

องค์การส่งเสริมการท่องเที่ยวเกาหลี (KTO) นำทัพสตาร์ตอัปด้านเทคโนโลยีการท่องเที่ยวผนึกความร่วมมือการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย ผู้ประกอบการท่องเที่ยวในไทย และเวนเจอร์แคปิทัล ชั้นนำของไทย จัด ฟอรั่มความร่วมมือด้านการท่องเที่ยวเกาหลี-ไทย “Korea-Thailand Tourism Startup Cooperation Forum” เดินหน้าลงนามข้อตกลงทางธุรกิจ ผลักดัน Smart Tourism ของเกาหลี เตรียมพร้อมขยายฐานการท่องเที่ยวเกาหลีสู่เอเชียตะวันออกเฉียงใต้
นายเจมส์ ลี รองประธาน องค์การส่งเสริมการท่องเที่ยวเกาหลี กล่าวว่า ในโอกาสครบรอบ 65 ปี ความสัมพันธ์ทางการทูตระหว่างเกาหลี-ไทย KTO จึงร่วมกับองค์กรที่เกี่ยวข้อง เช่น การท่องเที่ยว แห่งประเทศไทย (ททท.) และอินโนสเปซ ไทยแลนด์ จัด Korea-Thailand Tourism Startup Cooperation Forum เพื่อยกระดับความร่วมมือด้านการท่องเที่ยว และสร้างฐาน นวัตกรรมอุตสาหกรรมการท่องเที่ยว ผ่านความร่วมมือระหว่างผู้ประกอบการท่องเที่ยว และสตาร์ตอัป
Korea-Thailand Tourism Startup Cooperation Forum นับเป็นความร่วมมือครั้งสำคัญอีกครั้งหนึ่งหลังจาก KTO ได้ร่วมกับ ททท. กำหนดให้ปี 2566-2567 เป็นปีแห่งการท่องเที่ยวระหว่างเกาหลีและไทย เพื่อให้ทั้ง 2 ประเทศก้าวเป็นผู้นำด้านการท่องเที่ยวระดับโลก และนำไปสู่การส่งเสริมยูนิคอร์นด้านการท่องเที่ยว ซึ่งเมื่อเร็ว ๆ นี้ ทั้ง 2 ประเทศได้ร่วมกันจัดงาน Korea Everywhere มหกรรมการท่องเที่ยวเกาหลีครั้งยิ่งใหญ่ที่ประเทศไทย เพื่อฉลองปีแห่งการท่องเที่ยวเกาหลี-ไทย โดยชวนคนไทยมาอัปเดตสถานที่ท่องเที่ยวใหม่ในเกาหลีผ่านโลก Metaverse ในแอปพลิเคชัน Zepeto
สำหรับไฮไลต์สำคัญในงาน Korea-Thailand Tourism Startup Cooperation Forum คือ การลงนามข้อตกลงทางธุรกิจระหว่างเกาหลีและไทย ได้แก่ ข้อตกลงทางธุรกิจสำหรับนวัตกรรมดิจิทัลอุตสาหกรรมการท่องเที่ยวเกาหลี-ไทย ระหว่าง Yanolja สตาร์อัปแพลทฟอร์มด้านการท่องเที่ยวของเกาหลี และสมาคมไทยบริการท่องเที่ยว และข้อตกลงทางธุรกิจเพื่อประชาสัมพันธ์การท่องเที่ยวในเกาหลีผ่านช่องทรู และไลฟ์คอมเมิร์ส ระหว่าง LaLa Station แพลทฟอร์มด้านไลฟ์คอมเมิร์สและอีคอมเมิร์ส และทรู คอร์ปอเรชั่น เพื่อช่วยในการเปลี่ยนแปลงทางดิจิทัลของสิ่งอำนวยความสะดวกด้านการท่องเที่ยวและบริการ เช่นการจัดกระบวนการทางธุรกิจของโรงแรมและบริษัทท่องเที่ยวให้อยู่ในรูปแบบดิจิทัล เช่นการจัดการห้องพัก การวิเคราะห์บิ๊กดาต้า บริการช่วยทำการตลาด ขยายต่อสู่อีคอมเมิร์ซสำหรับการท่องเที่ยว เป็นต้น รวมไปถึง พัฒนาระบบซอฟต์แวร์คอมพิวเตอร์บนคลาวด์เพื่อช่วยการจัดกระบวนการทางธุรกิจของโรงแรมและบริษัทท่องเที่ยวให้อยู่ในรูปแบบดิจิทัล เช่นการวิเคราะห์บิ๊กดาต้า
“อุตสาหกรรมท่องเที่ยวทั่วโลกมีการเปลี่ยนแปลงด้านดิจิทัลอย่างรวดเร็ว เราเล็งเห็นว่าการระดมทุน และหาพันธมิตรเป็นสิ่งจำเป็น การจัดทำข้อตกลงทางธุรกิจครั้งนี้นับเป็นกลยุทธ์สำคัญที่จะผลักดัน การท่องเที่ยวแบบ Smart Tourism ของเกาหลีให้เติบโต และเรายังวางแผนที่จะร่วมมือกับผู้ประกอบ การท่องเที่ยว และนักลงทุนทั้งในและต่างประเทศเพิ่มขึ้นอีก” นายเจมส์ ลี กล่าว
นอกจากการลงนามข้อตกลงทางธุรกิจแล้ว ภายในงานฟอรั่มยังได้จัดกิจกรรม K-Tourism Startup IR เพื่อเปิดโอกาสให้สตาร์ตอัปเกาหลีได้เจรจาหาผู้ร่วมทุน สร้างเครือข่ายธุรกิจ ขยายฐานลูกค้าด้าน Smart Tourism โดยมีสตาร์ตอัปจากเกาหลี และนักลงทุนจากไทย เช่น CP Group และ K-Bank รวมทั้งหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง มาร่วมงาน เช่น ททท. และสมาคมไทยบริการท่องเที่ยว
“การที่องค์กรยักษ์ใหญ่ของไทยมาร่วมกิจกรรม K-Tourism Startup IR เป็นบทพิสูจน์ว่าองค์กรด้านเทคโนโลยี และสตาร์ตอัปด้านการท่องเที่ยวของเกาหลี มีความน่าสนใจ ซึ่งสตาร์ตอัปบางรายได้มีการเจรจาเพื่อจัดตั้งบริษัทร่วมทุนกันแล้ว งานนี้ได้สร้างการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ให้สตาร์ตอัปเกาหลี จากที่เคยเป็นเพียงธุรกิจในประเทศ ปัจจุบันสามารถขยายธุรกิจไปต่างประเทศได้ และยังคาดว่าผู้ประกอบการท่องเที่ยวของเกาหลีจะสามารถเติบโตเป็นบริษัทระดับโลกได้ในอนาคต” นายเจมส์ ลี กล่าว
นายเจมส์ ลี กล่าวเพิ่มเติมถึงการท่องเที่ยวแบบ Smart Tourism ว่า เป็นเทรนด์การท่องเที่ยวมิติใหม่ที่เกาหลีพัฒนาขึ้น เพื่อให้นักท่องเที่ยวใช้บริการด้านการท่องเที่ยวได้อย่างสะดวกสบายผ่านแอปพลิเคชันบนมือถือ ซึ่งที่ผ่านมาได้รับกระแสตอบรับเป็นอย่างดี
สำหรับสถานการณ์การท่องเที่ยวเกาหลีในปัจจุบันมีการฟื้นตัวอย่างต่อเนื่อง จากข้อมูลวันที่ 25 กันยายน 2566 พบว่าตั้งแต่ต้นปีนี้ถึงเดือนกันยายนมีนักท่องเที่ยวมาเยือนเกาหลีแล้ว 7.49 ล้านคน เพิ่มขึ้น 60% จากปี 2562 โดยเป็นนักท่องเที่ยวไทยประมาณ 260,000 คน โดยมี อัตรา การฟื้นตัว 69% เมื่อเทียบกับปี 2562 ซึ่งถือว่าอยู่ในเชิงบวก ส่วนสถานที่ท่องเที่ยวยอดนิยมในปีนี้ ได้แก่ หอคอยนัมซานในกรุงโซล ป้อมปราการฮวาซองในเมืองซู วอน จังหวัดคยองกี เกาะนามิในจังหวัดคังวอน หมู่บ้านฮันอกในจอนจู และสวนสนุกแทจงแดในพูซาน
“เรามีแผนที่จะดึงนักท่องเที่ยวให้มาเที่ยวเกาหลีให้มากที่สุด เราตั้งเป้าที่จะขยายฐานการท่องเที่ยวเกาหลีสู่เอเชียตะวันออกเฉียงใต้ โดยกำหนดให้ปีนี้และปีหน้าเป็น "ปีแห่งการมาเยือนเกาหลี" และได้จัดแคมเปญ "100 กิจกรรมการท่องเที่ยวเกาหลี" ที่เชื่อมโยงกับวัฒนธรรมเกาหลี โดยตั้งเป้าว่าปี 2566 จะมีนักท่องเที่ยวต่างชาติมาเที่ยวเกาหลี 10 ล้านคน ส่วนในปี 2567 คาดว่าสถานการณ์จะฟื้นตัวเต็มที่ กลับไปสู่สภาวะก่อนเกิดโควิด ซึ่งมีนักเที่ยวอยู่ที่ 17.5 ล้านคนต่อปี” นายเจมส์ ลี กล่าว
กรุงศรี ไพรเวท แบงก์กิ้ง นำโดย นายวิน พรหมแพทย์ (กลาง) CFA ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการใหญ่ ผู้บริหารสายงานลูกค้าไฮเน็ตเวิร์ ธนาคารกรุงศรีอยุธยา จำกัด (มหาชน) เปิดเวทีสัมมนาเพื่ออัปเดตสถานการณ์ภาพรวมของเศรษฐกิจโลก พร้อมชี้โอกาสในการต่อยอดความมั่งคั่งผ่านการลงทุนในตราสารหนี้ต่างประเทศให้กับกลุ่มลูกค้ากรุงศรี ไพรเวท แบงก์กิ้ง เมื่อเร็วๆ นี้ ณ โรงแรม เดอะ เซนต์ รีจิส กรุงเทพฯ ในหัวข้อ Global Fixed Income Outlook - Bonds are Back? โดยได้รับเกียรติจาก Ms. Tina Adatia (ซ้าย) Executive Vice President, Fixed Income Strategist of PIMCO และ Ms. Clara Ng (ขวา) Vice President, Account Manager of PIMCO มาร่วมแบ่งปันมุมมองการลงทุน พร้อมเจาะลึกสถานการณ์และความเคลื่อนไหวของกองทุนรวมตราสารหนี้ที่ลงทุนในตราสารต่างประเทศทั่วโลก
โดยความเห็นส่วนหนึ่งของ Ms. Tina Adatia ระบุว่า เศรษฐกิจของสหรัฐฯ ยังคงชะลอตัวอย่างต่อเนื่อง และอัตราเงินเฟ้อจะยังอยู่ในระดับปานกลาง อย่างไรก็ตามอาจมีความเสี่ยงที่จะเกิดภาวะเศรษฐกิจถดถอย โดย PIMCO มองว่าเฟดน่าจะใกล้ยุติการขึ้นดอกเบี้ยนโยบาย แต่จะยังคงตรึงไว้ในกรอบเดิมสักระยะหนึ่งเพื่อควบคุมอัตราเงินเฟ้อ และคาดว่าจะปรับลดอัตราดอกเบี้ยในช่วงครึ่งหลังของปีหน้า สำหรับตลาดตราสารหนี้ มีการปรับขึ้น Yield ครั้งใหญ่ ซึ่งเป็นผลมาจากอัตราดอกเบี้ยที่สูงขึ้น โดยปัจจุบันตราสารหนี้สามารถให้อัตราผลตอบแทนที่เทียบเท่ากับตราสารทุนที่ 5-7% โดยไม่ต้องแบกรับความเสี่ยงที่สูงจนเกินไป เราจึงมีมุมมองเชิงบวกต่อการเข้าสะสมตราสารหนี้ โดยเฉพาะตราสารหนี้ภาครัฐและเอกชนที่มีคุณภาพสูง และลงทุนในจังหวะช่วงที่เฟดใกล้จะยุติการขึ้นดอกเบี้ยนโยบายแล้ว
ปูนลูกดิ่ง และปูนจิงโจ้ โดยบริษัท ควิกโคท โปรดักส์ จำกัด ไม่นิ่งนอนใจ
LINE SHOPPING ผู้นำแชทคอมเมิร์ชอันดับหนึ่งของไทย
บริษัท ซี.พี. แลนด์ จำกัด (มหาชน) หรือ CP LAND ผู้พัฒนาอสังหาริมทรัพย์ชั้นนำของประเทศไทย ผนึกกำลังกับ 17 พันธมิตรภาคเอกชน และธนาคาร ส่งแคมเปญแรงโปรโมชันดี ‘สิงโต นำโปร’ เพื่อส่งต่อสิทธิประโยชน์สูงสุด อาทิ อยู่ฟรี 12 เดือน อัตราดอกเบี้ยพิเศษต่ำสุด 0.7% หรือผ่อนล้านละ 3,000 บาท* วงเงินกู้สูงสุด 110%* สูงสุด ให้แก่ลูกค้าใหม่ 18 โครงการบ้านและคอนโดฯ จาก CP LAND หวังกระตุ้นยอดขายในช่วงที่เหลือของปี 2566 และโกยรายได้เกินเป้าทะลุ 1,350 ล้านบาท
นายดำรงศักดิ์ ถุงเงิน ผู้อำนวยการอาวุโสฝ่ายขายและการตลาดโครงการ บริการหลังการขายและลูกค้าสัมพันธ์ CP LAND เปิดเผยว่า แคมเปญ ‘สิงโต นำโปร’ เกิดขึ้นจากความร่วมมือระหว่าง CP LAND กับ 17 พันธมิตรภาคเอกชน ประกอบด้วย ธนาคารกรุงเทพ (BBL) ธนาคารกรุงไทย (KTB) ธนาคารกรุงศรีอยุธยา (BAY) ธนาคารกสิกรไทย (KBANK) ธนาคารเกียรตินาคินภัทร (KKP) ธนาคารทหารไทยธนชาต (TTB) ธนาคารไทยพาณิชย์ (SCB) ธนาคารยูโอบี (UOB) ธนาคารออมสิน (GSB) ธนาคารอาคารสงเคราะห์ (GHB) โซลาร์ ดี (Solar D) ฟิกซ์ (FIXX) วีฟิกซ์ (vFIX) อินเด็กซ์ ลิฟวิ่งมอลล์ (Index Living Mall) บริการอินเด็กซ์ โฮม เซอร์วิส (Index Home Service) โรงแรมในเครือฟอร์จูน กรุ๊ป (Fortune Hotel Group) และ 7-11 Delivery ที่ผนึกกำลังเพื่อส่งต่อสิทธิประโยชน์สุดพิเศษให้แก่ลูกค้าใหม่ของ 18 โครงการบ้านและคอนโดฯ จาก CP LAND ทั่วประเทศ เริ่มที่ 1.2 - 4.4 ล้านบาท
CP LAND มีเป้าหมาย คือ การเป็นอันดับหนึ่งของผู้นำอสังหาริมทรัพย์ในส่วนภูมิภาค ตามแผนการพัฒนาธุรกิจใน 10 ปี (ระหว่างปี 2566 - 2575) บริษัทฯ ประสบความสำเร็จอย่างมากจากการจัดแคมเปญการตลาด โดยเริ่มจากช่วงปลายปี 2565 ที่มีการเผยแพร่ภาพยนตร์โฆษณา ‘ความสุขเกิดขึ้นได้ทุกที่รอบตัวคุณ’ นำแสดงโดย สิงโต นำโชค ศิลปินนักร้องชื่อดัง มียอดวิวกว่า 23 ล้านเพจวิว ต่อด้วยการจัด 5 อีเวนต์ใหญ่ ใน 3 ไตรมาสที่ผ่านมาของปี 2566 ผ่านแคมเปญ ‘CP LAND Presents เจอสุข เจอนั่น เจอนี่’ ที่ขนทัพคาราวานส่งความสุขทั่วไทย ซึ่งทั้ง 2 แคมเปญนี้ดันรายได้รวมทะลุกว่า 1,000 ล้านบาทแล้ว ในช่วงสิ้นปีที่เหลืออยู่นี้ CP LAND เดินหน้าลุยต่อโดยการวางกลยุทธ์เชิงรุกในการขยายตลาดด้วยการสร้างความสัมพันธ์เชิงกลยุทธ์กับ 17 พันธมิตรภาคเอกชน ผ่านแคมเปญ ‘สิงโต นำโปร’ คาดยอดจองกว่า 150 ยูนิต และทำรายได้รวมเพิ่มขึ้นกว่า 350 ล้านบาท รวมยอดเกินเป้าหมายทะลุ 1,350 ล้านบาท
แคมเปญ ‘สิงโต นำโปร’ คือ การสร้างความเชื่อมั่น และมอบสิทธิประโยชน์สูงสุดให้กับลูกค้าใหม่จาก 18 โครงการบ้านและคอนโดฯ ของ CP LAND เช่น อยู่ฟรี 12 เดือน, อัตราดอกเบี้ยพิเศษต่ำสุด 0.7% หรือผ่อนล้านละ 3,000 บาท, วงเงินกู้สูงสุด 110%* จากธนาคารพันธมิตร, ส่วนลดสูงสุด 10% ในการซื้อหลังคาโซลาร์เซลล์จาก Solar D, ส่วนลด 10% บริการขนย้ายจาก Index Home Service, ส่วนลดพิเศษ Customized Furniture เฉพาะจาก Index Living Mall, รับส่วนลดสูงสุด 10,000 บาทจาก vFIX ทีมช่างมือ 1 ด้านการปรับปรุง ตกแต่ง ต่อเติม ซ่อมแซม และการแก้ปัญหาเรื่องบ้านอย่างมืออาชีพ, บริการช่วยเหลือฉุกเฉินบนท้องถนน ไม่จำกัดจำนวนครั้ง และบริการรถสไลด์ จาก FIXX รวมถึง Gift Voucher มูลค่า 2,500 บาท จากโรงแรมในเครือฟอร์จูน กรุ๊ป และ Code ส่วนลด จาก 7-11 Delivery

กลยุทธ์ความร่วมมือในครั้งนี้ CP LAND ออกแคมเปญโปรโมชัน ‘สิงโต นำโปร’ มาเพื่อเจาะฐานลูกค้ากลุ่มใหม่ ๆ กลุ่มลูกค้าของพันธมิตร รวมถึงผู้ที่ต้องการซื้ออสังหาฯ แต่มีทุนทรัพย์จำกัดด้วย เพื่อเพิ่มโอกาสในการปิดการขายให้ได้เป็นไปตามเป้าหมายที่วางไว้ ทั้งนี้ CP LAND ยังเล็งเห็นว่าแคมเปญนี้สามารถลดภาระในการกู้ได้ หลังจากที่คณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) มีมติเป็นเอกฉันท์ให้ขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบายร้อยละ 0.25 ต่อปี จาก 2.00 เป็น 2.25 ต่อปี โดยให้มีผลทันทีเมื่อวันที่ 2 สิงหาคม 2566 ที่ผ่านมา นายดำรงศักดิ์ กล่าวเสริม
นายสันติ ศรีชวลา ประธานเจ้าหน้าที่บริหารฝ่ายการตลาดและพัฒนาธุรกิจ บริษัท โซลาร์ ดี คอร์ปอเรชัน จำกัด (Solar D) กล่าวถึงการจับมือในครั้งนี้ว่า Solar D พร้อมสนับสนุนแคมเปญนี้อย่างเต็มที่ เนื่องจากบริษัทฯ มุ่งหวังอยากช่วยลูกบ้านของ CP LAND รวมถึงคนไทยทุกคนลดภาระค่าไฟฟ้า โดยบริษัทฯ จะมอบส่วนลด 10% ในการซื้อหลังคาโซลาร์เซลล์ 4kW ขึ้นไป และ Tesla Powerwall 2 ยูนิต จากปกติ 1.19 ล้านบาท เหลือเพียง 1.1 ล้านบาท
นายเอกลักษณ์ ปัทมสัตยาสนธิ รองกรรมการผู้จัดการอาวุโส บริษัท อินเด็กซ์ ลิฟวิ่งมอลล์ จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า การร่วมเป็นพาร์ทเนอร์กับ CP LAND ในครั้งนี้ ถือเป็นโอกาสดีที่ Index Living Mall จะร่วมมอบสิทธิพิเศษให้กับคนรักบ้าน ในฐานะผู้นำเฟอร์นิเจอร์ ของตกแต่ง และบริการครบวงจรเรื่องบ้าน ด้วยการส่งมอบความสุขผ่านแคมเปญ ‘สิงโต นำโปร’ กับสิทธิพิเศษจาก Index Home Service เช่น รับส่วนลดทันที 10% กับบริการขนย้ายเฟอร์นิเจอร์โดยช่างผู้เชี่ยวชาญเฉพาะทางที่ถอด ประกอบ พร้อมติดตั้ง, รับส่วนลดเพิ่ม 3,000 บาท กับ “Younique Customized Furniture” เมื่อช้อปทุก ๆ 100,000* บาท ฟรี! ดีไซเนอร์ผู้ช่วยส่วนตัวในการออกแบบห้องเสมือนจริง พร้อมตกแต่งภายในให้บ้านคุณสวยตามต้องการ, รับส่วนลดสูงสุด 300 บาท กับบริการตรวจรับบ้านและคอนโดโดยวิศวกรมืออาชีพ พร้อมทีมดีไซเนอร์ให้คำปรึกษาฟรี! และรับส่วนลดสูงสุด 400 บาท สำหรับบริการล้างแอร์ฯ ทุกประเภทแบบฆ่าเชื้อโรค รวมถึงมอบส่วนลด 10% เมื่อรับบริการติดตั้งประตูบานเลื่อนภายในบ้าน และฉากกั้นส่วนอาบน้ำ โดยสามารถรับคำปรึกษาบริการต่าง ๆ ได้ฟรี! หรือติดต่อรับบริการเรื่องบ้านต่าง ๆ จาก Index Home Service ที่ Line ID : @indexservice โทร 1379 กด 2
นางสาวศิริลักษณ์ จันทร ผู้อำนวยการฝ่ายวีฟิกซ์ (vFIX) บริษัท ซีอาร์ซี ไทวัสดุ จำกัด ในเครือเซ็นทรัล รีเทล กล่าวถึงความร่วมมือกับ CP LAND ว่า vFIX ในฐานะของทีมช่างมือ 1 ครบจบเรื่องบ้านให้บริการปรับปรุง ซ่อมแซม ตกแต่ง ต่อเติม ติดตั้ง ที่ปลอดภัยได้มาตรฐาน ซึ่งเป็นบริการเสริมภายใต้แบรนด์ไทวัสดุ และบีเอ็นบี โฮม รู้สึกดีใจอย่างยิ่งที่ได้ร่วมมือกับ CP LAND ในแคมเปญ ‘สิงโต นำโปร’ โปรโมชันดี ๆ เพราะวีฟิกซ์มองเห็นโอกาสต่อยอดและพัฒนาทางธุรกิจในเชิงการเติมเต็มซึ่งกันและกัน จึงขอมอบสิทธิพิเศษให้แก่ลูกค้า CP LAND อาทิ ส่วนลดสูงสุด 10,000 บาท* เมื่อซื้องานบริการติดตั้งและต่อเติมบ้าน, บริการสำรวจ เมื่อติดตั้งแผงโซลาร์เซลล์, ส่วนลด 5% เมื่อซื้อบริการต่อเติมโรงจอดรถ, ส่วนลดสูงสุด 10% ในการปรับปรุงห้อง (Renovate) พร้อมรับบริการออกแบบให้ฟรี, ติดตั้งผ้าม่านสั่งตัด รับส่วนลดสูงสุด 50% เมื่อซื้อบริการ 15,000 บาทขึ้นไป, ติดตั้งแอร์ 2 เครื่อง* รับคูปองล้างแอร์ 1 เครื่อง ฟรี 1 ครั้ง โดยต้องเป็นเครื่องปรับอากาศแบบ Wall Type ขนาดไม่เกิน 24,000 BTU
นายพีรพงษ์ ชูเกียรติขจร กรรมการผู้จัดการ บริษัท แคร์ฟอร์คาร์ จำกัด ในฐานะผู้บริหาร FIXX กล่าวว่า FIXX ร่วมกับ CP LAND มอบสิทธิพิเศษในแคมเปญ 'สิงโต นําโปร’ กับแพ็กเกจบริการช่วยเหลือฉุกเฉินบนท้องถนน (ERS) ไม่จํากัดจํานวนครั้งและบริการรถสไลด์ (ยกทั้งคัน) 1 ครั้งให้ฟรี คุ้มครองถึง 31 ตุลาคม 2566 เพียงส่งโค้ด CPL16XFIXXROADSIDE เพื่อลงทะเบียนรับสิทธิ์ทาง LINE @fixx.th
FIXX เป็นแพลตฟอร์มที่รวบรวมสินค้าและบริการเกี่ยวกับรถยนต์ ตัวช่วยในการค้นหาร้านค้าหรืออู่ ซื้อสินค้าและบริการด้านยานยนต์ในราคาพิเศษ พร้อมจองคิวบริการล่วงหน้า และบริการช่วยเหลือฉุกเฉินบนท้องถนนตลอด 24 ชั่วโมง โดยมีเครือข่ายร้านค้าพันธมิตรที่ได้มาตรฐานและครอบคลุมหลายพื้นที่ เช่น FIT Auto และปรึกษาปัญหารถยนต์ฟรีตลอด 24 ชั่วโมง ได้ที่เบอร์ 02-114-3339
นอกจากนี้ คุณสิงโต นำโชค ศิลปินนักร้องชื่อดังในฐานะนักแสดงภาพยนตร์โฆษณา ‘ความสุขเกิดขึ้นได้ทุกที่รอบตัวคุณ’ โฆษณาชิ้นแรกของ CP LAND ได้กล่าวเชิญชวนเข้าร่วมแคมเปญ ‘สิงโต นำโปร’ ว่า ผมยินดีและดีใจเป็นอย่างมากที่ทาง CP LAND ให้ความไว้วางใจในการเลือกผมเป็นทั้งนักแสดงภาพยนตร์โฆษณา ผู้นำทัพแคมเปญ “CP LAND Presents เจอสุข เจอนั่น เจอนี่” ตลอดจนถึงตอนนี้กับแคมเปญโปรโมชัน ‘สิงโต นำโปร’ ผมจึงอยากเชิญชวนทุกท่านให้มาเข้าร่วมแคมเปญนี้ ซื้อโครงการบนทำเลคุณภาพดีจาก CP LAND กันครับ
โดย 18 โครงการบ้านและคอนโดฯ จาก CP LAND ทั่วประเทศ ที่เข้าร่วมแคมเปญ ‘สิงโต นำโปร’ เริ่มต้นที่ 1.2 - 4.4 ล้านบาท มีดังนี้
สนใจเข้าร่วมแคมเปญ ‘สิงโต นำโปร’ สามารถติดต่อที่สำนักงานขายของ CP LAND ได้ทั่วประเทศ หรือสอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ โทร 02-088-0999, Facebook: CP LAND Property, Instagram: CPLAND.Official, YouTube: CP LAND, TikTok: CP LAND Property และเว็บไซต์ www.CPLAND.co.th หรือ www.CPLANDProperty.com
รายละเอียดโปรโมชัน ‘สิงโต นำโปร’ จาก 17 พันธมิตรภาคเอกชน – ธนาคาร


*หมายเหตุ : เงื่อนไขของส่วนลดและโปรโมชันเป็นไปตามที่บริษัทฯ และ/หรือของพันธมิตรกำหนดเท่านั้น
ทิพยประกันภัย ร่วมสนับสนุนงานการกุศลเพื่อระดมทุนครั้งใหญ่ “Hope for Hunger Charity Night: Talks and Concert" จัดโดย สำนักงานข้าหลวงใหญ่ผู้ลี้ภัยแห่งสหประชาชาติ (UNHCR) เพื่อระดมทุนช่วยเหลือให้กับผู้คนกว่า 23 ล้านคนในประเทศเอธิโอเปีย เคนย่า และโซมาเลีย ที่กำลังเผชิญกับภาวะขาดแคลนอาหารและขาดแคลนแหล่งน้ำอย่างหนัก ซึ่งมีเด็กจำนวนมากตกอยู่ในภาวะทุพโภชนาการ เนื่องจากภาวะโลกร้อนในทวีปแอฟริกา
โดยมี ดร. พลรัตน์ เอกโยคยะ รองกรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท ทิพยประกันภัย จำกัด (มหาชน) ร่วมงานแถลงข่าวการจัดงาน ณ โรงแรมอนันตรา สยาม กรุงเทพฯ
ทั่วโลกกำลังเผชิญกับการเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว เมื่อนวัตกรรมดิจิทัลล้ำยุคอย่าง AI ถูกนำมาใช้โดยหน่วยงานภาครัฐและอุตสาหกรรมต่างๆ กันมากขึ้น การนำเทคโนโลยีใหม่ๆ เหล่านี้มาใช้งานในหลากหลายรูปแบบ นำไปสู่ประสิทธิภาพที่เยี่ยมยอดยิ่งขึ้นสำหรับภาคธุรกิจ ขณะเดียวกันยังก่อให้เกิดการปรับเปลี่ยนภูมิทัศน์ทางดิจิทัล และกลายเป็นกุญแจหลักในการขับเคลื่อนและบ่งชี้การเติบโตของเศรษฐกิจในอนาคต คำถามที่ตามมาคือ นวัตกรรมใหม่ๆ เหล่านี้จะสร้างการเปลี่ยนแปลงอะไรอีกบ้าง และประเทศไทยพร้อมจะใช้ประโยชน์สูงสุดจากเทคโนโลยีเหล่านี้หรือยัง
ภายในงานสัมมนาหัวข้อ “การขับเคลื่อนอนาคตของประเทศไทยด้วยนวัตกรรม” (Innovation Driving Thai for the New Future) เมื่อเร็วๆ นี้ นายเดวิด หลี่ ประธานกรรมการบริหาร บริษัท หัวเว่ย เทคโนโลยี่ (ประเทศไทย) จำกัด ได้เผยวิสัยทัศน์เกี่ยวกับนวัตกรรมที่จะเป็นตัวขับเคลื่อนอนาคตของประเทศไทยว่า “จากผลวิจัยโดยองค์กรอิสระด้านการวิจัย เมื่อไม่นานมานี้ ระบุว่าภาคอุตสาหกรรม เช่น สุขภาพ การศึกษา การบริหารความเสี่ยงทางการเงิน และการธนาคาร จะได้รับประโยชน์มหาศาลจากนวัตกรรมอย่าง AI ซึ่งคาดว่าจะสร้างมูลค่าเพิ่มอีกกว่า 2.6 ถึง 4 ล้านล้านเหรียญสหรัฐให้กับจีดีพีโลก ดังนั้น การเตรียมตัวให้พร้อมต่อนวัตกรรมเหล่านี้จึงจำเป็นอย่างยิ่ง เพื่อที่เราจะได้ใช้ประโยชน์จากยุคดิจิทัลได้อย่างเต็มประสิทธิภาพและสร้างความแข็งแกร่งให้กับระบบเศรษฐกิจของประเทศยิ่งขึ้น หลายๆ ประเทศในภูมิภาคเอเชีย เช่น สิงคโปร์ ได้บูรณาการ AI เข้าเป็นส่วนหนึ่งของแผนยุทธศาสตร์การพัฒนาประเทศ โดยปรับเปลี่ยนโมเดลธุรกิจของประเทศให้ใช้ประโยชน์จากประสิทธิภาพทางการผลิตที่เพิ่มขึ้น พร้อมๆ กับการส่งเสริมการเติบโตในด้านใหม่ๆ ให้กับประเทศ และประเทศไทยก็สามารถเป็นผู้นำด้านนวัตกรรมและผู้ผลิตเทคโนโลยีระดับสูงในภูมิภาคนี้ได้เช่นกัน อย่างไรก็ตาม หากประเทศที่ต้องการบรรลุเป้าหมายไปสู่ยุคอัจฉริยะแห่งอนาคต สิ่งแรกที่ประเทศไทยควรให้ความสำคัญคือ กระบวนการพัฒนาระบบโครงสร้างพื้นฐานด้านไอซีทีและบุคลากร ทั้งนี้ แม้ว่าสังคมไทยจะเปิดรับการเข้ามาของเทคโนโลยีใหม่ ๆ เหล่านี้ แต่ประเทศไทยกลับมีบริษัทและสำนักงานเพียงไม่กี่แห่งเท่านั้นที่ปรับเปลี่ยนกระบวนการทำงานให้เป็นดิจิทัลเรียบร้อยแล้ว”
จากรายงานสมุดปกขาวเกี่ยวกับบุคลากรทางด้านดิจิทัลของประเทศไทย ประจำปี 2565 (Thailand National Digital Talent White Paper 2022) พบว่า การมีส่วนร่วมของประชาชนชาวไทยในโลกดิจิทัลมีอัตราสูงถึง 68 เปอร์เซ็นต์ ซึ่งเห็นได้จากความสำเร็จของโครงการดิจิทัลวอลเล็ตต่างๆ รวมไปถึงความนิยมในการใช้งานโซเชียลมีเดีย อย่างไรก็ตาม มีประชากรเพียง 16 เปอร์เซ็นต์เท่านั้นที่ใช้เครื่องมือดิจิทัลในการทำงานหรือในสถานที่ทำงาน และมีเพียง 1 เปอร์เซ็นต์เท่านั้นที่สามารถสร้างเครื่องมือดิจิทัลได้เองหรือสามารถพัฒนา use case ใหม่ๆ ได้ ซึ่งตัวเลขดังกล่าวยังคงห่างจากเกณฑ์มาตรฐานของเศรษฐกิจดิจิทัลอยู่มาก ดังนั้น จะเห็นได้ว่าภาคอุตสาหกรรมของประเทศไทย รวมถึงบุคลากรของประเทศยังต้องการการพัฒนาศักยภาพอีกมาก ในส่วนของเทคโนโลยี AI จากข้อมูลสถิติระดับโลกพบว่า ผู้ใช้งาน AI สามารถสร้างรายได้โดยเฉลี่ยปีละ 5,000 ถึง 10,000 เหรียญสหรัฐ ในขณะที่ผู้สร้าง AI สร้างรายได้ที่สูงกว่ามาก โดยเฉลี่ยปีละ 30,000 ถึง 40,000 เหรียญสหรัฐ นอกจากนี้ เทคโนโลยีนวัตกรรมอื่นๆ เช่น 5G และคลาวด์ มีจำนวน use case ใหม่ๆ เพิ่มขึ้นเรื่อยๆ ก่อให้เกิดการปรับปรุงกระบวนการในหลากหลายอุตสาหกรรม และเทคโนโลยีพลังงานไฟฟ้าจากแสงอาทิตย์ยังช่วยลดต้นทุนด้านการดำเนินงานได้มหาศาล พร้อมๆ กับช่วยให้หลายๆ ประเทศสามารถบรรลุเป้าหมายด้านความยั่งยืน นอกจากนี้ ยังมีข้อมูลบ่งชี้ว่าทุกประเทศจำเป็นต้องมีระบบโครงสร้างพื้นฐานด้านไอซีทีที่คล่องตัวและสอดประสานกัน เพื่อขับเคลื่อนให้เกิดการเปลี่ยนผ่านแบบอัจฉริยะที่จะช่วยผลักดันให้เกิดการใช้งานเทคโนโลยีใหม่ๆ นำไปสู่การเติบโตทางเศรษฐกิจได้ แต่การที่จะบรรลุเป้าหมายดังกล่าวได้นั้น จำเป็นต้องอาศัยความร่วมมือที่มากขึ้นระหว่างภาครัฐและเอกชน รวมถึงการลงทุนในระบบนิเวศด้านดิจิทัล และการบ่มเพาะบุคลากรด้านดิจิทัลให้กับประเทศ

นายเดวิด หลี่ อธิบายเพิ่มเติมว่า “หัวเว่ยได้กำหนดปัจจัยหลัก 4 ประการเพื่อสนับสนุนประเทศไทยในการเปลี่ยนผ่านสู่ยุคดิจิทัลอัจฉริยะแห่งอนาคต ประกอบด้วย ข้อมูล ระบบโครงสร้างพื้นฐาน อีโคซิสเต็ม และบุคลากร เรามุ่งพัฒนาทั้งสี่ปัจจัยนี้ด้วยการลงทุนเพื่อปรับปรุงกระบวนการรวบรวมข้อมูลและระบบโครงสร้างพื้นฐานด้านดิจิทัลแบบบูรณาการ ผ่านการจัดตั้งศูนย์นวัตกรรมข้อมูลและเทคโนโลยี 5G ในประเทศไทย นอกจากนี้ หัวเว่ยยังมุ่งสนับสนุนอีโคซิสเต็มด้านดิจิทัลของประเทศไทย ด้วยการผนึกกำลังกับสตาร์ทอัพด้านดิจิทัลกว่า 100 บริษัท และพันธมิตรด้านเทคโนโลยีคลาวด์ในประเทศอีกกว่า 300 แห่ง รวมถึงการร่วมมือกับมหาวิทยาลัยต่างๆ เพื่อบ่มเพาะบุคลากรด้านดิจิทัลในอนาคตให้กับประเทศไทย ทั้งนี้ เรามองว่าประเทศไทยจำเป็นต้องให้ความสำคัญกับการพัฒนาบุคลากรเป็นอย่างยิ่ง โดยเฉพาะเมื่อประเทศต้องการที่จะขับเคลื่อนการพัฒนาในอนาคตผ่านนวัตกรรม ทั้งนี้ จากโครงการความร่วมมือต่างๆ ที่เราดำเนินมาอย่างต่อเนื่อง ปัจจุบัน หัวเว่ยประสบความสำเร็จในการฝึกอบรมบุคลากรทางด้านดิจิทัลไปแล้วกว่า 70,000 คน และวางแผนที่จะบ่มเพาะนักพัฒนาซอฟท์แวร์ในด้านองค์ความรู้เกี่ยวกับเทคโนโลยีคลาวด์ เพิ่มอีก 20,000 คน เพื่อเป็นกำลังสำคัญในการขับเคลื่อนประเทศไทยไปสู่การเป็นศูนย์กลางด้านบุคลากรดิจิทัลของภูมิภาคในอนาคต”
ในฐานะผู้นำระดับโลกด้านเทคโนโลยีไอซีทีที่มีประสบการณ์กว่า 24 ปีในไทย หัวเว่ยมีความมุ่งมั่นที่จะส่งมอบเทคโนโลยีที่ล้ำสมัยที่สุดให้กับไทย พร้อมกับการบ่มเพาะบุคลากรทางด้านดิจิทัลและการลงทุนในศูนย์ข้อมูลภายในประเทศ และเมื่อต้นปีที่ผ่านมา จากการผนึกกำลังร่วมกับมหาวิทยาลัยและหน่วยงานภายในท้องถิ่น หัวเว่ยประสบความสำเร็จในการเปิดตัวโมเดลภาษาขนาดใหญ่ “Pangu AI Model” ที่สามารถนำมาบูรณาการเข้ากับโมเดลพยากรณ์อากาศ โดยความร่วมมือกับกรมอุตุนิยมวิทยา โมเดล ‘Pangu Meteorology’ หรือ โซลูชัน ผานกู่ ได้รับการพิสูจน์แล้วว่ามีความแม่นยำมากกว่าเทคโนโลยีการพยากรณ์อากาศแบบดั้งเดิมถึง 20% ช่วยให้เตรียมความพร้อมรับมือกับสภาพอากาศที่รุนแรงได้ดียิ่งขึ้น และลดความสูญเสียลงได้มาก
นายเดวิด หลี่ กล่าวสรุปว่า “หัวเว่ย จะยังคงทำงานร่วมกับพันธมิตรทุกภาคส่วน เพื่อขับเคลื่อนระบบเศรษฐกิจดิจิทัลที่ยั่งยืนให้กับประเทศไทย สอดรับกับความตั้งใจของรัฐบาลไทย นอกเหนือจากโครงการที่ดำเนินการโดยภาคเอกชนแล้ว เราเชื่อว่าการสนับสนุนจากภาครัฐในด้านนโยบายและการลงทุน จะนำไปสู่การพัฒนาระบบโครงสร้างพื้นฐานด้านไอซีทีอันแข็งแกร่ง ที่จะช่วยขับเคลื่อนการเปลี่ยนผ่านไปสู่ความอัจฉริยะและเอื้อประโยชน์ในการใช้งานเทคโนโลยีใหม่ๆ ในหลากหลายอุตสาหกรรม ทั้งนี้ ตลอด 24 ปีที่ผ่านมา หัวเว่ยได้เติบโตไปพร้อมๆ กับอุตสาหกรรมและสังคมดิจิทัลของประเทศไทย และมีความตั้งใจเสมอมาที่จะสนับสนุนประเทศชาติในการบรรลุศักยภาพทางด้านดิจิทัล สอดคล้องกับพันธกิจของเราในการเดินหน้าสร้างคุณค่าและขับเคลื่อนประเทศไทยไปสู่สังคมดิจิทัลที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมและมีการเชื่อมโยงกันอย่างสมบูรณ์”