพาณิชย์อิเล็กทรอนิกส์ การเติบโตของรัฐบาลอิเล็กทรอนิกส์ รวมถึงการศึกษา ซึ่งการเสียโอกาสนี้นำไปสู่ปัญหาด้านอื่นๆ ของประเทศไม่ว่าจะเป็น ปัญหาด้านเศรษฐกิจ ด้านสังคม ด้านการศึกษา และรวมไปถึงด้านความมั่นคงด้วย คงถึงเวลาแล้วที่หน่วยงานที่เกี่ยวข้องคงต้องมาทบทวนปัญหาอุปสรรคที่ผ่านมาว่าอะไรคือต้นเหตุ อะไรควรเป็นแนวทางการแก้ปัญหานี้ เพราะต้องอย่าลืมว่าในปัจจุบันไม่มีประเทศไหนที่สามารถแข่งขันหรือพัฒนาได้โดยปราศจากเทคโนโลยีสารสนเทศและระบบเครือข่ายโทรคมนาคมที่มีประสิทธิภาพได้


เรื่อง : รองศาสตราจารย์ พ.ต.ต.ดร.ดนุวศิน เจริญ  
รองคณบดี คณะบริหารธุรกิจ สถาบันบัณฑิตพัฒนบริหารศาสตร์

X

Right Click

No right click