November 13, 2025

TECNO แบรนด์สมาร์ทโฟนชั้นนำระดับโลก จัดเต็มนวัตกรรมเทคโนโลยีล่าสุดในงาน Thailand Mobile Expo 2025 ระหว่างวันที่ 23-26 ตุลาคม 2568 ณ ศูนย์การประชุมแห่งชาติสิริกิติ์

SCG ร่วมเวที Forbes Global CEO Conference 2025: THE WORLD PIVOTS ณ กรุงจาการ์ตา ประเทศอินโดนีเซีย ซึ่งจัดภายใต้หัวข้อ “Sustainable Philanthropy” โดยมีผู้นำองค์กรจากทั่วโลกเข้าร่วมแลกเปลี่ยนวิสัยทัศน์ในการขับเคลื่อนธุรกิจอย่างยั่งยืน ท่ามกลางความเปลี่ยนแปลงของเศรษฐกิจ เทคโนโลยี และสภาพแวดล้อมโลก

นายธรรมศักดิ์ เศรษฐอุดม กรรมการผู้จัดการใหญ่ เอสซีจี ได้นำเสนอแนวคิด “Inclusive Green Growth” กลยุทธ์ในการดำเนินธุรกิจที่มุ่งสร้างการเติบโตทางเศรษฐกิจควบคู่กับความยั่งยืนด้านสิ่งแวดล้อม โดยใช้เทคโนโลยี นวัตกรรม และปัญญาประดิษฐ์ (AI) เป็นเครื่องมือสำคัญในการเพิ่มขีดศักยภาพและสร้างความสามารถแข่งขันได้ในระยะยาว

ทั้งนี้ เพื่อให้บรรลุเป้าหมายดังกล่าว เทคโนโลยีอย่าง AI, Robotics และ Deep Tech ถูกนำมาใช้เพิ่มประสิทธิภาพการผลิต ขยายศักยภาพห่วงโซ่อุปทาน และลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนในกระบวนการผลิต ตัวอย่างที่ชัดเจน คือการพัฒนา Low-Carbon Cement ซึ่งช่วยลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ และยังตอบโจทย์ทั้งด้านประสิทธิภาพและโอกาสทางธุรกิจ

นอกจากนี้ SCG ยังร่วมมือกับพันธมิตรและซัพพลายเชน เพื่อใช้เทคโนโลยีและข้อมูลร่วมกันในการสร้าง “Impact Chain” ซึ่งช่วยเสริมสร้างการเติบโตและผลกระทบเชิงบวกอย่างยั่งยืนไปพร้อมกัน

สำหรับแนวคิด Inclusive Green Growth ไม่ได้หมายถึงเพียงการดูแลสิ่งแวดล้อม แต่คือแนวทางการเติบโตระยะยาวที่รวมทั้งเทคโนโลยี นวัตกรรม และความสามารถในการแข่งขัน เพื่อให้ธุรกิจเติบโตได้อย่างยั่งยืน แข่งได้ในตลาดโลก และส่งต่อโลกที่ดีกว่าให้กับคนรุ่นต่อไป

 

 

ซิสโก้ (Cisco) ผู้นำระดับโลกด้านเครือข่ายและความปลอดภัย เปิดเผย ‘ผลการศึกษาจากดัชนีความพร้อมด้าน AI ประจำปี 2568 (Cisco AI Readiness Index 2025) ครั้งที่ 3 พบว่า กลุ่ม 'Pacesetters' ซึ่งเป็น ‘กลุ่มบริษัทขนาดเล็กที่มีความมุ่งมั่นในการดำเนินงานอย่างสม่ำเสมอ’ เป็นกลุ่มบริษัทขนาดเล็กที่มีความมุ่งมั่นและดำเนินการอย่างสม่ำเสมอ คิดเป็นประมาณ 21% ขององค์กรที่สำรวจในประเทศไทย และ 13% ขององค์กรทั่วโลก โดยตลอด 3 ปีที่ผ่านมามีผลการดำเนินงานที่เหนือกว่าคู่แข่งในทุกมิติของมูลค่าทางธุรกิจที่ได้รับจาก AI เป็นครั้งแรกในผลการศึกษาระดับโลกของซิสโก้ที่ครอบคลุมผู้นำด้าน AI กว่า 8,000 คน ใน 30 ตลาด และ 26 อุตสาหกรรม

 ความได้เปรียบที่ยั่งยืนของ กลุ่มผู้นำที่มีความพร้อมด้าน AI (Pacesetters) ชี้ให้เห็นถึงรูปแบบใหม่ของความยืดหยุ่นทางธุรกิจ (Resilience) นั่นก็คือ การใช้แนวทางเชิงระบบที่เป็นระเบียบ (disciplined, system-level approach) ที่สร้างความสมดุลระหว่างตัวขับเคลื่อนเชิงกลยุทธ์ กับข้อมูลและโครงสร้างพื้นฐานที่จำเป็น เพื่อให้ก้าวทันวิวัฒนาการที่รวดเร็วของ AI พวกเขากำลังออกแบบสถาปัตยกรรมสำหรับอนาคต โดย 98% ของกลุ่มนี้ออกแบบเครือข่ายของตนให้พร้อมรับมือกับการเติบโต การขยายขนาด และความซับซ้อนของ AI ในขณะที่บริษัทในประเทศไทยทำได้เพียง 52%

การผสมผสานระหว่าง วิสัยทัศน์ที่กว้างไกล (Foresight) และ การวางรากฐานที่มั่นคง (Foundation) ได้สร้างผลลัพธ์ที่เป็นจริงและสามารถวัดผลได้ ในช่วงเวลาที่สองปัจจัยสำคัญกำลังเริ่มปรับเปลี่ยนภูมิทัศน์ของธุรกิจคือ AI Agents ซึ่งเป็นเทคโนโลยีที่ยกระดับมาตรฐานด้านขนาด (Scale) ความปลอดภัย (Security) และการกำกับดูแล (Governance) และ AI Infrastructure Debt ซึ่งเป็นสัญญาณเตือนล่วงหน้าของคอขวดที่ซ่อนอยู่ และอาจบ่อนทำลายมูลค่า AI ในระยะยาว

 นายวีระ อารีรัตนศักดิ์ กรรมการผู้จัดการ บริษัท ซิสโก้ ประเทศไทย และเมียนมาร์ กล่าวว่า "ผลการศึกษาความพร้อมด้าน AI ของซิสโก้ในปีนี้ชี้ให้เห็นอย่างชัดเจนว่า ‘ความพร้อมนำมาซึ่งมูลค่าที่แท้จริง’ ในทุกๆ ด้าน เราเห็นว่าองค์กรที่มีความพร้อมด้าน AI หรือ กลุ่ม Pacesetters ในการศึกษาของเราพิสูจน์ให้เห็นสิ่งนี้ พวกเขามีโอกาสมากกว่า 3 เท่าในการนำโครงการทดลอง AI สู่การใช้งานจริง และมีโอกาสมากกว่าถึง 20% ที่จะเห็นผลลัพธ์ทางธุรกิจที่วัดได้จากการใช้ AI ในขณะที่องค์กรต่างๆ กำลังนำ AI agents มาใช้งาน ความสำเร็จของพวกเขาขึ้นอยู่กับความพร้อม การมีวินัย และการลงมือทำ"

ลักษณะเด่นของ Pacesetter: ‘ความพร้อม’ คือความได้เปรียบในการแข่งขัน

การวิจัยของซิสโก้ชี้ให้เห็นแนวทางที่คล้ายคลึงกันในกลุ่มผู้นำเหล่านี้ที่สามารถสร้างผลตอบแทนสู่ธุรกิจได้

· พวกเขาได้ผนวก AI เข้าเป็นแกนหลักของธุรกิจ ไม่ใช่แค่โครงการเสริม

เกือบทั้งหมดของ Pacesetters (99%) มีแผนงานด้าน AI ที่ชัดเจน (เทียบกับ 73% ในประเทศไทย) และ 91% (เทียบกับ 46% ในประเทศไทย) มีแผนบริหารการเปลี่ยนแปลงด้วย ส่วนในเรื่องของงบประมาณที่สอดคล้องกับเป้าหมายนั้น 79% ยกให้ AI เป็น วาระสำคัญที่สุดในการลงทุน (เทียบกับ 36% ในประเทศไทย) และ 96% มีกลยุทธ์การจัดหาเงินทุนระยะสั้นและระยะยาว (เทียบกับ 55% ในประเทศไทย)

 · พวกเขาสร้างโครงสร้างพื้นฐานที่พร้อมสำหรับการเติบโต

พวกเขาออกแบบสถาปัตยกรรมสำหรับยุค always-on AI ที่ทำงานตลอดเวลา 71% ของ Pacesetters กล่าวว่าเครือข่ายของพวกเขามีความยืดหยุ่นอย่างเต็มที่ และสามารถขยายได้ทันทีสำหรับโครงการ AI (เทียบกับ 27% ในประเทศไทย) และ 77% กำลังลงทุนในความจุศูนย์ข้อมูล (Data-center capacity) ใหม่ ภายใน 12 เดือนข้างหน้า (เทียบกับ 48% ในประเทศไทย)

· พวกเขาสามารถนำร่องโครงการไปสู่การใช้งานจริงได้สำเร็จ

62% มีกระบวนการสร้างนวัตกรรมที่แข็งแกร่ง และทำซ้ำได้สำหรับการสร้างและขยายผลกรณีการใช้งาน AI (เทียบกับ 18% ในประเทศไทย) และสามในสี่ (77%) ได้ทำโครงการใช้งาน AI เหล่านั้นเสร็จสมบูรณ์แล้ว (เทียบกับ 27% ในประเทศไทย)

· พวกเขาวัดผลในสิ่งที่สำคัญ

95% มีการติดตามผลกระทบจากการลงทุนด้าน AI ซึ่งสูงกว่าองค์กรอื่น ๆ มากกว่าสองเท่า และ 71% มั่นใจว่ากรณีการใช้งาน AI ของตนจะสร้างกระแสรายได้ใหม่ (New Revenue Streams) เทียบกับค่าเฉลี่ยในประเทศไทยที่ 41%

· พวกเขาเปลี่ยนความปลอดภัยให้เป็นจุดแข็ง

87% มีความตระหนักรู้สูงเกี่ยวกับภัยคุกคามเฉพาะด้าน AI (เทียบกับ 45% ในประเทศไทย) 62% ผนวก AI เข้ากับระบบความปลอดภัยและระบบการยืนยันตัวตน (Identity Systems) ของตน (เทียบกับ 35% ในประเทศไทย) และ 75% มีความพร้อมอย่างเต็มที่ในการควบคุมและรักษาความปลอดภัยของ AI Agents (เทียบกับ 45% ในประเทศไทย) ‘ความไว้วางใจ’ เป็นส่วนหนึ่งในสมการมูลค่าของกลุ่ม Pacesetters

กลุ่ม Pacesetters สามารถบรรลุผลลัพธ์ที่ครอบคลุมมากกว่าคู่แข่งด้วยแนวทางนี้: 90% รายงานว่าได้รับผลประโยชน์ด้านความสามารถในการทำกำไร ผลผลิต และนวัตกรรม เทียบกับ 79% โดยรวมในประเทศไทย

 

AI agents: ความมุ่งมั่นที่เร็วกว่าความพร้อม

ดัชนีแสดงให้เห็นว่า 98% ขององค์กรในประเทศไทยวางแผนนำ AI agents มาใช้งาน และเกือบ 31% คาดว่า AI agents จะทำงานร่วมกับพนักงานในปีหน้า แต่สำหรับบริษัทส่วนใหญ่ AI agents ทำให้เห็นชัดว่าโครงสร้างพื้นฐานยังไม่พร้อม ระบบที่มีอยู่แทบไม่สามารถรองรับแม้แต่ AI แบบพื้นฐาน (Reactive, Task-based AI) ส่วน AI ที่ทำงานอัตโนมัติ และเรียนรู้ตลอดเวลาด้วยแล้ว ยิ่งเป็นไปไม่ได้

29% ของผู้ตอบแบบสอบถามระบุว่าเครือข่ายของตนไม่สามารถรองรับความซับซ้อน หรือปริมาณข้อมูลที่เพิ่มขึ้นได้ และมีเพียง 27% ที่มองว่าเครือข่ายของตนมีความยืดหยุ่นหรือปรับตัวได้

แต่สำหรับกลุ่ม Pacesetters นั้น แนวทางที่เป็นระบบและมีวินัยทำให้พวกเขาวางรากฐานที่จำเป็นสำหรับการขยายตัวไว้ล่วงหน้าแล้ว

 

AI Infrastructure Debt: แรงฉุดมูลค่าที่กำลังเกิดขึ้น

รายงานฉบับนี้ได้นำเสนอแนวคิดใหม่ นั่นคือ "ภาระหนี้โครงสร้างพื้นฐาน AI" (AI Infrastructure Debt) ซึ่งเป็นวิวัฒนาการล่าสุดของ "ภาระหนี้ทางเทคนิคและดิจิทัล" ที่เคยเป็นอุปสรรคต่อการเปลี่ยนผ่านสู่ดิจิทัลมาก่อน

ภาระหนี้ดังกล่าวเกิดจากการ สะสมอย่างเงียบ ๆ ของการประนีประนอม การเลื่อนการอัปเกรด และสถาปัตยกรรมที่ได้รับเงินทุนไม่เพียงพอ ซึ่งจะกัดกร่อนมูลค่าของ AI เมื่อเวลาผ่านไป สัญญาณเตือนภัยล่วงหน้าบางประการได้เริ่มปรากฏให้เห็นแล้วคือ: 40% คาดว่าปริมาณงานจะเพิ่มขึ้นกว่า 30% ภายใน 3 ปี, 61% ประสบปัญหาในการรวมศูนย์ข้อมูล (Centralize Data), 31% เท่านั้นที่มีความจุ GPU ที่เพียงพอ และ 42% ที่สามารถตรวจจับ หรือป้องกันภัยคุกคามเฉพาะด้าน AI ได้

สัญญาณเตือนภัยล่วงหน้าเหล่านี้ชี้ให้เห็นถึงช่องว่างระหว่าง ความมุ่งมั่นด้าน AI (AI Ambition) กับ ความพร้อมในการปฏิบัติงาน (Operational Readiness) ยิ่งไปกว่านั้น หากระบบที่ขับเคลื่อน AI ขาดความปลอดภัย "ภาระหนี้" ดังกล่าวก็จะยิ่งเพิ่มความเสี่ยงให้สูงขึ้น ถึงแม้ว่ากลุ่ม Pacesetters จะไม่สามารถหลีกเลี่ยงความเสี่ยงเหล่านี้ได้โดยสิ้นเชิง แต่ วิสัยทัศน์ที่กว้างไกล การกำกับดูแล และระเบียบวินัยในการลงทุน จะช่วยให้พวกเขาสามารถหลีกเลี่ยงไม่ให้ปัญหาเล็ก ๆ ทวีความรุนแรงจนกลายเป็นความเสี่ยงที่มีค่าใช้จ่ายสูงกว่าได้

ดาวน์โหลดรายงาน: "ความพร้อม” นำไปสู่มูลค่า

เมื่อระบบ agentic AI และ AI อัตโนมัติผลักดันให้องค์กรต้องใช้การประมวลผลอย่างต่อเนื่อง รายงานชี้ชัดว่า "ความพร้อมนำไปสู่มูลค่าทางธุรกิจ" โดยองค์กรที่มีความพร้อมด้าน AI สูงสุดเป็นผู้นำเทรนด์ให้องค์กรอื่นๆ ตาม

จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยโดยศูนย์นวัตกรรมการเรียนรู้ จุฬาฯ ร่วมกับ Coursera for Campus จัดงาน President’s Distinguished Speakers ครั้งที่ 5 โดยมี ศ.ดร.วิเลิศ ภูริวัชร อธิการบดีจุฬาฯ เป็นผู้กล่าวเปิดงาน จากนั้นเป็นการบรรยายพิเศษเรื่อง “Purpose-Driven Learning: The Human Foundation for Flourishing in an AI-Powered Economy” (การเรียนรู้ที่ขับเคลื่อนด้วยเป้าหมายและทักษะเพื่อผลลัพธ์ที่ยั่งยืนในเศรษฐกิจยุคใหม่ที่ขับเคลื่อนด้วย AI) โดย Dr. Victor Strecher, Pioneering Professor, School of Public Health, University of Michigan นักวิทยาศาสตร์พฤติกรรมผู้มีชื่อเสียง นักเขียน และผู้สอนบนแพลตฟอร์ม Coursera ผู้สร้างหลักสูตรออนไลน์ชื่อดัง “Finding Purpose and Meaning in Life” ซึ่งได้รับการจัดอันดับโดยนิตยสาร Inc.ให้เป็นคอร์สออนไลน์ที่ดีที่สุดอันดับ 4 ของโลกในปี 2020 ดำเนินรายการโดย อ. ดร.ถิรพุทธิ์ ปิติฉัตร ผู้ช่วยอธิการบดี ด้านพัฒนาองค์กร

การบรรยายพิเศษครั้งนี้ Dr. Victor Strecher ได้ถ่ายทอดความรู้เกี่ยวกับการเรียนรู้ที่ขับเคลื่อน ด้วยเป้าหมายในฐานะรากฐานสำคัญของการสร้างความยืดหยุ่น ความเป็นอยู่ที่ดี และสมรรถนะสูง ในเศรษฐกิจยุค AI พร้อมเผยถึงวิธีการเชื่อมโยง “ความหมายในชีวิต” เข้ากับ “การพัฒนาทักษะ” เพื่อปลดล็อกแรงบันดาลใจและนวัตกรรมทั้งในระดับบุคคล องค์กร และสังคม ในยุคแห่งการเปลี่ยนแปลง ที่รวดเร็ว ทั้งนี้การบรรยายดังกล่าวมีคณาจารย์ บุคลากร และนิสิตเข้าฟังจำนวนมาก

Dr. Victor Strecher เน้นย้ำว่ามนุษย์ไม่ได้ต้องการเพียงพลังงานและทักษะเท่านั้น แต่ยังต้องมี จุดหมายที่ชัดเจนในชีวิต หรือเป้าหมายชีวิตที่เป็นเสมือนเข็มทิศกำหนดทิศทาง และยังชวนผู้เข้ารับฟังการบรรยายให้มีแรงบันดาลใจในการค้นหาเป้าหมายในชีวิต เช่น เมื่อเรากลัว สมองจะสร้างกำแพงขึ้นมาทันทีแต่ ‘เป้าหมาย’ คือพลังเดียวที่พังกำแพงนั้นได้ อย่าให้ความกลัวมาควบคุมชีวิตเรา สมองมีไว้คิดมิใช่ให้ความกลัวบังคับ เป้าหมายชีวิตที่แท้จริงคือ พลังที่ขับเคลื่อนด้วยคุณค่าภายใน จัดระเบียบชีวิตให้เดินไปสู่สิ่งที่มีความหมาย คนที่มีเป้าหมายชีวิตชัดเจนมีแนวโน้มคิดทำร้ายตัวเองน้อยกว่าคนที่ไม่มีถึง 4 เท่า และการมีเหตุผลที่จะตื่นขึ้นทุกเช้าคือยารักษาจิตใจที่ดีที่สุด

นอกจากนี้ Dr. Victor Strecher ยังกล่าวถึงความสำคัญของ AI ว่าสามารถทำลายงานของเราหรืออาจทำให้ศักยภาพของมนุษย์พุ่งสูงขึ้นหลายเท่า ทุกอย่างขึ้นอยู่กับว่าเราใช้มันโดยมีเป้าหมายหรือไม่ เราพูดถึง AI เหมือนมันเป็นสิ่งเดียว แต่จริง ๆ แล้วมันคือสติปัญญาหลายแบบที่เราต้องเรียนรู้จะอยู่ร่วมกับมัน

ถ้าเราเข้าใจตัวเอง เราก็จะเข้าใจได้ว่า AI แบบไหนที่เหมาะกับเรา และ AI ไม่ได้แทนมนุษย์ได้ทุกอย่างแต่มันขยายตัวตนที่ชัดเจนของเราออกไปได้

ในมุมมองด้านสาธารณสุข การดูแลสุขภาพไม่ควรมุ่งเน้นเฉพาะการป้องกันหรือรักษาโรคเท่านั้น แต่ควรส่งเสริมให้ผู้คนได้ใช้ชีวิตอย่างมีความหมายและทิศทางที่ชัดเจน

นอกจากนี้ จากงานวิจัยชี้ให้เห็นว่าการสะท้อนคุณค่าและภาพตนเองในอนาคตจะช่วยกระตุ้นการทำงานของสมองซึ่งมีบทบาทสำคัญต่อการสร้างอัตลักษณ์ การกำกับอารมณ์ และความยืดหยุ่นทางจิตใจ

Dr. Victor Strecher ชี้ว่าเมื่อเชื่อมโยงอัตลักษณ์และเป้าหมายชีวิตเข้ากับเครื่องมือปัญญาประดิษฐ์ (AI) ได้อย่างเหมาะสม AI จะทำหน้าที่เป็น “พลังทวีคูณ” ที่ช่วยสนับสนุนต้นแบบ อัตลักษณ์ให้ได้รับประโยชน์จากเครื่องมือที่เหมาะสมกับตน การผสมผสาน “ทักษะ” เข้ากับ “เป้าหมายชีวิต” จะก่อให้เกิดผู้เรียนและผู้นำที่มีความหวังมากขึ้น สามารถเดินไปข้างหน้าได้อย่างมั่นใจทั้งทิศทางและศักยภาพ

 

อะเมซอน เว็บ เซอร์วิสเซส (Amazon Web Services: AWS) บริษัทในเครือของ Amazon.com เปิดเผยผลการศึกษาพบว่า แม้การใช้ปัญญาประดิษฐ์ (AI) ในไทยจะเติบโตต่อเนื่อง แต่เกิดช่องว่างที่กว้างขึ้นระหว่างบริษัทสตาร์ทอัพและบริษัทขนาดใหญ่ที่ดำเนินธุรกิจมานาน ในด้านการประยุกต์ใช้ AI ซึ่งอาจนำไปสู่การเกิดเศรษฐกิจสองระดับ โดยสตาร์ทอัพที่ขับเคลื่อนด้วยเทคโนโลยีสามารถพัฒนานวัตกรรมได้เร็วกว่าและแซงหน้าธุรกิจดั้งเดิม การใช้ AI ในไทยเติบโตอย่างรวดเร็ว โดยมีธุรกิจ 150,000 รายนำ AI มาใช้ในปี 2567 หรือเฉลี่ยเกือบทุก 3 นาทีจะมีธุรกิจใหม่นำ AI มาใช้ ปัจจุบันมีธุรกิจ 600,000 ราย หรือ 32% ของธุรกิจทั้งประเทศที่นำ AI มาใช้แล้ว เพิ่มขึ้น 33% จากปีก่อน ด้านผลลัพธ์ทางธุรกิจ 67% ของธุรกิจที่ใช้ AI มีรายได้เพิ่มขึ้นเฉลี่ย 17% ในขณะที่ 78% คาดว่าจะสามารถประหยัดต้นทุนได้เฉลี่ย 17%

 AWS ร่วมกับ Strand Partners สำรวจการใช้ AI ในไทยผ่านการศึกษา “Unlocking Thailand's AI Potential” โดยเก็บข้อมูลจากผู้นำธุรกิจและประชาชนทั่วไป กลุ่มละ 1,000 รายในประเทศไทย

 การใช้ AI ในธุรกิจไทยแพร่หลาย แต่ส่วนใหญ่ยังอยู่ในระดับพื้นฐาน

แม้การใช้ AI ในไทยจะแพร่หลายขึ้น แต่ส่วนใหญ่ยังไม่ได้ใช้ประโยชน์ในระดับก้าวหน้า สะท้อนถึงความจำเป็นในการพัฒนาการใช้ AI ให้ลึกซึ้งขึ้นเพื่อปลดล็อกศักยภาพของประเทศ โดย 72% ของธุรกิจยังใช้ AI เพียงขั้นพื้นฐาน เช่น การเพิ่มประสิทธิภาพและปรับปรุงกระบวนการทำงาน มากกว่าการสร้างนวัตกรรมใหม่ มีเพียง 18% ที่ใช้ในระดับกลาง และ 10% ที่ผสาน AI เข้าเป็นส่วนสำคัญของการพัฒนาผลิตภัณฑ์ การตัดสินใจ และโมเดลธุรกิจ

สตาร์ทอัพไทยมีความกระตือรือร้นและสร้างสรรค์ในการใช้ AI โดยนำ AI ขั้นสูงมาใช้เร็วกว่าบริษัทที่มีมานาน โดย 50% ของสตาร์ทอัพใช้ AI ในรูปแบบต่าง ๆ และ 40% กำลังพัฒนาผลิตภัณฑ์ใหม่ที่ขับเคลื่อนด้วย AI อย่างเต็มศักยภาพ ในขณะที่บริษัทขนาดใหญ่แม้ 44% จะใช้ AI แต่มีเพียง 16% ที่สร้างผลิตภัณฑ์หรือบริการใหม่ด้วย AI และ 18% ที่มีกลยุทธ์ AI ครอบคลุม ส่วนธุรกิจขนาดกลางและขนาดย่อม (SME) 32% นำ AI มาใช้ แต่มีเพียง 9% ที่ใช้ในระดับก้าวหน้าที่สุด ช่องว่างด้านนวัตกรรม AI นี้อาจส่งผลสำคัญต่ออนาคตทางเศรษฐกิจของประเทศไทย

 นิค บอนสโตว์ (Nick Bonstow) ผู้อำนวยการบริษัท สแตรนด์ พาร์ทเนอร์ส กล่าวว่า “นับเป็นปรากฏการณ์ที่น่าสนใจมากเกี่ยวกับการนำ AI มาใช้ในประเทศไทย จากผลการศึกษาพบว่า แม้ 32% ของธุรกิจจะรายงานว่าได้นำ AI มาประยุกต์ใช้ แต่ส่วนใหญ่ยังคงใช้งานอยู่ในระดับพื้นฐานเท่านั้น ทั้งที่ในปีที่ผ่านมามีการนำเทคโนโลยีมาใช้อย่างแพร่หลายและรวดเร็ว ในขณะที่สตาร์ทอัพซึ่งมีความคล่องตัวสูงกำลังก้าวล้ำหน้าทั้งบริษัทขนาดใหญ่และ SME ทั้งในแง่ความเร็วและความลึกของนวัตกรรม การเกิดขึ้นของเศรษฐกิจ AI แบบ “สองระดับ” นี้อาจส่งผลกระทบระยะยาวต่อการพัฒนาเศรษฐกิจของประเทศ เราไม่ควรพิจารณาเพียงตัวเลขการนำ AI มาใช้เท่านั้น เพราะอาจทำให้มองข้ามความท้าทายที่แท้จริงที่ธุรกิจไทยจำนวนมากกำลังเผชิญอยู่

 ช่องว่างด้านทักษะ AI และความไม่แน่นอนด้านกฎระเบียบ เป็นอุปสรรคสำคัญต่อการประยุกต์ใช้ AI ในวงกว้าง

ผลการศึกษาชี้ชัดว่า 47% ของธุรกิจในประเทศไทยระบุว่า การขาดแคลนบุคลากรที่มีทักษะด้าน AI เป็นอุปสรรคหลักในการนำ AI มาใช้หรือขยายการใช้งาน แม้หลายธุรกิจจะมีความพร้อมทั้งด้านเทคโนโลยีและวิสัยทัศน์ แต่กลับประสบปัญหาในการสรรหาบุคลากรที่มีความสามารถในการพัฒนาและประยุกต์ใช้ AI ให้เกิดผลในทางปฏิบัติ สถานการณ์นี้ส่งผลกระทบโดยตรงต่อขีดความสามารถในการแข่งขันระดับโลกของประเทศไทยและเป็นข้อจำกัดต่อการพัฒนาศักยภาพทางเศรษฐกิจ โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อการคาดการณ์ระบุว่า 61% ของตำแหน่งงานในอนาคตจะต้องการทักษะด้าน AI ในขณะที่มีเพียง 29% ของธุรกิจเท่านั้นที่เชื่อว่าพนักงานปัจจุบันมีความพร้อมด้านทักษะดังกล่าว

เมื่อวิเคราะห์ผลกระทบเชิงบวกของกฎระเบียบใหม่ที่มีต่อภาคธุรกิจ พบว่า 49% ของธุรกิจคาดหวังว่ากฎระเบียบด้าน AI จะช่วยเสริมสร้างความเชื่อมั่นในกลุ่มลูกค้า และ 39% เห็นว่าจะนำไปสู่การพัฒนากรอบการกำกับดูแลที่มีเสถียรภาพ สำหรับสถานการณ์ในประเทศไทย ภาคธุรกิจได้จัดสรรงบประมาณ 27% เพื่อรองรับค่าใช้จ่ายในการปฏิบัติตามกฎระเบียบ โดย 76% ของธุรกิจคาดการณ์ว่าค่าใช้จ่ายดังกล่าวจะมีแนวโน้มเพิ่มสูงขึ้นในอีก 3 ปีข้างหน้า

 แนวทางการพัฒนานวัตกรรม AI ในอนาคต

ผลการศึกษาได้นำเสนอแนวทางสำคัญ 3 ประการในการก้าวข้ามอุปสรรคและปลดล็อกศักยภาพของ AI ทั้งในบริษัทสตาร์ทอัพและองค์กรขนาดใหญ่ เพื่อป้องกันการเกิดเศรษฐกิจแบบแบ่งแยก ได้แก่ การลงทุนและสร้างโครงการพัฒนาทักษะดิจิทัลที่เฉพาะเจาะจงกับแต่ละอุตสาหกรรม เพื่อเสริมสร้างบุคลากรที่มีความสามารถด้านดิจิทัลในการขับเคลื่อนนวัตกรรมและการเติบโตด้วย AI การกำหนดกรอบกฎระเบียบที่ชัดเจน คาดการณ์ได้ และเอื้อต่อนวัตกรรมในประเทศไทย เพื่อสนับสนุนการประยุกต์ใช้ AI อย่างลึกซึ้งในทุกภาคธุรกิจ และการเร่งขับเคลื่อนการเปลี่ยนผ่านสู่ดิจิทัลในภาครัฐ โดยเฉพาะในด้านสาธารณสุขและการศึกษา รวมถึงการใช้ระบบจัดซื้อจัดจ้างภาครัฐเพื่อส่งเสริมนวัตกรรม เนื่องจาก 67% ของภาคธุรกิจระบุว่าจะมีแนวโน้มนำ AI มาใช้มากขึ้นหากภาครัฐเป็นผู้นำในการเปลี่ยนแปลง

AWS เปิดตัว Asia Pacific (Thailand) Region ในเดือนมกราคม 2568 ด้วยเม็ดเงินลงทุน 5 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ ซึ่งคาดว่าจะสร้างงานเต็มเวลากว่า 11,000 ตำแหน่งต่อปี และสร้างมูลค่าเพิ่มให้กับ GDP ของประเทศไทยถึง 1 หมื่นล้านดอลลาร์สหรัฐ โดยตั้งแต่ปี 2560 AWS ได้มุ่งพัฒนากำลังคนด้านดิจิทัลของประเทศไทยผ่านการฝึกอบรมด้านคลาวด์คอมพิวติ้งให้กับบุคลากรกว่า 100,000 คน ด้วยโครงการต่าง ๆ อาทิ AWS Skill Builder, AWS Educate, AWS Academy และ AWS re/Start รวมถึงโครงการในประเทศอย่าง “Tech for Digital Future” และ “AWS Skills to Jobs Tech Alliance” นอกจากนี้ ยังร่วมมือกับหน่วยงานภาครัฐ สถาบันการศึกษา และผู้ประกอบการ ในการสร้างระบบนิเวศที่เชื่อมโยงทักษะสู่การจ้างงาน เพื่อเตรียมความพร้อมให้บุคลากรสำหรับเศรษฐกิจดิจิทัลที่ขับเคลื่อนด้วย AI

 คุณวัตสัน ถิรภัทรพงศ์ Country Manager ของ AWS ประเทศไทย กล่าวว่า "ธุรกิจในประเทศไทยมีความตื่นตัวและมุ่งมั่น อย่างมากในการพัฒนานวัตกรรมด้วยเทคโนโลยี AI โดยระดับการนำไปใช้ที่สูงสะท้อนให้เห็นถึงศักยภาพอันยิ่งใหญ่ของเศรษฐกิจไทย อย่างไรก็ตาม รายงานล่าสุดนี้ ชี้ให้เห็นว่ายังมีอุปสรรคสำคัญหลายประการ โดยเฉพาะในองค์กรขนาดใหญ่ที่ต้องการพัฒนาการใช้งาน AI ให้ก้าวหน้ายิ่งขึ้น เพื่อรักษาความได้เปรียบในการแข่งขันของประเทศไทยบนเวทีด้าน AI ระดับโลก ทั้งภาครัฐและภาคอุตสาหกรรมจำเป็นต้องร่วมมือกันแก้ไขอุปสรรคที่ภาคธุรกิจกำลังเผชิญอยู่อย่างเป็นระบบ ทาง AWS ยังคงมุ่งมั่นสนับสนุนการใช้งาน Generative AI อย่างแพร่หลาย ผ่านการลงทุนด้านโครงสร้างพื้นฐานและโครงการพัฒนาทักษะบุคลากรอย่างต่อเนื่อง"

Page 1 of 24
X

Right Click

No right click