KBank Private Banking เห็นสัญญาณบวกในภาคการลงทุน จากที่ตลาดทยอยฟื้นตัวอย่างต่อเนื่องตั้งแต่ไตรมาสสุดท้ายของปีก่อน ส่งผลให้ความต้องการลงทุนในสินทรัพย์เสี่ยงเริ่มกลับมา แต่ความผันผวนโดยเฉพาะความเสี่ยงด้านภูมิรัฐศาสตร์ยังคงอยู่ในระดับสูง แนะนักลงทุนเพิ่มสัดส่วนการลงทุน ชู 3 กองทุนผสมภายใต้ K-ALLROAD Series* กองทุนอัจฉริยะที่กระจายลงทุนในสินทรัพย์หลากหลาย มาพร้อมปรับพอร์ตอัตโนมัติโดยยึดความเสี่ยงของสินทรัพย์เป็นหลัก จึงสร้างผลตอบแทนได้อย่างมั่นคงและควบคุมการขาดทุนได้ในทุกสภาพเศรษฐกิจ เผยเป็นซีรีส์กองทุนที่ลูกค้าตอบรับดี ระดมเงินลงทุนไปได้แล้วกว่า 6.3 พันล้านบาท **

นายจิรวัฒน์ สุภรณ์ไพบูลย์ Executive Chairman, Private Banking Group ธนาคารกสิกรไทย เปิดเผยว่า “บรรยากาศโดยรวมของการลงทุนในต้นปี 2566 นี้ปรับตัวดีขึ้น เห็นได้จากดัชนีตลาดหุ้นโลก MSCI World Index ที่มีผลตอบแทนตั้งแต่ต้นปีจนถึงวันที่ 28 กุมภาพันธ์ 2566 (YTD Returns) ที่ 4.16% อย่างไรก็ดี ยังมีหลายปัจจัยความเสี่ยงที่ต้องจับตา จากการประเมินของ Lombard Odier ค่าความผันผวนในตลาดยังคงอยู่ในระดับสูงถึง 78% ซึ่งชี้ให้เห็นว่าการฟื้นตัวของราคาสินทรัพย์ยังมีความเสี่ยงและยังไม่มีเสถียรภาพนัก อย่างไรก็ดี ดัชนีชี้วัดความเสี่ยงที่นักลงทุนรับได้ (Risk Appetite) จากการประเมินของ Lombard Odier ปรับตัวดีขึ้นเช่นเดียวกันมาอยู่ที่ระดับ 83% ถือว่าอยู่ในระดับพร้อมลงทุนในสินทรัพย์เสี่ยง (Risk on) จากก่อนหน้าช่วงปลายปีที่อยู่ในระดับ 36% ที่นักลงทุนไม่พร้อมที่จะรับความเสี่ยง (Risk off)

เพื่อเสริมความแข็งแกร่งให้พอร์ตการลงทุนท่ามกลางความผันผวนโดยเฉพาะอย่างยิ่งความเสี่ยงด้านภูมิรัฐศาสตร์ ไม่ว่าจะเป็น สงครามรัสเซีย-ยูเครน ความขัดแย้งระหว่างสหรัฐฯ-จีนที่ยังน่ากังวล KBank Private Banking ยังคงแนะนำลูกค้าบุคคลสินทรัพย์สูงของธนาคารให้แบ่งเงินลงทุน 50-60% ของพอร์ตลงทุนในสัดส่วนพอร์ตหลักโดยเน้นกระจายการลงทุนในสินทรัพย์หลายประเภททั่วโลก โดยเฉพาะอย่างยิ่งกลยุทธ์ Risk-Based Asset Allocation เพื่อสร้างผลตอบแทนในทุกสภาวะเศรษฐกิจ ช่วยให้สามารถลงทุนอย่างต่อเนื่อง (Stay Invested) ในทุกสภาวะตลาด ผ่านกองทุน K-ALLROAD Series ที่มาพร้อมกลไกอัจฉริยะที่กำหนดสัดส่วนการลงทุนให้สมดุลโดยอัตโนมัติในสภาวะเศรษฐกิจที่แตกต่างกัน อาทิ ในช่วงตลาดปกติเพิ่มอัตราทดเพื่อเพิ่มผลตอบแทน ในช่วงตลาดผันผวน ถือเงินสดเพิ่มขึ้นเพื่อลดความเสียหาย ในช่วงวิกฤตเศรษฐกิจ จัดการกับความเสียหายให้อยู่ในกรอบที่กำหนด

 

กองทุน K-ALLROAD Series ประกอบด้วย 3 กองทุนซึ่งแตกต่างกันตามระดับความเสี่ยงที่ยอมรับได้ คือ K-ALLROAD-UI, K-ALLGROWTH-UI และ K-ALLENHANCE-UI โดยผลการดำเนินงานย้อนหลังตั้งแต่จัดตั้งเมื่อ 10 ปีที่ผ่านมากองทุนหลัก LO FUNDS - ALL ROADS Series ในต่างประเทศสามารถสร้างผลตอบแทนและควบคุมความผันผวนได้ดีสมํ่าเสมอ สามารถให้ผลตอบแทนเป็นบวกได้ ถ้าลงทุนอย่างน้อย 3 ปีขึ้นไป

“KBank Private Banking ได้เริ่มแนะนำกองทุน K-ALLROAD Series ให้แก่ลูกค้าบุคคลสินทรัพย์สูงตั้งแต่ช่วงปลายปี 2564 และจากภาพรวมสถานการณ์เศรษฐกิจที่กำลังดีขึ้น ตลอดไตรมาสแรกของปี 2566 กิจกรรมการตลาดกับลูกค้าใน 4 ภูมิภาคทั่วประเทศ เพื่อชี้ให้เห็นถึงโอกาสในการลงทุนและเพิ่มสัดส่วนการลงทุนผ่านการลงทุนใน K-ALL ROAD Series คาดว่าจะยังคงได้รับกระแสตอบรับที่ดีจากลูกค้า ปัจจุบัน ทั้ง 3 กองทุนในซีรีส์นี้สามารถระดุมเงินลงทุนจากลูกค้าไปได้กว่า 6.3 พันล้านบาท** ” นายจิรวัฒน์ กล่าวปิดท้าย

หากต้องการข้อมูลเพิ่มเติม สามารถเยี่ยมชมเว็บไซต์ของ KBank Private Banking ได้ที่ https://kbank.co/3ETkS5v

ธนาคารกรุงไทย เปิดขายหุ้นกู้อนุพันธ์ชุดใหม่ “Gold Twin-Win” เพื่อตอบโจทย์ผู้ลงทุนทอง ที่คาดหวังผลตอบแทนจากการเคลื่อนไหวของราคาทอง เปิดโอกาสทำกำไรทั้งขาขึ้นและขาลง โดยกำหนดตอบแทนสูงสุดถึง 8.99%* ความเสี่ยงต่ำ คุ้มครองเงินต้น 100% โดยธนาคารกรุงไทย เปิดจองซื้อ 15-17 กุมภาพันธ์นี้

นายรวินทร์ บุญญานุสาสน์ รองกรรมการผู้จัดการใหญ่ สายงานธุรกิจตลาดเงินตลาดทุน ธนาคารกรุงไทย เปิดเผยว่า ธนาคารมุ่งมั่นพัฒนาผลิตภัณฑ์การออมและการลงทุน ตอบโจทย์ผู้ลงทุนทุกกลุ่ม เปิดโอกาสสร้างผลตอบแทนจากทุกสินทรัพย์ทั้งในประเทศและต่างประเทศ เพื่อสร้างความมั่นคงทางการเงิน ล่าสุด ธนาคารได้ออกและเสนอขาย หุ้นกู้อนุพันธ์กรุงไทย Gold Twin-Win อายุ 1 ปี จ่ายผลตอบแทนอ้างอิงการเปลี่ยนแปลงราคาทองคำ เปิดโอกาสสร้างผลตอบแทนทั้งราคาขาขึ้นและขาลง ทั้งนี้หากราคาทองเคลื่อนไหวในกรอบที่กำหนด ผู้ลงทุนสามารถสร้างผลตอบแทนจากการลงทุนได้สูงสูดถึง 8.99% ในกรณีที่ราคาทองคำลง หรือ สร้างผลตอบแทนสูงสุด 5.99% ในกรณีที่ราคาทองคำปรับขึ้น เหมาะสำหรับผู้ลงทุนที่ต้องการลงทุนในทองคำแต่ยังไม่แน่ใจทิศทาง และกลัวการสูญเสียเงินต้น เนื่องจากหุ้นกู้อนุพันธ์มีจุดแข็งคุ้มครองเงินต้น 100% โดยธนาคาร ที่ได้รับการจัดอันดับความน่าเชื่อถือจาก Fitch Rating ที่ระดับ AAA

ในปี 2565 ราคาทองทำจุดสูงสุดที่ประมาณ 2,050 ดอลลาร์ต่อออนซ์ ในช่วงเดือนกุมภาพันธ์จากสงครามระหว่างรัสเซีย-ยูเครน และโดนกดดันอย่างหนักจากการดำเนินนโยบายการเงินที่เข้มงวดจากธนาคารกลางสหรัฐฯ เพื่อควบคุมเงินเฟ้อและผลจากการที่ค่าเงินดอลลาร์แข็งค่า จนปรับตัวมาแตะจุดต่ำสุดที่ประมาณ 1,600 ดอลลาร์ต่อออนซ์ในช่วงเดือนกันยายน เรายังคงมีมุมมองเชิงบวกต่อราคาทองคำในอนาคต ด้วยปัจจัยสนับสนุนจากแนวโน้มค่าเงินดอลลาร์ที่อ่อนค่าลง ตามทิศทางการขึ้นดอกเบี้ยของธนาคารกลางสหรัฐที่ชะลอลงและความเสี่ยงด้านภูมิรัฐศาสตร์ทำให้ธนาคารกลางหลายประเทศหันมาถือครองทองคำมากขึ้น อย่างไรก็ตามราคาทองอาจมีความผันผวนได้ทั้งจากความไม่แน่นอนของสงคราม รวมถึงผลการประชุม FOMC ล่าสุดที่เฟดยังไม่ส่งสัญญาณชะลอการขึ้นดอกเบี้ย หุ้นกู้อนุพันธ์กรุงไทย Gold Twin-Win จึงถือเป็นตัวเลือกการลงทุนที่ตอบโจทย์ในภาวะตลาดที่คาดเดาทิศทางได้ยากโดยหากตลอดระยะเวลาการลงทุน ราคาทองเคลื่อนไหวอยู่ในกรอบที่กำหนด

ผู้ลงทุนจะสามารถสร้างผลตอบแทนจากการลงทุนไม่ว่าการเปลี่ยนแปลงราคาทองคำจะเคลื่อนไหวขึ้นหรือลง พร้อมลดความเสี่ยงจากการสูญเสียเงินต้นด้วยการคุ้มครองเงินต้นเต็มจำนวน 100% จากธนาคารกรุงไทยเมื่อถือครองจนครบกำหนด โดยอัตราผลตอบแทนคำนวนจากกรณีที่ราคาทองเคลื่อนไหวในกรอบ ที่ขอบบน +10% และขอบล่าง -15% ปรับด้วยเงื่อนไขอัตราการมีส่วนร่วม 60% และแสดงเป็นตัวเลขก่อนการแปลงค่าเงิน USDTHB ทั้งนี้หากราคาทองเคลื่อนไหวนอกรอบ ผู้ลงทุนรับผลตอบแทนคงที่ 0.25% (ผลตอบแทนก่อนปรับค่าเงิน USDTHB ) ทั้งนี้ผู้ลงทุนควรศึกษาและทำความเข้าใจเงื่อนไขการจ่ายผลตอบแทนก่อนการลงทุน อัตราการมีส่วนร่วม และ ขอบบน ขอบล่าง อาจมีการเปลี่ยนแปลงกรณีตลาดผันผวน และธนาคารจะประกาศตัวเลขสุดท้ายในวันที่ 13 ก.พ.66 ,ทองคำอ้างอิง SPDR Gold Shares

ธนาคารเตรียมเสนอขายหุ้นกู้อนุพันธ์กรุงไทย Gold Twin-Win ให้กับผู้ลงทุนสถาบันและผู้ลงทุนรายใหญ่ ลงทุนขั้นต่ำ 3 ล้านบาท เปิดจองซื้อผ่านทุกสาขา ตั้งแต่วันที่ 15-17 กุมภาพันธ์ 2566

 

ลงทุนหุ้นสหรัฐฯ พร้อมรับดอกเบี้ยจากเงิน USD สูงสุด 2.5% ต่อปี

ผลจากการวิเคราะห์ล่าสุดของดีลอยท์ ประมาณการผลกระทบของเมตาเวิร์ส (Metaverse) ที่มีต่อผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศ หรือ GDP ทั่วเอเชียมีแนวโน้มสูงถึง 0.8 ถึง 1.4 ล้านล้านเหรียญสหรัฐ ต่อปีภายใน พ.ศ. 2578 คิดเป็นประมาณร้อยละ 1.3 ถึง 2.4 ของ GDP

ซึ่งอาจจะเพิ่มสูงขึ้นได้ในระยะยาว หากมีการลงทุนด้านเทคโนโลยีที่ยั่งยืนในช่วงห้าถึงสิบปีข้างหน้า ทั้งนี้ ความคืบหน้าและความรวดเร็วในการเข้าใช้งานจะขึ้นอยู่กับกลยุทธ์ที่เศรษฐกิจพื้นฐานของแต่ละประเทศอาจนำมาใช้เพื่อเร่งผลประโยชน์ทางเศรษฐกิจจาก เมตาเวิร์ส

การวิเคราะห์นี้ เป็นส่วนหนึ่งของรายงาน “เมตาเวิร์สในเอเชีย – กลยุทธ์เพื่อการเร่งสร้างการเปลี่ยนแปลงทางเศรษฐกิจ” ชี้ให้เห็นถึงการเปลี่ยนแปลงที่อาจเกิดจากเมตาเวิร์สใน 12 ประเทศทั่วเอเชีย (ฮ่องกง อินเดีย อินโดนีเซีย ญี่ปุ่น จีนแผ่นดินใหญ่ ปากีสถาน ฟิลิปปินส์ สิงคโปร์ เกาหลีใต้ ไต้หวัน ไทย และเวียดนาม) และเน้นย้ำถึงกลยุทธ์ที่ประเทศต่าง ๆ เลือกใช้เพื่อใช้ประโยชน์จากเมตาเวิร์ส โดยรายงานฉบับนี้จะอธิบายถึงรูปแบบการก้าวเข้าสู่โลกของเมตาเวิร์สที่แตกต่างกันไปในแต่ละประเทศ ซึ่งส่งผลให้ภูมิภาคนี้เป็นที่น่าจับตามองอย่างยิ่ง ผู้คนหลายล้านคนในเอเชียเริ่มมีการใช้งานแพลตฟอร์มเมตาเวิร์สในระยะแรกแล้ว ความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับเมตาเวิร์สในภูมิภาคเอเชียอยู่ในระดับที่สูง และมีผู้คนกว่าหลายล้านคนใช้งานแพลตฟอร์มเมตาเวิร์สในระยะแรกเริ่ม ไม่ว่าจะเป็นการเล่นเกม พบปะสังสรรค์ สร้างดิจิทัล ทวิน (Digital Twins) ชมคอนเสิร์ต รวมถึงการซื้อสินค้า ตัวอย่างเช่น แอพลิเคชั่น Zepeto ในประเทศเกาหลีใต้มีผู้ลงทะเบียนใช้งานมากกว่า 300 ล้านคนทั่วโลก อย่างไรก็ตาม เมตาเวิร์สเต็มรูปแบบที่พร้อมแสดงผลแบบเรียลไทม์ให้กับผู้ใช้งานกว่าหลายล้านคนทั่วโลกเข้าใช้งานพร้อมๆกัน ยังต้องอาศัยการพัฒนาอีกยาวนาน

เมตาเวิร์สจะสร้างการเปลี่ยนแปลงให้กับเศรษฐกิจในภูมิภาคเอเชีย

แม้ว่าการประมาณการช่วงแรกจะชี้ให้เห็นว่า เมตาเวิร์สจะมีศักยภาพสูงในการเติบโตและสร้างรายได้ทั่วโลก แต่ประเด็นเรื่องเวลาและขนาดผลกระทบทางเศรษฐกิจยังคงเป็นสิ่งที่ท้าทายที่จะคาดการณ์ได้ อีกทั้งยังขึ้นอยู่กับปัจจัยและตัวขับเคลื่อนทางเศรษฐกิจและสังคมที่หลากหลาย

อย่างไรก็ตาม เมตาเวิร์สถูกมองว่าจะทำให้เกิดตลาดใหม่ โอกาสทางธุรกิจและโอกาสในการจ้างงานใหม่ ๆ ตลอดจนปรับเปลี่ยนวิธีการทำงาน การใช้งาน และการทำงานร่วมกันให้ดียิ่งขึ้น หากมีการพัฒนาอย่างเต็มรูปแบบ จะเกิดการเปลี่ยนแปลงที่ส่งผลต่อผู้คนกว่า 4 พันล้านคนที่ในภูมิภาคนี้

เอเชียถือเป็นภูมิภาคที่น่าจับตามองในการพัฒนาเมตาเวิร์ส

ไม่ว่าจะเป็นซอฟต์แวร์ ฮาร์ดแวร์ หน่วยงานกำกับดูแลไปจนถึงผู้ประกอบการ วัฒนธรรมไปจนถึงความสามารถด้านดิจิทัล เศรษฐกิจในภูมิภาคเอเชียส่งเสริมเมตาเวิร์สในทุกๆ ด้าน โดยภูมิภาคนี้มีจุดเด่นสำคัญหลายประการ ได้แก่

· เอเชียครองซัพพลายเชนของฮาร์ดแวร์ ในส่วนของวัตถุดิบและการผลิตอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์และ เซมิคอนดัคเตอร์

· มีผู้เล่นเกมบนโทรศัพท์มือถือในภูมิภาคนี้มากกว่าพันล้านคน ซึ่งนับเป็นแหล่งผู้เล่นเกมบนมือถือที่ใหญ่ที่สุดในโลก

· ประเทศเกาหลีใต้เป็นประเทศเศรษฐกิจหลักแห่งแรกที่จัดทำแผนพิมพ์เขียว (Blueprint) ที่ครอบคลุมเพื่อ ส่งเสริมและผลักดันอุตสาหกรรมเมตาเวิร์ส

· ในด้านระเบียบกฎเกณฑ์ สิงคโปร์ ฮ่องกง อินเดีย และประเทศอื่น ๆ ได้สร้างสภาพแวดล้อมทางธุรกิจ ในเชิงบวกและกำหนดกฎระเบียบในการป้องกันอย่างชัดเจน เพื่อให้มั่นใจว่าทั้งธุรกิจและผู้บริโภคจะสามารถใช้งานเมตาเวิร์สได้อย่างปลอดภัย

· อินโดนีเซีย ไทย และเวียดนามเดินหน้าสร้างโมเดลธุรกิจใหม่ โดยเฉพาะในกลุ่มธุรกิจขนาดกลางและ ขนาดย่อม รวมถึงสร้างนวัตกรรมใหม่ ผ่านเทคโนโลยี web3 และบล็อกเชน

· ภูมิภาคนี้มีมรดกทางวัฒนธรรมหลากหลายให้เลือกใช้ในการพัฒนาคอนเทนต์และประสบการณ์ให้มีความน่าสนใจ เช่น ญี่ปุ่นใช้ประโยชน์จากการเป็นผู้บุกเบิกอุตสาหกรรมวิดีโอเกม ในการสร้างอุตสาหกรรม เมตาเวิร์สใหม่

· อินเดีย ฟิลิปปินส์ และปากีสถานเป็นประเทศที่มีบุคลากรที่มีความสามารถด้านเทคโนโลยีระดับโลกอยู่จำนวนมาก

“เมตาเวิร์สเป็นสิ่งที่ไม่สามารถหลีกเลี่ยงได้ การพัฒนากลุ่มเทคโนโลยี ทรัพยากรบุคคล และหลักเกณฑ์การกำกับ ดูแลให้ศักยภาพของเมตาเวิร์สมูลค่าหลายล้านล้านดอลลาร์ของเอเชียเป็นไปได้จริง จะเป็นประโยชน์ต่อ อุตสาหกรรม และกิจกรรมทางเศรษฐกิจอีกมากมาย” มร. ดุลีชา กุลสุริยา กรรมการผู้จัดการ Center for the Edge Deloitte Southeast Asia กล่าว

อนาคตที่สดใสของเมตาเวิร์ส ไม่เพียงแต่ต้องการการสนับสนุนจากทางรัฐบาลเท่านั้น แต่ยังรวมไปถึงผู้ที่มีบทบาท ในระบบนิเวศทั้งหมดด้วย ในขณะที่เมตาเวิร์สยังอยู่ในช่วงเริ่มต้น เวลานี้จึงเป็นช่วงเวลาเหมาะสมสำหรับธุรกิจและ ผู้เล่นในการทดลอง หาข้อได้เปรียบในเมตาเวิร์ส รวมถึงมองหาโอกาสที่ส่งเสริมข้อได้เปรียบนั้น” มร. ดุลีชา กล่าวเสริม

เมตาเวิร์สในประเทศไทย

จากการวิเคราะห์ของดีลอยท์ ชี้ให้เห็นว่า ผลกระทบทางเศรษฐกิจของเมตาเวิร์สที่อาจเกิดขึ้นในปีพ.ศ. 2578 ในประเทศไทยจะอยู่ที่ 11 ถึง 21 พันล้านเหรียญสหรัฐต่อปี หรือร้อยละ 1.3 ถึงร้อยละ 2.4 ของ GDP โดยรวม

ประเทศไทยถือเป็นประเทศที่น่าจับตามองเนื่องด้วยโครงการเมตาเวิร์สที่เกิดขึ้นมาใหม่มากมายในภาคธุรกิจ การที่ภาคธุรกิจเต็มใจรับความเสี่ยงที่จะเกิดขึ้นนั้นส่วนใหญ่เกิดจากการที่ผู้บริโภคชาวไทยเชื่อมต่อกับแพลตฟอร์มอยู่เสมอ โดยได้รับการจัดอันดับเป็นผู้ซื้อสินค้าบนช่องทางออนไลน์รายสัปดาห์ ผู้ครอบครองสกุลเงินคริปโต และผู้ใช้แอปพลิเคชันธนาคารบนโทรศัพท์มือถือเป็นอันดับต้นๆ ของโลก นอกจากนี้ประเทศไทยยังมีพื้นฐานทางเทคโนโลยี ที่มีความแข็งแกร่งเป็นทุนเดิม และฟิกซ์บรอดแบนด์ที่เร็วที่สุดในโลกอีกด้วย

ปัจจัยที่สำคัญที่จะช่วยเสริมศักยภาพสำหรับประเทศไทย ได้แก่ การใช้ประโยชน์จากการเป็นผู้ประกอบการที่ แข็งแกร่ง การส่งเสริมแผนการดำเนินงานด้านความปลอดภัยและความเป็นส่วนตัว และการสร้างความมั่นใจในการเข้าถึงช่องทางต่าง ๆ ด้วยการปรับปรุงการเชื่อมต่อในพื้นที่ต่างจังหวัด

ภาคส่วนสำคัญที่น่าจับตามอง ได้แก่

1) การท่องเที่ยว: ก่อนการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโควิด-19 ภาคการท่องเที่ยวมีสัดส่วนรายได้ใน GDPคิดเป็น ประมาณร้อยละ 18 ต่อปี การใช้ประโยชน์จากประสบการณ์โลกเสมือนจริงในเมตาเวิร์สเพิ่มเสน่ห์ดึงดูดกลุ่มนักท่องเที่ยวต่างชาติมากขึ้น เช่น การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (The Tourism Authority of Thailand) ได้เริ่มทดลองใช้งาน ด้วยการเปิดตัวโครงการ “Amazing Thailand Metaverse: Amazing Durian” ให้นักท่องเที่ยวได้สัมผัสกับประสบการณ์การท่องเที่ยวเสมือนจริง

2) บริการเชิงสร้างสรรค์: ประเทศไทยเป็นผู้ส่งออกสินค้าอุตสาหกรรมสร้างสรรค์รายใหญ่ และเมื่อเร็ว ๆ นี้ ได้มีการพัฒนาอินฟลูเอนเซอร์จากระบบ AI ที่มีความสมจริง ชื่อว่า “AI-Ailynn” เพื่อแสดงศักยภาพทางเทคโนโลยีของประเทศ นอกจากนี้ ไทยยังได้นำ tokenisation มาประยุกต์ใช้อย่างสร้างสรรค์ เพื่อดึงดูดแหล่งเงินทุนใหม่ ๆ สำหรับโครงการในอุตสาหกรรมสร้างสรรค์ เช่น ภาพยนตร์

เมตาเวิร์สนำเสนอแพลตฟอร์มใหม่ในการสร้างมูลค่าจากความร่วมมือของบุคลากรที่มีความสามารถทั้งด้านความสร้างสรรค์ การดำเนินธุรกิจ และด้านเทคโนโลยีในประเทศไทย ธุรกิจต่างๆ ในไทยควรจะใช้ประโยชน์จากโอกาสที่มีในเมตาเวิร์ส ในการสร้างประสบการณ์ของลูกค้าที่ไม่เหมือนใคร และจะเป็นประโยชน์ให้กับองค์กร เศรษฐกิจ และสังคมโดยรวม” ดร. นเรนทร์ ชุติจิรวงศ์ ผู้อำนวยการบริหาร Clients & Markets ดีลอยท์ ประเทศไทย กล่าว

 

มาลงทุนด้วยกัญ

 อย่างที่บอกไปแล้วว่าโลกขณะนี้มีคลื่นใหญ่หลายคลื่นกำลังถาโถมอยู่ แต่มีอยู่สองคลื่นที่เรารู้ค่อนข้างแน่แล้วว่ามันจะต้องเป็นไปตามนั้น และไม่มีอะไรจะขวางไว้ได้ นั่นคือ “เงินดิจิทัล” และ “กัญชาเสรี”

เดี๋ยวนี้ถ้ามีนักการเมืองหรือเซเลบคนไหนไปบอกต่อสาธาณะว่า “กัญชา คือ ยาเสพติด” มีหวังต้องถูกโห่หาป่า หาว่าท่านไปอยู่หลังเขาที่ไหนกันมาเหรอ ถึงได้ไม่รู้ว่ามีงานวิจัยจำนวนมากมายมหาศาลที่บอกว่า กัญชามีคุณในทางการแพทย์ ช่วยรักษาบรรเทาได้ทั้งโรคทางจิต เช่น โรคกังวลหรือผวารุนแรง โรคซึมเศร้า หรือแม้กระทั่งโรคมะเร็ง และเสพแล้วไม่ได้ “ติด” อย่างที่เคยเข้าใจ

แฟชั่นกัญชามันเปลี่ยนไปแล้ว จากคนเจนเนอเรชั่นเก่าที่เคยมองกัญชาในแง่ร้าย กลายมาเป็นของที่พึงปรารถนาของคนรุ่นนี้

เมืองไทยเองก็กำลังแก้ไขกฎหมายให้ไปในทางนำเอากัญชามาใช้ในวงการแพทย์ได้ แม้จะยังไม่ได้อนุญาตให้นำมาใช้เพื่อการพักผ่อนหย่อนใจหรือบริโภคกันทั่วไปได้ (เช่นเดียวกับแอลกอฮอล์ คาเฟอีน และนิโคติน ซึ่งเป็นสารกระตุ้นที่นิยมบริโภคเพื่อการพักผ่อนหย่อนใจหรือสันทนาการ ผ่านเครื่องดื่มอย่าง เหล้า เบียร์ ไวน์ กาแฟ ชา น้ำอัดลม และบุหรี่)

 

อีกไม่นาน เราคงจะได้เห็นกิจการขนาดใหญ่และบรรดา Start-Up ที่ทำงานทางด้านกัญชาเกิดขึ้นเป็นจำนวนมาก และแน่นอนว่าต้องมีนักลงทุนที่สนใจลงทุนทางด้านนี้ ทั้งในเชิงส่วนตัวและผ่านกองทุน Venture Capital Funds หรือ Private Equities ต่างๆ เหมือนกับในต่างประเทศ

ทีนี้ สำหรับคนทั่วไปที่เห็นแล้วว่าแนวโน้มอันนี้มันต้องมาแน่ และต้องการเอาประโยชน์กับกระแสนี้บ้าง อยากจะลงทุนกับกระแสนี้ หรือเก็งกำไรนิดๆ หน่อยๆ เผื่อว่าเมื่อถึงเวลาที่กัญชากลายเป็น Mainstream อย่างเต็มตัวเมื่อไหร่ ก็คิดว่าจะได้กำไรติดปลายนวมกับเขาบ้าง หรือแม้แต่ต้องการสนับสนุนผู้ประกอบการในสายนี้ ด้วยการช่วยลงทุนกับกิจการที่ดีและมีอนาคต...จะทำอะไรได้บ้าง

ไม่ยากค่ะ!!

 

ลองดูกองทุน ETF กองนี้ดู Horizons Marijuana Life Sciences Index ETF (HMLSF)

ที่แนะนำกองทุนเพราะคิดว่า การลงทุนกับกิจการกัญชาโดยตรงค่อนข้างเสี่ยง เพราะมันเป็นธุรกิจใหม่ และเป็นธรรมดาของหุ้นแนวใหม่ที่มักมีการเก็งกำไรกันแยะ และเนื่องจากอุตสาหกรรมนี้ยังใหม่มาก กฎหมายของแต่ละประเทศก็ยังไม่แน่นอน อีกทั้งแนวปฏิบัติของอุตสาหกรรมก็ยังไม่ลงตัว ราคาหุ้นเวลาขึ้นก็มักจะขึ้นตามข่าวดี และขึ้นเป็นฟองสบู่เกินพื้นฐานรายได้และศักยภาพในการทำกำไรของกิจการนั้นๆ ไปมาก เพราะคนเห่อกระแสกัญชา แต่พอราคาขึ้นไปมาก และคนเริ่มตระหนักว่ามันเป็นการเกินพื้นฐาน ก็มักมีการถล่มขาย ทำให้ราคาหวือหวามาก การลงทุนโดยตรงจึงค่อนข้างเสี่ยง

กองทุนนี้ลงทุนกับหุ้นกัญชาของสหรัฐฯ และแคนาดา เพราะแคนาดานั้นเป็นประเทศที่เปิดเสรีกัญชาเต็มที่แล้ว ทั้งทางการแพทย์และการบริโภคเพื่อหย่อนใจ ส่วนสหรัฐฯ นั้น แม้กัญชาจะยังผิดกฎหมายในระดับประเทศอยู่ (Federal) ทว่าในหลายๆ รัฐก็ได้ออกกฎหมายรองรับกัญชาเสรีแล้ว อ่อนแก่ต่างกันออกไป

ข้อดีของการลงกับกอง ETF กองนี้คือราคามันปรับตัวลงมาพอควรในช่วงก่อนหน้านี้ และมันยังมีแง่มุมให้เก็งกำไรต่ออีเว้นท์สำคัญในอนาคตได้อยู่

นั่นคือ การเปิดเสรีในระดับประเทศโดยรัฐบาลกลางของสหรัฐฯ ซึ่งนักลงทุนล้วนเก็งเรื่องนี้กันอยู่แยะ เพราะหากว่ามีการเปิดจริงๆ อุตสาหกรรมกัญชาจะเปลี่ยนหน้ามือเป็นหลังมือเลย เงินลงทุนคงจะทะลักเข้าอเมริกาอีกมากโข และ Start-Up ซึ่งจะทำเรื่องนี้ก็จะเติบโตได้มาก

 

New Frontier Data ประเมินว่าตลาดกัญชาโลก (ทั้งที่ถูกและผิดกฎหมาย) น่าจะมีมูลค่าถึง สามแสนสี่หมื่นกว่าล้านเหรียญฯ เป็นอย่างต่ำ หรือประมาณ 9 ล้านล้านบาทโดยประมาณ

Merrill Lynch วาณิชธนกิจรายใหญ่ของโลก ประเมินว่า “กัญชาเสรี” จะ Disrupt อุตสาหกรรมต่างๆ ที่มีอยู่ถึง 2.6 ล้านล้านเหรียญฯ ในรอบอีกไม่กี่ปีข้างหน้านี้ (เขาหมายรวมถึงอุตสาหกรรมแอลกอฮอล์และบุหรี่ รวมทั้งอาหารเสริมต่างๆ ที่จะถูกกระทบโดยกัญชา และสินค้าที่มีสารซึ่งสกัดจากกัญชาผสมอยู่)

อย่างว่า สหรัฐฯ เป็นผู้นำโลกโดยเฉพาะในเรื่องธุรกิจ การเงิน และการลงทุน ดังนั้น ถ้าสหรัฐฯ เคลื่อนไหวไปทางไหน โลกก็มักจะเคลื่อนตาม

แม้สหรัฐฯ จะยังไม่เปิดเสรีกัญชาในระดับประเทศก็ตาม ทว่าสถิติการขึ้นทะเบียนสิทธิบัตรทางปัญญาในเรื่องเกี่ยวกับกัญชาก็เพิ่มขึ้นมาก แสดงถึงแนวโน้มการเติบโต แม้จะยังมีกฎหมายระดับประเทศเหนี่ยวรั้งอยู่ก็ตาม (ในระหว่างปี ค.ศ. 2016-2018 มีการจดทะเบียน 800 สิทธิบัตร ถือว่าเพิ่มขึ้นจากช่วงปี ค.ศ. 2013-2015 ถึง 50% เพราะช่วงนั้นขึ้นทะเบียนเพียง 530 สิทธิบัตร)

 

เมื่อเร็วๆ นี้ Bernie Sanders ผู้สมัครชิงตำแหน่งประธานาธิบดีคนสำคัญคนหนึ่งของพรรคเดโมแครต ก็ได้ออกมาประกาศว่า หากเขาได้รับเลือกตั้งเป็นประธานาธิบดีในปีหน้านี้ เขาจะผลักดันการเปิดเสรีกัญชาในระดับประเทศอย่างเต็มที่

ตรงนี้คือจุดที่เราสามารถนำไปเก็งกำไรกับกองทุนกัญชาได้

เพราะถ้าการเมืองเปลี่ยน เดโมแครตขึ้นมาบริหารประเทศ หุ้นกัญชาอาจจะสวิงขึ้นอย่างมาก

ที่ผ่านมา แม้ประธานาธิบดีทรัมป์เอง ไม่ได้ประกาศสนับสนุนการแก้กฎหมายกัญชาในระดับประเทศก็ตาม แต่เขาก็ให้การสนับสนุนรัฐต่างๆ ในการแก้กฎหมายของตัวเอง

แต่นักการเมืองที่เก่ง ต้องอ่านใจประชาชนของตัวเองได้

และเราเชื่อว่า ถ้าลองทำโพลสำรวจความเห็นของคนทั่วโลกโดยเฉพาะคนรุ่นใหม่ รวมทั้งคนอเมริกันด้วยแล้ว ก็น่าจะเห็นด้วยกับกัญชาเสรีมากกว่าไม่เห็นด้วย

ลองเจียดเงินที่ท่านคิดว่าจะเสี่ยงได้โดยไม่กระทบ ไปลงทุนในแนวนี้บ้าง ก็น่าจะช่วยสร้างสีสันให้ชีวิตไม่น้อย

Page 4 of 6
X

Right Click

No right click