December 24, 2025

สร้างสรรค์นวัตกรรมที่แตกต่าง เพื่อร่วมเปลี่ยนมุมมองของผู้คนที่มีต่อการประกันชีวิต

ศูนย์การประชุมแห่งชาติสิริกิติ์ สานต่อบันทึกข้อตกลงความร่วมมือ ของกรมการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศและสิ่งแวดล้อม (สส.) กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ลงพื้นที่ส่งต่อคุณค่าขยะอินทรีย์อบแห้งกว่า 10,000 กิโลกรัม สนับสนุนเศรษฐกิจหมุนเวียนในชุมชน พัฒนาคุณภาพชีวิต สร้างมูลค่าทางเศรษฐกิจสู่การพัฒนาอย่างยั่งยืน

การส่งมอบขยะอินทรีย์อบแห้งในครั้งนี้ เป็นหนึ่งในกิจกรรมที่ทางศูนย์ฯ สิริกิติ์ ได้มีการลงนามบันทึกข้อตกลงความร่วมมือกับ สส. โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อส่งเสริมและสนับสนุนการจัดการขยะ ตั้งแต่ต้นทางด้วยการนำขยะอินทรีย์อบแห้งภายในพื้นที่ของศูนย์ฯ สิริกิติ์ ผ่านกระบวนการแปรรูปแล้วนำไปใช้ประโยชน์ในการศึกษาวิจัย และส่งเสริมการเผยแพร่องค์ความรู้ให้กับวิสาหกิจชุมชน เพื่ออนุรักษ์สิ่งแวดล้อมให้ยั่งยืนในระยะยาวต่อไป

ม.ร.ว.สวัสดิวุฒิ สวัสดิวัตน์ รองกรรมการผู้จัดการ บริษัท เอ็น.ซี.ซี. แมนเนจเม้นท์ แอนด์ ดิเวลลอปเม้นท์ จํากัด ผู้บริหารศูนย์การประชุมแห่งชาติสิริกิติ์  กล่าวว่า “ศูนย์ฯ สิริกิติ์ มีความยินดีที่ได้สานต่อข้อตกลงร่วมกับ สส. ในการส่งเสริม และสนับสนุนการจัดการขยะอาหารจากการจัดอิเวนต์ โดยการนำแนวคิดเศรษฐกิจหมุนเวียนมาปรับใช้สร้างคุณค่าให้กับเศษอาหาร โดยนำกลับมาหมุนเวียน ทำเป็นขยะอินทรีย์อบแห้ง ซึ่งเป็นการใช้ทรัพยากรให้เกิดประโยชน์สูงสุด ส่งต่อสู่ชุมชนในการนำไปเลี้ยงหนอนแมลงวันลาย เพื่อกำจัดขยะอินทรีย์ ทำเป็นปุ๋ยสำหรับปลูกต้นไม้ และพืชผัก และยังสร้างรายได้ให้กับชุมชนควบคู่ไปกับการช่วยลดก๊าซเรือนกระจก อันเนื่องมาจากขยะ เพื่อสร้างความยั่งยืนให้กับสิ่งแวดล้อม ชุมชน  และสังคมต่อไป”

ระยะ 1 ปีที่ผ่านมา ศูนย์ฯ สิริกิติ์ ได้นำขยะอาหารมาแปรรูปด้วยการอบแห้ง เพื่อเพิ่มมูลค่าและสร้างประโยชน์สูงสุดให้กับวิสาหกิจชุมชน ซึ่งศูนย์ฯ สิริกิติ์สามารถส่งต่อขยะอบแห้งให้กับสส. และวิสาหกิจชุมชนกว่า 10,000 กิโลกรัม ทำให้เกิดการหมุนเวียน และลดของเสียได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น จนนำไปสู่การไม่มีของเสีย เป็นการเพิ่มรายได้ ลดรายจ่ายให้กับวิสาหกิจชุมชน รวมถึงยังช่วยลดขยะอาหารของศูนย์ฯ สิริกิติ์ได้ถึง 55,797 กิโลกรัม เทียบเท่าการปลูกต้นไม้มากกว่า 15,686 ต้นต่อปี และช่วยลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกได้มากกว่า 141,174 กิโลกรัมคาร์บอนไดออกไซด์เทียบเท่าต่อปี (kgCO2e/yr)

ปัญญา วรเพชรายุทธ ผู้อำนวยการศูนย์วิจัยการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศและสิ่งแวดล้อม กล่าวว่า “ทางกรมฯ ได้ดำเนินการตามนโยบายขององค์กรสหประชาชาติที่กำหนดเป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืน (Sustainable Development Goals : SDGs) ว่าด้วยเรื่องของขยะอาหารที่ขอให้แต่ละประเทศร่วมกันลดปริมาณขยะอาหารลงครึ่งหนึ่งภายในปี 2573 ซึ่งนับเป็นโอกาสอันดีที่กรมฯ และศูนย์ฯ สิริกิติ์ได้ดำเนินความร่วมมือสอดรับกับนโยบายของ UN ในการลดขยะอาหารเพื่อลดภาวะโลกร้อน ซึ่งเป็นหนึ่งในการดำเนินงานที่นำไปสู่ความสำเร็จในเป้าหมายของการพัฒนาอย่างยั่งยืน”

ศูนย์ฯ สิริกิติ์ในฐานะผู้นำอิเวนต์ด้านความยั่งยืน ยังคงมุ่งมั่นเดินหน้าสู่การเป็นสถานที่จัดงานที่คำนึงถึงชุมชน สังคม และสิ่งแวดล้อม และพร้อมผลักดันธุรกิจอิเวนต์ของไทยให้เติบโตอย่างยั่งยืน

เมื่อเร็วๆ นี้ นายระเฑียร  ศรีมงคล  ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร “เคทีซี” หรือ บริษัท บัตรกรุงไทย จำกัด (มหาชน) ได้รับมอบรางวัลนวัตกรรมเทคโนโลยียอดเยี่ยม (Technical Solution Joint Innovation Awards) ในการออกแบบและพัฒนาโครงสร้างระบบไอทีให้สามารถใช้ประโยชน์จากเทคโนโลยีคลาวด์ (Cloud technology) จากงาน Huawei Connect 2023 ซึ่งเป็นงานประจำปีของหัวเว่ยที่มีผู้ร่วมงานจากทั่วโลกมากกว่า 20,000 คน ภายใต้ธีมงาน “เร่งสร้างโลกอัจฉริยะ” (Accelerate Intelligence) ณ นครเซี่ยงไฮ้ สาธารณรัฐประชาชนจีน โดยเคทีซีเป็นลูกค้ารายแรกของหัวเว่ยที่ใช้บริการเทคโนโลยีประมวลผลรูปแบบใหม่ (Cloud Native Application) ในการสร้างและรันแอปพลิเคชัน และเทคโนโลยีเครือข่าย เช่น New Cloud Native Container (Cloud Container EngineTurbo), Enterprise Router และ GaussDB สำหรับ MySQL เป็นต้น

ทั้งนี้ เคทีซีเป็น 1 ใน 2 บริษัทของประเทศไทยจากองค์กรทั่วโลก ที่ได้รับรางวัลในด้านนวัตกรรมเทคโนโลยียอดเยี่ยมในการพัฒนาแอปพลิเคชัน เพื่อรองรับการประมวลผลในรูปแบบคลาวด์ ทำให้เคทีซีสามารถส่งมอบการบริการให้แก่ลูกค้าและผู้ใช้งานอย่างรวดเร็ว ปลอดภัย เสถียร ยืดหยุ่น และมีประสิทธิภาพ

ทีเอ็มบีธนชาต หรือ ทีทีบี มอบสิทธิพิเศษ สำหรับผู้ถือบัตรเครดิต ttb เมื่อซื้อนาฬิกาแบรนด์ดังสุดหรู PENDULUM, PMT THE HOUR GLASS และ Cortina Watch ณ ร้านค้าที่ร่วมรายการ ได้แก่ PENDULUM เซ็นทรัลเวิลด์ / สยามพารากอน / เชียงใหม่ Franck Muller สยามพารากอน PMT THE HOUR GLASS สยามพารากอน / ไอคอนสยาม / เซ็นทรัล เอ็มบาสซี / เกษรวิลเลจ / เอ็มควอเทียร์ / ภูเก็ตฟลอเรสต้า Cortina Watch – Cartier เซ็นทรัล เอ็มบาสซี Cortina Watch เซ็นทรัล ลาดพร้าว และ Cortina Watch - Frank Muller แมนดาริน โอเรียนเต็ล กรุงเทพ ระหว่างวันที่ 15 สิงหาคม 2566 – 30 พฤศจิกายน 2566  โดยมอบสิทธิพิเศษดังนี้

สิทธิพิเศษ 1: รับเครดิตเงินคืนสูงสุด 30,000 บาท เพียงมียอดใช้จ่ายแบบชำระเต็มจำนวน ขั้นต่ำ 150,000 บาท / เซลล์สลิป รับเครดิตเงินคืน 3,000 บาท และรับเพิ่มขึ้นตามขั้นที่กำหนด จำกัดเครดิตเงินคืนสูงสุด 30,000 บาท / บัญชีบัตรหลัก /  ร้านค้า ตลอดรายการ  ลงทะเบียนรับสิทธิ์ผ่านแอป ttb touch หรือ ส่ง SMS พิมพ์ LUX ตามด้วยหมายเลขบัตรเครดิต 12 หลักสุดท้าย ส่งมาที่ 4806026 สำหรับ  บัตรเครดิต ttb reserve รับสิทธิ์โดยอัตโนมัติ   

สิทธิพิเศษ 2: แลกคะแนนรับเครดิตเงินคืนสูงสุด 12% เมื่อใช้คะแนนสะสมทุก 1,000 คะแนนและมียอดใช้จ่ายขั้นต่ำ 1,000 บาทขึ้นไป / เซลล์สลิป  โดยคำนวณจากยอดใช้จ่ายแบบชำระเต็มจำนวน บัตรเครดิต ttb reserve infinite และบัตรเครดิต ttb reserve signature ทุก 1,000 คะแนน = 120 บาท บัตรเครดิต ttb (บัตรเครดิต ทีเอ็มบี และ บัตรเครดิต ธนชาต) และบัตรเครดิต ttb Global House ที่มีคะแนนสะสม ทุก 1,000 คะแนน = 100 บาท จำกัดการแลกคะแนนสะสม 1,000,000 คะแนน / บัญชีบัตรหลัก ตลอดรายการส่งเสริมการขาย ส่ง SMS ทุกครั้งที่ต้องการแลกคะแนน พิมพ์ LUXB ตามด้วยคะแนนที่ต้องการแลก ทุก 1,000 คะแนน แต่ไม่เกินยอดใช้จ่าย เว้นวรรค ตามด้วยหมายเลขบัตรเครดิต 12 หลักสุดท้าย ส่งมาที่ 4806026  

พร้อมเปิดตัวสมาร์ทชาร์จเจอร์ตอบโจทย์ผู้ใช้ยานยนต์ไฟฟ้า

ผสานจุดแข็งของแม็คโคร-โลตัส มอลล์ ตอบสนองไลฟ์สไตล์ผู้ประกอบการและลูกค้าทุกกลุ่ม เพื่อก้าวสู่การเป็น Destination ของค้าส่งรูปแบบใหม่อย่างสมบูรณ์แบบที่สุด

เปิดประสบการณ์ Immersive Show ส่งโลกแฟชั่นประชันโลกเสมือนจริง นำ 52 ดีไซเนอร์ฮ่องกงอวดผลงานพร้อม 4  ดีไซเนอร์แบรนด์ไทยรับเชิญ

บริษัท เจริญโภคภัณฑ์อาหาร จำกัด (มหาชน) หรือ ซีพีเอฟ รับ “รางวัลนวัตกรรมแห่งชาติประจำปี 2566”

เพื่อสร้างความร่วมมือทางวิชาการทางด้านหลักสูตรบริหารธุรกิจ สาขาวิชาการตลาด กลุ่มวิชาการตลาดธุรกิจการค้าปลีก

พลังงานแสงอาทิตย์ คือพลังงานที่ธรรมชาติมอบให้มนุษย์สามารถใช้ประโยชน์ได้อย่างแทบไม่มีที่สิ้นสุด ในช่วงเวลาที่หลายฝ่ายให้ความสำคัญกับอนาคตสีเขียวและแหล่งพลังงานทดแทนมากขึ้น ทำให้หลายองค์กรในหลากอุตสาหกรรมหันมาเลือกใช้เทคโนโลยี “โซลาร์เซลล์” เพื่อแปลงพลังงานแสงอาทิตย์ให้เป็นพลังงานไฟฟ้า ทดแทนการใช้พลังงานจากโรงไฟฟ้าในรูปแบบเดิม ที่เริ่มกลายเป็นต้นทุนของการดำเนินการที่สูงขึ้นอย่างไม่น่าเชื่อ สิ่งนี้ถือเป็นปัจจัยสำคัญของการประกอบกิจการแทบทุกรูปแบบ ทั้งธุรกิจอุตสาหกรรมการผลิต ธุรกิจด้านการบริการต่าง ๆ ไปจนถึงธุรกิจประเภทศูนย์สรรพสินค้าที่ใช้ต้องใช้ไฟฟ้าปริมาณมากในแต่ละวัน เพื่อตอบสนองความต้องการของลูกค้าที่เข้ามาจับจ่ายใช้บริการในสถานที่ตั้งแต่เช้าจนค่ำ เทคโนโลยีด้านพลังงานดิจิทัลจึงกลายมาเป็นจุดเปลี่ยนที่องค์กรหันมาให้ความสำคัญและลงทุนติดตั้ง เพื่อประยุกต์ใช้พลังงานทดแทนอย่างเต็มที่ โดยหวังให้อนาคตของทั้งองค์กรและคุณภาพชีวิตของประชากรไทยมีความความยั่งยืนไปด้วยกัน

หนึ่งในตัวอย่างความสำเร็จที่น่าสนใจคือโครงการของศูนย์สรรพสินค้าซีคอนสแควร์ โดยดร. พรต ซอโสตถิกุล รองกรรมการผู้จัดการสำนักปฎิบัติการ บริษัท ซีคอน ดีเวลลอปเมนท์ จำกัด (มหาชน) ได้เปิดเผยเบื้องหลังความสำเร็จของศูนย์สรรพสินค้าซีคอนสแควร์ ในการนำเทคโนโลยีพลังงานสะอาดมาใช้ใน ศูนย์สรรพสินค้าซีคอนสแควร์​ สาขาศรีนครินทร์ และสาขาบางแค ว่า “ตลอดช่วง 3-4 ปีที่ผ่านมา เราพยายามมองหาว่าเราจะสามารถลดค่าใช้จ่ายในส่วนไหนลงได้บ้าง ซึ่งเมื่อดูจากค่าใช้จ่ายทั้งหมดที่เราใช้ในการดำเนินธุรกิจ เราพบว่าค่าไฟฟ้าเป็นต้นทุนที่มีสัดส่วนสูงกว่าค่าใช้จ่ายอื่น ๆ เราจึงเริ่มหาทางลดค่าใช้จ่ายตรงนี้ โดยการเปลี่ยนหลอดไฟในศูนย์การค้าทั้งหมดให้เป็น LED และอื่น ๆ ซึ่งสุดท้ายก็ลดค่าใช้จ่ายได้เพียงเล็กน้อยเท่านั้น เราจึงเริ่มหันมาศึกษาเรื่องเทคโนโลยีโซลาร์เซลล์ เพราะเห็นหลายประเทศเริ่มใช้งานกันแล้ว” ทำให้ในปัจจุบัน เทคโนโลยีโซลาร์เซลล์สามารถช่วยให้ศูนย์สรรพสินค้าซีคอนสแควร์​ สาขาศรีนครินทร์ ประหยัดไฟไปได้ 47 ล้านบาทต่อปี ในขณะที่ศูนย์สรรพสินค้าซีคอนสแควร์ สาขาบางแค สามารถประหยัดไฟลงไปได้คิดเป็นสัดส่วนประมาณ 2 ใน 3 ของสาขาศรีนครินทร์”

เขายังให้ข้อมูลเพิ่มเติมว่าภายหลังการติดตั้งโซลาร์เซลล์ ผลที่ได้คือสามารถลดค่าไฟได้มากถึง 15-17% ในศูนย์สรรพสินค้าซีคอนสแควร์ทั้ง 2 สาขา ทำให้ในอนาคตทางบริษัทยังมีแผนที่จะติดตั้งโซลาร์เซลล์ที่ซีคอนสแควร์​ ศรีนครินทร์ เพิ่มขึ้นอีก 1 เมกะวัตต์ รวมกับของเดิมกลายเป็น 6 เมกะวัตต์ และจะติดตั้งเพิ่มเติมให้กับบริษัทในเครือ ไม่ว่าจะเป็นนันยาง เรเนซองส์ ภูเก็ต รีสอร์ท แอนด์ สปา ไทยชูรส ฯลฯ ซึ่งความสำเร็จในการลดการใช้ปริมาณไฟฟ้าเปรียบได้กับการปลูกต้นไม้หลายแสนต้น ทำให้ทาง ซีคอน ดีเวลลอปเมนท์ กลายเป็นอีกหนึ่งองค์กรที่ตอบแทนสังคมด้วยการรักษาทรัพยากรธรรมชาติผ่านการใช้เทคโนโลยี ช่วยลดการปล่อยก๊าซคาร์บอน (Carbon
Emission) เพื่อรักษาวัฏจักรธรรมชาติตอบรับกับเทรนด์การพัฒนาอย่างยั่งยืนในอนาคต

“เราตั้งใจทำสิ่งดี ๆ ไว้ก่อนอย่างน้อยก็ถือเป็นตัวอย่าง เราเชื่อว่าเดี๋ยวในอนาคตก็จะมีคนทำตามเอง ซึ่งตอนนี้ก็มีศูนย์สรรพสินค้าและองค์กรอื่น ๆ ให้ความสนใจเข้ามาศึกษาโครงการการใช้พลังงานแสงอาทิตย์ของซีคอนสแควร์มากขึ้น ซึ่งเราเองก็สนับสนุนให้ทุกฝ่ายหันมาประยุกต์ใช้อย่างมีประสิทธิภาพและถูกวิธี เพราะมันมีประโยชน์ต่อทุกฝ่ายมากจริง ๆ อีกไม่นานองค์กรบางแห่งอาจหันมาใช้แบตเตอรี่สำหรับเก็บไฟฟ้าจากพลังงานแสงอาทิตย์ เพื่อกักเก็บไว้สำหรับใช้ไฟฟ้าในตอนกลางคืนมากขึ้น ซึ่งจะเป็นการใช้พลังงานให้ได้ประสิทธิภาพสูงสุด โดยมีต้นทุนต่อสังคมและองค์กรน้อยที่สุด ผ่านการใช้ประโยชน์จากพลังงานธรรมชาติอย่างพลังงานแสงอาทิตย์ที่เป็นจุดแข็งของประเทศไทยที่มีแสงแดดส่องอยู่สม่ำเสมอเกือบทุกวันตลอดทั้งปี” ดร. พรต กล่าว

เขายังให้ข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับการเลือกใช้อุปกรณ์สำหรับโซลูชันโซลาร์เซลล์ของซีคอนสแควร์ว่าทางบริษัทได้ใช้เวลาศึกษาเรื่องโซลาร์เซลล์ และการใช้พลังงานแสงอาทิตย์มาประมาณ 1 ปี บินไปดูงานในหลายประเทศ ซึ่งรวมถึงอุปกรณ์อินเวอร์เตอร์ (Inverter) ที่เป็นเครื่องมือแปลงแรงดันไฟฟ้าเอาไว้แปลงกระแสไฟจากไฟฟ้ากระแสตรง (DC) ไปเป็นไฟฟ้ากระแสสลับ (AC) สำหรับโซลาร์เซลล์ และพบว่าอินเวอร์เตอร์ (Inverter) ของหัวเว่ยมีคุณภาพดีที่สุด และหลายประเทศในยุโรปเองก็ใช้อุปกรณ์ของหัวเว่ย และการที่มันเป็นระบบปิดก็ช่วยป้องกันไม่ให้ฝุ่นเข้าไปทำระบบไฟฟ้าเสียหาย ป้องกันไม่ให้แมลงเข้าไปทำรัง และยังเหมาะกับการรับมือกับความชื้นในประเทศไทย ซึ่งถือว่าเป็นของอันตรายสำหรับอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์

ดร. พรต กล่าวเสริมว่า “ตอนไปดูงานที่หัวเว่ย เจ้าหน้าที่ได้โชว์ให้ดูเลยว่าเอาอุปกรณ์ไปแช่น้ำ เอาไฟสปอร์ตไลท์จ่อให้ร้อนก็ไม่พัง อีกประเด็นต่อมาคือโครงการซีคอนของเราใหญ่ที่สุดในประเทศไทยและภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ เรามีแผงควบคุมไฟฟ้า (Panel) ทั้งหมด 15,000 แผ่น พื้นที่หลังคา 40 ไร่ ซึ่งโซลูชันของหัวเว่ยยังช่วยให้เรารู้ได้เลยว่าโซลาร์เซลล์แผงไหนใช้งานได้น้อยหรือใช้งานไม่ได้ แผงไหนผิดปกติ (Defect) และยังสามารถตรวจได้ทุกวันแบบเรียลไทม์ว่าแผงไหนมีปัญหา รวมถึงเรายังสามารถรู้ประสิทธิภาพของการเก็บพลังงานจากแสงอาทิตย์ได้อีกด้วย”

นอกจากนี้ ทางบริษัท บริษัท หัวเว่ย เทคโนโลยี่ (ประเทศไทย) จํากัด และ ซีคอน ดีเวลลอปเมนท์ ยังได้ร่วมมือสร้างศูนย์การเรียนรู้ (Learning Center) ที่ศูนย์สรรพสินค้าซีคอนสแควร์​ สาขาศรีนครินทร์ โดยหัวเว่ยนำเอาตัวอย่างอุปกรณ์อินเวอร์เตอร์ (Inverter) มาให้ข้อมูลและความรู้เรื่องการใช้แผงโซลาเซลล์กับหน่วยงานต่างๆ ในประเทศไทยอย่าง การไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (กฟผ.) มหาวิทยาลัยและโรงเรียน เพื่อเสริมสร้างความรู้พื้นฐานทางด้านเทคโนโลยีพลังงานดิจิทัลให้ทุกภาคส่วนช่วยกันเลือกใช้ โดยจะมีเจ้าหน้าที่ผู้เชี่ยวชาญคอยให้คำแนะนำ เพื่อให้ทุกคนเข้าใจถึงการทำงานของระบบโซลาร์ และเข้าใจถึงความสำคัญในการเลือกอุปกรณ์ที่มีคุณภาพและมาตรฐานในเรื่องความปลอดภัยก่อนนำมาใช้งาน

ทั้งนี้ หนึ่งในเป้าหมายร่วมกันระหว่างทางซีคอนสแควร์และหัวเว่ยคือการสร้างเทคโนโลยีที่เป็นมิตรต่อสภาพแวดล้อมรวมถึงทำให้โลกใบนี้น่าอยู่ยิ่งขึ้น ในฐานะที่หัวเว่ยเป็นผู้นำด้านพลังงานทดแทนระดับโลก ซึ่งมีความเชี่ยวชาญในหลาย ๆ ด้าน ไม่ว่าจะเป็นเทคโนโลยี 5G Cloud และ AI ทำให้หัวเว่ยสามารถนำเทคโนโลยีดังกล่าวเข้ามาใช้งานร่วมกับพลังงานสะอาด และส่งเสริมให้องค์กรและครัวเรือนร่วมติดตั้งแผงโซลาร์เซลล์ เพิ่มการใช้พลังงานทดแทน ภายใต้เป้าหมายในการสนับสนุนโครงการจำนวน 30,000 โครงการภายใน 3 ปี ข้างหน้า ซึ่งจะส่งผลให้ประเทศไทยสามารถลดก๊าซคาร์บอนได้ถึง 265,000 ตัน ในฐานะผู้นำด้านโซลูชันพลังงานสะอาด พันธมิตรชั้นนำด้านไอซีที และผู้พลิกโฉมสู่ความเป็นดิจิทัล หัวเว่ยมุ่งมั่นในการสร้างสรรค์นวัตกรรมและสนับสนุนการใช้พลังงานหมุนเวียน ผ่านการทำงานร่วมกับรัฐบาลและพันธมิตรในอุตสาหกรรมเพื่อทำให้โลกของเราเป็นสถานที่ที่ดียิ่งขึ้น พร้อมที่จะสนับสนุนให้องค์กรทุกรูปแบบได้เข้าถึงเทคโนโลยีพลังงานดิจิทัลและใช้พลังงานธรรมชาติได้อย่างเต็มประสิทธิภาพ ลดความรุนแรงของภาวะโลกร้อนด้วยวิธีการอันชาญฉลาดที่สามารถลดค่าใช้จ่ายให้กับองค์กรได้ผ่านการใช้เทคโนโลยีเพื่อความยั่งยืนอย่างแท้จริง

X

Right Click

No right click