September 19, 2024

ศูนย์วิเคราะห์เศรษฐกิจ ทีทีบี หรือ ttb analytics มองการเข้าสู่ระยะที่ 4 ของภาษีความหวานในปี 2568 กระทบต่อตลาดเครื่องดื่มไม่มีแอลกอฮอล์ในกลุ่มที่ปรับตัวได้ยาก ที่มีสัดส่วนมูลค่า 25% ของตลาด พร้อมวอนภาครัฐจับตากลุ่มที่ได้รับผลกระทบเพียงเล็กน้อยเนื่องจากสามารถปรับตัวได้ อาจอ้างเหตุต้นทุนภาษี และปรับราคาสินค้าซึ่งส่งผลกระทบต่อค่าครองชีพของประชาชน

ตามที่กรมสรรพสามิตได้มีนโยบายการเก็บภาษีความหวานโดยเริ่มบังคับใช้นับตั้งแต่ปี 2560 ที่มีวัตถุประสงค์เพื่อควบคุมการบริโภคน้ำตาลของคนไทยซึ่งเป็นสาเหตุสำคัญของกลุ่มโรคเรื้อรังที่เกิดจากพฤติกรรม เช่น เบาหวาน ความดันและหลอดเลือด นอกจากนี้ หากมองในมุมมองของนักเศรษฐศาสตร์ จะเห็นได้ว่า กลุ่มเครื่องดื่มที่มีน้ำตาลสูง ถูกจัดอยู่ในกลุ่มสินค้าที่ส่งผลกระทบภายนอกทางลบ (Negative Externality) ที่ส่งผลทางอ้อมต่อสุขภาพของผู้บริโภค ซึ่งผลกระทบเหล่านี้ต้องใช้งบประมาณเพื่อรักษาพยาบาลผู้ป่วยในกลุ่มโรคดังกล่าว ดังนั้น ในทางปฏิบัติการกำหนดภาษีพิเศษแทรกแซงกลไกราคา (Pigouvian Tax) เพื่อเพิ่มต้นทุนและทำให้การบริโภคสินค้ากลุ่มนี้ลดลง รวมถึงลดอัตราการเกิดโรคเรื้อรังจากพฤติกรรมติดหวานของคนไทย จึงเป็นเรื่องที่ถูกนำออกมาใช้อย่างเป็นรูปธรรม

อย่างไรก็ตาม เมื่อพิจารณาบนบริบทผลกระทบของการบังคับใช้ภาษีความหวานนับจากปี 2560 จนถึงปัจจุบันที่อยู่ในระยะที่ 3 ผลกระทบของการขึ้นภาษีในแต่ละระลอก กลับส่งผลในทางตรงข้าม โดยแทนที่จะเป็นการลดการบริโภคเครื่องดื่มที่มีน้ำตาลสูง กลับกลายเป็นนโยบายที่สร้างภาระให้ผู้บริโภคจากการส่งผ่านราคาต้นทุนภาษีความหวานที่ผู้ผลิตปรับเพิ่มราคาสินค้าแทน โดยเมื่อเปรียบเทียบกลุ่มเครื่องดื่มที่ได้รับผลกระทบจากภาษีความหวาน เช่น กลุ่มน้ำอัดลม ราคาปรับเพิ่มขึ้น 18-40% (ขึ้นกับขนาดราคาขายในแต่ละบรรจุภัณฑ์) หรือในกลุ่มเครื่องดื่มชูกำลัง ที่ปรับราคาเพิ่มขึ้นราว 20% เมื่อเทียบกับช่วงก่อนบังคับภาษีความหวาน สะท้อนให้เห็นความสามารถในการส่งผ่านภาระต้นทุนต่าง ๆ ของผู้ผลิตสู่ภาระฝั่งผู้บริโภคได้อย่างสมบูรณ์ ซึ่งในระยะถัดไป สิ่งที่น่ากังวลคือการเข้าสู่ระยะที่ 4 ในปี 2568 ของภาษีความหวานที่ถูกคิดภาษีเต็มขั้น โดยเฉพาะในกลุ่มเครื่องดื่มที่มีน้ำตาลในสัดส่วน 8-14% ที่จะถูกคิดภาษีเพิ่มเติมอีก 2 บาท อาจส่งผลให้ผู้บริโภคต้องรับภาระการส่งผ่านราคาดังกล่าวจากผู้ผลิตด้วยการอ้างเหตุของ “ภาษีความหวาน”

ด้วยเหตุนี้ ttb analytics จึงมองผลกระทบที่จะเกิดขึ้นจากการเข้าสู่ระยะที่ 4 ของภาษีความหวานกับตลาดเครื่องดื่มไม่มีแอลกอฮอล์ดังต่อไปนี้

1. กลุ่มที่ไม่ได้รับผลกระทบ คาดว่ามีสัดส่วนราว 20% ของมูลค่าตลาดโดยรวม ซึ่งส่วนใหญ่มักเป็นเครื่องดื่มเพื่อสุขภาพที่ไม่ผสมน้ำตาลหรือสามารถปรับปริมาณที่ให้ความหวานต่ำกว่า 6% เช่น กลุ่มผลิตภัณฑ์เครื่องดื่มจากธัญพืช โดยปัจจุบันเครื่องดื่มในกลุ่มนี้เริ่มใช้สูตรน้ำตาลน้อย รวมทั้งกลุ่มเครื่องดื่มวิตามินทางเลือก หรือเครื่องดื่มที่มุ่งเน้นเรื่องสุขภาพ (Functional Drinks) ที่ส่วนใหญ่ใช้น้ำตาลในสัดส่วนที่ไม่ถูกจัดเก็บภาษี และรวมถึงกลุ่มน้ำดื่มบรรจุขวดที่มีมูลค่าตลาดราว 9%

2. กลุ่มที่ได้รับผลกระทบแต่คาดว่าปรับตัวได้และสามารถลดผลกระทบของการถูกจัดเก็บภาษีได้อย่างมีนัยสำคัญ ซึ่งครอบคลุมตลาดกว่า 55% ของตลาดเครื่องดื่มไม่มีแอลกอฮอล์ อาทิ กลุ่มน้ำอัดลม กาแฟและชาพร้อมดื่ม มีลักษณะการปรับตัวดังต่อไปนี้ 1) การปรับสูตรน้ำตาลน้อย หรือสูตรไม่มีน้ำตาล (เติมสารความหวาน) เนื่องจากเครื่องดื่มกลุ่มนี้สามารถปรับลดน้ำตาลเข้าสู่ระดับไม่เกิน 8% ซึ่งเป็นระดับที่คิดภาษีในอัตราที่ต่ำโดยไม่กระทบกับความรู้สึกของผู้บริโภค จากพฤติกรรมของผู้บริโภคเครื่องดื่มกลุ่มนี้ บริโภคเพื่อรสชาติมากกว่าเพื่อรับพลังงาน ดังนั้น การใช้สารให้ความหวานทดแทนน้ำตาลสามารถทำได้โดยกระทบต่อยอดขายค่อนข้างน้อย 2) การปรับขนาดบรรจุภัณฑ์ เพื่อลดภาษีต่อหน่วยขาย เนื่องจากการปรับลดสูตรน้ำตาลอาจไม่ส่งผลต่อผู้บริโภคบางกลุ่มที่ยังชอบบริโภคความหวานจากน้ำตาล ทำให้รูปแบบการปรับตัว คือ การลดขนาด เช่น กลุ่มน้ำอัดลมสูตรดั้งเดิมที่มีน้ำตลาดในช่วง 10-14% ที่จะถูกเพิ่มภาษีจาก 3 บาทเป็น 5 บาทต่อลิตร เริ่มเน้นตลาดบรรจุภัณฑ์ขนาด 300 – 330 มิลลิลิตร จากการเข้าสู่ระยะที่ 4 ของภาษีความหวานต่อบรรจุหน่วยขายที่จะเพิ่มขึ้นเพียงราว 0.60 – 0.66 บาทต่อหน่วยขาย ซึ่งการส่งผ่านราคาผ่านการขึ้นราคาสินค้าสามารถทำได้ง่ายเนื่องจากการขึ้นราคาเพียง 1 บาทก็ครอบคลุมและเกิดส่วนต่างกำไรที่เพิ่มขึ้นให้ผู้ผลิต และเมื่อเทียบกับขนาดบรรจุภัณฑ์ขนาด 550 มิลลิลิตร ภาษีความหวานระยะที่ 4 จะมีการปรับเพิ่มขึ้น 1.1 บาท ซึ่งหากผู้ผลิตจะส่งผ่านราคาโดยไม่เสียพื้นที่กำไรอาจต้องขึ้นราคาถึง 2 บาทต่อหน่วย

3. กลุ่มที่ได้รับผลกระทบแต่การปรับตัวอาจทำได้ยาก ซึ่งครอบคลุมตลาดราว 25% ของตลาดเครื่องดื่มไม่มีแอลกอฮอล์ ส่วนใหญ่เป็นกลุ่มเครื่องดื่มชูกำลัง ที่มิติของการลดน้ำตาลอาจไม่ใช่คำตอบ เนื่องจากตามธรรมชาติ เครื่องดื่มชูกำลังเป็นเครื่องดื่มให้พลังงานสูงและผู้บริโภคจะรู้สึกสดชื่นและมีแรงทันทีหลังจากดื่มเครื่องดื่มที่มีปริมาณน้ำตาลที่สูง การปรับลดน้ำตาลอาจทำให้ความพอใจในการบริโภคสินค้าลดน้อยลง กอปรกับ เครื่องดื่มชูกำลังเป็นสินค้าที่ทดแทนได้ง่าย ทำให้การปรับเปลี่ยนสูตรอาจต้องมีความระมัดระวังสูง และจากลักษณะตลาดที่เป็นตลาดผู้ขายน้อยราย (Oligopoly Market) ผู้ประกอบการจะต้องคำนึงถึงกลยุทธ์ของผู้ประกอบการรายอื่นอย่างจริงจัง รวมถึงกลยุทธ์การปรับขนาดบรรจุภัณฑ์ ก็อาจเป็นเรื่องที่เป็นไปได้ยากเนื่องจากในตลาดขนาดบรรจุภัณฑ์สำหรับเครื่องดื่มประเภทนี้มีขนาดบรรจุที่น้อยมากอยู่แล้วโดยมีเพียง 100 – 150 มิลลิลิตร

โดยสรุป การเข้าสู่ระยะที่ 4 หรือระยะที่ภาษีความหวานถูกจัดเก็บเต็มขั้น แม้ภาษีที่ถูกจัดเก็บครอบคลุมตลาดเครื่องดื่มไม่มีแอลกอฮอล์กว่า 80% ของมูลค่าตลาด แต่เมื่อมองถึงผลกระทบคาดว่าจะตกอยู่ที่เฉพาะกลุ่มเครื่องดื่มชูกำลังที่มีข้อจำกัดในการปรับตัว ในขณะที่สินค้าส่วนใหญ่ไม่ได้รับผลกระทบหรือได้รับผลกระทบน้อยจากความเป็นไปได้ในการปรับลดใช้น้ำตาล หรือผ่านกลยุทธ์การตลาด อย่างไรก็ตาม ผลลัพธ์จากนโยบายการจัดเก็บภาษีความหวานอาจมีผลสัมฤทธิ์ในทางเลือกของประชาชนด้านการบริโภคเครื่องดื่มที่มีน้ำตาลน้อยมากขึ้น ในทางกลับกันผู้บริโภคอาจต้องรับผลกระทบจากการผลักภาระภาษีความหวานผ่านการขึ้นราคาสินค้า โดยเฉพาะในกลุ่มที่ได้รับผลกระทบน้อยแต่อ้างภาระภาษี เนื่องจากหากไม่มีการควบคุมราคา ตามธรรมชาติของเครื่องดื่มส่วนใหญ่ถูกจัดในกลุ่มสินค้าที่มีความยืดหยุ่นอุปสงค์ต่อราคาที่ต่ำ (Low Price Elasticity of Demand) จากราคาต่อหน่วยที่ไม่สูง ส่งผลให้การขึ้นราคามักไม่กระทบต่อการตัดสินใจซื้อ จึงกลายเป็นโอกาสของผู้ประกอบการขยับราคาจากเหตุต้นทุนภาษีความหวาน และส่งผลให้ผู้บริโภคมีค่าครองชีพที่เพิ่มสูงขึ้นโดยไม่จำเป็น

 

วิเคราะห์โอกาสเจาะ 4 ธีมการลงทุนครึ่งปีหลังเพื่อความยั่งยืน

ทีเอ็มบีธนชาต หรือ ทีทีบี มอบโปรโมชันสุดพิเศษให้กับผู้ถือบัตรเครดิต ttb เมื่อช้อปสินค้าไอทีที่ร่วมรายการ จากร้านค้าในเครือ Com7 ได้แก่ Studio7, BaNANA, Kingkong Phone, BKK, true by Com7 และผ่านทางออนไลน์ www.studio7thailand.com และ www.bnn.in.th แบบชำระเต็มจำนวน หรือแบ่งชำระ 0% pay plan ระหว่างวันที่ 1 มิ.ย. 2567 – 30 ก.ย. 2567 พร้อมรับทันทีสิทธิพิเศษสุดคุ้ม

พิเศษ 1: รับเครดิตเงินคืนรวมสูงสุด 26,400 บาท

  • รับเครดิตเงินคืนสูงสุด 9,600 บาท เมื่อชำระเต็มจำนวน ลงทะเบียนรับสิทธิ์ผ่านแอป ttb touch หรือส่ง SMS พิมพ์ RBNF ตามด้วยหมายเลขบัตรเครดิต 12 หลักสุดท้าย ส่งมาที่ 4806026 ลงทะเบียนครั้งเดียวรับสิทธิ์ตลอดรายการ สำหรับบัตรเครดิต ttb reserve สามารถรับสิทธิ์ได้โดยไม่ต้องลงทะเบียน จำกัดเครดิตเงินคืนสูงสุด 2,400 บาท / บัญชีบัตรหลัก / เดือน สูงสุด 9,600 บาท / บัญชีบัตรหลัก ตลอดรายการส่งเสริมการขาย (คำนวณรวมทุกร้านในเครือ Com7 ที่ร่วมรายการ)
  • รับเครดิตเงินคืนสูงสุด 16,800 บาท เมื่อแบ่งชำระ 0% pay plan นานสูงสุด 10 เดือน สำหรับบัตรเครดิต ttb และนานสูงสุด 36 เดือน สำหรับบัตรกดเงินสด ttb ลงทะเบียนรับสิทธิ์ผ่านแอป ttb touch หรือส่ง SMS พิมพ์ RBNI ตามด้วยหมายเลขบัตรเครดิต 12 หลักสุดท้าย ส่งมาที่ 4806026 ลงทะเบียนครั้งเดียวรับสิทธิ์ตลอดรายการ บัตรเครดิต ttb reserve สามารถรับสิทธิ์ได้โดยไม่ต้องลงทะเบียน จำกัดเครดิตเงินคืนสูงสุด 4,200 บาท / บัญชีบัตรหลัก / เดือน สูงสุด 16,800 บาท / บัญชีบัตรหลัก ตลอดรายการส่งเสริมการขาย (คำนวณรวมทุกร้านในเครือ Com7 ที่ร่วมรายการ)

พิเศษ 2: แลกคะแนนรับเครดิตเงินคืนสูงสุด 12%

เมื่อใช้คะแนนสะสมเท่ายอดใช้จ่าย และมียอดใช้จ่ายแบบชำระเต็มจำนวน หรือแบ่งชำระ 0% pay plan ตั้งแต่ 1,000 บาทขึ้นไป / เซลล์สลิป สำหรับการใช้จ่ายที่หน้าสาขาเท่านั้น (Studio7, BaNANA, Kingkong Phone, BKK และ true by Com7) โดยบัตรเครดิต ttb reserve แลกรับเครดิตเงินคืน 12% และ บัตรเครดิต ttb อื่น ๆ ประเภทมีคะแนนสะสม และบัตรเครดิต ttb global house แลกรับเครดิตเงินคืน 10%

จำกัดการแลกคะแนนสะสมสูงสุด 100,000 คะแนน / บัญชีบัตรหลัก / เดือน สูงสุด 400,000 คะแนน / บัญชีบัตรหลัก ตลอดรายการส่งเสริมการขาย (คำนวณรวมทุกร้านในเครือ Com7 ที่ร่วมรายการ) และสงวนสิทธิ์การแลกคะแนนสำหรับการทำรายการที่หน้าสาขาเท่านั้น

ทีทีบีมุ่งส่งเสริมให้ลูกค้าวางแผนใช้จ่ายเท่าที่จำเป็น และผ่อนชำระคืนไหว เพื่อสร้างชีวิตทางการเงินที่ดีขึ้นศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมของโปรโมชันนี้ได้ที่ https://www.ttbbank.com/th/cc/pro / https://www.ttbbank.com/th/promotion/detail/cpnexclusive-may24

ร่วมผลักดันหยุดวงจรบูลลี่ พร้อมสร้างความเข้าใจ ลดปัญหาบูลลี่ในรั้วโรงเรียนผ่านโครงการ “เท่ได้..ต้องไม่บูลลี่”

ทีเอ็มบีธนชาต หรือ ทีทีบี โดยนายศรัณย์ ภู่พัฒน์ (ที่ 3 จากขวา) ประธานเจ้าหน้าที่บริหารลูกค้าธุรกิจ ร่วมเป็นเกียรติลงนามสัญญาให้บริการรับชำระเงินค่าไฟฟ้าผ่านระบบอิเล็กทรอนิกส์สําหรับลูกค้านิติบุคคล ร่วมกับการไฟฟ้าส่วนภูมิภาค โดย หม่อมราชวงศ์ สิริวัลย์ เกษมสันต์ ณ อยุธยา (ที่ 4  จากขวา) รองผู้ว่าการบัญชีและการเงิน เพื่ออำนวยความสะดวกในการชําระเงินค่าไฟฟ้า สําหรับลูกค้านิติบุคคล ผ่านช่องทางออนไลน์ ttb business one ดิจิทัลแบงก์กิ้งของธนาคาร โดยทีทีบี เป็นธนาคารแรกที่พัฒนารูปแบบการให้บริการรับชำระเงินค่าไฟฟ้าผ่านระบบอิเล็กทรอนิกส์สําหรับลูกค้านิติบุคคล ที่สามารถแสดงรายละเอียดบิลและค่าไฟฟ้าปัจจุบันที่ต้องชําระตามหมายเลขผู้ใช้ไฟฟ้าที่ลูกค้าระบุไว้

จากความร่วมมือดังกล่าว ทำให้ลูกค้านิติบุคคลสามารถทำรายการสะดวกผ่าน ttb business one ได้ทั้งคอมพิวเตอร์ แท็บเล็ต และสมาร์ทโฟน ให้บริการทุกที่ ทุกเวลา ตลอด 24 ชั่วโมง ป้องกันความเสี่ยง ลดการจัดการด้านเอกสาร และไม่ต้องเสียเวลาจากการเดินทางไปชำระเงินค่าไฟฟ้าด้วยเงินสดหรือเช็ค ณ สำนักงานการไฟฟ้าส่วนภูมิภาค พร้อมสามารถยืนยันการทำรายการหรือหักเงินในบัญชีเพื่อชำระเงิน โดยผ่านผู้มีอำนาจอนุมัติของบริษัท ซึ่งหลักฐานการชำระเงินสามารถใช้ตรวจสอบย้อนหลังได้ โดยผู้ใช้บริการจะได้รับการยกเว้นค่าธรรมเนียมการจ่ายบิล ตั้งแต่วันนี้ ถึง 31 ธันวาคม 2567  

ทีทีบี มีความมุ่งมั่นที่จะทําให้ลูกค้าและธุรกิจมีชีวิตทางการเงินที่ดีขึ้นทั้งในวันนี้และอนาคต สามารถบริหารจัดการเรื่องสำคัญในชีวิตและธุรกิจได้อย่างมีประสิทธิภาพและรอบด้าน โดยธนาคารพร้อมเคียงข้างสนับสนุนให้ลูกค้าธุรกิจประสบความสําเร็จในทุกสถานการณ์ และเติบโตอย่างยั่งยืน

X

Right Click

No right click