สตาร์ทอัพที่ได้จับคู่ร่วมมือกับ บมจ.บี.กริม เพาเวอร์ ได้แก่
Annea
สตาร์ทอัพจากประเทศเยอรมนีที่มุ่งเน้นเรื่องการสร้างประสิทธิภาพการผลิตพลังงานหมุนเวียน ด้วยเครือข่ายอัจฉริยะ โดยใช้แพลตฟอร์มดิจิทัลสำหรับการบำรุงรักษาเชิงคาดการณ์อัตโนมัติ (Predictive Maintenance) สำหรับโครงการผลิตไฟฟ้าจากพลังงานหมุนเวียนทุกประเภท ที่สามารถทำนายประสิทธิภาพการทำงานและตรวจสุขภาพของเครื่องจักรล่วงหน้า เพื่อยืดอายุการใช้งานและเพิ่มประสิทธิภาพการผลิตพลังงานหมุนเวียนอย่างชาญฉลาด
PAC Corporation
สตาร์ทอัพสัญชาติไทย ที่มุ่งเน้นเรื่องการสร้างโซลูชั่นด้านพลังงานในระบบปรับอากาศ และการใช้น้ำในภาคอุตสาหกรรม โดยนำเทคโนโลยีดิจิทัลมาควบคุมระบบน้ำร้อน และเครื่องปรับอากาศ ซึ่งจะช่วยอนุรักษ์พลังงานและช่วยลดค่าไฟฟ้า อย่างเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม
สตาร์ทอัพที่ได้จับคู่ร่วมมือกับเครือเจริญโภคภัณฑ์ ได้แก่
ETRAN
สตาร์ทอัพสัญชาติไทย ที่มุ่งเน้นเรื่องการสร้างนวัตกรรมด้านยานพาหนะไฟฟ้า และการขนส่งที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม ด้วยพัฒนาโซลูชั่นด้านการขนส่งที่ยั่งยืน โดยมุ่งเน้นการให้บริการด้านรถมอเตอร์ไซค์ไฟฟ้าที่ตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์ของคนไทยด้วยพลังงานสะอาด
AltoTech
สตาร์ทอัพสัญชาติไทย ที่มุ่งเน้นเรื่องการใช้เทคโนโลยีดิจิตัล AIoT ด้วยการพัฒนาแพลตฟอร์ม Alto Energy Edge สำหรับภาคธุรกิจและอุตสาหกรรม โดยสามารถวิเคราะห์ ตรวจสอบ และจัดการการใช้พลังงาน ของโรงแรม อาคาร ร้านค้า เพื่อส่งเสริมความเป็นเมืองอัจฉริยะ ด้วยการใช้พลังงานอย่างมีประสิทธิภาพและลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก
สตาร์ทอัพที่ได้จับคู่ร่วมมือกับ บมจ.ไออาร์พีซี ได้แก่
Thai Carbon
สตาร์ทอัพที่ก่อตั้งในประเทศไทย โดยผู้เชี่ยวชาญด้านวิศวกรรมเคมีชาวต่างชาติ ที่มุ่งเน้นเรื่องการผลิตวัสดุชีวภาพขั้นสูง (advanced bio-based material) จากการถ่ายชีวภาพ (biochar) เพื่อใช้ในการกักเก็บคาร์บอนและเป็นวัสดุในภาคอุตสาหกรรม ซึ่งจะช่วยลดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมที่เกิดจากวัสดุเหลือทิ้งในภาคการเกษตร และสามารถนำไปผลิตพลังงานทดแทนที่จะช่วยลดการใช้เชื้อเพลิงฟอสซิลได้อีกด้วย
Krosslinker
สตาร์ทอัพจากประเทศสิงคโปร์ ที่ใช้เทคโนโลยีวัสดุขั้นสูง มาสร้างฉนวนกันความร้อนแบบใหม่ที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมโดยไม่ก่อให้เกิดมลพิษจากกระบวนการผลิตที่ใช้พลังงานต่ำกว่าการผลิตฉนวนกันความร้อนทั่วไป เพื่อนำไปใช้ในการอนุรักษ์และเพิ่มประสิทธิภาพการใช้พลังงานในอุตสาหกรรมการผลิตขั้นสูง
สตาร์ทอัพที่ได้จับคู่ร่วมมือกับ บมจ. ปตท. ได้แก่
ReJoule’s
สตาร์ทอัพจากประเทศสหรัฐอเมริกา ที่มุ่งเน้นอุตสาหกรรมยานยนต์ไฟฟ้า พัฒนาระบบตรวจสอบสุขภาพแบตเตอรี่ของรถยนต์ไฟฟ้า ที่จะช่วยยืดอายุการใช้งานและเพิ่มมูลค่าของแบตเตอรี่ทุกก้อน ทำให้ระบบจัดเก็บพลังงานของแบตเตอรี่มีประสิทธิภาพสูงสุด และสร้างวงจรชีวิตผลิตภัณฑ์ที่ยั่งยืนโดยลดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมในระยะยาว
TIE-con
สตาร์ทอัพสัญชาติไทย ที่มุ่งเน้นเรื่องการอนุรักษ์พลังงานในอาคารด้วยเทคโนโลยีดิจิตัล เพื่อสร้างประสิทธิภาพการใช้พลังงานในอาคารสำนักงานและตึกสูง ด้วยโซลูชั่นระบบจัดการพลังงานอัจฉริยะภายในอาคารและโรงงานด้วย IoT (Internet of Thing) และปัญญาประดิษฐ์ (AI) ซึ่งจะช่วยลดการใช้พลังงานในอาคาร และสามารถวางแผนการบำรุงรักษาระบบพลังงานในอาคารได้อย่างแม่นยำและมีประสิทธิภาพ
ทั้งนี้ สตาร์ทอัพทั้ง 8 ทีม จะได้เข้าร่วม “Decarbonize Thailand Startup Sandbox” เป็นระยะเวลา 3 เดือน เริ่มตั้งแต่วันที่ 1 สิงหาคม - 31 ตุลาคม 2565 พร้อมได้จับคู่ร่วมมือกับบริษัทชั้นนำของประเทศไทยในการพัฒนาโซลูชั่นให้ออกมาเป็น Proof of Concept (PoC) เพื่อร่วมสร้างนวัตกรรมลดคาร์บอนให้แก่ภาคอุตสาหกรรม ทั้งนี้จะต้องร่วมพัฒนาเป็นโซลูชั่นและนวัตกรรมที่เป็นประโยชน์ทั้งต่อการเติบโตของสตาร์ทอัพและภาคธุรกิจ รวมถึงการได้รับโอกาสผลักดันขยายธุรกิจไปสู่ตลาดต่างประเทศ ขณะเดียวกัน สตาร์ทอัพแต่ละทีมจะได้รับการสนับสนุนสภาพแวดล้อมและทรัพยากรที่เหมาะสมในการทำงาน ทั้งการเข้าร่วม Masterclass Workshops, การให้คำปรึกษาด้านการทดสอบและพัฒนาโซลูชั่นจาก Corporate Mentor และผู้เชี่ยวชาญในภาคอุตสาหกรรมที่เกี่ยวข้อง รวมถึงการอำนวยความสะดวกพื้นที่ในทำงาน และสำหรับการดำเนินงานระยะต่อไปของโครงการ “Decarbonize Thailand Startup Sandbox” จะจัดงาน DTS Symposium ในเดือนพฤศจิกายน 2565
ซึ่งเป็นการประชุมสัมมนาและกิจกรรมสร้างการมีส่วนร่วมระหว่างสตาร์ทอัพ ภาครัฐ ภาคเอกชน องค์กรชั้นนำจากอุตสาหกรรมต่าง ๆ พร้อมกันนี้ สตาร์ทอัพในโครงการจะได้ร่วมแสดงโซลูชั่นการสร้างนวัตกรรมลดคาร์บอนต่อภาคธุรกิจ ภาครัฐ ผู้เชี่ยวชาญและผู้คนในวงการอุตสาหกรรม นอกจากนี้ ภายในงานยังมีนักวิจัย นักเศรษฐศาสตร์ และผู้ที่เกี่ยวข้องในด้านสิ่งแวดล้อมและนวัตกรรม มาร่วมระดมความคิดเห็นเกี่ยวกับความท้าทาย โอกาส และอนาคตของประเทศไทยต่อวิกฤตการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศและการเปลี่ยนผ่านประเทศ เพื่อร่วมขับเคลื่อนประเทศไทยสู่การเป็นกลางทางคาร์บอน (Carbon Neutrality) ในปี 2050 และการปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิเป็นศูนย์ (Net-Zero) ภายในปี 2065 ตามนโยบายของรัฐบาล ตลอดจนร่วมสร้างอุตสาหกรรมใหม่จากคาร์บอนเพื่อร่วมขับเคลื่อนเศรษฐกิจไทย (Thailand’s Zero Carbon Economy) ในระยะยาว