

"บ้านที่แข็งแรง ทนทาน ปลอดภัย และส่งเสริมคุณภาพชีวิตการอยู่อาศัยที่ดี" คือหัวใจสำคัญที่คนสร้างบ้านในไทยต้องการ โดยเฉพาะหลังเหตุการณ์แผ่นดินไหวครั้งใหญ่ในเมียนมา ที่สร้างความเสียหายให้อาคารบ้านเรือนในไทยหลายจังหวัด นอกจากภัยแผ่นดินไหวแล้ว วิกฤตหรือปัญหาเดิม ๆ ทั้งเสียงรบกวน ความร้อน หรือฝุ่น PM 2.5 ก็ยังก่อกวนการใช้ชีวิตของคนไทยไม่จบ
บ้าน SCG HEIM ได้ชื่อว่าเป็นบ้านระดับพรีเมียม ที่มีความโดดเด่นในเรื่องของความแข็งแรงทนทาน สะอาด ปลอดภัย ตอบโจทย์คุณภาพชีวิตที่ดีของผู้อยู่อาศัย แต่หลายคนอาจยังไม่รู้ว่า บ้าน SCG HEIM เป็นบ้านที่สามารถต้านทานแรงสั่นสะเทือนของแผ่นดินไหว หรือต้านทานความเร่งของการสั่นสะเทือนที่ปลอดภัยได้มากกว่า 1,200 แกล (gal)* จุดนี้ถือเป็นศักยภาพที่ตอบโจทย์ความต้องการของคนไทยหลังประสบภัยแผ่นดินไหวเป็นอย่างยิ่ง
คุณสมบัติที่โดดเด่นของบ้าน SCG HEIM เกิดจากการผสานความร่วมมือระหว่างเอสซีจี และ บริษัท เซกิซุย (Sekisui) ผู้ผลิตและผู้เชี่ยวชาญด้านการสร้างบ้านจากประเทศญี่ปุ่น ที่ดำเนินมาตั้งแต่ปี 2553 เซกิซุย ได้นำความเชี่ยวชาญและนวัตกรรมเทคโนโลยีแบบโมดูลาร์ (Modular) ซึ่งเป็นการสร้างบ้านสำเร็จรูปที่ผลิตโดยหุ่นยนต์ในโรงงาน ทำให้สามารถควบคุมคุณภาพการต่อ-เชื่อม-ประกอบได้ดี และคุมระยะเวลาก่อสร้างได้ตามแผน ด้วยระบบการสร้างบ้านที่สามารถปิดช่องว่างรอยต่อทุกส่วนของบ้าน ทั้งประตู หน้าต่าง และผนังด้วย Seal คุณภาพสูง ก่อนนำมาติดตั้งบนพื้นที่จริงเป็นตัวบ้านที่สมบูรณ์
++ บ้าน SCG HEIM มีดียังไง
"ลูกค้าบ้าน HEIM ประมาณ 60 ราย จากปัจจุบันที่มีอยู่กว่า 1,500 หลัง ติดต่อขอให้ทีมเข้าไปตรวจสอบความเสียหายของโครงสร้างบ้าน หลังเหตุแผ่นดินไหวที่ผ่านมา ทีมวิศวกรของ HEIM ได้เข้าไปตรวจสอบและพบว่า ไม่มีบ้านหลังใดได้รับความเสียหายเลย" นายมาซาโตชิ คิฟูจิ กรรมการผู้จัดการ บริษัท SEKISUI - SCG INDUSTRY จำกัด กล่าว
กรรมการผู้จัดการ เซกิซุย อธิบายว่า บ้าน SCG HEIM มีจุดเด่นสำคัญ 3 ด้านคือ 1) การผลิตบ้านในโรงงาน ด้วยโครงสร้างที่เรียกว่า Rahmen Structure ซึ่งเป็นโครงสร้างที่มีความแข็งแรง เป็นระบบโครงสร้างที่มาจากประเทศญี่ปุ่น และการที่ผลิตชิ้นส่วนต่างๆ ของบ้านในโรงงาน ข้อดี คือ สามารถควบคุมคุณภาพและระยะเวลาในการก่อสร้างได้อย่างแม่นยำ 2) การผลิตบ้านในโรงงานทำให้สามารถใส่นวัตกรรมต่าง ๆ เพิ่มเสริมคุณภาพของบ้านได้ เช่น ระบบ Air Tightness System รูปแบบเฉพาะของ SCG HEIM ทำให้อากาศภายในบ้านสะอาด ลดฝุ่น PM2.5 และเชื้อโรค ช่วยให้ผู้อยู่อาศัยมีสุขภาพที่ดี พร้อมทั้งการออกแบบและเลือกใช้วัสดุเฉพาะ ช่วยลดเสียงรบกวนจากภายนอกบ้าน อีกทั้งมีการซีล (Seal) ร่องต่าง ๆ เพื่อให้ผู้อยู่อาศัยพักผ่อนอย่างเต็มที่ และยังสามารถเชื่อมกับระบบ Air Factory System ระบบหมุนเวียนอากาศ ทำให้ได้คุณภาพอากาศที่ดีภายในบ้าน แม้ปกติคนไทยจะนิยมเปิดบ้านรับอากาศภายนอกเข้ามาบ้างก็ตาม และ 3) บริการหลังการขาย รับประกัน 20 ปี โดยจะมีทีมผู้เชี่ยวชาญเข้าไปพบและตรวจสอบบ้านต่อเนื่อง ตั้งแต่ปีที่ 1, 2, 3, 4, 5, 10, 15 และ 20
++ สร้างงานเชื่อมต่อกำลังสูง ลดแรงสั่นสะเทือน
ส่วนเรื่องของแผ่นดินไหว ในระหว่างการก่อสร้างภายในโรงงาน ส่วนที่สำคัญที่สุดคือจุดเชื่อมต่อต่าง ๆ เพราะหากงานเชื่อมกำลังไม่ได้ ก็จะเกิดการฉีกขาดออก ซึ่ง SCG HEIM ใช้ระบบโมดูลาร์ (Modular) ที่ใช้หุ่นยนต์ทำหน้าที่ต่อเชื่อมและประกอบ รวมทั้งมีการทดสอบคุณภาพการเชื่ือม ตลอดเวลา ทำให้ได้งานที่แข็งแรงทนทานจริงๆ
นายคิฟูจิ ย้ำว่า บ้าน SCG HEIM ต้านทานความเร่งของการสั่นสะเทือนที่ปลอดภัยได้มากกว่า 1,200 แกล โดยหากเปรียบเทียบกับแผ่นดินไหวเมียนมาที่ผ่านมา แรงสั่นสะเทือนที่วัดได้ที่จุดศูนย์กลางแผ่นดินไหวที่มัณฑะเลย์มีขนาด 1,200 แกล ที่เชียงราย 220 แกล และที่กรุงเทพฯ วัดได้ 75 แกล
"บ้าน HEIM 1 ยูนิต ทนต่อแรงสั่นสะเทือนได้ 1,200 แกล ซึ่งเป็นกล่องทรงสี่เหลี่ยมผืนผ้า แต่หากมีโครงสร้างหลายยูนิตมาประกอบกัน จะยิ่งเพิ่มความทนทานต่อแรงสั่นสะเทือนได้มากยิ่งขึ้น” คิฟูจิอธิบาย
การนำเทคโนโลยีและความเชี่ยวชาญจากญี่ปุ่นมาใช้ในประเทศไทย ได้มีการปรับวัสดุ ความสูง ความหนาให้เหมาะสม เช่น เสาเข็มที่ญี่ปุ่นเป็นดินแข็งจะฝังลึกลงไป 2-3 เมตร แต่เมืองไทยอย่างกรุงเทพฯ ดินอ่อน ต้องฝังลงไปลึกประมาณ 20 เมตร ทั้งนี้ ขึ้นอยู่กับขนาดบ้าน โดยยังคงคุณภาพตามมาตรฐานของเซกิซุย โดยความผิดพลาดของโครงสร้างยูนิตแทบไม่มีเลย เพราะมีการตรวจสอบในแต่ละขั้นตอนของการทำงานต่อเนื่อง
ความเด่นอีกอย่างของบ้าน SCG HEIM คือ ฐานรากจะมีช่องว่าง ที่ทำให้สะดวกต่อการเข้าไปตรวจเช็ค และซ่อมบำรุง โดยไม่ต้องรื้อส่วนใดส่วนหนึ่ง
++ เสริมนวัตกรรมเพิ่มประสิทธิภาพบ้าน
งานก่อสร้างบ้าน SCG HEIM แยกออกเป็น 2 ส่วนชัดเจน ส่วนแรก คือ โครงสร้างบ้านที่ผลิตภายในโรงงานทั้งหมด ก่อนยกไปประกอบหน้างาน ใช้เวลาประมาณ 6-7 วัน และส่วนของการประกอบหน้างาน ใช้เวลาอีก 1-2 วัน หรือมากกว่านั้นแล้วแต่ขนาดบ้าน อีกส่วนคืองานฐานราก ที่จะดำเนินการไปพร้อม ๆ กัน เบ็ดเสร็จหากไม่นับเวลาประสานงานงานดิวงาน การเลือกแบบ งานก่อสร้างทั้งหมดเป็นบ้านหนึ่งหลัง จะใช้เวลาประมาณ 6-7 เดือน
นอกจากโครงสร้างบ้านที่ผลิตภายในโรงงาน นายคิฟูจิ ยังพูดถึงนวัตกรรมหลากหลายที่สามารถติดตั้งเพิ่มเติมได้ในบ้าน HEIM เช่น ระบบ Thermal & Sound Insulated System ติดตั้งวัสดุกันความร้อนที่หลังคาและผนังภายนอก สามารถกันเสียงและความร้อนได้ในตัว, Earth Leakage Circuit Breaker อุปกรณ์ตัดไฟ ป้องกันไฟรั่ว สามารถแยกตัดได้บางห้องหรือบางพื้นที่ หรือLeakage-Free Bathroom System ระบบกันซึมที่ถูกติดตั้งใต้พื้นห้องน้ำ ป้องกันน้ำรั่วซึม
นายเอกพล ลิ่มสุนทรากุล ผู้อำนวยการโรงงาน, SEKISUI - SCG INDUSTRY จำกัด กล่าวว่า ปัจจุบัน บ้าน SCG HEIM มี 5 ซีรีส์ 5 รุ่น และมีราคาเริ่มต้นอยู่ที่ 5.8-5.9 ล้านบาท ราคาขึ้นอยู่กับขนาดของบ้าน รูปแบบการออกแบบ และคุณภาพของวัสดุที่เจ้าของบ้านสามารถเลือกเองได้ โดยเจ้าของบ้านไม่ต้องกังวลกับงบการสร้างบ้านที่จะบานปลาย เพราะร้อยละ 80 ของโครงสร้างหลักทำในโรงงานด้วยหุ่นยนต์ ช่างทุกคนผ่านการฝึกอบรมเป็นอย่างดี และมีทีมตรวจสอบคุณภาพงานอย่างละเอียดในทุกขั้นตอน งานจะเสร็จสมบูรณ์ตามงบและระยะเวลาที่ตกลงกันไว้แน่นอน
เมื่อโครงสร้างพื้นฐานและอาคารหลายแห่งในประเทศไทยมีอายุใช้งานเกินกว่า 30–50 ปี พร้อมเผชิญกับความเสี่ยงใหม่ ๆ จากภัยพิบัติทางธรรมชาติ ธุรกิจซ่อมแซมและบำรุงรักษาโครงสร้าง จึงไม่ได้เป็นเพียงงานบำรุงปกติอีกต่อไป แต่กลายเป็นหนึ่งใน “แนวป้องกันระดับชาติ” ที่จะช่วยยืดอายุอาคาร ลดการสูญเสีย และป้องกันความเสียหายเชิงเศรษฐกิจอย่างมีนัยสำคัญ
แผ่นดินไหว: ความเสี่ยงที่ใกล้ตัวมากกว่าที่คิด
แม้ว่าไทยจะไม่ได้อยู่ในแนวรอยเลื่อนหลักของโลก แต่เหตุการณ์แผ่นดินไหวขนาด 7.7 ริกเตอร์ ที่เมียนมา เมื่อ 28 มีนาคม พ.ศ. 2568 ที่ส่งแรงสั่นสะเทือนถึงหลายจังหวัดในประเทศไทย จนทำให้เกิดผลกระทบด้านโครงสร้างอาคารหลายแห่งเสียหาย รวมถึงเหตุแผ่นดินไหว 6.4 ริกเตอร์ ที่ อ.แม่ลาว จ.เชียงราย ในปี 2557 แรงสั่นสะเทือนส่งผลถึงตึกสูงในกรุงเทพฯ ด้วยเช่นกัน เหตุการณ์เหล่านี้ แสดงให้เห็นว่าโครงสร้างในไทย โดยเฉพาะอาคารเก่า ที่แม้จะมีการออกแบบรับแรงสั่นสะเทือนแล้ว ควรพิจารณาถึงผลกระทบที่อาจเกิดจากภัยแผ่นดินไหวด้วย
CPAC บริษัทในเครือเอสซีจี ซึ่งร่วมทุนกับ SB&M ได้นำความเชี่ยวชาญและเทคโนโลยีซ่อมแซมโครงสร้างของ SB&M มาต่อยอดธุรกิจ Lifetime Solution แบบครบวงจร เพื่อให้บริการงานก่อสร้างในไทยอย่างมีประสิทธิภาพ ครอบคลุมตั้งแต่การตรวจสอบ ไปจนถึงซ่อมแซม เสริมกำลัง และป้องกันความเสียหายของโครงสร้างในระดับลึก
“เราไม่ได้มองแค่การซ่อมเมื่อเกิดความเสียหาย แต่คือการยืดอายุ และทำให้อาคาร-โครงสร้างพร้อมรับมือกับเหตุไม่คาดฝัน เช่น แผ่นดินไหว” — นายสุรชัย นิ่มละออ กรรมการผู้จัดการใหญ่เอสซีจี ซีเมนต์แอนด์กรีนโซลูชันส์ กล่าว
เทคโนโลยีจากญี่ปุ่น สู่การประยุกต์ใช้ในไทย
ญี่ปุ่นคือหนึ่งในประเทศที่มีประสบการณ์ในการรับมือแผ่นดินไหวมากที่สุดในโลก และ SB&M ก็ถือกำเนิดจากสองบริษัทชั้นนำของญี่ปุ่น ได้แก่ SHO-BOND ซึ่งมีความเชี่ยวชาญวัสดุซ่อมแซมระดับจุลภาค และ Mitsui กลุ่มธุรกิจธุรกิจเทรดดิ้งและการลงทุนระดับโลก ที่ร่วมกันพัฒนาเทคโนโลยีในการเสริมความแข็งแรงและซ่อมแซมโครงสร้างขนาดใหญ่หลังเหตุภัยพิบัติ นอกจากความเชี่ยวชาญวัสุดุซ่อมแซมระดับจุลภาค SB&M ยังมีความชำนาญแบบเจาะลึกทั้งด้านเทคโนโลยี วัสดุศาสตร์ และการพัฒนานวัตกรรมซ่อมแซม โดยเฉพาะใน 3 ด้านหลัก:
การร่วมทุนในครั้งนี้ จึงเป็นการนำความรู้และจุดแข็งของทั้ง SB&M และ Mitsui มาต่อยอดผ่านบริการ 5 กลุ่มหลักของ CPAC-SB&M ได้แก่:
- การตรวจประเมินสุขภาพโครงสร้างด้วยเทคโนโลยีขั้นสูง
- การซ่อมแซมและบำรุงรักษาตามมาตรฐานวิศวกรรม
- การเสริมกำลังโครงสร้างให้รองรับแรงสั่นสะเทือนได้มากขึ้น
- การป้องกันสนิมและการกัดกร่อน เพื่อยืดอายุการใช้งาน
- การจัดหาวัสดุนวัตกรรมที่ออกแบบเฉพาะสำหรับงานซ่อมแซม
กรณีศึกษา: การฟื้นฟูหลังแผ่นดินไหวในญี่ปุ่น
หากถามว่า หัวใจสำคัญของงานซ่อมแซม ป้องกันอาคารคืออะไร คำตอบที่มาเป็นอันดับแรกเลยคือ การตรวจประเมินความเสียหายอย่างละเอียด ซึ่งถือเป็นขั้นตอนแรกที่สำคัญที่สุด เพราะต้องทราบต้นตอและขอบเขตของความเสียหายก่อน ต่อจากนั้นจึง เลือกใช้เทคโนโลยีสมัยใหม่ เช่น การสแกนโครงสร้าง (Structural Scanning), การวิเคราะห์ด้วยแบบจำลอง 3 มิติ (BIM), หรือ AI วิเคราะห์ความผิดปกติวิเคราะห์ว่าโครงสร้างยังปลอดภัยหรือไม่ ควรซ่อมแซมหรือรื้อบางส่วน
ต่อจากนั้นคือ การวางแผนและออกแบบการซ่อมแซมอย่างเหมาะสม โดยคำนึงถึงความปลอดภัยระหว่างซ่อม, อายุการใช้งานในอนาคต และต้นทุน การเลือกใช้วัสดุและวิธีการซ่อมที่เหมาะกับประเภทความเสียหาย เช่น คอนกรีตร้าว, เหล็กเป็นสนิม, ฐานรากทรุดตัว โดยต้องมีวิศวกรโครงสร้างหรือผู้เชี่ยวชาญเฉพาะด้านเข้าร่วม
หลังจากนั้นคือ การดำเนินการซ่อมแซมด้วยมาตรฐานวิชาชีพ ใช้ทีมช่างหรือผู้รับเหมาที่มีความชำนาญ มีการควบคุมคุณภาพงาน (QC) และความปลอดภัยระหว่างทำงาน สิ่งสำคัญที่ขาดไม่ได้เลยคือ การบำรุงรักษาและติดตามผลระยะยาว ไม่ใช่แค่ซ่อมแล้วจบ แต่ต้องมีแผนบำรุงรักษาระยะยาว เช่น การตรวจสอบประจำปี ติดตั้งระบบติดตามโครงสร้าง เช่น IoT sensor ตรวจจับแรงสั่นสะเทือน ความชื้น การทรุดตัว เพื่อลดความเสี่ยงต่อการเสียหายซ้ำ และยืดอายุอาคาร
หนึ่งในผลงานเด่นของ SB&M คือ การฟื้นฟูสะพานและโครงสร้างริมทางด่วนในเมืองคุมาโมโตะ หลังเกิดแผ่นดินไหวครั้งใหญ่ในปี 2559 ทีมงานของ SB&M สามารถเร่งตรวจสอบจุดร้าว ปรับปรุงฐานราก และเสริมกำลังสะพานให้กลับมาใช้งานได้ในเวลาอันสั้น พร้อมเพิ่มการป้องกันแรงสั่นในอนาคต
เทคโนโลยีเดียวกันนี้กำลังถูกนำมาประยุกต์ใช้กับโครงสร้างในประเทศไทย เช่น อาคารสูง คอนโดมิเนียม อาคารราชการ โรงพยาบาล สะพานขนาดใหญ่ ไปจนถึงโครงสร้างสาธารณูปโภค
จาก “ซ่อมแซม” สู่ “การลงทุนเพื่อความปลอดภัยระยะยาว”
ในยุคที่โครงสร้างเก่าและภัยธรรมชาติเพิ่มความเสี่ยงให้เมืองไทย การเลือก “ซ่อมแซม” แบบมืออาชีพจึงไม่ใช่เพียงการแก้ปัญหาเฉพาะหน้าอีกต่อไป แต่คือการวางระบบความปลอดภัยของสิ่งก่อสร้าง โครงการต่างๆ ที่ส่งผลต่อความเสียหายทั้งชีวิต ทรัพย์สิน และระบบเศรษฐกิจของประเทศในระยะยาว
CPAC-SB&M จะนำองค์ความรู้และความเชี่ยวชาญที่มี มายกระดับการทำงานร่วมกับพันธมิตรทั้งภาครัฐและเอกชน ในการดูแลโครงสร้างสำคัญทั่วประเทศ ด้วยทีมวิศวกรผู้เชี่ยวชาญ เทคโนโลยีระดับโลก และวัสดุซ่อมแซมที่ออกแบบมาเฉพาะสำหรับสภาพแวดล้อมในภูมิภาคอาเซียน
กรมควบคุมมลพิษ ลงนามในบันทึกข้อตกลงความร่วมมือทางวิชาการ (MOU) โครงการ “บูรณาการความร่วมมือทางวิชาการเพื่อพัฒนาเทคโนโลยีการตรวจวัดกลิ่นด้วยระบบ Electronic Nose” ร่วมกับ กรมโรงงานอุตสาหกรรม กรมอนามัย สถาบันมาตรวิทยาแห่งชาติ สำนักงานมาตรฐานผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรม และบริษัทเอสซีจี แพคเกจจิ้ง จำกัด (มหาชน) เพื่อร่วมกันศึกษา นำเสนอมาตรฐานของเครื่องมือ วิธีทดสอบ และการควบคุมคุณสมบัติของเทคโนโลยีการตรวจวัดกลิ่นด้วยระบบ Electronic Nose (E-nose) นวัตกรรมโซลูชัน เพื่อใช้สำรวจและตรวจวัดพื้นที่หรือกระบวนการผลิตที่ทำให้เกิดกลิ่น และสามารถประเมินผลกระทบกลิ่นจากกระบวนการผลิต รวมถึงตรวจวัดและเฝ้าระวังกลิ่น แก๊ส และมลพิษทางอากาศแบบต่อเนื่อง พร้อมแสดงผลบนเว็บแพลตฟอร์ม มาใช้ในความร่วมมือนี้ ซึ่งจะนำไปสู่การยกระดับการจัดการด้านกลิ่นอย่างมีประสิทธิภาพและเป็นรูปธรรม และการพัฒนาเป็นกฎหมายตรวจสอบและควบคุมแหล่งกำเนิดมลพิษด้านกลิ่นเพิ่มเติมในอนาค