

LINE Wallet ปรับโฉมใหม่! รับอินไซต์ผู้ใช้ไทย ชูความสะดวก ใช้งานง่ายขึ้นกว่าเดิม เพิ่มทางเลือกเข้าถึงบริการ LINE SHOPPING, LINE MAN และ LINE BK ไว้ในแท็บเดียว โดยหยิบเอา 3 บริการไลฟ์สไตล์สุดฮิตจาก LINE ขึ้นมาเป็น 3 แท็บย่อยของเซอร์วิสยอดนิยม เพื่อเป็นเมนูไอคอนทางลัด พร้อมปุ่มแจ้งเตือนสีเขียวเพื่อไม่ให้พลาดทุกคอนเทนต์และโปรโมชั่นจากพาร์ทเนอร์ ตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์ยุคดิจิทัลที่ไม่หยุดนิ่ง
LINE ประเทศไทย เผยปี 2566 มีผู้ใช้งาน LINE Wallet ราว 25 ล้านคน หรือคิดเป็น 50% จากผู้ใช้ LINE ทั้งหมด โดยพบว่าบริการยอดนิยมบนหน้า Wallet คือ การซื้อสติกเกอร์และบริการฟินเทค (Fin-Tech) โดยมีผู้ใช้ถึงกว่า 75% นิยมเข้ามาซื้อของ โดยเฉพาะสติกเกอร์ ธีม เมโลดี้ และสินค้าบน LINE SHOPPING ขณะที่บริการฟินเทคใน LINE BK ได้รับความนิยมใช้งานกว่า 50% นอกจากนี้ ผลสำรวจของศูนย์วิจัยกสิกรไทย ยังพบว่า ผู้บริโภคนิยมใช้จ่ายผ่าน E-Wallet ในหมวดหมู่สินค้าอาหารและเครื่องดื่มมากถึง 57.1% รองลงมาเป็น สินค้าอุปโภคบริโภค 37% เป็นผลมาจากพฤติกรรมการซื้อของออนไลน์และธุรกรรมการเงินออนไลน์ที่เพิ่มมากขึ้น ล่าสุด LINE Wallet แท็บที่ 5 บนแอปฯ LINE ได้ปรับโฉมใหม่ให้สอดคล้องกับอินไซต์ผู้ใช้ ด้วยการเชื่อมโยง LINE SHOPPING, LINE MAN และ LINE BK ไว้ในแท็บเดียว โดยเพิ่มแท็บย่อยของทั้งสามเซอร์วิส เพื่อเพิ่มทางเลือกในการเข้าถึงบริการ พร้อมเพิ่มฟีเจอร์ใหม่ให้ชีวิตสะดวกขึ้น
LINE Wallet ล่าสุดมีการปรับโฉมดีไซน์โดยเพิ่มสามแท็บย่อย เพื่อให้สะดวกยิ่งขึ้นในทุกบริการ และยังเพิ่มฟีเจอร์ใหม่ๆ ได้แก่

LINE Wallet ปรับใหม่เพื่อให้การใช้ชีวิตง่ายขึ้นในทุกวัน รองรับทุกไลฟ์สไตล์ของคนยุคใหม่กับ 3 แท็บย่อยและฟีเจอร์ใหม่ พร้อมให้เข้ามาใช้งานได้แล้ววันนี้ เพียงเข้าแท็บ Wallet ก็จะได้พบกับประสบการณ์การชิม-ช้อป-บริการทางการเงิน หรือคลิก https://lin.ee/akifmv3/wsaj และติดตามรายละเอียดเพิ่มเติมเกี่ยวกับบริการต่าง ๆ ของ LINE Wallet ได้ทาง LINE Wallet Official Account (@linewallet_th)
กรุงศรี (ธนาคารกรุงศรีอยุธยา จำกัด (มหาชน) และบริษัทในเครือ) ในเครือมิตซูบิชิ ยูเอฟเจ ไฟแนนเชียล กรุ๊ป (MUFG) หนึ่งในกลุ่มสถาบันการเงินที่ใหญ่ที่สุดระดับโลก ร่วมกับ Klook แพลตฟอร์มผู้ให้บริการการจองกิจกรรมท่องเที่ยวชั้นนำของเอเชีย ประกาศความร่วมมือครั้งสำคัญเสริมความแข็งแกร่งในตลาดท่องเที่ยว พร้อมยกระดับประสบการณ์ให้กับลูกค้าและนักท่องเที่ยว โดยความร่วมมือดังกล่าวนี้เกิดขึ้นหลังจากที่เมื่อปลายปีที่ผ่านมา กรุงศรี ได้ส่ง กรุงศรี ฟินโนเวต เข้าร่วมลงทุนใน Klook จากการระดมทุนรอบล่าสุด
ความร่วมมือนี้นับเป็นครั้งแรกในหน้าประวัติศาสตร์ของเอเชียที่สถาบันการเงินได้ร่วมเป็นพันธมิตรกับแพลตฟอร์มด้านการท่องเที่ยวในการพัฒนาความร่วมมือระหว่างกันในมิติที่หลากหลาย เพื่อเสริมพลังและยกระดับการท่องเที่ยว ตั้งแต่ช่วยวางแผนการเดินทาง นำเสนอข้อมูลการท่องเที่ยวที่ถูกต้องและอัพเดท บริการจองกิจกรรมท่องเที่ยวที่สะดวกสบาย ราคาคุ้มค่า รวมถึงบริการอื่น ๆ ที่ช่วยเพิ่มความสะดวกและปลอดภัยระหว่างการเดินทางท่องเที่ยว และสิทธิพิเศษอื่น ๆ อีกมากมายสำหรับลูกค้ากรุงศรี ทั้งนี้ สองพันธมิตรจะใช้ความแข็งแกร่งของทั้งสองฝ่ายเข้ามาส่งเสริมความร่วมมือในการยกระดับอุตสาหกรรมการท่องเที่ยว โดยร่วมบูรณาการในหลายภาคส่วน เพื่อให้การร่วมมือกันครั้งนี้ครอบคลุมในหลากหลายมิติของการท่องเที่ยว โดยกรุงศรีพร้อมชูจุดเด่นในด้านการเป็นสถาบันการเงินชั้นนำในประเทศไทยที่มีความน่าเชื่อถือและมีผลิตภัณฑ์ทางการเงินที่หลากหลาย ครอบคลุมทั้งผลิตภัณฑ์การเงินสำหรับนักท่องเที่ยว และผลิตภัณฑ์การเงินสำหรับผู้ประกอบการด้านการท่องเที่ยว ในขณะที่ Klook เน้นความแข็งแกร่งด้านดิจิทัล โซลูชัน เทคโนโลยีการจองกิจกรรมท่องเที่ยวที่ไร้รอยต่อ และการเป็นผู้นำการตลาดของการให้บริการจองกิจกรรมท่องเที่ยวทั่วโลกที่หลากหลาย และครอบคลุมความต้องการของนักท่องเที่ยว
นายไพโรจน์ ชื่นครุฑ ประธานคณะเจ้าหน้าที่ด้านกลยุทธ์และวางแผนธุรกิจองค์กร ธนาคารกรุงศรีอยุธยา จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า “กรุงศรีมุ่งมั่นพัฒนาโซลูชันใหม่ ๆ ให้กับลูกค้าอย่างสม่ำเสมอ เพื่อตอบโจทย์ความต้องการและยังช่วยพัฒนา Ecosystem ให้มีศักยภาพสามารถเติบโตอย่างแข็งแกร่ง โดยครั้งนี้กรุงศรีได้เข้ามาเป็นส่วนหนึ่งในการสนับสนุน Travel Ecosystem ในระดับภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก เนื่องจากเราเห็นศักยภาพการเติบโตของการท่องเที่ยวทั้งในแง่ของความต้องการ ปริมาณการจับจ่ายใช้สอย และเทรนด์ในอนาคต เราจึงมีความยินดีเป็นอย่างยิ่งที่ได้พันธมิตรที่แข็งแกร่งอย่าง Klook เข้ามาช่วยสร้างมูลค่าเพิ่ม และเสริมสร้างความมุ่งมั่นของเราในการสนับสนุน Travel ecosystem โดยทางกรุงศรี และ Klook จะร่วมกันสร้างประสบการณ์ท่องเที่ยวที่ง่ายและสะดวก ผ่านแพลตฟอร์มการจองกิจกรรมท่องเที่ยว และช่องทางการชำระเงินที่น่าเชื่อถือ ไปจนถึงสิทธิประโยชน์ต่าง ๆ อีกมากมายให้กับลูกค้า โดยเฉพาะสำหรับนักท่องเที่ยวไทยที่ชื่นชอบการเดินทางไปญี่ปุ่น สอดคล้องกับแคมเปญ “เรื่องญี่ปุ่น ต้องกรุงศรี” ซึ่งเราคิดว่าด้วยศักยภาพและความพร้อมด้านผลิตภัณฑ์การท่องเที่ยวของญี่ปุ่น Klook จะเป็นพันธมิตรที่ช่วยเราสะท้อนความแข็งแกร่งและช่วยเจาะตลาดกลุ่มคนรักญี่ปุ่นได้เป็นอย่างดี”

ทั้งนี้ ญี่ปุ่นนับเป็นจุดหมายปลายทางยอดนิยมของคนไทยมาโดยตลอด ตัวเลขภายในของ Klook แสดงให้เห็นการเติบโตอย่างต่อเนื่องสำหรับยอดการจองของนักท่องเที่ยวไทยไปญี่ปุ่น โดยพบว่ามีการเติบโตด้านยอดขายของกิจกรรมญี่ปุ่นสูงขึ้นเกือบเท่าตัว เมื่อเทียบกับปี พ.ศ. 2562 เพื่อตอบโจทย์ความต้องการนี้ กรุงศรี และ Klook จึงพร้อมนำเสนอผลิตภัณฑ์และบริการการท่องเที่ยวในญี่ปุ่นที่หลากหลายครอบคลุมตั้งแต่ กิจกรรมท่องเที่ยวทางวัฒนธรรม อาทิ เวิร์กชอปชงชาแบบญี่ปุ่น ร้านอาหารยอดฮิต บริการรถเช่าแบบพรีเมียม ไปจนถึงกิจกรรมที่เป็นที่นิยมตลอดกาล เช่น บัตรเข้าสวนสนุก บัตรรถไฟในญี่ปุ่น และกิจกรรมสุดเอ็กซ์คลูซีฟอีกมากมายที่จะช่วยตอกย้ำการเป็นตัวจริงเรื่องกิจกรรมและประสบการณ์การท่องเที่ยวในญี่ปุ่น
นายพงษ์อนันต์ ธณัติไตร ประธานกลุ่มธุรกิจลูกค้ารายย่อยและลูกค้าบุคคล ธนาคารกรุงศรีอยุธยา จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า “ความร่วมมือในครั้งนี้มุ่งตอบโจทย์ความต้องการของกลุ่มนักท่องเที่ยวไทยที่เดินทางด้วยตัวเอง ให้สามารถมีประสบการณ์การเดินทางท่องเที่ยวที่ไร้รอยต่อผ่านผลิตภัณฑ์และบริการที่ทางเรากำลังศึกษาและพัฒนาร่วมกัน อาทิ ฟังก์ชันให้บริการจองกิจกรรมท่องเที่ยวในญี่ปุ่นบนแอปพลิเคชัน UCHOOSE ซึ่งนับเป็นการออกแบบผลิตภัณฑ์การท่องเที่ยวแบบเอ็กซ์คลูซีฟเพื่อลูกค้ากรุงศรีโดยเฉพาะ รวมถึงวางแผนที่จะให้บริการการผ่อนชำระไปจนถึงมอบสิทธิพิเศษ และส่วนลดอีกมากมายสำหรับสมาชิกบัตรเครดิตในเครือกรุงศรีและผู้ถือบัตร Krungsri Boarding Card ให้การทุกทริปการเดินทางเป็นเรื่องง่าย สะท้อนคำมั่นสัญญา ชีวิตง่าย ได้ทุกวัน”
นายอีริค น็อก ฟาห์ ประธานฝ่ายปฏิบัติการและผู้ร่วมก่อตั้งบริษัท Klook กล่าวว่า “การร่วมมือกันในเชิงกลยุทธ์กับกรุงศรีในครั้งนี้ จะส่งผลให้เกิดการเปลี่ยนแปลงในเชิงบวกกับอุตสาหกรรมการท่องเที่ยวไทย โดยเฉพาะกับกลุ่มนักท่องเที่ยวไทยรุ่นใหม่ที่มีความเชี่ยวชาญด้านโซเชียลมีเดียและใช้มือถือเป็นหลักในการจองกิจกรรมท่องเที่ยว โดยนักท่องเที่ยวกลุ่มนี้มีความต้องการที่จะสร้างประสบการณ์การท่องเที่ยวด้วยการเข้าร่วมหรือทดลองทำกิจกรรมที่มีเอกลักษณ์และช่วยเติมเต็มการท่องเที่ยวให้มีความหมายมากขึ้น ทั้งนี้ การร่วมมือระหว่างสองพันธมิตร จะช่วยส่งเสริมให้นักท่องเที่ยวไทยได้ออกเดินทางไปสัมผัสกับประสบการณ์การท่องเที่ยวทั่วโลกได้อย่างง่ายดายไร้รอยต่อ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในประเทศยอดนิยมอย่างญี่ปุ่น โดยนักท่องเที่ยวจะได้สัมผัสกับกิจกรรมที่หลากหลาย ครอบคลุมตั้งแต่กิจกรรมท่องเที่ยวยอดนิยมไปจนถึงกิจกรรมแบบท้องถิ่นที่มีเอกลักษณ์เฉพาะตัว”
ทั้งนี้ความร่วมมือในเชิงกลยุทธ์ระหว่าง Klook และกรุงศรีสะท้อนให้เห็นถึงความมุ่งมั่นตั้งใจและการนำเอาจุดแข็งของสองพันธมิตรมาพัฒนาต่อยอดและนำเสนอผลิตภัณฑ์และประสบการณ์การท่องเที่ยวที่มีคุณภาพให้กับนักท่องเที่ยวไทยที่เดินทางด้วยตัวเองสามารถค้นหาและจองกิจกรรมการท่องเที่ยวทั่วโลก ได้อย่างสะดวกง่ายดายในราคาที่ดึงดูดใจ
ธนาคารกสิกรไทยเดินหน้าลดก๊าซเรือนกระจกทุกมิติมุ่งสู่เป้าหมาย Net Zero ปรับการดำเนินงานภายในองค์กรสู่การผลักดันผลิตภัณฑ์และบริการลดคาร์บอน ล่าสุดเปิดตัวรถยนต์พลังงานไฟฟ้าแลกเปลี่ยนเงินตราต่างประเทศ หรือรถ EV Currency Exchange นำร่องใช้งานจริงแล้วในกรุงเทพฯ และภูเก็ต นอกจากนี้ ยังช่วยให้ลูกค้าของธนาคารได้มีส่วนร่วมในการรักษ์โลกได้ง่ายขึ้น ด้วยการจัดทำบัตรเครดิต/เดบิตที่ผลิตจากวัสดุรีไซเคิล พร้อมทยอยเปลี่ยนบัตรกว่า 20 ล้านใบให้ครบทั้งหมดภายใน 7 ปี ช่วยลดก๊าซเรือนกระจกได้ 770 ตันคาร์บอนฯ หรือเทียบเท่าการปลูกต้นไม้ 51,333 ต้น
นายพิพิธ เอนกนิธิ กรรมการผู้จัดการ ธนาคารกสิกรไทย เปิดเผยว่า ธนาคารกสิกรไทยตระหนักถึงความสำคัญเร่งด่วนในการแก้ปัญหาโลกร้อน จึงเดินหน้านโยบายและปรับการดำเนินงานต่างๆ ภายในองค์กร รวมถึงส่งเสริมให้คนไทยเข้าถึงไลฟ์สไตล์กรีนเพื่อมุ่งสู่ Net Zero Commitment ตามที่ธนาคารได้ประกาศไว้เมื่อปี 2564 โดยด้านการดำเนินงานเพื่อลดก๊าซเรือนกระจกภายในองค์กรเมื่อปี 2566 ที่ผ่านมา ได้มีการเปลี่ยนรถยนต์ของธนาคารจากรถยนต์สันดาปเป็นรถยนต์ไฟฟ้าไปแล้วจำนวน 175 คัน และจะทยอยเปลี่ยนจนครบทั้งหมดภายในปี 2573 มีการทยอยติดตั้งแผงโซลาร์ในอาคารสำนักงานหลักและสาขา โดยตั้งเป้าติดตั้งให้ครบทุกสาขาที่มีศักยภาพในการติดตั้งจำนวน 278 แห่ง ภายใน 2 ปี การปรับเปลี่ยนไปใช้วัสดุที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม ปรับกระบวนการทำงานและการให้บริการของธนาคารไปสู่ดิจิทัลเพิ่มมากขึ้น และให้ความสำคัญกับการจัดการขยะในอาคารสำนักงานหลักเพื่อลดปริมาณขยะที่ไปสู่หลุมฝังกลบเป็นศูนย์ รวมทั้งส่งเสริมพนักงานและบุคลากรของธนาคารให้มีความรู้และเกิดพฤติกรรมที่ใส่ใจต่อสิ่งแวดล้อม

นอกจากนี้ธนาคารยังมุ่งมั่นที่จะส่งเสริมให้ลูกค้ามีส่วนร่วมในการรักษ์โลกได้ง่ายขึ้น ผ่านการใช้บริการของธนาคารที่ใส่ใจเรื่องความเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม ล่าสุด ธนาคารกสิกรไทยได้เปิดตัวนวัตกรรมบริการที่มีเป้าหมายช่วยลดก๊าซเรือนกระจก 2 โครงการ เป็นธนาคารแรกในไทย ได้แก่ การพัฒนารถยนต์พลังงานไฟฟ้าแลกเปลี่ยนเงินตราต่างประเทศ หรือรถ EV Currency Exchange และการจัดทำและเปลี่ยนบัตรเครดิตและบัตรเดบิตเป็นบัตรที่ผลิตจากวัสดุรีไซเคิล ซึ่งทั้งสองโครงการได้พัฒนาสำเร็จเป็นที่เรียบร้อย และมีการนำไปให้บริการจริงแล้ว
สำหรับรถ EV Currency Exchange เป็นรถแลกเปลี่ยนเงินตราต่างประเทศที่ขับเคลื่อนด้วยพลังงานไฟฟ้า 100% ขับเคลื่อนได้สูงสุด 120 กิโลเมตรต่อการชาร์จ 1 ครั้ง และใช้แบตเตอรี่ที่ได้พลังงานจากแผงโซลาร์ที่ติดตั้งบริเวณหลังคารถสำหรับการให้บริการแลกเปลี่ยนเงินตราในรถได้ต่อเนื่องสูงสุด 10 ชั่วโมงโดยไม่ต้องเสียบปลั๊กไฟ ปัจจุบันนำร่องเพิ่มความสะดวกสบายในการให้บริการแลกเงินแก่นักท่องเที่ยวในแหล่งท่องเที่ยวต่างๆ ทั้งในกรุงเทพฯ และต่างจังหวัด โดยเริ่มที่ จ.ภูเก็ต เป็นจังหวัดแรก และมีแผนขยายจำนวนรถให้ครอบคลุมมากขึ้นในอนาคต

ด้านบัตรเครดิตและบัตรเดบิตธนาคารกสิกรไทย มีการเปลี่ยนมาใช้บัตรที่ผลิตจากวัสดุรีไซเคิล ซึ่งช่วยลดการผลิตเม็ดพลาสติกใหม่ สามารถลดก๊าซเรือนกระจกได้ใบละ 42 กรัมคาร์บอนฯ หรือลดลง 62% จากการใช้วัสดุแบบเดิม โดยเริ่มมีการทยอยนำบัตรแบบใหม่นี้มาใช้ตั้งแต่เดือน พ.ย. 2566 ให้แก่ลูกค้าที่ออกบัตรใหม่ บัตรทดแทน และบัตรต่ออายุ ทั้งนี้คาดว่าจะสามารถเปลี่ยนบัตรกว่า 20 ล้านใบได้ครบทั้งหมดภายใน 7 ปี ซึ่งจะช่วยลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกได้ถึง 770 ตันคาร์บอนฯ เทียบเท่าการปลูกต้นไม้ 51,333 ต้น
นายพิพิธกล่าวตอนท้ายว่า ในปี 2567 ธนาคารยังคงเดินหน้าผลักดันลูกค้าให้ร่วม GO GREEN Together อย่างต่อเนื่อง ด้วยการสนับสนุนเงินทุน องค์ความรู้ และการพัฒนา Innovation ใหม่ๆ รวมถึงการจับมือกับพันธมิตรทั้งภาครัฐและเอกชน เพื่อสร้าง Green Ecosystem ให้เกิดขึ้นจริง และร่วมกันพาประเทศสู่ Net Zero อย่างยั่งยืนต่อไป
ผู้ที่สนใจร่วมรักษ์โลกไปกับธนาคารสามารถอ่านรายละเอียดเพิ่มเติมและสมัครใช้บริการ ได้ที่
บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุนกสิกรไทย จำกัด (KAsset) จับมือ J.P. Morgan Asset Management (JPMAM) สร้างความร่วมมือเชิงกลยุทธ์ในการพัฒนาผลิตภัณฑ์และบริการ รวมถึงนวัตกรรมด้านการลงทุน ที่มุ่งเน้นการพัฒนาขีดความสามารถในการคัดเลือกและจัดสรรสินทรัพย์ทั่วโลกเพื่อยกระดับการลงทุนของไทย พร้อมสร้างความเข้าใจเชิงลึกให้กับผู้ลงทุนไทยเพื่อลดความผันผวนของพอร์ตการลงทุน
นางสาวขัตติยา อินทรวิชัย ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร ธนาคารกสิกรไทย กล่าวว่า ธนาคารกสิกรไทยให้ความสำคัญกับธุรกิจการบริหารจัดการกองทุนเป็นอย่างมาก ซึ่งธนาคารมีส่วนเกี่ยวข้องโดยตรงในการสร้างรากฐานทางการเงินที่แข็งแกร่งให้กับลูกค้า โดยปัจจุบันธนาคารมีลูกค้าที่มีการลงทุนในกองทุนรวมเกือบ 1 ล้านราย (ณ วันที่ 25 ธ.ค. 66) และยังมีโอกาสเติบโตได้อีกมาก ดังนั้น ความร่วมมือเชิงกลยุทธ์ระหว่าง KAsset และ JPMAM ตั้งแต่การบริหารจัดการไปจนถึงการนำเสนอผลิตภัณฑ์คุณภาพที่ตรงความต้องการของลูกค้าธนาคารกสิกรไทย จะช่วยยกระดับประสบการณ์การลงทุนของลูกค้าได้เป็นอย่างดี สอดคล้องกับความมุ่งหมายของธนาคารในการส่งมอบผลตอบแทนที่ยั่งยืนให้แก่นักลงทุนไทย อีกทั้งยังเป็นก้าวสำคัญที่จะผลักดันให้ KAsset เติบโตได้อย่างเต็มศักยภาพ

นายอดิศร เสริมชัยวงศ์ ประธานกรรมการบริหาร บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุนกสิกรไทย จำกัด หรือ KAsset กล่าวว่า ปัจจุบันผู้ลงทุนไทยประมาณ 60% กำลังเผชิญปัญหาพอร์ตการลงทุนมีความผันผวน (ที่มา: บลจ.กสิกรไทย ณ วันที่ 25 ธ.ค. 66) โดยในช่วง 3-4 ปีที่ผ่านมา ตลาดได้รับผลกระทบจาก COVID-19 และวิกฤตเศรษฐกิจโลก ปัจจัยเหล่านี้ได้นำไปสู่ความผันผวนของตลาดอย่างต่อเนื่อง ทำให้ประเมินสถานการณ์ได้ยากยิ่งขึ้น ดังนั้น KAsset จึงมุ่งพัฒนาแผนกลยุทธ์เพื่อเพิ่มขีดความสามารถในการคัดเลือกและจัดสรรสินทรัพย์ทั่วโลก พร้อมปรับรูปแบบการลงทุนให้สอดรับและทันทุกการเปลี่ยนแปลง ทั้งหมดนี้สะท้อนให้เห็นถึงความมุ่งมั่นของ KAsset ที่จะทำให้พอร์ตการลงทุนของผู้ลงทุนไทยมีความมั่นคงและเติบโตได้อย่างยั่งยืน
นายแดน วัตกินส์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร เจ.พี. มอร์แกน แอสเซท แมเนจเม้นท์ ประจำภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก กล่าวว่า ทีมงานของ JPMAM รู้สึกตื่นเต้นที่จะได้สร้างความร่วมมือเชิงกลยุทธ์กับ KAsset ซึ่งเป็นพันธมิตรทางธุรกิจที่มีความสัมพันธ์อันดีมายาวนาน เพื่อนำเสนอสิ่งที่ดีที่สุดให้กับผู้ลงทุนไทย โดยมองว่าตลาดทุนไทยเป็นตลาดที่มีความคึกคักและเป็นหนึ่งในประเทศที่มีการเติบโตเร็วที่สุดในภูมิภาค อย่างไรก็ดี ความเชี่ยวชาญด้านการลงทุนทั่วโลกของ JPMAM ทำให้พวกเรามีความพร้อมที่จะนำเสนอโซลูชั่นการลงทุนที่ได้มาตรฐานระดับโลกให้กับผู้ลงทุนไทย และเป็นการเปิดโอกาสในการขยายธุรกิจของ JPMAM ไปทั่วภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก

ความร่วมมือในครั้งนี้เป็นการผนึกกำลังจาก 2 บลจ.ชั้นนำด้านการลงทุน โดย JPMAM เป็นผู้เชี่ยวชาญด้านการบริหารการลงทุนระดับโลก มีสินทรัพย์ภายใต้การบริหารจัดการ 2.9 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐ ในขณะที่ KAsset เป็นผู้นำตลาดกองทุนรวมของไทย มีมูลค่าสินทรัพย์ภายใต้การบริหารจัดการกว่า 1.49 ล้านล้านบาท ที่มีความเข้าใจเชิงลึกต่อสินทรัพย์และสถานการณ์การลงทุนในไทย โดยความร่วมมือนี้จะมุ่งเสริมศักยภาพของ KAsset ให้ครอบคลุมทุกมิติ ทั้งการเพิ่มประสิทธิภาพการลงทุนและพัฒนาผลิตภัณฑ์ การให้ข้อมูลเชิงลึกที่เข้าถึงผู้ลงทุนได้ทันสถานการณ์อย่างตรงไปตรงมา และการให้คำปรึกษาอย่างเข้าใจ ตอบโจทย์เป้าหมายทางการเงิน
นางสาวพิชามน จิตรเป็นธรรม ผู้บริหารสูงสุด สายงานสินเชื่อบุคคล “เคทีซี” หรือ บริษัท บัตรกรุงไทย จำกัด (มหาชน) เผยว่า “เคทีซีได้เปิดตัวโครงการ “เคลียร์หนี้” เป็นครั้งที่ 15 เพื่อตอบแทนความมีวินัยให้กับสมาชิกสินเชื่อบัตรกดเงินสด “เคทีซี พราว” ทุกประเภท ทั้งวีซ่า มาสเตอร์การ์ด และยูเนี่ยนเพย์ รวมทั้งบัตรกดเงินสด “เคทีซี พี่เบิ้ม มอเตอร์ไซค์” เพื่อเป็นกำลังใจและแบ่งเบาภาระให้กับสมาชิกเคทีซีกว่า 700,000 ราย อย่างต่อเนื่อง และเป็นไปตามประกาศของธนาคารแห่งประเทศไทย เรื่องการให้สินเชื่ออย่างรับผิดชอบและเป็นธรรม (Responsible Lending) เพียงลงทะเบียนเข้าร่วมโครงการฯ เพียงครั้งเดียว ตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม 2567 - 31 ธันวาคม 2567 สามารถรับสิทธิ์ร่วมลุ้นรางวัลได้ตลอดปี 2567 ถึง 600 รางวัล รวมมูลค่ากว่า 7 ล้านบาท รางวัลที่ 1 บัตรกำนัลส่วนลดค่าใช้จ่ายเพื่อเคลียร์หนี้ จำนวน 12 รางวัล (จับรางวัล 12 รอบๆ ละ 1 รางวัล) รางวัลที่ 2 บัตรกำนัลส่วนลดค่าใช้จ่ายเพื่อลดหนี้ จำนวน 588 รางวัล (จับรางวัล 12 รอบๆ ละ 49 รางวัล)”
“สมาชิกบัตรกดเงินสดเคทีซี สามารถเข้าร่วมรับสิทธิ์ในโครงการเคลียร์หนี้ได้ โดยแบ่งสิทธิ์เป็น 2 ประเภทคือ สิทธิ์ใช้ดี: รับ 1 สิทธิ์ จากยอดการใช้วงเงินสินเชื่อฯ (รูด-โอน-กด-ผ่อน) ทุกๆ 2,000 บาท และคงค้างสินเชื่ออย่างน้อย 15 วันติดต่อกันทุกวันนับจากวันที่มียอดการใช้วงเงินสินเชื่อ (ไม่จำกัดจำนวนสิทธิ์) และสมาชิกฯ ชำระหนี้ไม่น้อยกว่ายอดเรียกเก็บขั้นต่ำและชำระภายในวันครบกำหนดชำระเงินในรอบนั้นๆ สิทธิ์จ่ายดี: รับ 1 สิทธิ์ สำหรับสมาชิกฯ ที่ชำระหนี้ไม่น้อยกว่ายอดเรียกเก็บขั้นต่ำและชำระภายในวันครบกำหนดชำระเงินในรอบนั้นๆ และไม่เป็นสมาชิกฯ ที่ได้รับสิทธิ์ใช้ดี โดยลงทะเบียนเข้าร่วมโครงการฯ ผ่านเว็บไซต์ https://www.ktc.co.th/cleardebt2024 หรือช่องทาง SMS พิมพ์ OK67 เว้นวรรคตามด้วยหมายเลขบัตรกดเงินสดฯ 16 หลัก ส่งไปที่ 061-384-5000 หรือลงทะเบียนผ่านทาง KTC Touch หรือแอปพลิเคชัน “KTC Mobile”
ผู้สนใจสมัครบัตรกดเงินสด “เคทีซี พราว” คลิก https://ktc.today/KTC-PROUD สมัครบัตรกดเงินสด “เคทีซี พี่เบิ้ม มอเตอร์ไซค์” คลิก https://ktc.today/PBerm-Apply สอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ ศูนย์บริการสมาชิก “เคทีซี ทัช” ทุกสาขาทั่วประเทศ หรือ KTC PHONE 02 123 5000 กด 0 กด 2