

เอสซีจีได้รับการยอมรับจากดัชนีความยั่งยืนชั้นนำของโลกหรือ ESG Risk Rating เป็น ESG Industry Top Rated ในกลุ่มธุรกิจอุตสาหกรรม (Industrial Conglomerates) จาก Morningstar Sustainalytics และได้รับ MSCI ESG Rating ระดับ AA (Leader) กลุ่มอุตสาหกรรมวัสดุก่อสร้าง (Construction Materials) จาก Morgan Stanley Capital International (MSCI) ผลการประเมินดังกล่าวมาจากการดำเนินธุรกิจตามแนวทาง ESG 4 Plus มุ่งแก้วิกฤตภาวะโลกเดือด ตั้งเป้าลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิเป็นศูนย์ ปี 2593 พร้อมเดินหน้าพัฒนานวัตกรรมโซลูชัน เทคโนโลยีดิจิทัลใส่ใจสังคม-สิ่งแวดล้อม บริหารงานตามมาตรฐานสากล โปร่งใส เปิดเผยข้อมูล มีกลยุทธ์เพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันทางธุรกิจท่ามกลางความผันผวนของวิกฤตซ้อนวิกฤต ควบคู่กับการสร้างคุณค่าให้กับสังคมและสิ่งแวดล้อมอย่างยั่งยืน
เอสซีจีมุ่งมั่นดำเนินธุรกิจตามกลยุทธ์ ESG 4 Plus “มุ่ง Net Zero – Go Green – Lean เหลื่อมล้ำ – ย้ำร่วมมือ” โดยยึดหลักเชื่อมั่นและโปร่งใส ตั้งเป้าหมายลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิเป็นศูนย์ ภายในปี 2593 เร่งพัฒนานวัตกรรมโซลูชัน เทคโนโลยีดิจิทัล ใช้ทรัพยากรอย่างคุ้มค่าและมีประสิทธิภาพ ตอบโจทย์เมกะเทรนด์โลก อาทิ SCG Cleanergy ผู้ให้บริการซื้อ-ขายไฟฟ้าจากพลังงานสะอาดครบวงจร สำหรับภาครัฐ ธุรกิจและอุตสาหกรรม ด้วยระบบเทคโนโลยีอัจฉริยะ (Smart Grid) ให้ซื้อ-ขายไฟฟ้าพลังงานสะอาดได้สะดวก รวดเร็ว ขณะเดียวกัน ได้ลงทุนกับ Rondo Energy สตาร์ทอัพด้านพลังงานสะอาดระดับโลก ผู้พัฒนานวัตกรรมแบตเตอรี่กักเก็บความร้อน (Thermal Energy Storage) อุณหภูมิสูงที่สุดในโลก เพื่อจ่ายพลังงานความร้อนให้โรงงานทดแทนการใช้บอยเลอร์ (Boiler) หรือเครื่องผลิตไอน้ำในโรงงานอุตสาหกรรม ทำให้ลดการเผาไหม้เชื้อเพลิงฟอสซิล ลดการปล่อยคาร์บอนไดออกไซด์ นวัตกรรมเพื่อยกระดับคุณภาพชีวิตพร้อมใส่ใจสังคมและสิ่งแวดล้อม อาทิ นวัตกรรมอัจฉริยะ เพื่อคุณภาพอากาศและประหยัดพลังงาน SCG Active AIR Quality, SCG Bi-ion และ SCG Air Scrubber โซลูชันจัดการคุณภาพอากาศ กำจัดเชื้อโรค ลดการใช้พลังงานในอาคาร SCGC GREEN POLYMERTM นวัตกรรมเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม รวมทั้งสินค้าภายใต้ฉลาก Green Choice กว่า 250 รายการ ที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมและส่งเสริมสุขอนามัยที่ดี ขณะเดียวกันยังมุ่งลดความเหลื่อมล้ำในสังคมด้วยการพัฒนาทักษะอาชีพ สร้างรายได้ให้ชุมชนและ SMEs ให้โอกาสทางการศึกษา และยกระดับสุขภาวะ รวม 50,000 คน เช่น อาชีพช่างก่อสร้าง พนักงานขับรถบรรทุก การแปรรูปและการขายสินค้าทางออนไลน์ ทั้งยังร่วมมือกับองค์กรต่าง ๆ ทั้งไทย อาเซียนและโลก ให้ดำเนินงานด้วย ESG เพื่อส่งต่อโลกที่ยั่งยืนให้คนรุ่นถัดไป
กรุงศรี (ธนาคารกรุงศรีอยุธยา จำกัด (มหาชน)) เปิดเวทีอัปเดตสถานการณ์เศรษฐกิจ
ในยุคแห่งดิจิทัลที่ธุรกิจ ภาคองค์กร รวมไปถึงหน่วยงานระดับประเทศ ต่างต้องการขับเคลื่อนไปข้างหน้าด้วยการประยุกต์ใช้เทคโนโลยีอัจฉริยะ องค์ประกอบสำคัญอย่าง “บุคลากร” ด้านเทคโนโลยีจึงเป็นสิ่งที่ขาดไม่ได้เป็นอย่างยิ่ง เนื่องจากทรัพยากรบุคคลเหล่านี้จะต้องเป็นผู้เข้ามาเตรียมความพร้อมให้กับทุกภาคส่วนของทุกองค์กรในการมาถึงของเทคโนโลยี และอาจจะรวมไปถึงกระบวนการเปลี่ยนผ่านสู่ยุคดิจิทัลในระดับประเทศอีกด้วย สำหรับในประเทศไทยเอง แม้รัฐบาลไทยจะมีแผนระดับชาติที่รองรับด้านเทคโนโลยีและทักษะดิจิทัลอยู่บ้างแล้ว แต่ก็อาจจะไม่เพียงพอต่อความต้องการบุคลากรไอซีทีจำนวนมากจากทุกภาคอุตสาหกรรม ในอนาคตอันใกล้ภาคเทคโนโลยีเอกชนจึงกลายเป็นอีกหนึ่งฟันเฟืองสำคัญที่สามารถช่วยเตรียมความพร้อมให้แก่บุคลากรไทยรุ่นใหม่ของตลาดเทคโนโลยี
หัวเว่ย ในฐานะผู้นำด้านนวัตกรรมและเทคโนโลยีไอซีทีระดับโลก ได้มีส่วนช่วยผลักดันบุคลากรดิจิทัลในประเทศไทยมาอย่างต่อเนื่องผ่านความร่วมมือต่าง ๆ กับเหล่าพาร์ทเนอร์ทั้งภาครัฐและเอกชน โดยมีโครงการ “Seeds for the Future” เป็นหนึ่งในโครงการหลักที่ช่วยฝึกอบรมเด็กไทยในระดับอุดมศึกษาให้เป็นบุคลากรด้านไอซีที และเป็นแรงงานที่มีคุณภาพ โดยโครงการดังกล่าวได้ดำเนินการมาอย่างต่อเนื่องในไทยมาเป็นเวลานานถึง 15 ปี และใน Seeds for The Future 2023 ประจำปีนี้ ได้ฝึกอบรมทั้งเยาวชนรุ่นใหม่ที่มาจากสายวิศวะกรหรือสายเทคโนโลยีโดยตรง และเยาวชนที่มาจากภาควิชาอื่นแต่มีความสนใจด้านเทคโนโลยี ซึ่งนอกจากการฝึกอบรมกับผู้เชี่ยวชาญและวิทยากรจากหัวเว่ยทั้งแบบออนไลน์และออฟไลน์ น้อง ๆ เยาวชนที่แสดงศักยภาพได้โดดเด่นทั้งด้านเทคโนโลยี ความคิดสร้างสรรค์ รวมไปถึงการมีส่วนร่วมในกิจกรรม หลังการฝึกอบรมเป็นระยะเวลา 8 วัน เราจะคัดเลือกนักเรียนที่มีศักยภาพโดดเด่นเพื่อร่วมเดินทางไปศึกษาดูงาน ณ ประเทศสาธารณรัฐประชาชนจีน ช่วงระหว่างวันที่ 15-20 กันยายนที่จะถึงนี้

ดร.ชวพล จริยาวิโรจน์ กรรมการผู้จัดการ บริษัท หัวเว่ย เทคโนโลยี่ (ประเทศไทย) จำกัด ได้กล่าวถึงโครงการ Seeds for the Future 2023 ว่า “นี่เป็นโครงการ 15 ปี ที่หัวเว่ยลงทุนด้วยความเชื่อว่าอนาคตของยุคนี้อยู่ในมือของคนรุ่นใหม่ เราต้องการพัฒนาทักษะให้กับเยาวชน หัวเว่ยได้ทำงานร่วมกับทั้งภาครัฐบาล ลูกค้า และพันธมิตรของเรา เพื่อสนับสนุนวิสัยทัศน์ในการผลักดันให้ประเทศไทยเป็นศูนย์กลางด้านดิจิทัลของอาเซียน ซึ่งเราเชื่อว่ามีองค์ประกอบสำคัญ 4 ประการ ในการช่วยขับเคลื่อนการพัฒนาเศรษฐกิจดิจิทัลในอนาคต ได้แก่ โครงสร้างพื้นฐานด้านดิจิทัล แพลตฟอร์มดิจิทัลและระบบนิเวศ ความยั่งยืน รวมถึงบุคคลผู้มีความรู้ความสามารถด้านดิจิทัล ซึ่งนักศึกษาทั้ง 20 คนจากมหาวิทยาลัยชั้นนำของประเทศไทยที่ได้เข้าร่วมโครงการในครั้งนี้ จะได้รับประสบการณ์จากภาคปฏิบัติและความรู้มากมายที่เกี่ยวกับเทคโนโลยีในอุตสาหกรรมไอซีที รวมไปถึงแแนวคิดของเป้าหมายการพัฒนาอย่างยั่งยืน วัฒนธรรมจีน และค่านิยมหลักของหัวเว่ยอีกด้วย”

ด้านศาสตราจารย์พิเศษวิศิษฏ์ วิศิษฏ์สรอรรถ ปลัดกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม หรือ MDES ได้กล่าวถึงความร่วมมือกับหัวเว่ยในปีนี้ว่า “ในนามของกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม ผมขอขอบคุณหัวเว่ย สำหรับความร่วมมือที่มีอย่างต่อเนื่องยาวนานกับกระทรวงมาโดยตลอด สำหรับโครงการ Seeds for the Future ผมมองว่าเป็นอีกหนึ่งโครงการสำคัญในการเพิ่มขีดความสามารถด้านการแข่งขันให้กับประเทศ และการให้ความรู้ด้านเทคโนโลยีกับคนรุ่นใหม่ เราต้องมองเห็นเป็นภาพใหญ่ให้ได้ในแง่ของการลงทุนทำวิจัยและการสร้างรากฐานทางการศึกษาที่แข็งแกร่ง เพื่อให้คนรุ่นใหม่มีความรู้และได้รับโอกาสอย่างเพียงพอต่อการเติบโตต่อไปในอนาคต สิ่งเหล่านี้คือหนึ่งในภารกิจสำคัญของกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม ผมต้องขอแสดงความยินดีกับทุกท่านที่ได้ผ่านหลักสูตรการฝึกอบรมครั้งนี้ และขอแสดงความยินดีกับผู้ที่จะได้เดินทางไปประเทศสาธารณรัฐประชาชนจีน เพื่อเรียนรู้และเปิดรับองค์ความรู้ใหม่ ๆ นี่อาจจะเป็นการสร้างแรงบันดาลใจให้ทุกคนรู้ว่า ชีวิตของเรายังมีอะไรให้เรียนรู้อีกมาก โอกาสนี้มาถึงแล้ว ขอให้สิ่งนี้เป็นรางวัลที่มีคุณค่าสำหรับทุกคน”

ทั้งนี้ หัวเว่ยได้ประกาศรายชื่อผู้ชนะการแข่งขันจากโครงการฝึกอบรม Seeds for the Future 2023 จำนวน 5 คน ไปเมื่อวันที่ 29 สิงหาคม พ.ศ. 2566 ที่ผ่านมา ซึ่งจะได้รับสิทธิ์ไปศึกษาดูงานต่อที่ประเทศสาธารณรัฐประชาชนจีน ได้แก่ ศักดิ์ชัย แซ่เฮ่ย จากมหาวิทยาลัยกรุงเทพ คณะเทคโนโลยีสารสนเทศและนวัตกรรม, วินิธา ภู่ชัย มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ คณะมนุษยศาสตร์ จีนธุรกิจ, ปทิตตา ทิมทอง มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ สถาบันเทคโนโลยีนานาชาติสิรินธร, พุฒิพงศ์ เหล่าบัณฑิตเจริญ มหาวิทยาลัยรังสิต คณะวิศวกรรมชีวการแพทย์ และกฤชวิชช์ ทิพยจินดากุล คณะวิศวกรรมศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย โดยทั้ง 5 คน จะได้เรียนรู้เกี่ยวกับเทคโนโลยีชั้นนำจากหัวเว่ย รวมทั้งเรียนรู้วิธีการเป็นสตาร์ทอัพ จากศูนย์อบรมที่เซินเจิ้น ประเทศจีน ซึ่งผู้เข้าร่วมงานจะสามารถนำมาประยุกต์ใช้กับการแข่งขันครั้งต่อ ๆ ไปในระดับโลกหรือประยุกต์ใช้กับสายอาชีพของตัวเองในอนาคต
นักลงทุนที่มีสินทรัพย์ทางการเงินที่สั่งสมมาอย่างยาวนานมักมีความกังวลใจว่า หากต้องถ่ายโอนความมั่งคั่งไปสู่ทายาทรุ่นต่อไป พวกเขาควรวางแผนการเงินและมีแนวทางการลงทุนอย่างไรให้เหมาะสมเพื่อให้บรรลุเป้าหมายได้สำเร็จ และมีแนวทางการลงทุนแบบใดที่สามารถส่งต่อความมั่งคั่งสู่คนรุ่นหลังได้
คำถามนี้จุดประกายให้เมย์แบงก์ และ เอไอเอ ประเทศไทย ร่วมกันจัดเอ็กซ์คลูซีฟทอล์ก “แผนการลงทุนระดับโลกเพื่อส่งต่อความมั่งคั่งแบบยั่งยืนสู่คนรุ่นหลัง" โดยเชิญลูกค้าคนสำคัญร่วมเป็นส่วนหนึ่งของการยกระดับ Family Wealth Planning ครั้งแรกในรูปแบบการส่งต่อความมั่งคั่งให้กับคนรุ่นหลัง หรือ Intergeneration Planning ที่มาพร้อมกับคอนเซ็ปต์การลงทุนแบบครบวงจร นั่นคือ สร้าง ปกป้อง และส่งต่อความมั่งคั่งจากรุ่นสู่รุ่นไม่รู้จบ
ทุกวันนี้นักลงทุนเริ่มเล็งเห็นผลประโยชน์จากการลงทุนที่สามารถเพิ่มมูลค่าต่อเนื่องและมั่นคง ร่วมกับการถ่ายทอดความมั่งคั่งและสินทรัพย์ไปสู่รุ่นถัดไปได้ จึงทำให้รูปแบบการบริหารจัดการสินทรัพย์ Family Wealth Planning ได้รับการพัฒนาต่อยอดให้สามารถสร้างโอกาสได้รับผลตอบแทนจากการลงทุน ให้ผลประโยชน์ที่มั่นคงยาวนาน และส่งต่อความมั่งคั่งให้กับคนรุ่นหลังได้ โดยเมย์แบงก์เป็นผู้เชี่ยวชาญด้านการลงทุนมั่นใจว่าการลงทุนภายใต้รูปแบบประกันยูนิต ลิงค์ ของ เอไอเอ จะตอบโจทย์ลูกค้าและสร้างผลตอบแทนให้ลูกค้าได้ตามที่วางแผนไว้
AIA Infinite Wealth Prestige (Unit Linked) เป็นตัวอย่างของนวัตกรรมการส่งต่อความมั่งคั่งให้ลูกหลานและวางแผนชีวิตวัยเกษียณที่น่าจับตามองในขณะนี้ ซึ่งเป็นแบบประกันยูนิต ลิงค์ ที่มีการลงทุนในกองทุนที่ผสมผสานกลยุทธ์การลงทุนระหว่างกองทุนรวมตราสารหนี้และตราสารทุนของเอไอเอ ที่เน้นลงทุนในต่างประเทศ ที่สามารถเลือกได้ตามระดับความเสี่ยง ได้แก่

ภาณุพันธ์ เอกชูเกียรติ ที่ปรึกษาอาวุโสฝ่ายขาย และประธาน High Net Worth Club เอไอเอ ประเทศไทย ปี 2020-2022 กล่าวว่า ปัจจุบันนักลงทุนให้ความสนใจรูปแบบการลงทุนที่ให้ความคุ้มค่าสูงสุด ทั้งด้านการลงทุนและความคุ้มครองชีวิต และต้องเป็นเครื่องมือทางการเงินที่จะส่งต่อความมั่งคั่งได้ นั่นทำให้แบบประกันยูนิต ลิงค์ อย่าง AIA Infinite Wealth Prestige (Unit Linked) นับเป็นอีกทางเลือกที่ช่วยส่งต่อสินทรัพย์ไปพร้อมกับองค์ความรู้ทางด้านการเงินและการลงทุนให้กับคนรุ่นหลัง ทั้งยังตอบโจทย์นักลงทุนที่ต้องการจัดสรรสินทรัพย์ให้ทายาท กรมธรรม์นี้ยังถือเป็นการส่งต่อสินทรัพย์ที่ทำให้เกิดความมั่นคงในครอบครัว และเสริมความมั่งคั่งต่อไป
ทั้งนี้ การลงทุนเพื่อความมั่งคั่งอย่างยั่งยืนด้วยแบบประกัน AIA Infinite Wealth Prestige (Unit Linked) ยังโดดเด่นด้วยการดำเนินงานผ่านแพลตฟอร์มการลงทุนระดับโลก บริหารการลงทุนโดยบลจ. เอไอเอ (ประเทศไทย) และกลุ่มการลงทุนของเอไอเอ อีกทั้งยัง ร่วมมือกับพันธมิตร ผู้จัดการกองทุนระดับโลก อาทิ Ballie Gifford, Blackrock, Capital Group และ Wellington ซึ่งมีกลยุทธ์ที่สอดคล้องกับแนวทางในการส่งมอบความมั่งคั่งในระยะยาว เข้ามาเป็นผู้ช่วยดูแลความมั่งคั่งให้กับลูกค้า เพื่อก้าวสู่การลงทุนระดับสากล และบรรลุเป้าหมายทางการเงินที่วางไว้

อารภัฏ สังขรัตน์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บมจ. หลักทรัพย์ เมย์แบงก์ (ประเทศไทย) เผยว่า “การที่องค์กรระดับโลกอย่าง เอไอเอ เลือกพาร์ทเนอร์ที่มีประสบการณ์มาช่วยเติมเต็มพอร์ตของลูกค้าให้ครบวงจร จะช่วยเพิ่มโอกาสให้ลูกค้าได้รับผลตอบแทนเพิ่มขึ้นด้วยการเข้าถึงการลงทุนระดับโลก ซึ่งการเลือกลงทุนในกองทุน AIA Global Allocation Funds ที่บริหารพอร์ตการลงทุนโดยกลุ่มการลงทุนของเอไอเอ และยังเสริมด้วยกองทุนของเอไอเอที่บริหารโดยพันธมิตรของเอไอเอ ที่เป็นผู้เชี่ยวชาญด้านการลงทุนระดับโลกยังสะท้อนถึงบทบาทการเป็นผู้นำด้านการลงทุนครบวงจรของเมย์แบงก์ ที่มีบริการด้านการลงทุนรอบด้านแบบ 360 องศา ให้ลูกค้าสามารถต่อยอดการลงทุน และมีพอร์ตที่มั่นคงแข็งแกร่งได้เป็นอย่างดีอีกด้วย”

อภิญญา องค์คุณารักษ์ กรรมการผู้จัดการ ฝ่ายงาน Investment Management บมจ. หลักทรัพย์ เมย์แบงก์ (ประเทศไทย) กล่าวว่า “นอกจากการใช้ประสบการณ์ของเมย์แบงก์ในการบริหารกองทุนให้กับลูกค้า โดยเข้าไปลงทุนในสินทรัพย์หลากหลาย กระจายความเสี่ยง จัดพอร์ตอย่างเหมาะสมกับสไตล์ลูกค้าแล้ว เมย์แบงก์ ยังให้คำแนะนำถึงกลยุทธ์การวางแผนการลงทุนระยะยาวสำหรับนักลงทุนและครอบครัวเพื่อความมั่งคั่งอย่างยั่งยืน จำเป็นต้องประกอบด้วยหลักคิด 3 ข้อเสมอ นั่นคือ
นับว่ากิจกรรมสุดพิเศษที่จัดขึ้นเพื่อลูกค้าคนสำคัญในครั้งนี้ นอกจากจะเปิดโอกาสให้ลูกค้าทำความรู้จักกับการลงทุนเพื่อส่งต่อความมั่งคั่งให้กับคนรุ่นหลังแล้ว ยังเป็นการส่งต่อแนวคิดใหม่ให้กับนักลงทุนที่กำลังวางแผนการเงินให้เหมาะสมกับรูปแบบชีวิต ถือเป็นการช่วยจุดประกายความคิดการลงทุนที่จะได้ประโยชน์แบบสองเด้ง นั่นคือ ลงทุนเพื่อตนเองและคนรักที่อยู่ข้างหลังไปพร้อม ๆ กัน
“แอล ดับเบิลยู เอส” ระบุ นวัตกรรม “AI” กำลังเข้ามาพลิกโฉมธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ตั้งแต่การจัดหาที่ดิน วิเคราะห์การตลาด ไปจนถึงการออกแบบ เป็นส่วนหนึ่งของการเพิ่มประสิทธิภาพ ลดต้นทุน และระยะเวลาในการทำธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ในปัจจุบัน
นายประพันธ์ศักดิ์ รักษ์ไชยวรรณ กรรมการผู้จัดการ บริษัท แอล ดับเบิลยู เอส วิสดอม แอนด์ โซลูชั่น จำกัด บริษัทวิจัยและพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ในเครือ บริษัท แอล. พี. เอ็น. ดีเวลลอปเมนท์ จำกัด(มหาชน) กล่าวถึงนวัตกรรม AI กับธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ในปัจจุบันและอนาคตว่า หลังจาก ChatGPT ได้กลายเป็นตัวจุดชนวนกระแส AI ไปทั่วทุกอุตสาหกรรมตั้งแต่ปลายปี 2565 ในอุตสาหกรรมอสังหาริมทรัพย์เอง ก็มีการนำ AI เข้ามาใช้ในกระบวนการพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ในทุกกระบวนการ โดยผู้ประกอบการอสังหาริมทรัพย์ในต่างประเทศ ได้มีการนำ ChatGPT เพื่อช่วยทำงานด้านส่งเสริมการขายและการตลาด ช่วยในการโฆษณาและทำให้ปิดการขายได้เร็วยิ่งขึ้น
นอกจากนี้ยังมีการนำ AI มาช่วยปฎิวัติวิธีคิดของผู้พัฒนาอสังหาฯ เปลี่ยนกระบวนการวางแผน และ สร้างสรรค์โครงการใหม่ ๆ ขึ้นมา โดยไม่จำกัดเพียงแค่ในสเกลของพัฒนาโครงการใดโครงการหนึ่ง แต่ AI ยังมีศักยภาพไปถึงขั้นพัฒนาในสเกลเมืองทั้งเมืองได้ แค่ในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา มีสถาปนิกหลายคน, บริษัทพัฒนาอสังหาฯหลายแห่ง และ ผู้เชี่ยวชาญด้านเทคโนโลยีอีกหลายท่าน ได้ผนึกกำลังกัน สร้างเครื่องมือซอฟต์แวร์ที่ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพ, ลดการใช้ทรัพยากร และ เปิดมุมมองใหม่ ๆ ให้กับผืนที่ดินที่รอการพัฒนาอย่างมากมาย เช่น
ROI : Return on [A]Investment
Jay Shah สถาปนิกอินเดียจากบริษัท Access Architect ผันตัวมาสร้างโปรแกรม KAIZENai โปรแกรมที่ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพให้กับการพัฒนาโครงการอสังหาริมทรัพย์ โปรแกรมของเขาช่วยเผยมุมมองการออกแบบโครงการที่หลากหลายให้ผู้พัฒนาอสังหาฯได้เห็น ก่อนจะนำไปสู่การตัดสินใจปรับแบบโดยผู้เชี่ยวชาญอีกที เพื่อให้อาคารที่ออกแบบมาสมบูรณ์ 100% อีกที
กระบวนการปรับแบบเพิ่มประสิทธิภาพอาคารนี้ ได้ AI เข้ามาช่วย ทำให้สามารถสำเร็จได้ภายในระยะเวลาไม่ถึง 28 วัน ช่วยลดกระบวนการทำงานแบบเดิมที่ต้องใช้เวลาอย่างน้อย 2-3 เดือน
Ajmera Realty โครงการอาคารสูงแห่งหนึ่งในเมืองมุมไบคือตัวอย่างผลงานของ KAIZENai ที่แรกเริ่มโครงการได้ออกแบบวางผังไปแล้วส่วนหนึ่ง ก่อนจะให้ KAIZENai เข้ามาช่วยปรับปรุง AI ตัวนี้รับทราบถึงข้อจำกัดของโครงการที่ออกแบบไปแล้ว มันมีหน้าที่เข้ามาช่วยปรับปรุงผังอาคารให้ดีขึ้น โดยการเปลี่ยนตำแหน่งเสา, Core อาคาร, Shaft รวมไปถึงลดขนาดช่องลิฟต์ให้เล็กลง ซึ่งส่งผลให้สามารถลดพื้นที่ส่วนกลางที่เสียเปล่า (Waste Space) ไปได้กว่า 27% ลดการใช้วัสดุที่ไม่จำเป็นลงไปมากกว่า 35% ยิ่งไปกว่านั้น ในมุมมองของผู้บริหารอาคาร พื้นที่ส่วนกลางที่น้อยลงนั้นหมายถึงค่าไฟที่ และ การผลิต Carbon Footprint ที่น้อยลงเช่นกัน
นอกจากนี้ KAIZENai ยังช่วยออกแบบลดพื้นที่ชั้นจอดรถให้น้อยลงได้ แต่กลับได้พื้นที่จอดรถเพิ่มขึ้นถึง 62 คัน ทำให้ได้ผลลัพธ์เป็นพื้นที่ขาย ที่กลับมากว่า 15% และอัตราที่จอดรถต่อพื้นที่ขายของโครงการเพิ่มขึ้นถึง 13%
Jay Shah ผู้บริหารของ KAIZENai ได้ให้ความเห็นว่า นี่เป็นเพียงก้าวแรก ๆ ของการใช้งาน AI ในอุตสาหกรรมอสังหาริมทรัพย์ ยังมีความเป็นไปได้ให้เราค้นหาและเพิ่มมูลค่าได้อีกมหาศาล

Feas[A]ibility
กระบวนการจัดหาที่ดินเป็นอีกกระบวนการหนึ่งที่ใช้ระยะเวลาในการทำงานที่ยาวนาน เริ่มตั้งแต่ผู้ประกอบการอสังหาฯ ต้องพิจารณาที่ดินแต่ละแปลงว่า สามารถนำมาพัฒนาเป็นอะไรได้บ้าง เหมาะสมกับการพัฒนาหรือไม่ กระบวนการนี้อาจกินเวลากว่า 2 สัปดาห์ และเมื่อตัดสินใจซื้อที่ดินแล้ว ผู้ประกอบการอสังหาฯ ต้องมีกระบวนการวิเคราะห์ทำเล ความเป็นไปได้ในเรื่องการลงทุน การออกแบบ รวมระยะเวลาไม่น้อยกว่า 8 เดือน
ปัจจุบันได้มีการพัฒนา AI ที่เข้ามาปฏิวัติวิธีการคำนวณความเป็นไปได้ในการพัฒนาโครงการ หรือ Feasibility Study แล้ว โดย Deepblock เป็นแพลตฟอร์มที่พัฒนาขึ้นมาเพื่อวิเคราะห์ที่ดินด้วย AI สามารถช่วยลดระยะเวลาการทำงาน ทำให้บริษัทอสังหาริมทรัพย์ สามารถเห็นได้ทันทีว่าที่ดินแต่ละทำเลในเมืองเหมาะสำหรับการใช้งานประเภทใด เชิงพาณิชย์หรือที่อยู่อาศัย ให้เป็นไปตามที่กฏหมายกำหนด สภาพแวดล้อมโดยรอบของโครงการเป็นอย่างไร จำนวนประชากร กำลังซื้อภายในทำเล ซึ่งเป็นข้อมูลที่นำไปสู่การตัดสินใจและความเป็นไปได้ในการพัฒนาโครงการ ช่วยลดระยะเวลาในการทำงานของผู้ประกอบการอสังหาให้เหลือเพียงไม่ถึงสัปดาห์
Ramos ผู้บริหารของ Deepblock ได้ให้ความเห็นไว้ว่าแพลตฟอร์มของเขาเป็นแพลตฟอร์มเดียวที่สามารถสแกนเมืองทั้งเมือง แล้วทำให้เห็นว่าจากที่ดิน 10,000 แห่งในเมืองนั้น มี 5 แห่งที่เหมาะสมตรงตามความต้องการของผู้พัฒนาอสังหาฯ แสดงให้เห็นว่าเทคโนโลยีนี้สามารถลดทั้งระยะเวลาในการทำงานและลดต้นทุนในการพัฒนาโครงการ อาทิ ลดค่าใช้จ่ายในการจ้างที่ปรึกษาโครงการที่ให้คำปรึกษาเกี่ยวกับความเป็นไปได้ในการพัฒนาโครงการ ซึ่งอาจมีค่าใช้จ่ายตั้งแต่ 5,000 - 20,000 USD แต่ Deepblock ช่วยให้ผู้พัฒนาอสังหาฯ สามารถประเมินที่ดินได้หลายพันที่ดิน ด้วยค่าใช้จ่ายเพียงไม่ถึง 20% ของค่าใช้จ่ายในการจ้างที่ปรึกษาในการพัฒนาโครงการ
ปัจจุบัน Deepblock ได้รับความไว้วางใจจากหลายบริษัทพัฒนาอสังหาฯชั้นนำ เช่น Greystar ผู้พัฒนาโครงการ Rockefeller’s Residential โดย Greystar กล่าวว่า การใช้ AI ช่วยทำให้บริษัทสามารถหาที่ดินที่มีศักยภาพในการพัฒนาได้กว่า 20 แห่ง ภายในระยะเวลาเพียง 1 วัน
นายประพันธ์ศักดิ์ กล่าวว่า KAIZENai และ Deepblock เป็นหนึ่งในบริษัทจำนวนมากที่ดึงดูดให้ผู้พัฒนาอสังหาฯหันมาสนใจเทคโนโลยีช่วยในการทำงานมากขึ้น นอกจาก 2 แพลตฟอร์มดังกล่าวนั้น ยังมีอีกหลากหลายบริษัทที่พัฒนา AI Solution มาเป็นทางเลือกให้กับผู้ประกอบการอสังหาฯ เช่น Archistar แพลตฟอร์มที่ให้ผู้ใช้สามารถประเมินที่ดินและทราบ อัตราผลตอบแทนจากการลงทุน (Return on Investment: ROI) ของโครงการได้โดยแพลตฟอร์มเดียว, Giraffe เป็นแพลตฟอร์มที่สามารถจำลองเมืองทั้งเมืองมาให้วิเคราะห์ความเป็นไปได้ของโครงการ, Hypar เป็นแพลตฟอร์มที่นำมาช่วยให้กระบวนการสร้างแบบจำลองอาคาร (BIM) เป็นไปได้อย่างรวดเร็ว
“AI เป็นเครื่องมือที่ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการทำให้ให้กับผู้ประกอบการอสังหาริมทรัพย์ ถึงแม้ปัจจุบันจะยังเป็นช่วงเริ่มต้นของการพัฒนาอาจจะมีข้อบกพร่องอยู่บ้าง แต่การพัฒนาอย่างต่อเนื่องจะทำให้ AI เป็นเครื่องมือที่ช่วยลดต้นทุนทั้งเวลา และการเงินให้กับผู้ประกอบการอสังหาริมทรัพย์ และต้นทุนที่ลดลงจะส่งต่อไปสู่การพัฒนาโครงการอสังหาริมทรัพย์ที่มีคุณภาพในระดับราคาที่จับต้องได้เพื่อส่งต่อไปยังผู้บริโภค จึงเป็นโอกาสสำหรับผู้ประกอบการอสังหาริมทรัพย์ไทยที่จะเริ่มศึกษาและนำเครื่องมือเหล่านี้มาใช้เพื่อที่จะช่วยในการลดต้นทุนในการพัฒนาโครงการ ท่ามกลางสถานการณ์ที่ต้นทุนในการพัฒนาโครงการในปัจจุบันที่สูงขึ้นอย่างต่อเนื่องทั้งจากระดับราคาที่ดินและราคาวัสดุก่อสร้างที่ปรับตัวสูงขึ้น” นายประพันธ์ศักดิ์ กล่าว
บริษัทสยามคูโบต้าคอร์ปอเรชั่น จำกัด คว้ารางวัลระดับเอเชีย “Inspirational Brand Award”
ดร.รักษ์ วรกิจโภคาทร กรรมการผู้จัดการ ธนาคารเพื่อการส่งออกและนำเข้าแห่งประเทศไทย (EXIM BANK) และนายอมร ทรัพย์ทวีกุล รองประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท พลังงานบริสุทธิ์ จำกัด (มหาชน) (EA) ร่วมฉลองความสำเร็จในการสนับสนุนสินเชื่อที่เชื่อมโยงกับการดำเนินงานด้านความยั่งยืน (Sustainability Linked Loan : SLL) ของ EXIM BANK จำนวน 500 ล้านบาท เพื่อสนับสนุนการผลิตแบตเตอรี่สำหรับธุรกิจยานยนต์ไฟฟ้าของ EA ในอำเภอบางปะกง จังหวัดฉะเชิงเทรา จากเดิมผลิตได้ 1 กิกะวัตต์ต่อชั่วโมง เป็น 4 กิกะวัตต์ต่อชั่วโมง ณ EXIM BANK สำนักงานใหญ่ เมื่อวันที่ 4 กันยายน 2566
การสนับสนุนของ EXIM BANK ในครั้งนี้เพื่อส่งเสริมการดำเนินธุรกิจอย่างยั่งยืนของ EA โดยคำนึงถึงสิ่งแวดล้อม สังคม และการกํากับดูแลกิจการที่ดี (Environmental, Social and Governance : ESG) ครอบคลุมธุรกิจที่เกี่ยวข้องกับพลังงานทดแทนและพลังงานสะอาด ได้แก่ สถานีอัดประจุ ยานยนต์ไฟฟ้า เรือโดยสารไฟฟ้า แบตเตอรี่ และระบบกักเก็บพลังงาน ซึ่งบริษัทจดทะเบียนอยู่ในรายชื่อหุ้นยั่งยืน (Thailand Sustainability Investment : THIS) 5 ปีติดต่อกัน ได้รับรางวัลและการยอมรับด้านความยั่งยืนจากองค์กรในประเทศและระดับสากล สอดคล้องกับเป้าหมายของ EXIM BANK ในการเป็น ‘Green Development Bank’ โดยมุ่งสู่การเป็น Carbon Neutral Organization ภายในปี 2573 ภายใต้นโยบายด้านการพัฒนาอย่างยั่งยืนและการบริหารจัดการการเงินอย่างมีความรับผิดชอบ (Responsible Finance) เพื่อผลักดันประเทศไทยสู่เป้าหมายการเป็นกลางทางคาร์บอน (Carbon Neutrality) และการปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิเป็นศูนย์ (Net Zero Emission) อันเป็นกุญแจสำคัญในการยกระดับการเติบโตของภาคธุรกิจ ควบคู่กับการพัฒนาอย่างยั่งยืนของประเทศไทยและโลกโดยรวม
บริษัท ทิพยประกันชีวิต จำกัด (มหาชน) ขอสนับสนุนและส่งเสริมให้นักศึกษา คนรุ่นใหม่